N e x t to t h e Beginn ing !!
แบลลล่.... โฮะ...โฮะ...โฮะ....ฮัลโหล...ฮับ...
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
18 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
บันทึกเรื่องดีๆ

คือ เราได้ forward mail เรื่องข้างล่างมา...อ่านๆไป ชอบอยู่ข้อหนึ่งที่ว่า ให้เขียนบันทึกเรื่องดี ๆในแต่ละวัน....

ก็เลยว่าจะพยายามทำให้ได้ตามนี้ทุกๆวันน่ะ....





" 9 เทคนิค ฝึกสมอง " (Brain Bright)
โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้


1. จิบน้ำบ่อย ๆ

สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ


2. กินไขมันดี

คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที

หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน


4. ใส่ความตั้งใจ

การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ

ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ


6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์


7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน

ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์


9. ฝึกหายใจลึก ๆ

สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %


การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม



Create Date : 18 พฤษภาคม 2550
Last Update : 18 พฤษภาคม 2550 22:59:51 น. 20 comments
Counter : 1017 Pageviews.

 
อ่านแล้วจะลองเอาไปทำดูบ้างนะคะ เผื่อสมองเราจะมีคุณภาพขึ้นมาสักหน่อย 55

แวะเข้ามาทักทายคะ อิอิ


โดย: Panramie วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:24:35 น.  

 
ชอบทุกข้อเลยค่ะ ดีจัง...


โดย: justkitty (justkitty ) วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:1:55:35 น.  

 
ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่ม...


โดย: ป้าเจน IP: 203.218.116.124 วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:4:44:28 น.  

 
เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ

อ่านแล้วสิ่งที่ผมทำประจำคือ จิบน้ำบ่อยๆ และยิ้มทุกวัน หาความรู้ใหม่ๆทุกวัน

แล้วจะพยายามนั่งสมาธิ และสูดลมหายใจดูนะครับ


โดย: อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:15:32:37 น.  

 
ขอบคุณเรื่องดีๆที่นำมาแบ่งปันค่ะ

น่าสนใจมากเลยไว้จะลองไปทำดูบ้าง

ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันค่ะ


โดย: หิมะสีดำ วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:00:26 น.  

 
น่าสนใจค่ะ...แล้วจะพยายามทำดูนะคะ

ขอบคุณมากค่าา


โดย: Jikkyjang วันที่: 19 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:56:34 น.  

 
Morning kha... แวะมาอ่านบทความดี ๆ ค่ะ เป็นเทคนิคที่น่านำไปทำมาก ๆ เลยนะคะ ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะ อิอิ มีความสุขกับวันหยุดนะคะ..


โดย: ratchy69 วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:29:00 น.  

 
ข อ บ คุ ณ สำ ห รั บ สิ่ ง ดี ๆ ค รั บ ป๋ ม


โดย: น้องเจมส์เข้ามาเยี่ยมชมฮับ (เป็นกำลังใจให้คุณ ) วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:16:39:53 น.  

 
เพลงเพราะมากๆเลยค่ะ....ฟังแล้วนึกถึงสมัยเด็กๆ(ประถม) จำได้ว่าตอนนั้นละครเรื่องรักประกาศิษดังมากๆ หมิวน่ารักมากๆๆ ....ไม่คิดว่าผู้ขับร้อง คือ คุณอภิญญา เจริญวงค์ เสียงหวานมากๆเลยยยย

ขอบคุณค่ะที่นำมา Share กัน



โดย: birdchicago


มีเลพงเก่าอีกบานเลยค่ะ จะทะยอยเอามาลงนะคะ


โดย: โสมรัศมี วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:09:23 น.  

 
อา....ไม่ค่อยมีเวลาทำอะนะ เข้าสังคมบ่อย แจกตังค์น้องๆ เพื่อทุนการศักษา ทุกศุกร์-เสาร์

มาเยี่ยมครับ


โดย: ชายที่26 วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:19:15 น.  

 
บล็อกมีประโยชน์มากค่ะ ชอบจังเลยค่ะ กำลังฝึกสมองเพื่อความจำดีหลายอย่างเลยค่ะ ว่าแล้วก็ปริ้นท์เก็บไว้ค่ะ

ปล. ขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล็อกค่ะ


โดย: Clip วันที่: 21 พฤษภาคม 2550 เวลา:6:06:26 น.  

 
Another Tips:

การเคี้ยวนานก็สามารถทำให้ฉลาดได้...

การเคี้ยวนานก็สามารถทำให้ฉลาดได้นะคะ การเคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น

นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้"

มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์

การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย

การขบคิดและสมาธิ ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้

ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ

การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย

การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้นอีกด้วยนะคะ

//new.meesook.com/


โดย: birdchicago วันที่: 23 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:34:31 น.  

 
เยี่ยมจังเลยค่ะ ไว้จะลองทำดูบ้าง


โดย: Invisible Angel วันที่: 23 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:41:16 น.  

 
แวะมาทักทายค้า.........


โดย: หิมะสีดำ วันที่: 25 พฤษภาคม 2550 เวลา:14:33:12 น.  

 
แวะมาทักทายครับ หมั่น ๆ หัฟ ๆ ๆ หน่อยนะครับจะแวะมาอ่าน


โดย: นภาการณ์ IP: 203.146.51.129 วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:17:13:39 น.  

 
อ่านแล้วก็เพลินเลยค่ะ ได้ความรู้เยอะเลย

เอ๋ แล้วเป็รเสียงดีเจที่ไหนเหนี่ยยยคะ

ขอบคุณที่ไปดูตึกด้วยกัน แต่วันนี้ชวนไปเที่ยว Central Park นะคะ



โดย: smo วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:19:27:44 น.  

 

ชอบข้อ 6 กับข้อ 9 ครับ

อ่านบ่อยๆ ชมบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ สัมผัสบ่อยๆ(ของดีๆ)

คิดบ่อยๆ พูดและเขียนบ่อยๆ ....สมองจะถูกพัฒนา เห็นด้วยเลย


โดย: yyswim วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:35:40 น.  

 
ซาหวัดดีวันจันทร์ครับ


โดย: ชายที่26 วันที่: 4 มิถุนายน 2550 เวลา:12:23:26 น.  

 
มีประโยชน์มากเลยอ่ะ ขอบคุณที่นำมาฝากค่ะ


โดย: เสียงซึง วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:10:42:28 น.  

 
เป็นโรคกระเพาะอยู่พอดี อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลย จะทำตามค่ะ


โดย: naporn วันที่: 18 พฤศจิกายน 2550 เวลา:21:47:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

birdchicago
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เราเชื่ออยู่ 5 ข้อ:

1. คนเรา...ทำงานไม่เกินอายุ 60 ปี (จงทำทุกอย่างที่อยากทำ)
2. คนเรา...ไม่ได้มีชีวิตอยู่เกิน 100 ปี (จงอย่ายึดติด ปล่อยวางบ้างก็ได้)
3. คนเรา...ฟ้าลิขิตมาแล้วจะให้เป็นอะไร จึงดลใจให้เรากำหนดตัวเองอย่างนั้น (อย่าดิ้นรนเกินตัว)
4. อะไร...ที่เป็นของของเรา ยังไงมันก็เป็นของเราอยู่วันยังคำ (อย่าทรมานตัวเองเพราะคำว่า "ไม่มี ไม่ได้")
5. ชีวิตยังมีอีกหลายด้าน (มามัวจมกับด้านเดียวซำๆทำไม)



เข้า Blog ครั้งสุดท้ายเมื่อ 21 มีนาคม 2552






Freedom Fog:



1.เปลี่ยนมุมมองดูบ้าง

2. ลองทำอะไรแปลกๆ

3. ลองทำสิ่งที่ไม่ถนัดบ้าง

4. สร้างสรรค์

5. อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ

6. กล้าคิดออกจากกรอบ

7. อย่าให้อุปสรรคใหญ่เกินตัวเรา

8. อย่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า









http://phenixx.bloggang.com


Yahhh!! Yahhh!! Yahhh!!








~!@#$%^&*(+~?......-/#฿@6.....YoO!...YoO! BC’s Live Radio 24 hrs
RIT Online
1 min of my favorite Russian piece
Joe (วง Pause): เติมใจให้กัน
. . . . . . . . . . . .












Hi, Wazzz uppp??... BC’s Hits!

<img src="http://i122.photobucket.com/albums/o269/birdchicago/OOO/Like.jpg">
Wow!....WoW!
Friends' blogs
[Add birdchicago's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.