ยังไงก็เป็นยังงั้น เรื่องขมๆ ของสังคมไม่ได้ดั่งใจ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2552 16:51 น.
ผลงานของ โหว จุน หมิง เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเด็นร้อนสุดๆของทุกยุคสมัย ยังไงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องตัณหาบ้าอำนาจ ซึ่งบางทีก็กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์อย่างน่าประหลาดใจ (หรือชินชา?) เมื่อมีใครสักคน หยิบยกประเด็นที่ว่าขึ้นมาป่าวร้องเข้าสักที ภาพที่คนเฮโลกันวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการเมืองกันอย่างเผ็ดร้อน ตั้งแต่นักวิชาการยันเด็กเลี้ยงควาย ก็จะเป็นกระแสอยู่พักหนึ่ง เดี๋ยวพอเริ่มเบื่อ ก็จะเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่น พระทุศีล ศีลธรรมเสื่อมโทรม กอสซิปดารา สังคมฟอนเฟะ ยังวนเวียนกลับมาให้เม้าท์กันมันปากได้เสมอ จบเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องหนึ่ง เสร็จแล้วก็ต่ออีกเรื่องหนึ่ง ไม่เคยเบื่อหน่าย เอ๊ะ! หรือว่าเบื่อหน่าย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร? สุดท้ายก็ปล่อยมันผ่านไป เดี๋ยวก็ลืม ว่าแล้วปุ๊บ วนกลับมาที่เดิม
พิชญา ปิยัสสพันธุ์ เกริ่นนำร่องก่อนพาเราเข้าสู่เนื้อหาของนิทรรศการ ยังไงก็เป็นยังงั้น-Always (as it was) นิทรรศการชุดล่าสุดบนพื้นที่ Tang Contemporary Art อาคารเดอะสีลม แกลเลอเรีย ระหว่างวันนี้ - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2552 ซึ่งเธอทำหน้าที่เป็นคิวเรเตอร์ในการคัดสรร ผลงานของ 4 ศิลปินไทยและจีน ที่ถูกเชื้อเชิญมาร่วมสร้างนิทรรศการครั้งนี้ประกอบไปด้วย วสันต์ สิทธิเขตต์, ชูศักดิ์ ศรีขวัญ,โหว จุน หมิง และ หวู เจี้ยน อัน ในผลงานหลายชุดที่ผ่านๆมาของวสันต์ เขาได้ใช้บทลงโทษอันรุนแรงต่างๆนานา จากความเชื่อเรื่องสวรรค์นรกตามคติชาวพุทธ มาลงโทษคนระยำตำบอนผ่านผืนผ้าใบมามาก และเช่นกันในผลงานชุดนี้ วสันต์ได้แสดงถึงมุมมองที่เห็นซึ้งยิ่งขึ้น สื่อออกมาเป็นภาพปริศนาธรรม สะท้อนถึงสภาพอันน่ารังเกียจของมิจฉาทิฐิของมนุษย์ ดังจะเป็นสัญลักษณ์ที่คอยเตือน มิให้เราถลำลงไปในบ่วงตัณหาจนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นอสุรกายเหล่านั้น
ผลงานของ วสันต์ สิทธิเขตต์ โหว จุน หมิง ก็เป็นศิลปินอีกคน ที่นิยมชมชอบการสะกิดแผลใจที่ใครๆไม่อยากมอง ผลงานภาพพิมพ์ชุดนี้ เขากล่าวถึงการแบ่งชนชั้นวรรณะ และความขัดแย้ง ในโลกที่บิดเบี้ยวของ โหว จุน หมิง ชายหญิงไม่ได้เป็นไปตามลิขิตอย่างที่ใครๆเชื่อว่าควรจะเป็น เพศชายและเพศหญิงนั้น เปรียบได้กับ ความเข้มแข็ง และ ความอ่อนแอ ,ผู้ปกครอง และ ผู้ถูกปกครอง หาได้เป็นเพียงร่างกายของมนุษย์ชายหญิงไม่ เขาสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เข้มแข็งและผู้อ่อนแอตกอยู่ในความสัมพันธ์เช่นนี้มาช้านาน ผู้เข้มแข็งกว่าย่อมจะได้เปรียบ และผู้อ่อนแอจะต้องทนทุกข์ หากแต่ตอนจบเพี้ยนๆที่ศิลปินเผยให้เห็นนั้น กลับเป็นผู้อ่อนแอ ที่มีความกล้าพอที่จะตั้งคำถาม เพราะไม่พอใจกับสถานภาพเช่นนี้อีกต่อไป และเมื่อมันฝืน กฎ นั้น ก็เหมือนดังผู้หญิงที่ตัดเอาลึงค์ของชายติดตัวมา เธอได้อำนาจจากลึงค์นั้น และสามารถอยู่เป็นไทแก่ตนได้ แต่ผู้ชายที่เสียอำนาจกลับแพ้พ่ายตายไป ผู้ที่อยู่รอดตัวจริง จึงมิใช่ชนชั้นปกครองอีกต่อไปแล้ว หวู เจี้ยน อัน ศิลปินผู้นิยมความคิดขบถจากแผ่นดินใหญ่ เขาได้หยิบยกเอาเรื่องราวในตำนานปรัมปรา รวมทั้งความเชื่อจากคำภีร์โบราณของจีน มาเป็นแรงบันดาลใจ ในผลงานที่แสดงออกถึงความโหดเหี้ยมและจิตอันวิปลาสของมนุษย์ ภาพของร่างไร้ศีรษะ มีลูกตางอกจากร่างกาย ในมือกำขวานไว้แน่น เป็นภาพของอสุรกายที่ติดตรึงประทับใจศิลปินมาตั้งแต่วัยเด็ก เช่นเดียวกันกับที่เด็กๆหลายๆคนต่างก็มีฮีโร่ในดวงใจ หากแต่ชายในภาพของเขา หาได้เป็นผู้ปราบอธรรมที่เก่งกาจแต่กลับเป็นบุรุษอันน่าเวทนานายหนึ่ง ซึ่งแม้เพียรที่จะขบถต่ออำนาจที่กดขี่คุกคาม ผลลัพท์ที่ออกมากลับตรงข้าม ฝ่ายอริกลับยิ่งทรงอำนาจฮึกเหิม จากการได้บั่นคอของเขา ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบของวีรบุรุษที่ต่ำต้อยรายนี้ มิได้มีอะไรมากไปกว่าการเสริมบารมีให้ศัตรู และได้รับการจารึกชื่อไว้ในบทกลอนปรัมปรา หรือนี่จะเป็นภาพสะท้อนของเหล่าศิลปินที่น่าสงสาร ซึ่งทุ่มเททำงานเพื่อการต่อต้านระบอบชั่วช้า แต่ผลลัพท์ที่ได้มา จะยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างงั้น...
ผลงานของ หวู เจี้ยน อัน ชูศักดิ์ ศรีขวัญ ท่าทางจะไปได้สวยกับการเล่นตลกเสียดสีนักการเมือง ไฮโซ ดารา และซูเปอร์สตาร์ฉาบฉวยทั้งหลาย เขาจับเรื่องชวนกลุ้มในสังคมมาทำเป็นเรื่องชวนหัวได้อย่างสนุกสนาน ตัวหนังตะลุงที่โลดแล่นไปในผลงานชิ้นแล้วชิ้นเล่า แรกๆก็ดูสนุกดี แต่นานๆเข้านี่สิ แม้ตัวละครจะเปลี่ยนไป แต่เนื้อหายังเหมือนเดิม อย่างกับวิชาประวัติศาสตร์ ที่มักจะวนมาซ้ำรอยเดิมเรื่อยไปยังไงยังงั้น มาถึงจุดนี้ ศิลปินหนุ่มคงสำเหนียกได้แล้วว่าความฟอนเฟะที่เขาจับมาเล่นตลกนั้น มันชักจะเริ่มไม่ขำเสียแล้ว เพราะจนแล้วจนรอด ยังไม่ค่อยมีใครรู้สึกหรือคิดจริงจัง พอที่จะไตร่ตรองถึงแก่นแท้ของปัญหา หรือคิดที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติเรื่องเน่าๆซ้ำซากนี้เอาเสียเลย ในผลงานชุดใหม่นี้ ชูศักดิ์จึงพัฒนาการสร้างสรรค์ผลงานของเขาสู่เส้นทางของพุทธศาสนามากขึ้น ไม่เพียงสะท้อนรูปร่างอันไม่น่าพิสมัยของบ่วงตัณหาที่กัดกินจิตใจมนุษย์ หากยังแฝงคติเตือนใจ และเปิดประตูสู่เส้นทางที่จะยกระดับสติ ให้อยู่สูงเหนือกระแสแห่งกิเลสอีกด้วย
ผลงานของ ชูศักดิ์ ศรีขวัญ ยังไงยังงั้น อาจเป็นคำตัดพ้อด้วยความหน่ายระอาใจ ด้วยใจคิดแข็งขืนแต่ไม่อาจฝืนต้านกระแส อาจจะเป็นการแสดงออกถึงความศิโรราบสดุดีต่อระบอบที่ถือปฏิบัติตามๆกันมา ไม่ว่าจะมีคนเคยพิสูจน์ว่ามันถูกควรหรือไม่ก็ตาม หรือจะเป็นเพียงวลีที่เอ่ยขึ้นลอยๆแล้วก็จากไป ปล่อยให้ สิ่งนั้น ยิ้มร่าอยู่เหนือหัวของเราอย่างที่มันเคยเป็น และจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป
Create Date : 24 มิถุนายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 24 มิถุนายน 2552 18:55:00 น. |
Counter : 2514 Pageviews. |
|
|
|