ชิดซ้ายเข้าไว้
ทริปนี้ใช้เวลา 2คืน3วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งไม่ได้วางแผนอะไรมากเพราะเคยอ่านในรีวิวของหลายๆคนแล้วบ่นกันระงมว่าเดินจนเมื่อยตุ้ม โดยเฉพาะคนที่ตั้งใจเที่ยวจนเกินเหตุ ประมาณว่าจะเก็บที่เที่ยวให้ได้เยอะที่สุด สุดท้ายก็ปวดขา ซึ่งผมมั่นใจว่าทริปนี้ต้องไม่ปวดขาเหมือนคนอื่นๆแน่นอน ตลอด 2 คืนที่สิงคโปร์ฝากชีวิตไว้ที่โรงแรม Holiday Inn Express ขนาดห้องกำลังดีอยู่ไม่ไกลจาก MRT
ที่นอนนุ่มๆ กับหมอนขนเป็ด 4 ใบ
พอจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ออกสำรวจย่าน Orchard ซึ่งเป็นย่านที่ใครต่อใครชอบมาช้อปปิ้งกัน ซึ่งมีห้างสรรพสินค้าเยอะแยะมากมายเรียงรายตลอดสองข้างถนนแต่สามารถเดินถึงกันได้ ไม่แปลกใจเลยที่คนเคยมาสิงค์โปร์ถึงบ่นเรื่องปวดขา
ทางลงสถานี MRT บริเวณห้าง ION
หลังจากเดินดูจนเมื่อย (อ๊ะ แต่ยังไม่ปวดขานะ) แล้วก็มาสะดุดตากับร้านไอศติมแบบรถเข็นซึ่งมีกระจายอยู่หน้าห้าง คนขายเป็นคนสูงวัย ไม่แน่ใจว่าเป็นคนชาติไหนหน้าตาเคร่งเครียดเชียว อาจจะเป็นเพราะลูกค้าเยอะด้วยมั้ง
อากาศอบอ้าว คนรอซื้อไอติมกันเต็มเลย
จากเมนูมีให้เลือกหลายรสมาก เลยประเดิมด้วยไอติมทุเรียน1ชิ้นด้วยราคา1เหรียญสิงคโปร์ก็ราวๆ 25บาทไทย ไอติมอร่อยมากไม่รู้ว่าเพราะความหิวหรือเปล่าแต่ขนมปังที่ประกบมาออกจะสากๆไปนิดแต่ก็ถือว่าโอเค ใครไปเที่ยวลองแวะชิมดูได้เพราะตลอดทริปนี้จัดไปถึง3อันเลยทีเดียว
ชอบรสไหนเลือกได้เลย
พอพักจนหายเมื่อยแล้วออกเดินทางต่อโดยใช้ MRT ซึ่งเป็นยานพาหนะที่สะดวกที่สุดและประหยัดเวลาที่สุดมุ่งหน้าไปย่าน Marina Bay ซึ่งทางออกหรือสถานีของ MRT ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า และที่นี่ก็เช่นกันพอเดินมาเรื่อยๆจนออกประตูห้างก็พบกับที่นั่งริมอ่างเก็บน้ำ (Marina Barrage) ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถชมการแสดงน้ำพุได้ ซึ่งจะมีแสดงเป็นรอบๆระหว่างที่รอก็ได้เพื่อนใหม่เป็นชาวมาเลย์เซียซึ่งเขามาทำงานในสิงค์โปร์ แต่ชอบมานั่งมุมนี้บ่อยๆเพราะรักการถ่ายรูป และคนนี้นี่เองที่ให้ข้อมูลใหม่เรื่องการสูบบุหรี่ที่สิงค์โปร์ คือ ปัจจุบันไม่สามารถนำบุหรี่เข้าประเทศสิงคโปร์ได้แม้แต่ซองเดียวซึ่งแกบอกว่าเป็นกฎหมายใหม่เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้(ใครจะไปสิงคโปร์ก็เช็คข้อเท็จจริงอีกทีนะครับ)
การแสดงผ่านม่านน้ำ
หลังจากคุยกันสักพักก็ได้ดูการแสดงน้ำพุก็ถือว่าตื่นตาตื่นใจดี หลังจากดูจบแล้วเพื่อนใหม่ก็อาสาพาไปส่งที่บริเวณจุดชมวิวของ Garden by The Bay แล้วก็ขอตัวกลับเพราะตอนนั้นเกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว ผมเดินไปตามป้ายบอกทางจนถึงจุดที่สามารถมองเห็นวิวของสวนพฤกษศาสตร์ซึ่งบอกตรงๆว่าสวยงามมากๆ
สวนพฤกษศาสตร์ยามราตรี
ขอแนะนำให้มาช่วงพระอาทิตย์ตกดินเพื่อจะได้ดูแสงไฟมันเป็นงานออกแบบที่ลงตัวมากๆ ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง AVATAR เลยทีเดียว หลังจากเก็บภาพได้แล้วฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่มก็ไม่ได้เอามา เลยต้องหอบกล้องวิ่งหาที่หลบฝน ระหว่างรอฝนหยุดก็เดินเล่นในห้าง จนฝนซาเลยเดินออกมานอกห้าง เอ๊ะ คนมุงดูอะไรกันนะ อ่ะเข้าไปมุงกับเขาบ้างตามประสาไทยมุง
บ่อน้ำหน้าห้าง ตื่นตากับน้ำวน
อ๋อ ที่แท้ก็เป็นบ่อน้ำซึ่งจะมีน้ำหมุนให้ดูแบบเพลินๆ เก็บภาพสักหน่อยแล้วก็เดินไปสะพานเฮลิกซ์ซึ่งต้องผ่านพิพิธภัณฑ์ศาสตร์และศิลป์ (Art Science Museum) กว่าจะได้ภาพนี้มาต้องรอนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินพ้นเฟลม ซึ่งนานพอควร เพราะเราดันอยู่ในมุมเล็กๆเลยไม่มีใครเห็น
Art Science Museum
พอได้ภาพแล้วก็เดินไป The Helix ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมต่อของอ่าว Marina กับ Marina Bay Sand การออกแบบดูอาร์ตดี ใครมาเที่ยวไม่น่าพลาดมุมนี้
The Helix
จากนั้นก็เดินต่อจนสุดสะพานก็แล้วเลียบไปตามทางเดิมริมน้ำ รู้สึกประทับใจและชื่นชมคนที่วางผังเมืองจริงๆ เพราะไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็สวยไปหมด
แสงสีดึงดูดนักท่องเที่ยว
แสงไฟที่นำมาใช้ตามสถานที่รอบๆอ่าว ถือว่าโอเคมากๆ เดินไปมองบรรยากาศรอบๆไป ชิลล์มากๆ
วิวดีๆระหว่างไปหา Merlion
ระหว่างที่เดินไปก็มีนักท่องเที่ยวชาติต่างๆรวมทั้งคนไทยเดินอยู่ด้วยแต่เขามากันเป็นคู่ส่วนผมเดินคนเดียวแต่ไม่เหงานะ และแล้วก็เดินมาถึง Merlion...
สิงโตพ่นน้ำท่ามกลางแสงสี
พอมองย้อนกลับไปในที่ที่เดินมาโอ้โห...นี่เราเดินมากี่กิโลเนี่ยมันไกลมาก แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยมีแค่ปวดหลังนิดหน่อยแค่นั้นเอง พอเก็บภาพเสร็จก็กลับที่พักขอบอกว่าพอถึงสถานี Orchard แทบจะก้าวเท้าออกจาก MRTไม่ได้เลยมันล้าไปหมด ...กรรม...นี่เราเผชิญปัญหาเดียวกับคนอื่นๆที่เคยมาสิงคโปร์ซะแล้ว แต่เราจะยอมแพ้ไม่ได้เพราะใกล้จะเที่ยงคืนแล้วเลยลากสังขารออกมาโผล่ที่ห้าง ION ซึ่งกำลังมีการตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสและแสงไฟ
หน้าห้าง ION
โชคดีมากเพราะช่วงที่ไปมีการตกแต่งแสงไฟบนถนนและหน้าห้างแล้ว กับเทศกาล Christmas on A Great Street ซึ่งจะมีแสงไฟตกแต่งไปจนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เลยทีเดียว
ต้นคริสต์มาสหน้าห้าง ION
หลังจากเดินมาสักพักก็ถึงโรงแรม โอ้สวรรค์รำไร เปิดแอร์เย็นฉ่ำอาบน้ำอุ่นให้ผ่อนคลายแล้วจิบไวน์...เอ้ย!!!ไม่มีไวน์ ...จิบน้ำเปล่านี่แหละแล้วก็นอนหลับยาวจนถึงเช้าก็ชิลล์ๆ กลิ้งไปกลิ้งมา เปิดทีวีดูมีหนังสิงคโปร์ซึ่งเป็นหนังผีแต่สู้ผีไทยไม่ได้เลย จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวลงไปกินมื้อเช้า ให้ตายเถอะโรโบ้ นี่เรามาช้าเพราะลืมตั้งนาฬิกาหรือนี่ ซึ่งสิงคโปร์จะเร็วกว่าเมืองไทย1ชั่วโมงอาหารเหลืออยู่ก้นหม้อส่วนเครื่องดื่มยังพอมี
ส่วนหนึ่งอาหารเช้า
จริงๆแล้วอาหารมีหลายอย่างให้เลือกตักแต่ลงมาช้าไง สมน้ำหน้าตัวเอง เลยจัดผลไม้กับผัดหมี่ฮ่องกงมากินแบบรีบๆ เพราะบริกรเริ่มจะเก็บโต๊ะแล้ว
เส้นนุ่มๆของบะหมี่ฮ่องกง
เสร็จแล้วก็ออกไปใช้เน็ตส่งเมล์ถึงเพื่อนซะหน่อย (ทริปนี้ไม่ได้เปิดเบอร์ ไม่ได้ใช้โรมมิ่ง) ก็ต้องอาศัยของโรงแรมนี่แหละสะดวกดี
มุมอินเทอร์เน็ต
แล้วมุ่งหน้าไป ChinatownโดยMRTอีกเช่นเคย พอขึ้นมาจากใต้ดินก็พบกับบรรยากาศของร้านค้าร้านของฝากเต็มสองข้างทาง
บรรยากาศย่าน Chinatown
ก็เดินมันไปเรื่อยไม่ได้มีจุดหมาย อารมณ์เดียวกับใหม่เจริญปุระนั่นแหละ เดินเรื่อยเปื่อย ไม่มีจุดประสงค์ เอ้ย!!! จุดหมาย แหม่...ไม่ฮาพาเครียด คนรุ่นหลังน่าจะไม่รู้จักเอาเป็นว่าเดินดูไปเรื่อยก็ไปพบกับ วัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman Temple) อย่างที่ตั้งชื่อรีวิวเลย ว่า "สะเปะสะปะ" แล้วเราก็เดินเข้าไปในวัด แต่ดันเป็นด้านข้างเลยได้จ๊ะเอ๋กับคนสามสี่คน กำลังทำพิธีอะไรสักอย่างเลยปรี่เข้าไปถ่ายรูปซะงั้น
ผิดคิวไปหน่อย
แต่เอ๊ะ...พอสังเกตดีๆอ้าวนี่เขากำลังทำพิธีแต่งงานนี่หว่า...กรรม...ถึงว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวมองหน้ากันไอ้นี่โผล่มายังไงเราเลยรีบเฝดตัวออกไปอีกด้าน เพื่อเก็บภาพในวัด
บรรยากาศภายใน Sri Mariamman Temple
พอได้แล้วก็ออกไปทางเดิม ซึ่งจริงๆแล้วต้องถอดรองเท้าด้วยแต่เรามาทางด้านข้างเลยไม่ทันได้รู้ว่าต้องถอดดีนะที่ไม่มีปัญหาอะไรจากนั้นก็เดินลัดเลาะต่อไปเจอกับ Buddha Tooth Relic Temple & Museum ก็เข้าไปไหว้แล้วก็ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เข้าห้องน้ำที่นี่แหละเพราะที่อื่นดูท่าจะหายาก
Buddha Tooth Relic Temple & Museum
จากนั้นก็เดินออกมาลัดซอยนู้นโผล่ซอยนี้ เจอร้านขนมแบบท้องถิ่นไปนั่งเล็งๆอยู่พักใหญ่ เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครมารับออร์เดอร์ พอชะโงกหน้าเข้าไปดู โอ้โหคนเต็มเลย
เมนูขนมท้องถิ่น
งานนี้เลยอดลองของท้องถิ่น แล้วก็เดินต่อ(เดินตลอดทริปเลยใครจะมาก็ควรหารองเท้าที่ใส่สบายเท้ามานะครับ) จนกระทั่งเดินมาสุดถนนก็เจอกับ...ตลาดมืด...ไม่มั้ง ตลาดของมือสองละกันซึ่งตอนไปถึงตลาดเบียร์แล้ว เอ้ย ตลาดวายแล้วเพราะเหลืออยู่ไม่กี่ร้าน
ของมือสอง
แล้วก็ถ่ายรูปมาฝากกันมีทั้งของใช้ เครื่องประดับของตกแต่ง แต่ที่ประหลาดใจมากก็คือพระเครื่อง โอ้แม่เจ้า เขาฮิตกันที่นี่ด้วยหรือเนี่ยยืนดูอยู่พักใหญ่ก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง
ส่องพระกันด้วย
แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามถนนและแล้วผู้โชคดีก็เดินผ่านมา Excuse me , Where is The Red Dot Design Centre? แล้วสาวหมวยผู้โชคดีก็ตอบว่า กำลังจะไปแถวนั้นพอดี ว่าแล้วเธอก็เอาร่มที่ถือบังแดดให้กับตัวเองมากางให้ผม เราเดินไปด้วยกันอย่างโรแมนติก เง้อ!!! นึกในใจว่านี่เราโชคดีจริงๆเมื่อวานได้เพื่อนใหม่ชาวมาเลย์เซียวันนี้ได้เพื่อนใหม่ชาวจีนซึ่งเธอเป็นนักศึกษาที่เพิ่งมาอยู่สิงคโปร์ได้6เดือนเอง สาวหมวยพาเดินลัดเลาะไปตามซอกตึกจนกระทั่งพบกับ Red Dot Design Centre
The Red Dot Design Centre
ซึ่งเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ผมตั้งใจว่าต้องมาเยือนให้ได้ ผมรีบขอบคุณและเดินจากมาโดยไม่ทันได้แลกเบอร์(หืม!!!เขาจะอยากได้หรา???) เอาเป็นว่าเรามาถึงที่หมายด้วยน้ำใจของสาวจีนผู้น่ารัก "ระหว่างทางเป็นสิ่งสวยงามและน่าจดจำจริงๆ" ... ผมเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ด้วยความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้แลกเบอร์กับเพื่อนใหม่เพราะเธอบอกว่าชอบประเทศเทศไทยและจะต้องมาเที่ยวให้ได้เพราะเมืองไทยทะเลสวยอากาศทางเหนือดีนี่แสดงว่าชอบจริงถึงรู้รายละเอียดเอาน่าถ้าบุญพาเราคงได้ป๊ะกันแหมที่เจียงใหม่เจ้า..เลอะเทอะละ มาดูกันว่าภายในพิพิธภัณฑ์ มีอะไรบ้าง
ตุ๊กตาโคมไฟบริเวณทางเข้า
ตรงทางเข้าจะมีตุ๊กตาโคมไฟคอยต้อนรับจังหวะที่ชื่นชมอยู่นั้นฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักเลยตัดสินใจเข้าไปด้านในด้วยราคา 8 เหรียญ ภายในเป็นที่แสดงสินค้าและผลงานที่ได้รับรางวัลซึ่งมีทั้งของใช้
ส่วนหนึ่งของงานดีไซน์ภายในพิพิธภัณฑ์
งานออกแบบ สื่อสิ่งพิมพ์ ภาพถ่าย ผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ล เรียกว่าเป็นแหล่งรวมผลงานออกแบบที่สุดยอดทั้งนั้น
ภาพถ่ายสวยๆทั้งนั้น
แต่ด้านในไม่ได้กว้างมากมาย ผมถามจากเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าซึ่งเป็นหญิงชาวอินเดียบอกว่า มีแค่ในส่วนนี้เท่านั้นพร้อมกับบอกเป็นนัยๆว่าฉันมีอย่างอื่นให้เธอดูนะนี่นี่ รอยยิ้มฉันนี่ไง ...ว่าแล้วเธอก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ดู 1ที หลังจากนั้นผมก็เดินออกมาดูสินค้าซึ่งเป็นงานดีไซน์ ร้านจะอยู่หน้าทางเข้าพิพิธภณฑ์เลย
ร้านขายของหน้าพิพิธภัณฑ์
แต่ดูจากราคาคิดว่าคงบวกค่าไอเดียไปด้วยแล้วเพราะราคาสูงอยู่ติ๊สนึงพอเดินดูจนฝนหยุดตกก็เดินทางกลับโรงแรมวันนี้รู้สึกเพลียๆกลับไปนอนพักดีกว่า
จนกระทั่งตื่นมาอีกทีหกโมงเย็นชักจะหิวเลยออกไปหาอะไรกินก็ได้ฟาสฟู้ดแบรนด์ป๊อปอายในห้าง ION ช่วยชีวิตไว้ซึ่งขอบอกว่ามันบดอร่อยมากๆ ไก่จะออกเผ็ดนิดๆ โดยรวมชอบมันบดที่สุด มัวแต่กินเพลินไม่ได้ถ่ายรูปเลยหลังจากนั้นก็ออกมาห้างฝั่งตรงข้ามชื่อ TANG
TANG PLAZA
ซึ่งที่นี่มีของทั่วไปให้ช็อปปิ้งแต่เห็นเขาฮือฮาอะไรกันเลยตามๆกันไปจนได้เจอ เขาจัดงานพิธีเปิด Christmas on A Great Street โดยมีประธานาธิบดี Tony Tan Keng Yam มาเปิดงานถึงว่าสิคนมากันเต็มเลยเราเลยเนียนๆไปกับชาวสิงคโปร์ด้วย
บุคคลสำคัญของประเทศสิงคโปร์
หลังจากนั้นก็ออกมาถ่ายไฟบนถนน Orchard ซึ่งตอนนั้นรู้สึกง่วงนิดๆ เลยถ่ายไปได้ 3- 4 รูปก็เดินกลับโรงแรม
แสงสีบนถนน Orchard
แต่ทันใดนั้นสายตาก็ไปป๊ะกับไอศกรีมยี่ห้อ YoGuru ซึ่งสามารถเลือกท็อปปิ้งได้และจ่ายเพิ่มตามจำนวนท็อปปิ้ง
เติมความสดชื่อนกันหน่อย
เลยจัดมา 1ถ้วย ราคาอยู่ที่ 4 เหรียญ ตกราวๆ 100บาทไทย ซึ่งรสชาติจะคล้ายกับ Red Mango มากๆ ถือว่าอร่อยดีนะช่วยให้สดชื่นอารมณ์ดีขึ้นมาเลย พอกินเสร็จสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านในหลืบซึ่งเป็นร้านเล็กๆอยู่ชั้นใต้ดินแต่ทางเข้าอยู่ด้านบน ชื่อร้านคือ Dirty อะไรสักอย่าง เป็นร้านขายของเกี่ยวกับ SexToy เลยโฉบเข้าไปดูซะหน่อย เปิดหูเปิดตาบ้างอะไรบ้างตามประสาคนอ่อนต่อโลก ข้างในห้ามถ่ายรูปนะครับของด้านในมีทั้ง...อ๊ะๆ...ไม่บอกดีกว่าให้มาดูกันเอง อิอิและแล้วก็เดินขึ้นมาแบบงงๆ นี่เราเข้าไปทำอะไรแล้วก็เดินไปเจอร้านขายช็อกโกแลตของกินเล่น ของฝาก ใครจะซื้อฝากเพื่อนๆ ก็จัดที่ร้านนี้ได้เลย จากนั้นก็เดินกลับมาถ่ายรูปที่หน้าห้าง PARAGON ซึ่งแต่งได้สวยดี
บรรยากาศหน้าห้าง PARAGON
พอถ่ายรูปเสร็จก็กลับไปอาบน้ำนอน และแล้ววันสุดท้ายก็มาถึง ตื่นขึ้นมาพร้อมกับฟ้าใสๆออกจากโรงแรมเกือบเที่ยงตั้งใจจะไป Sentosa โดยCheck-Out ซะก่อน แล้วฝากกระเป๋าไว้
ฟ้าใสๆ เมื่อมองจากห้องพัก
แต่พออยู่บน MRT ดันอยากกลับไปที่ Chinatown อีกครั้งเพราะอยากไปหาไรกินแต่สุดท้ายก็ได้แค่ภาพทุเรียนเละๆมาคนสิงคโปร์ทำไมฮาร์ดคอร์ขนาดนี้สุกขนาดนี้มันเกินไปนะ
ทุเรียนที่สิงคโปร์
และแล้วด้วยความที่กลัวว่าจะไปสนามบินไม่ทันจึงรีบกลับเข้าMRT แล้วมุ่งหน้าไปSentosa แน่ะ...นี่ขนาดกลัวตกเครื่องนะเอาน่าแค่ไปเห็นป้ายก็ยังดีและแล้วก็มาถึงห้างวีโอซิตี้ ซึ่งสถานีรถไฟ Sentosa Express ที่จะมุ่งหน้าไปเกาะ Sentosa อยู่บนชั้น 3 ของห้างแห่งนี้แต่ไม่เสี่ยงข้ามไปดีกว่าเดี๋ยวตกเครื่อง และแล้วก็เก็บภาพมาฝากซึ่งบนห้างนี้มี Food Republic ด้วยและสามารถมองเห็นป้ายของ Sentosa จากบนห้าง
เกาะ Sentosa
ที่ชอบอีกอย่างของห้างแห่งนี้คือ มีบ่อน้ำไม่รู้ว่าไว้ทำอะไรแต่เห็นคนถอดรองเท้าแช่เท้ากัน เด็กๆบางคนก็สนุกกับการเล่นน้ำ จริงๆก็อยากลองแช่ดูแต่คิดไปคิดมา กลับดีกว่า
เดินมากเมื่อย หย่อนขาแช่น้ำดีกว่า
และแล้วก็มุ่งหน้ากลับโรงแรมไปเอาสัมภาระแล้วไปสนามบินแบบมีเวลาเหลือพอที่จะเดินถ่ายรูปและช็อปสินค้าใน Duty Free ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ช็อปปิ้งก่อนขึ้นเครื่องกลับ
ก็เป็นทริปชิลล์ๆ รีวิวอาจดูลวกๆไปหน่อย คิดซะว่า เล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ ใครอยากไปเที่ยวดูไฟสวยๆ ที่สิงคโปร์ แวะไปย่าน Orchard ด้วยรับรองได้ภาพเจ๋งๆกลับมาแน่นอน แต่ขอสารภาพเลย ขนาดไปไม่กี่ที่ "ปวดเท้ามากๆ" ยังไงก็ขอให้ทุกคนโชคดีกับปีใหม่นี้นะครับ