พฤศจิกายน 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
15
16
18
19
20
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
You're my Idol ขอเพ้อรักแค่..หมดใจ Chapter 2

Chapter 2

5 ชั่วโมงผ่านไป...ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อมีพนักงานต้อนรับสาวสวยสะกิดให้รู้สึกตัว ตามัวพร่าเบลอพยายามปรับโฟกัสให้คงที่


“ถึงแล้วค่ะ”ฉันเหลียวมองดูรอบตัวไม่หลงเหลือผู้ใดบนเครื่องบินที่จอดนิ่งอยู่บนพื้นดิน ฉันพยายามหันซ้ายแลขวาไม่มีใครซักคน รวมทั้งไนท์กี้เขาหายตัวไปแล้ว ‘โดนทิ้ง’ คือสิ่งที่คิดออกเวลานี้ฉันรีบเดินตามพนักงานต้อนรับออกจากเครื่องบินไปยังอาคารรับรองผู้โดยสารด้วยใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ


“เอ่อ ขอโทษนะคะ คนที่นั่งมาข้างๆฉันเขาไปไหนแล้วคะ” ฉันยกมือสะกิดพนักงานสาวเพื่อถามหาเพื่อนร่วมทางที่บังคับขู่เข็ญให้เดินทางมาจากประเทศไทย


“น่าจะอยู่แถวนี้นะคะคุณน้อง พอดีเขาเมาเครื่องบินน่ะค่ะ”พนักงานสาวตอบกลับและหันมองช่วยหาบุคคลที่ฉันต้องการเจอร่วมด้วยอีกสองตาจะทำยังไงดีถ้าหาเขาไม่เจอ ที่นี่มีแต่ผู้คนแปลกหน้า พูดภาษาที่ไม่เข้าใจ แล้วจะหาหนทางกลับบ้านยังไงใจเริ่มหวั่นไหวรู้สึกเหมือนเป็นเด็กหลงมองหาผู้ปกครองเพื่อเดินทางกลับบ้าน


“ยัยบ้า ตื่นแล้วเหรอ”เสียงห้าวคุ้นเคยดังจากด้านหลัง มือตบลงมาที่บ่าฉันเบาๆ เมื่อเหลียวกลับไปมองเห็นไนท์กี้ยืนยิ้มน้อยๆโดยมีพนักงานต้อนรับยืนอยู่ข้างๆ


“เจอคนที่ตามหาแล้วนะคะดิฉันขอตัวค่ะ” ฉันพยักหน้าให้พนักงานสาวที่ส่งยิ้มหวานก่อนเดินเลี่ยงไปทางอื่น สายตามองไปยังคนตรงหน้าเกิดความตื้นตันใจ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาจนขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นหน้าเขาฉันก้าวเท้ายาวยื่นมือกอดเอวไว้แน่นราวกับว่าเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตา


“เฮ้!!เธอเป็นอะไรไป กอดฉันทำไม” ไนท์กี้พยายามดึงมือที่กอดเกี่ยวเอวเขาไว้ออกจนสำเร็จฉันคลายวงแขนแล้วดึงชายเสื้อเขาไว้แทน สายตามองตรงไปยังใบหน้าใสๆ แล้วยิ้มอย่างสบายใจ


“นี่นายเป็นอะไรทำไมหน้าซีด”รอยยิ้มของฉันหุบลง เมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวจนเหมือนเลือดหายไปจากร่างกายไนท์กี้


“ฉันเมาเครื่องบิน อยากอ้วก”ไนท์กี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ สีหน้าอิดโรย เริ่มเดินเซไปเซมา ฉันรีบยื่นมือประคองตัวเขาไว้แล้วพาเดินไปนั่งยังเก้าอี้รับรองผู้โดยสาร


สาวหล่อเอียงศรีษะลงมาวางพาดบนไหล่แล้วไหลตัวพิงฉันไว้หลับตาอยู่อย่างนั้น ฉันพยายามบีบมือให้เขาไล่อาการเมาเครื่องบินอยู่พักใหญ่


“...”


“ฉันดีขึ้นแล้ว ไปขึ้นรถกันเถอะอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว”ไนท์กี้ลุกยืนเต็มความสูงแล้วกุมมือฉันไว้ ประคองร่างกายตัวเองเดินไปอย่างช้าๆโดยมีฉันช่วยพยุงไปอีกแรงจนเราขึ้นไปนั่งยังรถแท็กซี่เป็นที่เรียบร้อย


ไนท์กี้บอกเส้นทางและสถานที่ให้กับคนขับแท็กซี่เป็นภาษาเกาหลีซึ่งฉันฟังไม่ออกว่าเขาคุยอะไรกันแต่เท่าที่เหลือบมองทางกระจกส่องหลังคนขับรถแท็กซี่หน้าตาน่ากลัวมากเขาพยักหน้ารับคำพูดไนท์กี้แล้วเหล่มองฉันจากกระจกส่องหลังส่งยิ้มให้จนตาปิดเหลือเส้นเดียวไนท์กี้นั่งพิงร่างกายฉันแล้วหลับตาเอียงศรีษะซบลงมาบนไหล่บอบบาง ฉันพยายามหลบสายตาคนขับรถแท็กซี่ที่ลอบมองพวกเราสองคนจากกระจกส่องหลังออกไปนอกหน้าต่าง


บรรยากาศข้างทางดูสบายตา มีป้ายเขียนเป็นภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษกำกับไว้ฉันพออ่านได้ว่านี่คือกรุงโซลประเทศเกาหลี เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่น่าอยู่จากสภาพที่เห็นในช่วงกลางวันการจราจรดูโล่งไม่แออัดเหมือนประเทศไทย สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสูงเรียงรายต่อๆกัน ลักษณะคล้ายกับย่านธุรกิจใหญ่ของกรุงเทพฯ อย่างสีลม สุขุมวิท ก็ว่าได้รถแล่นมาเรื่อยๆ จนชะลอจอดสนิทที่หน้าตึกหรูสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง ไนท์กี้บอกให้ฉันลงจากรถเมื่อเขาจ่ายเงินเรียบร้อยเขาจูงมือฉันลากเข้าไปยังตึกสูงแห่งนี้ ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังนอนสลบไสลอยู่บนบ่ายังกับคนจะตาย ฉันได้แต่ค่อนแคะในใจระหว่างที่เราอยู่ในลิฟต์


“ที่นี่ที่ไหนเหรอ”ฉันถามคนข้างๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะดูเขาคงไม่อยากยุ่งกับฉันซักเท่าไร


“บ้านฉัน” ฉันหันไปมองหน้าเขาเมื่อเขาหันมามองสบตาฉัน


“...”


“เขาเรียกอพาร์เม้นต์คนที่นี่เขาไม่นิยมอยู่บ้านเป็นหลังๆ กันหรอกนะ”ฉันพยักหน้าทำความเข้าใจว่าตึกสูงหรูหรายังกับโรงแรมห้าดาวที่นี่เขาเรียกอพาร์เม้นต์ถ้าเป็นเมืองไทยอพาร์เม้นต์ที่พวกนักศึกษาเช่าอยู่มันซ่อมซ่อมากกว่านี้หลายร้อยเท่า


เมื่อลิฟต์หยุดสนิทประตูเปิดออก..สองเท้าของไนท์กี้ที่ก้าวยาวๆ และมือแข็งแรงคว้าแขนฉันลากออกมาจากลิฟต์จนตัวปลิว เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง


ก๊อก ก๊อก..


“ฮีซอล ไนท์กี้เคาะประตูเรียกใครซักคนที่อยู่ด้านในห้องนี้ให้เปิดประตู


เปิดตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับชายร่างสูงแต่หน้าสวยผมดำแซกข้างยาวระดับบ่า ตาคมโต จมูกโด่ง ปากแดง ผิวขาว เลิศเลอเพอร์เฟคสายตาดูอมทุกข์ พูดคุยกับไนท์กี้เป็นภาษาเกาหลีซึ่งฉันฟังไม่รู้เรื่องอีกตามเคย ซักพักร่างกายฉันก็ถูกไนท์กี้ดึงเข้าไปในห้องด้วยความงุนงงสาวหล่อดันฉันให้นั่งลงยังโซฟาเหมือนเป็นตุ๊กตาไม่มีชีวิต แล้วไนท์กี้ก็หันไปสนทนาต่อกับชายสวยเริ่ดจนเขาหันมามองฉันแล้วยิ้มออกมาทำให้ใบหน้าอมทุกข์คลายความเศร้าหมองลงไปบ้างเขาหันมาพูดภาษาเกาหลีกับฉันและหัวเราะขำกลิ้งที่เห็นฉันได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อทำหน้าเอ๋อใส่


“พูดภาษาไทยซิ ฮีชอล ยัยนี่ยืนทื่อเป็นลิงแล้ว” ไนท์กี้เอ่ยทักชายร่างสูงหน้าสวย


“สวัสดี ฉันคิมฮีชอล” มือเรียวยาวถูกส่งตรงมายังเบื้องหน้าเพื่อทักทายฉันยื่นมือไปสัมผัสมือนุ่มของเขาแล้วสะบัดเล็กน้อยก่อนปล่อยออกจากกัน


“ฉันอบเชยค่ะ” คำกล่าวทักทายกลับแบบเก้ๆกังๆ


“ชื่อเชยมาก เชยเหมือนหน้าตา”ฮีชอลทำท่าคิดอยู่นาน ตามองสูงไปบนเพดานห้องเอามือจับคางตัวเองแสดงท่าทางครุ่นคิดกับอะไรบางอย่าง


“ไอยู.. ถ้าเธออยู่ที่นี่เธอต้องใช้ชื่อที่ฉันตั้งให้” มาถึงฉันก็โดนบังคับขู่เข็ญให้เปลี่ยนชื่อใหม่เอาดื้อๆ


“ห้ามขัดใจนะ ไม่งั้นเธออาจตายได้”ไนท์กี้เอียงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู ฉันเหลือบมองฮีชอลด้วยความรู้สึกกลัวเจ๊แกขึ้นมาจับใจฮีชอลหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจก่อนที่จะหันกลับไปหาแมวที่นอนอยู่บนโซฟา


“ฮีบอมมี่” แล้วหน้าสวยเริ่ดก็หนุนเกลี่ยขนเกลี้ยงสีเทาไปมา


“ทำไมพวกคุณถึงพูดภาษาไทยได้ล่ะคะ”ฉันตั้งคำถามที่สงสัยมาตลอดการเดินทาง แต่ไม่กล้าเปิดปากคุยกับไนท์กี้ที่ทำท่าจะกินเลือดกินเนื้อตั้งแต่เจอกัน


“พวกเราเรียนหลายภาษาหน่ะ เพราะต้องเดินทางไปหลายประเทศก็เลยเรียนมันทุกภาษานั้นล่ะอาจจะไม่ค่อยคล่องแต่ก็พอพูดคุยและฟังรู้เรื่อง แต่เขียนไม่เป็น โฮ๊ะๆ”ฮีชอลหัวเราะเฉกเช่นราชินีในนิยาย


“เธอพักอยู่นี่กับฮีชอลก่อนแล้วกันเดี๋ยวฉันขอไปเคลียร์ปัญหาแล้วจะกลับมารับ” ไนท์กี้หันมาสบตาฉันชั่วพริบตาก่อนทำนิ่งเฉย


“อยู่เป็นเพื่อนฉันที่นี่ล่ะไม่ต้องกลับแล้วเมืองทงเมืองไทย ฉันกำลังอยากมีเพื่อนคุย” ฮีชอลปล่อยแมวน้อยวางลงบนโซฟาแล้วเดินมากอดร่างบอบบางของฉันไว้แน่น


“ฮีชอลมากไปแล้ว ไม่ต้องกอดขอร้อง” ไนท์กี้ก้าวยาว ดึงมือที่โอบรอบเอวฉันออกอย่างรวดเร็ว


“ทำเป็นหวงไปได้ แกก็มียัยมีอาร์อยู่แล้วทั้งคนจะมาหวงอะไรไอยูอีกล่ะ”ไนท์กี้ถอนใจหนักหน่วงมองมาที่ฉันก่อนจะย่างกายเดินออกจากห้องไปคล้ายโดนขัดใจ


“...”


“ป่ะ เราไปทำความรู้จักกันดีกว่า”ฮีชอลพาเดินไปนั่งคุยยังโซฟากลางห้อง เขาพูดคุยหลายๆ เรื่องให้ฉันฟังอย่างเพลิดเพลินเขาทำให้ฉันลืมสภาพแวดล้อมรอบตัวหมดสิ้นเหมือนกำลังนั่งดูละครชีวิตยังไงยังงั้นความรักของฮีชอลไม่ซับซ้อนเป็นอะไรที่เรียบง่ายธรรมดาแต่มีทุกรสชาติและตอนนี้จบแบบดราม่ายังไม่มีตอนต่อไปฮีชอลกำลังอกหัก ผิดหวังจากคนรักที่รักกันมากมาย..


เมื่อห้าปีที่แล้ว‘คิม ฮีชอล’ เป็นคนดังไม่ต่างจากไนท์กี้ในเวลานี้หรืออาจจะดังกว่าเพราะเขามีผลงานเบื้องหน้าทั้งละคร นักร้อง นาย/นางแบบ ถ่ายมิวสิค งานไหนติดต่อเข้ามาเขารับหมดทุกงาน ฮีชอลเป็นผู้ชายหน้าสวยเลิศเลอ เฟอร์เฟค ออกแนวเซ็กซี่ งานที่เขาได้รับส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งเป็นสาวสวยด้วยลักษณะนิสัยที่เหมือนผู้หญิงผิวพรรณดีขาวเนียน บรรดาแฟนคลับเลยให้ฉายาว่า ‘ดาราแห่งจักรวาล’ หรือ ‘คิมฮีชอลผิวขาวราวน้ำนม’ เมื่อถึงเวลาแต่งตัวที่ต้องออกงานแสดงเขาจะแต่งตัวแบบสุดฤทธิ์สุดเดชแหวกแนวชาวบ้านสุดขั้วทั้งกรีดอายไลน์เนอร์จนตาคมกริบ โบ๊ะหน้าจนขาวผ่อง คิ้วโก่งดำเส้นเล็ก ปากแดงสดดูสวยเริ่ดกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก เพียบพร้อมขนาดนี้ มีเหรอที่จะไม่มีคนสนใจ


“คิม ฮีชอล นี่คือบอดี้การ์ดคนใหม่ฮันเกิง” ผู้จัดการส่วนตัวแนะนำชายร่างสูงในชุดสูทสีขาวสวมแว่นตาดำมีผมสีน้ำตาลทรงสไลด์เปิดหูยาวระดับต้นคอผมข้างหน้าปัดเป๋ไปด้านข้างเล็กน้อยเซตให้เป็นทรงตั้งนิดหน่อยเข้ากับหน้าเรียวเล็กจมูกโด่งเป็นสัน ปากบนบางได้รูปน่าจูบ


‘ฮันเกิง’ เป็นหนุ่มชาวจีนเดินทางมาทำงานที่เกาหลี ทุกปีต้องกลับไปต่อวีซ่าด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าวีซ่าขาดจะถูกบริษัทต้นสังกัดสั่งระงับการเดินทางออกนอกประเทศอีกตลอดชีวิตด้วยรูปร่างหน้าตาที่หน้าหม่ำ ฮีชอลถึงกับตะลึงในความหล่อเหลาของชายเบื้องหน้าตั้งแต่แรกเจอแต่ต้องเก็บอาการไว้ไม่แสดงให้เห็นความหื่นที่ชอบตกเป็นข่าวโดนเม้าท์อยู่บ่อยครั้งเหตุผลที่ฮีชอลต้องมีบอดี้การ์ดคอยติดตามก็เนื่องมาจากมีสาวกที่คลั่งไคล้เขาเอามากๆถึงขนาดอยากได้ชีวิตเลยก็มี กลุ่มสาวกพวกนี้มีนามว่า ‘ซาแซง’ พวกซาแซงจะเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้ดาราขั้นรุนแรงถึงขนาดทำร้ายร่างกายเพื่อให้เป็นบุคคลที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิตด้วยเหตุนี้ฮีชอลจึงจำเป็นต้องมีผู้คุ้มกัน แต่อีกสาเหตุที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องหาบอดี้การ์ดคนใหม่ให้ก็เพราะคนเก่าโดนพวกซาแซงจับหมกห้องน้ำตอนที่ฮีชอลกำลังขึ้นเวทีเป็นแขกรับเชิญของนักร้องวง SJ ตอนเปิดคอนเสริต์ครั้งแรกวันนั้นหลังจากที่บอดี้การ์ดหายตัวไปฮีชอลก็โดนแฟนคลับปาข้าวของใส่ และเพราะดันยื่นหน้าไปรับของแข็งที่ลอยมากระแทกจนคิ้วแตกเลือดไหลเป็นทางด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ฮีชอลต้องมีผู้คุ้มกันส่วนตัว


ฮีชอลกับฮันเกิงทำงานกันอย่างราบรื่นถึงฮีชอลจะเป็นคนเอาแต่ใจขั้นรุนแรงแต่ฮันเกิงก็รับได้ทุกอย่างทุกสถานการณ์จนทั้งคู่เริ่มมีความรู้สึกอันดีต่อกัน


“ฮันเกิงวันนี้ฉันเหนื่อยจังเราต้องไปไหนกันต่อหรือเปล่า” ฮีชอลแสดงสีหน้าอ่อนเพลียทรุดตัวลงนั่งข้างๆบอดี้การ์ดหนุ่มที่นั่งไขว้ห้างอยู่ที่เบาะด้านหลังรถตู้คันโตของบริษัทต้นสังกัด


“ที่สุดท้ายก็ห้องนายไง”บอดี้การ์ดหนุ่มหันมองคนที่พิงไหล่ด้วยสายตาห่วงใย


“...”


“จะกลับเลยไหมฉันจะไปส่ง”มือเรียวยาวคว้าแขนแข็งแรงที่ขยับตัวทำท่าจะลุกขึ้นยืนให้นั่งอยู่กับที่


“ขอพักแบบนี้ก่อนนะ แปบนึง”บอดี้การ์ดหนุ่มนั่งนิ่งด้วยท่าเดิมปล่อยให้คนเหน็ดเหนื่อยได้พักพิงอิงแอบที่ไหล่กว้างจนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียฮีซอลหลับยาวนาน ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น ฮันเกิงค่อยๆ จับฮีชอลให้นอนราบไปกับเบาะรถแล้วเขาก็ทำหน้าที่ขับรถไปส่งฮีชอลยังห้องพัก


ร่างสูงบอบบางถูกโอบอุ้มอยู่ในวงแขนแข็งแรงฮันเกิงส่งคนนอนหลับบนเตียงนุ่มและนั่งมองฮีชอลหลับอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ฮันเกิงค่อยๆโน้นตัวลงหาริมฝีปากแดงระเรื่อสัมผัสประทับรอยจูบคนนอนหลับตาปิดพริ้มอย่างไร้มารยาฮีชอลลืมตากว้างตื่นขึ้นทำสีหน้าตกใจเอามือผลักบอดี้การ์ดหนุ่มที่โน้มกายจนผงะลุกนั่งตัวตรง


“ทำอะไรหน่ะ” ฮีซอลเอามือปิดปากตัวเองพูดด้วยอารมณ์ตื่นตระหนกต่อสิ่งที่ถูกกระทำเมื่อครู่จนฮันเกิงรู้สึกสำนึกผิดส่งสายตาเว้าวอน ‘ขอโทษ’ ก่อนเดินหนีออกจากห้องไป ฮีชอลนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อารมณ์ดีรุนแรง


“สำเร็จแล้ว ไชโย” จริงๆ แล้วฮีชอลถูกใจฮันเกิงมาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่ต้องรักษาท่าทีของผู้ร่วมงานเลยจำเป็นต้องข่มใจเอาไว้แต่แท้จริงในใจก็อยากรู้ว่าฮันเกิงคิดยังไงกับตนจึงต้องสร้างสถานการณ์ทำทีว่าอ่อนเพลียไม่งั้นคงไม่รู้ใจของอีกฝ่าย


หลังจากวันนั้นมาฮีชอลก็แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อฮันเกิงเต็มที่แต่ทั้งคู่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเพราะถ้าทางต้นสังกัดรู้ ทั้งคู่คงโดนจับให้แยกกันโดยไม่ต้องสงสัยต่อหน้าคนอื่นๆ ทั้งคู่ต้องทำเป็นผู้ร่วมงานแสดงท่าทางเย็นชาใส่กันเหมือนกำลังเล่นละครให้คนดูแต่พออยู่ด้วยกันก็หวานซึ้งใส่กันคล้ายน้ำตาลใกล้มด จนดูเหมือนทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาใดๆแต่ไม่นานฮันเกิงก็เริ่มแปลกไป


“ฉันต้องทำงานยังกลับไม่ได้ถ้ามีเวลาจะรีบกลับไป”ฮันเกิงคุยโทรศัพท์เสียงแผ่วเบาราวกระซิบกระซาบอยู่ตรงระเบียบนอกห้องพักของอพาร์เมนต์ฮีชอลเดินไปหยุดยืนแอบฟังอยู่ข้างประตู แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรจนกลายเป็นความระแวงขึ้นมา


“ฮันเกิงนายคุยกับใครทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยล่ะ” ฮีชอลตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่สายตาแฝงไว้ด้วยความคาดคั้นเอาความจริง


“ฉันคุยกับคนที่บ้าน”ฮันเกิงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเมื่อเสร็จธุระ เขาเดินย่างกายเข้ามาภายในห้องทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเอนกายพิงพนักนิ่มด้วยท่าทางสบายๆมองหน้าฮีชอลที่ยืนมองด้วยความสงสัย


“...”


“อย่าคิดมากน่า มานี่..”ฮันเกิงตบโซฟาข้างๆ เป็นสัญญาณให้ฮีชอลเดินไปนั่งตามคำสั่ง แต่เขานิ่งเฉยทำไม่สนใจยืนกอดอกเอาหลังพิงกำแพงข้างประตูแสดงสีหน้าไม่สบายใจฮันเกิงลุกยืนเต็มความสูงก้าวยาวมาหยุดตรงหน้าฮีชอลที่ก้มหน้าไม่สนใจชายอันเป็นที่รัก


“...”


“เดี๋ยวนี้ไม่ทำตามที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม”ฮีชอลเงยหน้ามองส่งค้อนให้ฮันเกิงก่อนจะเดินชนกระแทกไหล่ร่างสูงลงไปนั่งตรงโซฟาตามที่ฮันเกิงเรียกเชิญเมื่อครู่


“นั่งแล้วไง” ฮีชอลตวาดเสียงด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกขัดใจทำเมินหน้าหนีไม่มองฮันเกิงที่เดินมานั่งลงข้างๆ


“ฉันมีเรื่องต้องบอกนาย” ฮันเกิงตั้งสติเอ่ยคำพูดพร้อมถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนหันหน้าสู้กับสายตาคาดคั้นที่จิกตามองอย่างต้องการรู้คำตอบโดยเร็วถ้าช้าอาจตายได้..


“...”


“ฉันต้องกลับเมืองจีน”ฮีชอลมองหน้านิ่งเบิกตากว้างเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน


“นายว่าไรนะฮันเกิง นายจะทิ้งฉันไปงั้นเหรอ”คำถามพร่างพรูกองอยู่ในความคิดของฮีชอลเต็มไปหมด เหตุผลอะไรที่ฮันเกิงต้องไปจากที่นี่


“...”


“นายจะไปทำไม แล้วต้องไปเมื่อไหร่ฮันเกิง..” สาเหตุแท้จริงแล้วฮันเกิงเบื่อฮีชอลหรือเปล่ามันเป็นคำถามในความคิดที่ฮีชอลไม่กล้าเอ่ยถามออกไปฮันเกิงได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับฮีชอลที่กำลังกำมือแน่น ขอบตาแดงน้ำตาเริ่มเอ่อคลอ


“...”


“ตอบมาสิฮันเกิง..” สายตาเศร้าๆส่งให้ฮันเกิงพร้อมคำถามที่ต้องการคำตอบโดยด่วนที่สุด


“ฉันจะกลับไปต่อวีซ่าและอยู่ที่จีนซักพัก”คำพูดตอกย้ำจิตใจรุนแรง นี่คงเป็นคำแก้ตัวที่ฟังแล้วน่าจะดูดีที่สุด ฮีชอลคิดในใจ แต่แล้วก็ทนเห็นหน้าฮันเกิงต่อไปไม่ไหวเขาลุกขึ้นจากโซฟาก้าวเท้าถี่เดินยังประตูบานใหญ่ยื่นมือกระชากมันเปิดแล้วเดินหนีออกมาโดยไม่หันกลับไปมองฮันเกิงที่ตะโกนเรียกชื่อตามหลัง..ฮีชอล!!

“ไอยู.. ไอยู..” มือใครซักคนกำลังผลักไหล่ฉันไปมาจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมองรอบๆ ห้อง ฮีชอลกำลังเรียกชื่อที่ฉันยังไม่คุ้นเคยนิ้วเรียวยาวสะกิดเคาะหน้าผากให้มีสติครบร้อยเปอร์เซนต์


“...”


“นี่ไอยูเธอง่วงมากเลยหรือไง” ฉันบิดตัวไปมาปิดปากห้าวกว้าง มองใบหน้าชายหน้าสวยที่แสดงท่าทางเอือมระอาใส่ฉัน“ไม่ฟังเรื่องฉันต่อแล้วเหรอยังมีอีกเยอะแยะเลยนะฟังก่อนสิค่อยหลับ” ฮีชอลไม่สนใจฉันที่นั่งทำตาปรือจะหลับให้ได้เขาบังคับให้ฉันฟังเรื่องราวตามที่เขาต้องการ T_T ฉันพยักหน้ารับเพื่อให้เขาเล่าเรื่องราวต่อไป..


หลังจากที่ฮีชอลหนีฮันเกิงออกมาจากห้องเขาก็วิ่งไปหลบอยู่หลังมุมตึกอีกฟากที่อยู่ตรงข้ามลิฟต์เพื่อสังเกตุการณ์ เขาเห็นฮันเกิงวิ่งหน้าตื่นไปยืนอยู่หน้าลิฟต์อย่างกระวนกระวายและกดลิฟต์ถี่รัวต้องการลงไปยังด้านล่างอย่างรีบร้อนฮีชอลยืนดูเหตุการณ์ตลอดเวลาจึงเห็นว่าฮันเกิงเป็นห่วงและใส่ใจตนเองมากจริงๆ จึงยอมหายโกรธและพยายามไม่ใส่ใจเรื่องที่ฮันเกิงจะกลับประเทศจีนอีกต่อไปเขาค่อยๆ เดินย่องไปยืนด้านหลังของฮันเกิงแล้วตบบ่าให้บอดี้การ์ดหนุ่มหันกลับมา


“ฮันเกิง นายจะไปไหน” คนโดนเรียกชื่อหันกลับมาเห็นฮีชอลเลยกระโจนเข้ากอดไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น


“นายจะหนีฉันไปไหนฮีชอล..”ฮันเกิงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวกระซิบข้างหู


“นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าฮันเกิงนายไม่ใช่เหรอที่จะหนีฉันกลับเมืองจีน ฉันไม่สนใจแล้วล่ะนายจะไปก็ไปเดี๋ยวฉันจะหาบอดี้การ์ดใหม่เอาให้หล่อกว่านายหลายร้อยเท่าเลยคอยดู” ฮันเกิงปล่อยฮีชอลออกจากอ้อมกอดมองหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


“นายกล้าเหรอฮีชอลสายตาฮันเกิงน่ากลัวและดุดันทำให้ฮีชอลเริ่มหวั่นๆแต่ยังทำเป็นใจดีสู้เสือ


“กล้าไม่กล้าก็ลองกลับจีนดูสิ” ฮีชอลหันหลังกลับก้าวเดินเยื้องย่างด้วยอารมณ์อยากแกล้งให้ชายหนุ่มตามง้อปล่อยให้ฮันเกิงยืนเดียวดายอยู่หน้าลิฟต์ลำพังต่อไป เมื่อฮีชอลกลับเข้ามายังภายในห้องยืนนิ่งอยู่หลังประตูรอคอยให้ฮันเกิงเดินตามมาแต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาจึงเปิดประตูแง้มๆส่องดูยังหน้าลิฟต์ปรากฏว่าฮันเกิงหายสาปสูญไปแล้ว ‘ฮันเกิงบ้าง้อฉันหน่อยก็ไม่ได้’


“ตกลงฮันเกิงกลับจีนหรือเปล่า”


“เอ๊ะ!! ยังฟังไม่ทันจบจะพูดสอดขึ้นมาทำไมไอยู ขัดใจจัง”ฮีชอลแสดงสีหน้าโกรธเป็นฝืนเป็นไฟที่เมื่อฉันดันไปขัดจังหวะเรื่องราวที่เขากำลังเล่าอย่างออกรสชาติก็ฉันอยากรู้นิว่าตอนต่อไปจะเป็นยังไง


“เล่าต่อสิฉันไม่ขัดแล้วสัญญา..”


“ไม่เล่าแล้วหมดอารมณ์ไว้มีอารมณ์ค่อยเล่าใหม่แต่ครั้งนี้ฉันไม่โกรธเธอหรอกนะเพราะเธอมาอยู่เป็นเพื่อนและฟังฉันบ่นคราวนี้ยกโทษให้นะไอยู แต่ถ้าคราวหน้าขัดใจฉันอีกเธอตายแน่”สายตาอำมหิตมองจิกมาทางฉันด้วยหางตากับยิ้มที่มุมปากดูช่างน่าเกรงกลัวมากมาย


“ว่าแต่เธอมาที่นี่กับไนท์กี้ได้ไง”ฮีชอลตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันลืมไปซะสนิท จะให้ฉันอธิบายยังไงดีล่ะไม่รู้จะเริ่มเล่าให้จากตรงไหนก่อน


“...”


“ไม่ต้องอ้ำอึ้งเล่ามาเถอะเห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดนะ”ฉันนั่งเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เจอไนท์กี้ที่เมืองไทยให้ฮีชอลฟังโดยละเอียดก่อนที่จะโดนชายหน้าสวยฆ่าแล้วจับศพยัดช่องแอร์


“ตายแล้ว!!ฉันหายไปจะครบ 24 ชั่วโมงแล้วที่บ้านยังไม่มีใครรู้เลยว่าฉันโดนลักพาตัวมาที่นี่ทำไงดีล่ะ ป่านนี้คงตามหาตัวฉันให้ขวักไขว้แล้วล่ะ”


“ที่เมืองไทยต้องหายถึง 24 ชั่วโมงก่อนหรือไงถึงจะตามหาตัวฉันว่าถ้านานขนาดนั้นเธอย้ายมาอยู่เกาหลีเถอะไอยู หายไปทั้งชาติก็คงไม่มีใครตามหาเธอแน่ๆ”


“อย่าพูดเล่นสิพี่ฮีชอลฉันกำลังเครียดจริงๆ นะ ทำไงดี ฉันจะโทรกลับประเทศไทยได้ยังไงล่ะ ช่วยฉันหน่อยสิ”ฮีชอลถอนใจด้วยความรำคาญคิ้วขมวดเข้าหากัน ยืนกอดอกมองหน้าฉันคล้ายพยายามหาวิธีช่วยแก้ขัดไปก่อน


“เดี๋ยวฉันพาเธอออกไปโทรศัพท์เองไอยูแต่ก่อนออกไปฉันถามหน่อยเธอไม่สงสัยบ้างหรือไงว่าเธอขึ้นเครื่องบินมาได้ยังไงพาสปอร์ตก็ไม่มี” ฉันหยุดชะงักความคิดเรื่องอื่นหันมาสนใจเรื่องพาสปอร์ตแทนนั่นสิฉันมาที่นี่ได้ยังไงโดยที่ไม่มีพาสปอร์ตฉันคิดย้อนคำถามของฮีชอลด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ฮีชอลเอื้อมหยิบพาสปอร์ตสองเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมาเปิดดูข้างในเล่มหนึ่งแล้วก็สองตามลำดับ


“...”


“ฉันรู้แล้ว”ฮีชอลหันพาสปอร์ตเล่มที่มีชื่อมีอาร์ส่งให้ดู รูปที่แสดงตัวเป็นเจ้าของพาสปอร์ตดันเป็นรูปฉันตอนที่กำลังนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ที่ประเทศไทยO_o มันมาอยู่นี่ได้ไง แล้วใครเป็นคนถ่าย


“รูปนี้มันมาได้ไง..” ฉันยืนงงคิดถึงไนท์กี้อย่างหนักและพยายามลำดับเหตุการณ์ก่อนจะมาเกาหลีแต่ก็นึกไม่ออกว่าเขาจะเอาเวลาตอนไหนถ่ายรูปฉัน


“ไว้เธอรอถามไนท์กี้ตอนเขากลับมาแล้วกันฉันว่าไนท์กี้เป็นคนจัดการเปลี่ยนรูปให้เธอแน่ๆ”ฉันได้แต่ยืนนิ่งอึ้งงงกับเหตุการณ์เป็นอย่างมาก ไนท์กี้ถ่ายรูปฉันตอนไหนกัน


“...”


“อาหารเกาหลีเธอชอบอะไรเป็นพิเศษเดี๋ยวฉันจะพาไปกินข้าวผัดกิมจิกับไข่ดาวของโปรดฉัน” ตัวฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าชอบกินอะไรและยังไม่เคยกินอาหารเกาหลีเลยซักครั้งเพราะมัวแต่เก็บเงินไม่กล้าใช้สุรุ่ยสุร่าย ของพวกนี้เลยไม่สันทัดเท่าไรแต่คงไม่ต้องเสียเวลาเลือกอีกแล้วเพราะฮีชอลบังคับให้ฉันกินของโปรดเขาเป็นที่เรียบร้อย


“...”


“โอ๊ย!! ถามอะไรก็ไม่ตอบซักอย่าง เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง น่ารำคาญจริงๆ เธอเนี้ย”ฮีชอลตวาดใส่ฉันก่อนเดินหายเข้าไปในห้องนอนเพื่อหยิบอะไรบางอย่างติดมือออกมาแล้วกระชากแขนฉันให้เดินตามออกจากอพาร์เมนต์ทันที


To be continued..




Create Date : 21 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2555 18:43:33 น.
Counter : 836 Pageviews.

3 comments
  
แวะมาบอกว่า คืนนี้หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ
โดย: **mp5** วันที่: 21 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:47:31 น.
  
sj sj ชอบมากเลยค่ะ คิดถึงป๋า คิดถึงฮี

นุ่นก็มีฟิคคิเฮของตัวเองด้วยค่ะ
โดย: lovereason วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:31:36 น.
  
เอามาลงบล๊อคไว้อ่านบ้างสิคะ ขำๆ อิอิ
โดย: มาโซคิส วันที่: 22 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:58:45 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มาโซคิส
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]



เ ร า ต่ า ง กั น แ ส น ไ ก ล

Blood A_Blood Type Series
เรียบง่าย อยู่บนเหตุและผล สันติ ยุติธรรม

ถ้าในฝันนั้น.. ฉันได้มีเธอ.. ขอนอนหลับไม่ตื่นได้ไหม..
เ ว ล า คิ ด ถึ ง ใ ค ร บ า ง ค น ม า ก ๆ อ ย า ก ดึ ง เ ค้ า อ อ ก ม า จ า ก โ ล ก แ ห่ ง ค ว า ม ฝั น แ ล้ ว ก อ ด ซ ะ !! ใ ห้ ห า ย คิ ด ถึ ง





หากวันใด อ่อนแอ ท้อแท้ ผิดหวัง ให้ลองย้อนนึกถึงวันที่เคยตะเกียกตะกาย . .



ถ้าคนๆ หนึ่ง มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกมาได้โดยไม่ตั้งใจ.. มานก็ไม่แปลกเลยที่เขาสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว..

Online Now




New Comments