Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
บทความ....ไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยหมอแมวและคุณหล่อใสไร้รัก

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยหมอแมว (Pantip)

ช่วงนี้กระแสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่มาแรง ผม (หมอแมว) เลยโหนกระแสครับ โดยเมื่อ 4 วัน ก่อนเพิ่งทำ Nasopharyngeal swab ตรวจเด็กโรงเรียนเซนต์คาเบรียลไปคนหนึ่ง (เอาไม้จิ้มจมูก) เมื่อคืนวานซืนตรวจ Pharyngeal swab ตรวจไปอีกคน (เอาไม้จิ้มคอแล้วกวาดๆ) แล้วก็ตรวจอีก 20 กว่าคน ที่มาด้วยความกลัวไข้หวัดใหญ่ 2009 (ส่วนคนอื่นอยู่เวรกลางวันก็โดนไปคนละ 40-50 คน) และตอนนี้ผมกำลังมีไข้ 38 องศาเซลเซียส นิดๆ ตอนนี้เริ่มไอแล้ว และคนที่บ้านก็เริ่มติดกันไปแล้ว

เนื่องจากช่วงนี้เห็นว่า โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุ ได้รายงานเรื่องราวเกี่ยวกับไข้หวัดนี้มากมาย หากแต่ว่าการรายงานข่าวที่ออกมาก็ไม่ครบถ้วนพอที่จะทำให้คนเข้าใจได้ ประกอบกับบางสื่อยิ่งรายงานคนยิ่งตื่นตระหนก ผมเลยลองพยายามเอาเรื่องไข้หวัดนี้มาอธิบายครับ เอาเป็นว่านี่คือการพูดคุยสบายๆ เรื่องข้อเท็จจริงแบบที่จะอิงภาษาวิชาการให้น้อยที่สุดครับ เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจให้ตรงกัน…

1. เชื้อ H1N1 มันใหม่ยังไง เห็นใน wiki ว่าเป็นตัวที่ฆ่าคนตายเป็นล้านๆ เมื่อก่อนก็คือ H1N1 นี่นา

Spanish flu เป็นไข้หวัดใหญ่ ที่ฆ่าพลเมืองของโลกไปประมาณ 5% หรือประมาณ 50 - 100 ล้านคน ในช่วงปี ค.ศ.1918 – ค.ศ.1919 ไข้หวัดใหญ่ตัวนี้คือ เชื้อ Influenza A H1N1 ซึ่งบางคนสังเกตว่า มันคือเชื้อเดียวกันกับเชื้อที่ออกข่าวในตอนนี้ เลยกังวลว่า มันจะร้ายแรงและน่ากลัวมากจริงๆ หรือ? ผมขอบอกว่ามันคือเชื้อคนละตัวกับตอนนั้นครับ

คำว่า Influenza A หมายถึง เชื้อไวรัสในตระกูล Orthomyxoviridae ซึ่งมีโครงสร้างหลักทั่วไปเหมือนกัน

ความแตกต่างของแต่ละตัวจะอยู่ที่ส่วนที่เรียกว่า H hemagglutinin และ N neuraminidase

โดยรูปแบบของ H ในไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีอยู่ 16 แบบ และรูปแบบของ N จะมีอยู่ 9 แบบ ถ้าพูดแบบหยาบๆ ตัวเลขของ H และ N เป็นการจำแนกตามแบบอย่างหยาบๆ ครับ ดังนั้นไวรัสเมื่อร้อยปีก่อนกับตัวปัจจุบัน แม้ว่าจะมีชื่อที่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความเหมือนที่ภายนอกเท่านั้น คุณสมบัติด้านความร้ายแรงไม่สามารถนำมาเทียบกันได้แบบ 100%

ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม H1 ก็คือกางเกงน้ำตาล ส่วน H2 คือกางเกงดำ H3 คือกางเกงแดง และ N1 คือรองเท้าหนังสีดำ ส่วน N2 คือรองเท้าผ้าใบสีดำ ฯลฯ ดังนั้น ไข้หวัดสเปน H1N1 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำ และไข้หวัด 2009 ก็คือเด็กนักเรียนกางเกงขาสั้นน้ำตาลใส่รองเท้าหนังสีดำเหมือนกัน ต่างกันที่ว่าเจ้าไข้หวัดสเปน เป็นเด็กนักเรียนที่พกปืนในกระเป๋า ส่วนไข้หวัด 2009 มันแค่พกสนับมือเท่านั้น

2. องค์การอนามัยโลกประกาศระดับ pandemic ขั้นที่ 6 หมายความว่า มันเป็นโรคที่ร้ายแรงอันตรายถึงตายใช่ไหม?

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งที่ได้ยินบ่อยคือ การที่ออกมาประกาศขั้นที่ 6 คือการบอกว่าโรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงถึงตาย อันตรายมากๆ โดยคำว่า Pandemic คือ การที่ 1. มีโรคเกิดขึ้นใหม่ในประชากร 2. เป็นโรคในมนุษย์และสามารถก่อโรคที่รุนแรงได้ และ 3. เป็นโรค "ติดต่อ" ที่กระจายไปในประชากรต่อไปได้เรื่อยๆ

ที่ผ่านมาไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เราเจอกันคือสายพันธุ์เก่า ที่ประชากรส่วนหนึ่งมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว ดังนั้น มันจึงไม่ "ใหม่" กับประชากร และเมื่อมันติดต่อไปได้สักพักแล้วไปเจอคนที่มีภูมิคุ้มกัน มันก็ "ไม่กระจายต่อ" ดังนั้น มันก็ไม่ถือเป็น Pandemic

ในทางทฤษฎีไข้หวัดใหญ่ที่เรากลัวกันก็ คือ ไข้หวัดใหญ่ที่มาจากสัตว์ครับ เพราะว่าพวกนี้มีองค์ประกอบครบ คือ...

1. มันเป็นของสัตว์ จึงใหม่ต่อมนุษย์

2. ไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อที่สามารถทำให้คนตายได้ แต่จะมากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่อง

3. ถ้ามันติดต่อจากคนสู่คนได้เมื่อไหร่ มันก็จะแพร่กระจายได้








Pandemic Alert ขององค์การอนามัยโลก เลยประกอบไปในส่วนการเฝ้าระวังทั้ง 6 ระดับนั่นคือ...

Phase 1 no viruses circulating among animals have been reported to cause infections in humans : เจอไวรัสที่เป็นชนิดใหม่ๆ แต่ไม่สามารถติดมาคนได้ อย่างกรณีไข้หวัดนกที่ผ่านมา มีการระวังและเสนอการทำลายนกและไก่ตั้งแต่ยังไม่มีการติดต่อมาสู่คน

Phase 2 an animal influenza virus circulating among domesticated or wild animals is known to have caused infection in humans : พบคนที่ติดเชื้อจากสัตว์ การที่เชื้อมันข้ามมาคนได้ แปลว่า มันมีความสามารถในการก่อโรคในคน ดังนั้น มันมีความเสี่ยงที่จะกระจายจากคนสู่คน

Phase 3 an animal or human-animal influenza reassortant virus has caused sporadic cases or small clusters of disease in people, but has not resulted in human-to-human transmission sufficient to sustain community-level outbreaks : เกิดการติดต่อในกลุ่มประชากรเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อจากสัตว์มาคนเดี่ยวๆ หรือจากคนสู่คนที่สามารถคุมให้อยู่ในวงจำกัดได้ ระดับนี้คือระดับที่จะต้องระวัง เพราะขั้นนี้แปลว่าเชื้อนี้มีความสามารถในการแพร่กระจายได้หากไม่ควบคุมให้ดี

Phase 4 is characterized by verified human-to-human transmission of an animal or human-animal influenza reassortant virus able to cause community-level outbreaks : เกิดการแพร่กระจายในระดับชุมชน เช่น เจอว่าเป็นกันทั้งหมู่บ้าน หรือมีการระบาดในเมือง หรือแม้แต่การระบาดในประเทศหนึ่ง ถ้าจะปรับเป็นภาษาไทยก็อาจจะแปลว่า "โรคระบาด" หรือเท่าๆ กับคำว่า "Epidemic" ในภาษาอังกฤษ

Phase 5 is characterized by human-to-human spread of the virus into at least two countries in one WHO region : เกิดการระบาดข้ามประเทศ แต่เป็นประเทศในเขต WHO เดียวกัน โดยถือกันว่าพรมแดนประเทศ คือส่วนที่มีการควบคุมการข้ามผ่านที่เข้มงวดมากกว่าภายในประเทศ ดังนั้น ถ้ามันข้ามพรมแดนได้ก็มีความเสี่ยงที่ประเทศนั้นจะติดเชื้อโรคนี้ทั้งประเทศได้

Phase 6 the pandemic phase, is characterized by community level outbreaks in at least one other country in a different WHO region : WHO region ถูกแบ่งได้คร่าวๆ ด้วยพรมแดนตามธรรมชาติ ดังนั้น หากมีประเทศที่อยู่กันคนละเขต (คนละทวีป) ติดต่อเชื้อนี้ได้ ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายในทวีปนั้นๆ และถ้ามันข้ามไปได้ 1 เขต ก็มีความเสี่ยงที่มันจะกระจายไปเขตอื่นที่ไม่ติดได้ นั่นแปลว่ามันมีความเสี่ยงที่จะติดต่อกระจายไปทั่วโลก

3. ไหนหนังสือพิมพ์ออกข่าวว่าหวัดมรณะ ถ้าบอกว่าของ WHO ไม่ได้บอกความรุนแรง แล้วอันไหนล่ะที่บอก

ในขณะที่ของ WHO บอกความเสี่ยงเรื่องการแพร่กระจาย ทาง CDC หรือหน่วยควบคุมโรคของอเมริกา ก็มีเกณฑ์ความรุนแรงครับ โดยใช้ค่า CFR Case fatality ratio หรือค่าที่บอกว่า หากมีคนไข้ที่ได้รับรายงานจำนวนเท่านี้ จะมีคนตายกี่เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ ไข้หวัดใหญ่ทั่วๆ ไปอยู่ในระดับ 1 คือหากรายงานว่าเป็นไปสัก 1,000 คน จะมีคนตายน้อยกว่า 1 คน (น้อยกว่า0.1%) โดยไข้หวัดสเปนอยู่ในระดับ 5 คือ หากรายงานว่าเป็น 1,000 คน จะมีคนตายมากกว่า 20 คน (มากกว่า 2%)

จริงๆ คำว่า CFR ก็คล้ายๆ กับอัตราตายครับ แต่อาจจะไม่ตรงกันสักทีเดียว ถ้าลองคิดคำนวณคร่าวๆ จากข้อมูลจาก WHO มีคนติดเชื้อตัวนี้ 29,669 คน ซึ่งตายไป 145 คน จะอยู่ที่ 0.48% จัดอยู่ในความรุนแรงระดับ 2 ซึ่งมีคนเสนอว่าเม็กซิโกตายเยอะผิดปกติ ดังนั้น หากตัดค่าที่รายงานจากเม็กซิโกไป มีคนติดเชื้อตัวนี้ 23,428 คน ซึ่งตายไป 37 คน จะอยู่ที่ 0.15 % ก็จัดอยู่ในความรุนแรงระดับที่ 2 อยู่ดี ก็ต้องไปดูที่มาของค่าตัวเลขครับ

Influenza หรือ ไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในอเมริกา จะมีการทำ Throat Swab ตรวจกันบ่อยๆ ใครไข้สูงครั่นเนื้อตัวเยอะๆ หมอก็จับส่งตรวจ บางคนอาการไม่หนักมากก็ส่งตรวจ แต่ไข้หวัด 2009 ในตอนนี้ยังเป็นระหว่างการระบาด การที่จะส่งตรวจในกรณีคนต้องสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีอาการหนัก ส่วนคนที่มีอาการน้อยจะไม่ได้ส่งตรวจ เพราะว่าสิ้นเปลืองทรัพยากรในช่วงระบาด ดังนั้น ตัวเลขคนที่เป็นไข้หวัด 2009 จริงๆ น่าจะมากกว่านี้ครับ และหากตรวจทั้งหมด ผลที่ออกมานั้นคนที่ตายก็น่าจะมีสัดส่วนที่น้อยลงไปอีก

4. ตกลงวางใจได้ใช่ไหม?

ไม่ได้ครับ ที่จริงเรามีโรคที่อาจจะถือว่าเป็น Pandemic หรือแพร่กระจายทั่วโลกหลายโรคทีเดียว ยกตัวอย่าง เช่น มาลาเรีย เอดส์ กับ วัณโรค แต่ว่าโรคเหล่านี้ถือว่าน่ากลัวน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ เพราะ 3 สาเหตุคือ...

1. ลักษณะการติดต่อ

2. ระยะเวลาที่ก่อโรค

3. การกลายพันธุ์

"มาลาเรีย" กับ "เอดส์" ไม่ได้ติดต่อทางอากาศหายใจ แต่ไข้หวัดใหญ่ติดต่อทางอากาศได้ "วัณโรค" และ "เอดส์" ดำเนินโรคช้า แต่ไข้หวัดใหญ่ได้รับเชื้อแล้ว 2-3 วัน ก็ออกอาการ ที่สำคัญ "วัณโรค" และ "เอดส์" ส่วนใหญ่เวลากลายพันธุ์จะกลายพันธุ์แบบเรื่อยๆ คือ แค่ดื้อยา ไม่ทำให้คนตายมากขึ้น แต่ไข้หวัดใหญ่เวลากลายพันธุ์จะเปลี่ยนจากความน่ากลัวแบบชิสุไปเป็นน่ากลัวแบบโดเบอร์แมน!

โรคจะน่ากลัวเมื่อมีการระบาดครับ เพราะการระบาดนั่นหมายความว่าจะเกิดโรคขึ้นพร้อมๆ กัน เกิดคนป่วยจำนวนมากขึ้นพร้อมกัน ในแง่จิตใจก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและไม่มั่นใจในสังคมได้มาก จำนวนผู้ป่วยที่มีมากและมีการออกข่าวในทำนองว่า ระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้เต็มที่ จะเกิดการแก่งแย่งกันเพื่อให้ตนเองได้สิ่งที่ตนเองคิดว่าดีที่สุด รวมทั้งเกิดความขัดแย้งกดดันกับเจ้าหน้าที่ได้ รวมไปถึงขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ทำหน้าที่ในระบบต่างๆ ของรัฐ ที่หากมีสมาชิกในครอบครัวป่วยก็ย่อมจะต้องสนใจสมาชิกในครอบครัวก่อนงานที่ทำ ทำให้ระบบของประเทศเกิดการสั่นคลอนได้

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ในตอนนี้อยู่ในระดับที่ก่อการระบาดได้ แต่ยังไม่มีความรุนแรงนัก ปัญหาคือเนื่องจากมันเป็นสายพันธุ์ใหม่ คนส่วนใหญ่เลยติดเชื้อนี้ได้ง่าย มีโอกาสติดต่อได้ประมาณ 22-33% ในขณะที่เชื้อเดิมอยู่ที่ 5-15% และความสามารถของไวรัสไข้หวัดใหญ่ คือ การปรับเปลี่ยนพันธุกรรม ทำให้มันกลายเป็นตัวใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม

การปรับเปลี่ยนพันธุกรรมจะเกิดได้ ต้องมีโอกาสมากพอ หรือแปลง่ายๆ คือถ้ามันแพร่กระจายไปมากๆ มีคนติดเชื้อมากๆ มันก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะเปลี่ยนไปเป็นพันธุ์ที่ร้ายแรงได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ตอนนี้ถ้ามันระบาดมากๆ ก็เสี่ยงครับ หากมันเปลี่ยนความรุนแรงขึ้น (ซึ่งเจอได้เสมอในเชื้อกลุ่มไวรัสไข้หวัดใหญ่) มันจะเปลี่ยนจากไข้หวัด 2009 ตัวหมูๆ นี้ กลายเป็นหมูป่า Combo shot supernova ขึ้นมาทันที








มาที่เรื่องในประเทศของเราบ้างครับ เอาแบบสถานการณ์จริง ช่วงนี้ผมดูข่าวจากทีวีและหนังสือพิมพ์แล้วขัดใจมากครับ สิ่งที่ข่าวบอกกับสิ่งที่การสาธารณสุขทำ มันไปคนละทางกัน และตามความเห็นผม มันกำลังจะทำให้กระบวนการของโรคระบาดเข้าขั้น คือ เกิดความล้าในระบบให้บริการทางสาธารณสุข ประโยคหนึ่งที่ผมคิดว่าผิดอย่างมาก คือ การบอกว่า ไม่ต้องตื่นตระหนกกับโรคนี้มากนัก โรคนี้ถ้าไปพบหมอแต่เนิ่นๆ สามารถตรวจว่าเป็นหรือไม่ และหากไปเร็วทันเวลาก็รักษาหายได้

ผมนั่งดูข่าวมา 3 ครั้ง ในรอบสัปดาห์นี้ บอกแบบนี้ทั้งนั้น และจากคนไข้ที่มาหาเมื่อวานนี้ หลายคนมาเพราะฟังข่าวและได้ยินประโยคนี้ คนที่ฟังเค้าเข้าใจว่า

1. โรคนี้หากไปทันเวลาตั้งแต่ระยะแรกรักษาหายได้ (แปลว่าถ้าไปช้าอาจจะรักษาไม่หาย)

2. โรคนี้หมอสามารถตรวจได้ว่าเป็นหรือไม่เป็น ถ้าไปแต่เนิ่นๆ (แปลว่าถ้าไปช้า ตรวจไม่เจอ รักษาไม่ถูก ตาย!)

3. ถ้าทำตามสองข้อบนได้ก็ไม่ต้องตระหนก (แปลว่าถ้าไปหาหมอไม่ได้ก็ตายแน่ๆ ใช่ไหม)

อาจจะฟังดูงี่เง่านะครับ แต่ตอนผมฟังข่าวผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และคนไข้ที่มาตรวจกับผมหลายคนก็รู้สึกอย่างนั้น ซึ่งปัญหามันก็เกิดขึ้นเพราะคนที่บอกให้รีบไปตรวจ ดันไม่บอกว่าต้องมีอาการอย่างไรจึงควรไปตรวจ ดันไม่ยอมศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่าไปแล้วที่โรงพยาบาลจะตรวจอย่างไร รักษาอย่างไร หรือนักข่าวไปถามหมอ แทนที่จะถามว่า "ควรปฎิบัติตัวอย่างไร" ดันไปถามว่า "โรคนี้อาการอย่างไร" (คำถามสิ้นคิด -_-') สุดท้ายก็ไปป้อนข้อมูลที่ก่อความตื่นตระหนกฝังใจว่า "ถ้าไปทันเวลาก็มีโอกาสหาย" เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วปรากฎว่า หมอดูแล้วว่าไม่เข้าเกณฑ์ คนไข้ก็เกิดความไม่พอใจ เพราะมั่นใจมาเต็มที่ว่าตนเองเป็นชัวร์ๆ แต่หมอไม่ตรวจ

ก่อนที่จะไปคุยเรื่องการระบาด ก็ต้องมาดูเรื่องความรุนแรงของโรคครับ ถ้าใครลองไปอ่านของ WHO จะพบว่าตอนนี้เค้าประมาณการณ์ว่า ครั้งนี้อย่างต่ำๆ ก็อยู่ในระดับความรุนแรงแบบ Moderate ซึ่ง Moderate คือ…

1. คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อนี้หายเองได้ โดยไม่ต้องการการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการรับการบริการทางสาธารณสุข

2. ระดับความเจ็บป่วยแบบรุนแรงอยู่ในระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล (แม้ว่าบางที่อาจจะมากหน่อย)

3. ระบบการรักษาพยาบาลยังรองรับได้ แม้ว่าจะแน่นไปสักหน่อย

รวมไปถึงหลายส่วนที่บอกไว้ว่าส่วนใหญ่หายเอง สิ่งที่ผมจะบอกคือ ไข้หวัดใหญ่และไวรัสหลายชนิด มันมีระดับความรุนแรงของโรคต่างๆ กัน คนที่นอนโรงพยาบาลแบบปางตาย อาจจะมีสัก 3 คน คนที่นอนโรงพยาบาลแบบมีไข้ให้น้ำเกลือ 2-3 วัน อาจจะมีสัก 30 คน คนที่มาโรงพยาบาลด้วยไข้สูง ตรวจเจอเชื้อ จากนั้นกลับไปกินยาพาราเซตามอลกับยาแก้ไอ อาจจะมีสัก 300 คน คนที่ติดแล้วมีอาการไอ เจ็บคอนิดหน่อย เมื่อยตัวนิดนึง นอนพักคืนเดียวก็หาย อาจจะมีสัก 30,000 คน (ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็น)

สิ่งที่ควรจะเป็น คือ เราอยากให้คนที่มีไข้หรือไข้สูงมาตรวจ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะกลายไปเป็นปอดบวม ซึ่งหากอาการทำท่าดูไม่ดีเราก็จะได้ให้ยาไปก่อน กลุ่มนี้ถ้ามาตรวจอาจจะมีสัก 333 คน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการนำเสนอข่าวอย่างไม่ระวังของหนังสือพิมพ์และข่าวทีวีตอนก่อนหน้านี้ คือ 333 คน ที่เป็นพอประมาณถึงหนักมาโรงพยาบาล 30,000 คน ที่เป็นก็มาโรงพยาบาล อีก 300,000 คน ที่ไม่ได้เป็นหวัด แต่เป็นภูมิแพ้ก็มาโรงพยาบาล อีก 100,000 คน เดินผ่านหน้าโรงเรียนเลยมาขอตรวจบ้าง กลายเป็นว่าคนที่เป็นจริงๆ มาที่โรงพยาบาล จากนั้นมีคนที่ไม่เป็นมารับเชื้อถึงที่ กลายเป็นว่าคนที่เป็นแบบเบาๆ ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลก็มาโรงพยาบาล เพื่อมาปล่อยเชื้อที่โรงพยาบาล สุดท้ายหมอต้องมานั่งอธิบายคนที่เป็นแค่ภูมิแพ้ว่าไม่ต้องไปตรวจก็ได้ แล้วก็ต้องทิ้งให้คนไข้ที่ป่วยจริงนอนรอตรวจต่อไป

สำหรับตอนนี้มีเกณฑ์ในการตรวจซึ่งหลักใหญ่ๆ น่าจะเหมือนกันทั่วประเทศ ได้แก่...

1. มีไข้ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ร่วมกับ…

2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิดปกติ (หอบ,ลำบาก) หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ร่วมกับ...

3. อาศัยอยู่หรือเดินทางมาจากพื้นที่ที่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ในระยะ 7 วัน ก่อนวันเริ่มป่วย

4. มีผู้สัมผัสร่วมบ้านหรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนวันเริ่มป่วย

ตอนนี้เข้าใจว่าตัดข้อ 3 ไปแล้วครับ เพราะว่าตอนนี้มันเข้าประเทศไทยเรียบร้อย ดังนั้น อาจจะถือไปก่อนว่าน่าจะเสี่ยงข้อนี้ไปเลย หากมีเกณฑ์ครบดังนี้ แพทย์จึงจะพิจารณาตรวจ Throat Swab เพื่อดูว่าเป็นเชื้อนี้หรือไม่ หลังจากนั้นพิจารณาอาการและความเสี่ยงว่าจำเป็นต้องได้รับยาต้านเชื้อไวรัสหรือไม่ (ถึงเป็น 2009 แต่ถ้าอาการเบาๆ ก็ไม่ให้ยาต้านเชื้อไวรัส)







เมื่อนำเอาเกณฑ์เหล่านี้มามองใหม่ ผลที่ได้ก็คือ

1. การรักษาหรือพิจารณาให้ยา Tamiflu ขึ้นกับอาการ ต่อให้เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่มีอาการของปอดบวม ก็จ่ายยาต้านไวรัส และจับนอนโรงพยาบาล

2. ถ้าไปโรงพยาบาลแล้ววัดไข้ได้ 38 องศาเซลเซียส มีอาการของหวัดหรือสงสัย และมีอาการปอดบวมหรือหลอดลมอักเสบ ก็จะทำ Throat swab และพิจารณาให้ยาตามสมควร

3. ถ้าไปโรงพยาบาลแล้ววัดไข้ได้ 38 องศาเซลเซียส มีอาการของหวัด แต่เป็นแค่คอกับจมูก ไม่มีอาการของปอด ก็มักจะไม่ทำ Throat swab และไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส (แต่อาจารย์บางท่านบอกว่าก็ทำได้เหมือนกัน)

4. ถ้าไม่มีไข้ ไม่ให้ยาและไม่ทำ Throat swab

หมายเหตุ : Throat swab คือการตรวจด้วยไม้พันสำลีป้ายที่คอ แล้วเอาไปตรวจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่ แต่ก่อนใช้เวลา 1 วัน รู้ผล แต่ตอนนี้มีการตรวจมาก อาจจะ 3-4 วัน ขึ้นไป

ยกตัวอย่าง

ถ้ามีไข้ต่ำๆ ตัวรุมๆ เดินไปเดินมาได้สบายดี ก็จะได้ยาลดไข้ ลดน้ำมูก แก้ไอ กลับไปกินที่บ้าน

ถ้าไม่มีไข้ แต่ไปกินข้าวกับคนที่มีเพื่อนเป็นเด็กเซนต์คาเบรียล หรือเป็นเด็กโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นไข้หวัด 2009 หมอก็ไม่ตรวจ

ถ้าไม่มีไข้เลย แต่ไปกินข้าวกับคนที่เป็นเพื่อนกับคนที่ไปเดินผ่านที่หน้าโรงเรียนเซนต์คาเบรียลหรือโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นไข้หวัด 2009 อันนี้ก็ไม่ตรวจ

เป็นภูมิแพ้ กินยาแก้ภูมิแพ้มาปีกว่า ตอนนี้ไม่มีไข้ แต่มีน้ำมูลไหลเหมือนทุกวัน วันนี้อยากตรวจไข้หวัด 2009 อันนี้ก็ไม่ตรวจ

ไข้สูง 38.9 องศาเซลเซียส ไอมาก แต่ไม่ได้ไปเจอเด็กนักเรียนที่ไหนเลย อันนี้ไม่อยากตรวจก็ต้องตรวจ

เน้นย้ำนะครับเรื่องไข้ตัวร้อน ถ้าคุณไม่มีไข้เลยแม้แต่น้อย และเดินไปเดินมาได้สบายดี ก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกครับ คนป่วยหนักๆ หลายคนเค้าไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัย เพราะว่าเหนื่อย เค้าไอโขลกๆ อยู่ อยู่บ้านดีๆ ไม่เจอเชื้อ ดันตามมารับเชื้อที่โรงพยาบาล

ปกติหมออยู่เวรก็ยุ่งกันมากอยู่แล้ว ลำพังปกติก็ตรวจกันไม่ทัน พอมีคนไข้ที่ให้ประวัติว่าจะป็น พยาบาลก็ให้ไปรอที่ตึกที่ห่างออกไปอีก 400 - 500 เมตร หมอก็ต้องเดินไปซักประวัติ เพื่อจะรู้ว่าจริงๆ เป็นแค่ภูมิแพ้ แล้วต้องมานั่งตอบคำถามว่าทำไมหมอพูดไม่ตรงกับนักข่าวในทีวี เสร็จแล้วเดินกลับมาอีก 400 - 500 เมตร เพื่อจะมาฟังพยาบาลบอกอีกว่า "หมอส่งอีกคนไปที่ตึกแล้ว หมอเดินไปตรวจหน่อยนะ"

เมื่อวานซืนคุยกับหมอแผนกเด็กคนหนึ่ง เค้าบอกว่า เค้าต้องเดินวนไปวนมาเพื่อตรวจคนที่ถูกคัดกรองมาประมาณ 10 - 20 คน ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีไข้ และหมอคนนี้ต้องอยู่เวร 24 ชั่วโมง คิดว่าเมื่อวานนี้เค้าคงต้องเดินราวๆ 7 - 8 กิโลเมตร วนไปวนมาในโรงพยาบาล ดังนั้น ถ้าไม่มีไข้อยู่บ้านเถอะครับ หรือถ้าคุณไม่แน่ใจว่าควรไปหรือไม่ คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงคือ ให้ลองลืมๆ ไปว่าตอนนี้มีไข้หวัดใหญ่ 2009 ครับ ดูอาการตนเองเป็นหลัก ถ้าอาการน้อยแบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้แล้วก็กินยานอนอยู่บ้าน ก็ไม่ต้องไป ถ้าอาการเยอะแบบที่แต่ก่อนพอเป็นประมาณนี้ก็จะไปหาหมอ ก็ไป







ความจริงเรื่อง ไข้หวัด 2009 จากคุณ หล่อใสไร้รัก (pantip)


พวกคุณยังงง และสับสนกับเจ้าหน้าที่และหมอหลายคนที่ให้ข่าวไม่ค่อยตรงกันใช่ไหมครับ? วันนี้ผมจะบอกความจริงเรื่องไข้หวัด 2009 ให้ทราบ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบได้เอง จากแพทย์ผู้เชื่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา หรือจุลชีววิทยา ตามภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทย์มหาลัยใหญ่ๆ นะครับ







ประเทศ Mexico มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 นำหน้าเราอยู่ประมาณ 1-2 เดือน ตอนนี้น่าจะกำลังปีนเขาลูกที่ 2 อยู่ ส่วนการระบาดในบ้านเราน่าจะอยู่แถวๆ ดอยของเขาลูกที่ 1 แล้ว ที่เราว่าเป็นกันเยอะ ปิดโรงเรียนกันมากมาย ป่วยกันทั้งหมู่บ้าน มันจะกลายเป็นเด็กๆ ไปเลย เมื่อของจริงมา อีกไม่นานเกินรอ








ถามตอบยอดฮิต เกี่ยวกับหวัด 2009

1. โรคนี้ไม่รุนแรง ไม่น่ากลัว

Answer : ความจริงคือ

1. ไข้หวัด 2009 ดูเหมือนไม่รุนแรง อัตราการตายต่ำ แต่แพร่ระบาดง่ายและรวดเร็ว (การแพร่กระจายสูง)

2. ความน่ากลัวของหวัด 2009 คือการกลายพันธุ์ต่างหาก และการกลายพันธุ์จะเกิดง่ายที่สุด เมื่อคน 1 คน หรือสัตว์ 1 ตัว เกิดติดหวัด 2 ชนิดพร้อมกัน (เช่นหวัด 2009 + หวัดธรรมดาพร้อมกัน หรือหวัด 2009 + หวัดนกพร้อมกัน)

ขณะนี้ "หวัดนกซึ่งรุนแรงและมีอัตราตายสูงมาก ยังไม่ได้หายไป" และแนวโน้มของหวัดนก จะ "ระบาดซ้ำอีก ทุกๆ ปลายปี" แม้ว่าหวัด 2009 มันไม่รุนแรง แต่ถ้าปล่อยให้แพร่แบบนี้ "อีกไม่นานมันอาจผสมกัน"

.........เอาความสามารถในการแพร่กระจายของหวัด 2009 บวกกับความรุนแรงของหวัดนก เมื่อนั้นก็หายนะ !!!!! และนั่นคือ สาเหตุที่อยากให้คนไทยทุกคนดูแลสุขภาพให้ดี อย่าให้เป็นหวัด อย่าให้โรคนี้แพร่กระจายไปกว่านี้

ถ้าเป็นหวัดแล้ว แยกตัวจากคนอื่นทันที อย่าไปเดินตลาด อย่าไปห้างหรือที่ชุมชน และใส่หน้ากากอนามัยทันที อย่าให้เชื้อแพร่สู่คนและสัตว์รอบข้าง ถึงแม้จะอยู่บ้านที่มีสมาชิกแค่ 2 คนก็ตาม


2. ถ้าเป็นขึ้นมา ไปหาหมอเดี๋ยวก็หาย???

Answer : คุณรู้ไหมว่า เวลาคุณไปหาหมอเพราะเป็นหวัด หมอจะจ่ายยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ให้คุณ แต่ไม่มียาฆ่าเชื้อหวัด!!!

นอกจากคุณติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม เช่น ทอนซิลอักเสบ คออักเสบ หมอจึงจะจ่ายยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ติดซ้ำเติมให้ แต่ก็ยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสหวัดให้อยู่ดี!! เพราะยาฆ่าไวรัสมันแพงมาก และไม่คุ้มที่จะแจกจ่ายพร่ำเพรื่อ เพราะจะทำให้ไวรัสยิ่งกลายพันธุ์ดื้อยาขึ้นไปอีก ดังนั้น 99.99% ของคลินิก และโรงพยาบาลขนาดเล็ก จึงไม่มียารักษาการติดเชื้อไวรัสหวัดไว้ในสต็อกยาเลย

สิ่งที่ดีที่สุดในการรักษาไข้หวัด คือการกินยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ตามอาการ แล้วนอนพักผ่อนมากๆ พยายามอย่าไปแพร่เชื้อใส่ใคร เดี๋ยวก็หายเพราะร่างกายรักษาตัวเองครับ

แต่กรณีไข้หวัดใหญ่มีลุ้นหน่อย เพราะเชื้อรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา บางคนหาย บางคนไม่รอด ณ จุดนี้ยังนับว่าโชคดี ที่อัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังนับว่าต่ำอยู่.... แต่อย่างที่บอกข้อแรก มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปไหม?....

(ข้อแปลก เกี่ยวกับหวัด 2009 ที่ไม่เหมือนหวัดใหญ่สเปน คือ หวัดสเปน คนตายมักเป็นคนร่างกายอ่อนแอชัดเจน เช่น คนแก่ และเด็ก แต่หวัด 2009 อัตราการตายค่อนข้างมั่วซั่ว คนหนุ่มสาวก็มีตาย มีบางทฤษฎี บอกว่า อาจเป็นเพราะไม่ได้ตายจากเชื้อ แต่ตายจากระบบภูมิคุ้มกันตัวเองที่พยายามฆ่าเชื้อโรค แต่ร่างกายแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนเซลล์ติดเชื้อ อันไหนเซลล์ตัวเองที่ยังดีอยู่ เลยทำลายล้างทั้งหมด ร่างกายคนหนุ่มสาวภูมิต้านทานดี ระบบทำลายนี้เลยทำลายตัวเองได้ดีตามไปด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้ ความเห็นนี้ยังเป็นแค่ทฤษฎี)

ส่วนยา Tamiflu น่ะ อย่าไปหวังอะไรกับมันมากเลยครับ เพราะ

ตอนนี้ยาขาดตลาด โรงพยาบาลหลายแห่งหายานี้มาสต็อกไว้ไม่ได้

ยานี้จะออกฤทธิ์ได้ดี เมื่อคนไข้ถูกตรวจพบเจอก่อนเกิดอาการ แล้วคนไข้คนไหนจะเดินไปหาหมอตอนไม่มีอาการล่ะครับ ( ถึงไปหาหมอก็ไม่ตรวจให้หรอก หรือถึงหมอตรวจให้ คุณจะจ่ายค่าตรวจราคา 4000+ บาท โดยมีอาการแค่นิดๆ ไหมล่ะครับ?

ตอนนี้เริ่มมีรายงาน เชื้อดื้อยา Tamiflu แล้วครับ เพราะว่าไวรัสมันกลายพันธุ์เร็ว








3. ฉีดวัคซีนป้องกันได้???

Answer : วัคซีนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สเปนครับ เป็น H1N1 เหมือนกัน แต่เป็นเชื้อคนละตัว พูดง่ายๆ คือ ในทางทฤษฎี วัคซีนนี้ไม่น่าจะป้องกันหวัด 2009 ได้เลย แต่ให้ฉีดไว้ก่อนเพราะ

ตอนแรกนักวิทย์คำนวณไว้อยู่แล้วว่า ปีนี้ไข้หวัดสเปนต้องระบาด (ใครจะนึกว่ามันจะกลายพันธุ์เป็น 2009 ) อย่างน้อยการฉีดนี้เป็นการตัดไข้หวัดสเปนออกไปก่อน พูดง่ายๆ คือ ถ้าใครเดินมาโรงพยาบาล เราจะได้สงสัยไปเลยว่า เป็นหวัด 2009 ไม่ใช่หวัดสเปน จะได้ง่ายต่อการควบคุมรักษา

ถ้าเกิดไข้หวัดสเปน เกิดระบาดขึ้นมาพร้อมกันตอนนี้ อัตราการตายมันสูงกว่า หวัด 2009 มากนะครับ

แม้ทางทฤษฎี วัคซีนนี้จะกัน 2009 ไม่ได้เลย แต่ไหนๆ ก็เชื้อตระกูลเดียวกัน และเป็นเชื้อใหม่ด้วย ใครจะไปรู้ว่ามันอาจป้องกันหวัด 2009 ได้สัก 1% ก็ได้ มีเงินก็ฉีดๆ ไปแบบ Better Than Nothing แต่ต้องรู้นะว่า การฉีดวัคซีนนี้ ไม่ได้แปลว่า คุณไม่ต้องกลัวแล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อหวัด 2009 แล้ว มันแค่ลดความเสี่ยงไปสักถึง 1% รึเปล่ายังไม่รู้เลย??








4. แล้วอะไร คือสิ่งที่ควรทำตอนนี้???

Answer :

4.1 ระดับส่วนตัวและครอบครัว

ในภาวะปกติ

ตอนนี้ต้องยอมรับว่า ทุกแหล่งชุมชนคือจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาด โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นห้องแอร์ระบบปิด เช่น ในห้างสรรพสินค้า โรงหนัง บนรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน ถ้าจะเดินเข้าแหล่งชุมชนเหล่านี้ ควรใส่หน้ากากป้องกันตัวเองได้แล้วครับ!!!!!

ถ้าคุณมีอาการของโรคหวัด แค่ ไอ จามเล็กๆ น้อยๆ ควรแยกตัวจากครอบครัวและสังคมเท่าที่ทำได้ เช่น แยกห้องนอนจากคนอื่น ถ้าต้องอยู่ร่วมกันก็ใส่หน้ากากตลอดเวลา (หาซื้อไม่ได้ ก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาผูกไว้ก็ยังดีกว่าหายใจรดกันตรงๆ)

ปิดปากปิดจมูกเสมอ อย่าหายใจรดใคร อย่าไอจามใส่ที่สาธารณะ เลิกถ่มน้ำลายลงพื้นได้แล้ว

ล้างมือให้บ่อยที่สุด การเอามือไปป้ายโน่นป้ายนี่ เป็นช่องทางการแพร่เชื้อที่ดีเยี่ยม

ตอนเช้าตื่นนอน เปิดหน้าต่างกว้างๆ เปิดพัดลมไล่อากาศออกสักนิด ก่อนจะให้ใครคนอื่นเดินเข้ามาในห้องเรา เสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน หมั่นซักบ่อยๆ (ไม่รู้มีคราบเสมหะ ตอนเราไอจามติดอยู่รึเปล่า) ล้างมือให้บ่อยที่สุด แต่ไม่ต้องถึงกับแยกห้องน้ำหรอกนะ แค่เอาแปรงสีฟันเราออกมาเก็บเอง อย่าใส่ถ้วยเดียวกับคนอื่นก็พอ









อาการอย่างไรจึงควรไปตรวจที่โรงพยาบาล?

1. มีไข้ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไปร่วมกับ
2. อาการอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจผิด ปกติ (หอบ, ลำบาก), หรือแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นปอดบวม ร่วมกับมีผู้สัมผัสร่วมบ้าน หรือในที่ทำงานป่วยสงสัยไข้หวัดใหญ่หรือปอดอักเสบ ภายใน 1 สัปดาห์ก่อนวันเริ่มป่วย

ถ้าอาการแค่เป็นหวัดเจ็บคอธรรมดา ไข้ไม่สูง ไม่นอนซม ไม่ต้องวิ่งไปรับเชื้อที่โรงพยาบาลนะครับ อย่าลืมว่าตอนนี้โรงพยาบาลนั่นแหละ เป็นแหล่งแพร่เชื้อที่ดีที่สุด


4.2 ระดับนโยบายของรัฐ และสื่อมวลชน

มาดูกันนิดนึง ว่าทำไมประเทศเราถึงควบคุมการระบาดไม่ได้เลย ขณะที่ประเทศต้นตำรับการระบาดอย่าง Mexico ซึ่งไม่ได้เจริญกว่าบ้านเราเลย เขาถึงควบคุมการระบาดระลอกแรกได้

จำข่าวได้มั้ยครับ ว่าตอนแรกที่ Mexico เขาระบาดเขาทำอะไรบ้าง ??

ปิดเลยครับ !!! เขากล้าพอที่จะปิด โรงเรียนทุกแห่ง โรงหนังทุกแห่ง ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมกัน 1 สัปดาห์ พร้อมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อ ตามโรงหนัง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ด้วย

นั่นคือสาเหตุที่เขาควบคุมการระบาดระลอกแรกได้ทันทีในสัปดาห์ต่อมา....

ส่วนประเทศไทย ออกข่าวว่า ไม่มีอะไร ไม่น่ากลัว แต่คนติดเชื้อเพิ่มเป็นหลักร้อย หลักพันทุกวัน??? เพราะมัวแต่กลัวว่า เศรษฐกิจจะทรุด การท่องเที่ยวจะกระทบ ทั้งที่เศรษฐกิจ คือ สิ่งที่เราสร้างได้แน่นอน ถ้าคนไทยยังมีลมหายใจอยู่ครับ

ขอสรุปเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไว้ดังนี้

1. โรคนี้ อันตรายครับ .... และยังกลายพันธุ์ให้อันตรายกว่านี้ได้อีกในปลายปีนี้ครับ
2. โรคนี้ หวังพึ่งยารักษาไม่ได้ครับ และตอนนี้เริ่มดื้อยาแล้วด้วยครับ
3. โรคนี้ต้องป้องกันอย่างเดียวครับ
4. จะควบคุมการระบาดได้ ต้องพร้อมใจกันใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ พร้อมกันทั้งสังคมครับ
5. จะควบคุมการระบาดได้ ต้องปิดโรงเรียน โรงหนัง ศูนย์การค้าใหญ่ๆ ได้แล้วครับ ขอแค่ 3 วันก็ยังดีครับ!!!!!


ของแถม

ขออธิบายเรื่องการกลายพันธุ์ของไวรัสล้วนๆ จะได้รู้ว่าทำไมผมถึงคิดว่าเราควรตื่นตัว

อธิบายความรู้พื้นฐานเพื่อให้เข้าใจก่อน

HOST = เหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( มนุษย์ หรือ หมู / นก สัตว์ต่างๆที่มันเข้าไปสิง)
HOST cell = เซลล์ของเหยื่อ ที่ไวรัสเข้าไปฝังตัว ( เซลล์ มนุษย์ หรือ สัตว์)

+++ปฏิบัติการเมื่อไวรัสเข้าไปใน HOST Cell+++

ไวรัส เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ครบองค์ประกอบของการเป็นเซลล์ มันจึงไม่สามารถแพร่พันธุ์ด้วยตัวเองได้ แต่จะแพร่พันธุ์โดยการฝังตัวเข้าไปใน HOST cell

ดูรูปประกอบ พื้นที่สีชมพูทั้งหมด คือ HOST cell

รูปหกเหลี่ยมสีเหลือง คือไวรัส

หมายเลข 1-2 คือ ไวรัส สัมผัสผิวเซลล์ แล้วจะละลายตัวเองเข้ากับผนังเซลล์ บุกเข้ามาภายใน Host Cell
หมายเลข 3 เมื่อเข้ามาแล้ว ไวรัสจะสลายเปลือกตัวเอง เหลือแต่ RNA คือเกลียวสีแดงในรูป
หมายเลข 4a RNA คือสารพันธุกรรมของไวรัส ที่จะหลอกล่อ RNA ของHost (เกลียวสีน้ำเงิน) ให้มาประกบตัว เพื่อสร้างไวรัสตัวใหม่ออกมามากมาย (ปกติ RNA ของมนุษย์ มีไว้สร้างโปรตีน และสารจำเป็นอื่นๆ ต่อร่างกาย และแน่นอนมันเป็นสารที่มีรหัสพันธุกรรมมนุษย์อยู่ด้วย)

ในรูป
4b คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้างเปลือกใหม่ ให้มันแทนอันที่มันสลายทิ้งไปตอนแรก
4c คือ RNA ไวรัส หลอก RNA มนุษย์ ให้สร้าง RNA ไวรัสใหม่ (ที่ปะปนกับ RNA มนุษย์ เรียบร้อยแล้ว จะกลายพันธุ์ได้ช่วงที่หนึ่งก็ตอนนี้แหละ)

หมายเลข 5-6 ประกอบร่างกันใหม่อีกครั้ง ได้เป็นไวรัสลูก (ที่ขโมย RNA ของ Host มาผสมเรียบร้อย) จำนวนนับหมื่นนับแสน เข้าละลายผนังเซลล์ของ Host แล้ว บุกออกจากตัว Host ออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง คือ การระบาดนั่นเอง







ไวรัสกลายพันธุ์อย่างไร

1. Mutation =การผ่าเหล่าของพันธุกรรม : วิธีนี้ช้า ในมนุษย์ ใช้เวลาหลายร้อยชั่วคน แต่ในไวรัส ไม่กี่รุ่นก็ทำได้ (จำคำอธิบายข้างต้นว่า เพียงพ่อเดียว (host ที่ไวรัสไปฝังตัว--> ไวรัสก็ออกลูกได้เป็นหมื่น จึงไม่ต้องรอหลายรุ่นอย่างมนุษย์) และแน่นอน ไม่ต้องรอนับพันปีอย่างมนุษย์ ไวรัสใช้เวลาเป็นวัน หรือชั่วโมงเท่านั้น

2. Genetic Recombination เป็นวิธีที่เร็วอย่างน่ากลัวเข้าไปอีก อธิบายดังนี้.....

โปรดดูรูปประกอบอีกครั้ง เกลียวสีแดงๆ นั้นแทน RNA ซึ่งล่องลอยไปมาในเซลล์

คราวนี้ลองนึกภาพว่า ถ้ามีไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปบุกเข้าไปในเซลล์ Host พร้อมกัน ไวรัสนั้นจะสลายเกราะ ปล่อย RNA ของมันออกมาล่องลอยในเซลล์ ก่อนจะประกอบร่างตัวเองขึ้นมาใหม่เป็นไวรัสลูกหลานออกนอกเซลล์ ตอนนี้แหละมันก็ลากเอา RNA อะไรก็ได้มาประกอบร่าง ( ทั้งของไวรัสอีกตัวนึง กับของ Host ) ผสมกันออกจากเซลล์ กลายเป็นไวรัสพันธุ์ใหม่เสร็จสรรพ.....

นี่คือที่มาว่า ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 ธรรมดา กลายมาเป็นไข้หวัดหมูเม็กซิโก 2009 ได้ยังไง สรุปง่ายๆ คือ Host (คนหรือสัตว์) เกิดแจ็คพอตติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2 ชนิดขึ้นไปในคราวเดียวกัน ไวรัสก็จะไปผสมพันธุ์กันในร่างเหยื่อคนนั้น ก่อให้เกิดไวรัสพันธุ์ใหม่ พร้อมกันทีเดียวหลายพันหลายหมื่นเผ่าพันธุ์

แต่แน่นอนการผสมมั่วซั่วเหล่านี้ ไวรัสพันธุ์ใหม่ที่ได้ส่วนใหญ่จะอยู่ไม่รอดในธรรมชาติ แต่มันหลุดมาเป็นหมื่นชนิด มีหรือจะไม่มีชนิดหนึ่งเล็ดรอด ใช่แล้ว และตัวที่รอดออกมาก็คือ "ไข้หวัดใหญ่ เม็กซิโก 2009 SWINE FLU"

ดูแล้วพอจินตนาการได้มั้ยครับ ว่า ถ้ามันจะกลายพันธุ์ต่อก็ใช้วิธีเดียวกันได้ไม่ยากเลย!!!!!!


The bad news: the flu vaccine will not protect you.
ข่าวร้าย วัคซีนไข้หวัดแบบปัจจุบันยังป้องกันอะไรไม่ได้

The good news: antiviral drugs (Tamiflu and Relenza) will work.
ข่าวดี : เค้าว่า ยา Tamiflu ช่วยได้

The bad news: antiviral drugs are not very effective after symptoms start, which is why they are not commonly used in medical practice.
ข่าวร้าย : ยาพวกนั้น จะใช้ไม่ค่อยได้ผล เมื่อเริ่มมีอาการแล้วววว นั่นคือสาเหตุที่หมอเองยังไม่ค่อยมีโอกาสสั่งยาพวกนี้เลย


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

หมอแมวและคุณหล่อใสไร้รัก เวปpantip












Create Date : 21 กรกฎาคม 2552
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 15:47:17 น. 1 comments
Counter : 2519 Pageviews.

 
ขอบคุณบทความดีๆ อย่าลืมใส่ ผ้าปิดจมูก กันนะคะ


โดย: Aussie angel วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:31:42 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลูกน้ำกว๊าน
Location :
พะเยา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีต้อนรับทุกท่าน นะคะ




อยากมีและอยากรู้จัก เพื่อนที่มีที่มาต่างกัน และอยากร่วมแชร์ ประสบการณ์ให้คนอื่น ได้รับรู้บ้าง เพื่อนๆชาว บลอคแกงค์เป็นอะไรที่ ใช่เลย ที่คอยอยู่ด้วยกัน ตลอดเวลา พอเรา เปิดดูครั้งใดก็จะมีคน นั่งเขียนบลอก นั่งอยู่ที่ หน้าจอ คอยเป็นเพื่อน กันเสมอ รัก ทุกคนใน บลอกแกงค์ ค่ะ
: Users Online
Friends' blogs
[Add ลูกน้ำกว๊าน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.