" จั ด ชี วิ ต ~ ใ ห้ เ ป็ น ร ะ เ บี ย บ "
Group Blog
 
 
มีนาคม 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
17 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
ความทรงจำที่ว่างเปล่า





อย่าปล่อยให้ความทรงจำที่มีกับลูกนั้นว่างเปล่า
เส้นทางแห่งความสำเร็จที่ ดร. นพ. กิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ ผอ.รพ.หัวใจกรุงเทพ และผู้ก่อตั้งร่วม Minneapolis Heart Institute แห่งรัฐมินนิโซตา 1 ใน 10 สถาบันโรคหัวใจที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา แผ้วถางไว้ดูสง่างามเสมอ จวบจนวันที่เขาพบกับความสูญเสียที่มิอาจอุทธรณ์ จนหากหมุนเวลากลับได้..เขาจะไม่เป็นหมอ

“ถ้าให้เลือกระหว่างชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะศัลยแพทย์กับการได้มีเวลาอยู่กับลูก ผมขอทำอย่างอื่นที่ไม่ต้องใช้เวลาไปกับโรงพยาบาล กับเทรนนิ่ง และกับความเป็นหมอดีกว่า”

“เมื่อย้อนกลับไปมองชีวิตตัวเองว่ามีอะไรไม่ถูกต้องและน่าเศร้าที่สุด พบว่าผมทุ่มเทให้กับงานมากเกินไป ผมแต่งงานตอนจบแพทย์ เรียนต่อเฉพาะทางและทำงานใช้ทุนที่อเมริกาตอนมีลูกชายคนโต (ไก่ มารช วิสุทธารมณ์) เราทั้งคู่ต้องทำงานและเรียนหนังสือไปด้วย จึงไม่สามารถเลี้ยงลูกเองได้ ต้องส่งไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่เมืองไทยตนเขาอายุ 3 ขวบ”
“เมื่อมีลูกคนเล็กยิ่งแย่ใหญ่ ผมต้องอยู่เวรครั้งละ 72 ชั่วโมง กลับบ้านหนึ่งคืนแล้วต้องกลับไปอยู่เวรใหม่อีก 72 ชั่วโมง ขนาดวันคลอดยังปล่อยให้ภรรยาไปคลอดอีกโรงพยาบาลคนเดียว เพราะผมต้องไปดูเคสผ่าตัดให้หัวหน้าตั้งแต่หกโมงเช้า กว่าจะออกจากห้องผ่าตัดก็บ่าย ถึงได้รู้ว่าลูกเป็นชายหรือหญิง”
“นี่เป็นผลพวงจากการเรียนแพทย์สมัยนั้น ซึ่งหนักหนากว่าปัจจุบันมาก เพื่อนฝรั่งที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ศัลยกรรมทั่วไป 7 คนแต่งงานแล้วทั้งหมด แต่พอเรียนศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกต่ออีกสองปีครึ่ง ต้องหย่ากันถึงสามคู่ เพราะภรรยาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอยู่เวร กลับดึก และทำงานหนักขนาดนั้น แต่เราไม่มีทางเลือก หากต้องการเรียนให้จบก็ต้องทำทุกอย่างตามที่เขากำหนด ยิ่งผมไม่ใช่อเมริกัน ถ้าจะแข่งขัน เขาทำ 100% ผมต้องทำให้ได้ 120% จึงทุ่มเทเวลาให้กับงานมากกว่าครอบครัว”

“ลูกโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผมไม่เคยมีเวลาให้ ได้อยู่ด้วยกันน้อยมาก ช่วงลูกไก่อายุ 7 – 12 ขวบ ผมทำปริญญาเอกอีกใบ เลิกงานแล้วต้องเรียนหนังสือ ไม่ก็ขลุกอยู่ในห้องสมุดจนดึกถึงกลับบ้าน ชีวิตที่จะได้ใช้กับลูกจึงหมดไป พองานเริ่มสบายขึ้นเริ่มมีเวลา ลูกก็โตจนไปไหนมาไหนกับเพื่อนเองแล้ว”

“ มองกลับไปก็นึกไม่ออกเลยว่าได้ทำอะไรกับลูกบ้าง ความทรงจำว่างเปล่าไปหมด ผมอยู่อเมริกา เขาเรียนจบก็มาเมืองไทย พอเขากลับไป ผมก็ย้ายกลับมา สวนกันตลอด การที่ผมห่างหายไปจาก 12 ปีแรกของชีวิตลูกจึงยังเป็นความรู้สึกผิดบาปที่เกาะกินใจเรื่อยมา แต่โชคดีภรรยาอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่ผมไม่มีเวลา ทำให้เราไม่เคยมีปัญหากัน และสนิทกันมาก แม้ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตด้วยกันก็ตาม”

“ลูกไก่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร สมัยประถม เวลาปิดเทอมไปเรี่ยไรขอรับบริจาคนม ขนม อาหารกระป๋อง จากเพื่อนบ้าน และส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าเพื่อเก็บเงินไปซื้อของให้คนไร้ที่อยู่ พอเรียนมหาวิทยาลัย ในวันขอบคุณพระเจ้า เขากลับมาบ้าน ทำไก่งวง อบขนมปัง เตรียมสลัด แล้วนำไปให้คนยากไร้ที่ไม่มีเงินกิน หรือตอนเกิดสึนามิ เขาก็ทำเว็บไซต์ //www.phuketproject.org รวบรวมเงินได้ 80,000 เหรียญ ได้เพื่อนจากทั่วโลกอีก 100 กว่าคนมาช่วยกันสร้างบ้านให้ชาวบ้านที่ไม้ขาวกับเขาหลัก ซึ่งทุกอย่างเขาทำเองมาโดยตลอด ไม่เคยมีใครบอกให้ทำ”

“เขาเคยมาเปรย ๆ เรื่องอยากทำงานให้ International Rescue Committee (IRC) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระของสหประชาชาติที่ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในนานาประเทศ แต่เราทักท้วงไว้ เพราะหน้าที่การงานเดิมกำลังไปได้สวย เป็นถึง Executive Creative Director อายุน้อยที่สุดในบริษัทโฆษณาที่เขาทำ มีอนาคตสวยงามรออยู่ ส่วนงานใหม่ได้เงินน้อยกว่าเดิมถึงสามเท่า แถมเสี่ยงอันตรายจากเหตุความไม่สงบ เขาฟังแล้วบอกว่าจะลองคิดดู ซึ่งดูก็รู้ว่าใจเขาไปกับงานนั้นแล้วแน่นอน เพราะเป็นความชอบส่วนตัว จากที่เคยทำงานอาสาสมัครในหลาย ๆ ประเทศแถบแอฟริกามาแล้ว”

“แล้วคืนหนึ่งก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางใจ เมื่อมีโทรศัพท์จากญาติที่อเมริกามากลางดึกเพื่อแจ้งข่าวร้ายว่าลูกไก่ได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมฟังแล้วช็อก ไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง”
“เขาไปเมืองคิกาลี ประเทศรวันดา เพื่อสำรวจพื้นที่ก่อนจะตกลงรับงานกับ IRC วันนั้นเขาต้องเดินขึ้นเขาสูงกว่าหมื่นฟุต ขากลับบ่นปวดขามากจึงขอหยุดพักก่อน พวกที่เหลือเดินต่อไปได้ไม่เท่าไหร่ ชาวบ้านก็วิ่งหน้าตื่นตามมาบอกว่าคุณไก่เป็นลมล้มพับไป พอกลับไปดูเขาก็เสียชีวิตแล้ว”

“ใบมรณบัตร แจ้งว่าเขาเป็นลิ่มเลือดอุดตันหัวใจ ฟังจากคำบอกเล่าของคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ตัวบอกเหตุน่าจะมาจากการที่อยู่ ๆ เขาปวดต้นขามาก นั่นคืออาการที่ลิ่มเลือดไปเกาะกันแน่นที่ผนังหลอดเลือดบริเวณต้นขา จนขวางการไหลเวียนของกระแสโลหิต พอถูกแรงดันมาก ๆ ลิ่มเลือดจึงหลุดผลัวะแล้วไหลไปทับถมกันจนอุดตันที่หัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน อาการนี้พบไม่บ่อยนัก หากไม่ตรวจละเอียดถึงขั้นดูความผิดปกติของผนังหลอดเลือดก็จะไม่รู้”

“ ซึ่งยิ่งทำให้เสียใจมากขึ้นไปอีก เพราะผมเป็นหมอ รักษาคนไข้มาไม่รู้เท่าไหร่ แต่กับลูกชายแท้ ๆ กลับไม่เคยแม้แต่จะตรวจร่างกายเขาด้วยตัวเองสักครั้ง ได้แต่จับลูกชายคนเล็กมาตรวจละเอียด เป็นการป้องกันประวัติศาตร์ซ้ำรอยทีหลัง”

“ตอนไปรับศพที่สนมบิน ผมคิดว่าทำใจได้แล้วประมาณหนึ่ง แต่พอเห็นโลงศพถูกยกลงมา หัวใจเหมือนถูกขยุ้มเค้นจนปวดไปหมด แต่ต้องเข้มแข็งไว้เพราะภรรยาควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ฟูมฟายใช้มือเปล่าพยายามงัดตะปูเปิดฝาโลงออก กลัวลูกอึดอัดหายใจไม่ออก ต้องปลอบกันอยู่นานกว่าจะสงบ”

“เปิดโลงออก ตัวเขายังเปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด ผมจึงจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เขาใหม่ ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมานั่งทำศพลูก มีแต่คำถามเต็มหัวว่าทำไมต้องเป็นเรา ตอนเป็นลูก ผมต้องเสียพ่อแม่และพี่สาวไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันมาแล้ว ทำไมยังต้องเป็นเราอีก”

“เหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนย้อนกลับมาในหัว ตอนนั้นพ่อแม่และพี่สาวขับรถไปดูที่ดินต่างจังหวัด จู่ ๆ จักรยานยนต์พุ่งมาจากไหนไม่รู้ อัดเข้าที่ถึงน้ำมันแล้วแฉลบไปใต้ท้องรถ ไฟลุกพรึ่บท่วมคัน พ่อหนีออกมาจากรถได้เลยกลับไปช่วยแม่และพี่สาวที่ติดอยู่ในรถ แต่ไม่สำเร็จ ตัวเองโดนไฟคลอกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ พยายามกลิ้งตัวกับพื้นเพื่อดับไฟจนตกคูน้ำเน่าข้างทาง รักษาตัวในโรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน แผลก็ติดเชื้อ และเสียชีวิตตามแม่กับพี่สาวไป”

“คิดไปก็หาคำตอบไม่ได้และยากจะทำใจยอมรับ ทุกวันนี้ผมจึงยังคงทำงานหนักไม่ต่างไปจากสมัยที่อยู่อเมริกา อยู่โรงพยาบาลวันละ 14 ชั่วโมงทุกวันตลอดสัปดาห์ จะต่างกันก็เพียงเมื่อก่อนผมทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่อชื่อเสียงและความสำเร็จ แต่ทุกวันนี้ผมทำงานหนักเพื่อจะได้ไม่มีเวลาคิดเรื่องลูก แต่แม้เสียใจมากเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือความภาคภูมิใจในตัวเขาที่ทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอดกระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต”

“วันเวลาที่หมดไปกับหน้าที่การงานทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกันของผมและลูกซีดจาง บางช่วงว่างเปล่าจนนึกอะไรไม่ออก ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้าและอันตราย เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ กับทุกคนหากไม่ระวัง ทำให้ผมพร่ำบอกกับลูกน้องไม่ว่าจะเป็นหมอหรือใครก็ตามว่า ควรมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ช่วงชีวิตของลูกก่อนที่เขาจะโตเริ่มไปกับเพื่อนนั้นสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคน ฉะนั้น ใครก็ตามที่ลูกยังเล็ก จงอย่าได้ปล่อยให้พื้นที่ตรงนี้ว่างไป เพราะถ้าปล่อยผ่านไปแล้วจะหมุนเวลากลับมาไม่ได้อีก เวลาที่ใช้ร่วมกันมีค่ามากเกินกว่าจะพยายามทำแต่งานหาแต่เงิน ซึ่งสิ่งที่ได้มาไม่สามารถซื้อช่วงเวลาตรงนี้กลับมาได้ ถ้าคุณทำอย่างเดียวกับผม สุดท้ายก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกัน”

“เพราะฉะนั้น...อย่าทำอย่างผมเป็นอันขาด”

คัดมาจากนิตยสาร แพรว




Create Date : 17 มีนาคม 2550
Last Update : 17 มีนาคม 2550 1:02:28 น. 3 comments
Counter : 1759 Pageviews.

 
บทความนี้ดีจังเลยคะ..ขอบคุณที่เอาให้อ่านคะ


โดย: พิจักษณา วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:8:53:27 น.  

 
เคยดูในทีวีเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรายการเจาะใจ คือครอบครัวไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน หรืออยู่ก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นอุทาหรณ์เตือนใจดีค่ะว่าเวลาเราไม่ได้มีมากมาย เราควรใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด และครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด


โดย: วันวานที่ผ่านมา วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:9:23:28 น.  

 


โดย: jodtabean (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:4:19:39 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

" จัดชีวิต ~ ให้เป็นระเบียบ "
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ชีวิต ทุกวันนี้ อะไร ๆ ก็ ดู ซับซ้อนขึ้น..

บ่อย ครั้งที่เรามักได้ยินคำพูดจาก

ใครคนใดคนหนึ่ง ว่า

" ชีวิต มันไม่ ง่ายเหมือน ดังแต่ก่อน "

หลายครั้ง เรา รู้ สึกเหน็ดเหนื่อย

ในใจ บอก เรากลับมา ว่า

" ปล่อยวาง ซะบ้าง ก็คงจะดี "



เวลา ขณะนี้
Google

ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
Friends' blogs
[Add " จัดชีวิต ~ ให้เป็นระเบียบ "'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.