พฤหัสกำสรด
บรมราชจักรีวงศ์
ข่าวเด่นประเด็นดัง
ตุลาคม 2555
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
19 ตุลาคม 2555
วันสบายๆ ในเมืองสองวัฒนธรรม บนเส้นทางสายไหม "ศรีเทพ-ซับจำปา"
สุดปลาบปลื้ม..สล่าลำปางหนึ่งเดียว หล่อกระถางประดับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.๙
9 มิ.ย.ฤกษ์ลงสีจิตรกรรมฝาผนังพระที่นั่งทรงธรรม
จัดสร้างพระเมรุมาศคืบหน้า 48% เร่งติดตั้งองค์ประกอบสถาปัตยกรรม
ลายเครือเถาครุฑ ฐานรองพระโกศจันทน์
26 ตุลาคม วันถวายพระเพลิง หยุดราชการ 1 วัน ครม.รับทราบหมายพระราชพิธี 25-29 ต.ค.
ร่างหมายกำหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 5 วัน จัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ กทม.12 จุด ตจว.ทุกอำเภอ
ราชกิจจาฯ เผยแพร่ประกาศสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20
สังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประมุขสงฆ์ผู้ สมถะ-ตงฉิน สังฆราชาผู้ใฝ่วิปัสสนากัมมัฏฐาน
'สังฆราช' โปรดเรียบง่าย อยู่สมถะ รถก็ยังไม่มีใช้
ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน โพสต์ตราสัญลักษณ์ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20
"วิษณุ" เผย เรียก "สมเด็จพระสังฆราช" ว่า "ฝ่าพระบาท"
ประวัติ 'สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20' ในรัชกาลที่ 10
พระสังฆราชองค์ใหม่ใช้พระนาม'สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ'
รัชกาลที่ 10 โปรดเกล้าฯ ถวายอิสริยยศพระสงฆ์ที่ดํารงอยู่ในสมณคุณให้สูงขึ้น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 10 องคมนตรี
ภาพแผนที่ฝีพระหัตถ์ และภาพวาดจิตรกรดังจากหนังสือพระมหาชนก
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแบบแม่ลูก และเมนู(ปลา)ทรงโปรดของในหลวง "ร.๙"
สถานที่พร้อม! เตรียมพิธี บวงสรวงตัดไม้จันทน์หอมป่ากุยบุรี ถือฤกษ์ 14.09 น.พรุ่งนี้
(ชมภาพ) ฝึกพูดภาษาอังกฤษ จากตำราฯ สมัยราชวงศ์ชิง
วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ถนนพระราม 9
นิตยสารไลฟ์สัมภาษณ์ชีวิตรักในหลวง สนพระทัยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เพราะเพลงบีบ๊อพ!เป็นในหลวงถ่ายรูป
นักข่าวตะวันตกว่าในหลวงเป็นกษัตริย์ที่ไม่ปรากฏรอยยิ้ม! แต่ผู้ใกล้ชิดเล่าพระอารมณ์ขันไว้มากมาย!!
"คุณพลอยไพลิน เจนเซน" พร้อมครอบครัว ถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙
สัญญาณอันตราย ไร่ส้ม จ่อแววเจ๊ง เรตติ้งฮวบ โฆษณาหด พิธีกรแป้ก
เกาะทองคำ
"ดร.สาทิส อินทรกำแหง" ผู้ก่อตั้งชมรมชีวจิต เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 86 ปี
จัดประกวดทีมสวดมนต์แบบยกชั้น ปลูกจิตสำนึกวิถีพุทธ-เยาวชน
สวดคฤหัสถ์
ปางมารวิชัย หรือปางพิชิตมาร
วันสบายๆ ในเมืองสองวัฒนธรรม บนเส้นทางสายไหม "ศรีเทพ-ซับจำปา"
นักวิทย์ค้นพบใหม่ "ดาวเคราะห์นอกระบบ" ขนาดเท่าโลก อยู่ใกล้ระบบสุริยจักรวาลมากสุด
รำลึก 82 ปี "จิตร ภูมิศักดิ์" นักปฏิวัติสามัญชน
"พวงหรีดหนังสือ" ผลงาน ร.ร.บ้านลำป่าสักมูล
สเต็มเซลล์-โคลนนิ่ง อันเนื่องมาจากรางวัลโนเบล
ระวัง .. สารฟอกขาวตกค้าง เก๋ากี้ ดอกไม้จีน เยื่อไผ่ เห็ดหูหนู แนะก่อนปรุงทำความสะอาด
อีกไม่นาน 1 ใน 5 ของประชากรโลกจะมีอายุเกิน 60 ปี สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดคือเรื่องอะไร ?
วิจัย พบ ชายศีรษะล้านมีโอกาสก้าวหน้าในการงานและธุรกิจมากกว่า
"แพทย์ทางเลือก" ศาสตร์เพื่อการแสวงหาทาง"รอด"
พบแล้ว ! เด็กหญิงที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุมากขึ้น เกิดจาก ?
เคล็ด-ดวง-ฮวงจุ้ย ประเดิม ′เก้าอี้ใหม่′
ลายมือของนักเรียน ม.ปลายที่สวยที่สุดของประเทศ รับถ้วยพระราชทานในหลวง
วันสบายๆ ในเมืองสองวัฒนธรรม บนเส้นทางสายไหม "ศรีเทพ-ซับจำปา"
โดย กัญจกร รักษ์ชาด
เวลาที่เราพูดถึงเส้นทางสายไหม หรือเส้นทางการค้าที่ขนานไปกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถ้าเป็นเส้นทางทะเล มักพูดถึงเส้นทางข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า (พังงา) - อ่าวบ้านดอน (สุราษฎร์ธานี)
แต่ยังมีอีกทฤษฎีที่เสนอว่า น่าจะเป็นเส้นทางที่ผ่ากลางแผนที่ประเทศไทย ผ่านอุทัยธานี ชัยนาท แล้วตัดเข้ามาทางแม่น้ำป่าสัก เข้าศรีเทพ ไปออกอ่าวตังเกี๋ย
โดยมีสิ่งที่สนับสนุนทฤษฎีดังกล่าว คือการพบเจอโบราณวัตถุ รวมทั้งลูกปัด ตลอดเส้นทางนี้ โดยเฉพาะที่เมืองโบราณศรีเทพ เมืองโบราณซับจำปา
เมื่อฝนฟ้าเริ่มจากลา ประกอบกับกลางเดือนพฤศจิกายนอากาศกำลังเย็นสบาย "มติชน อคาเดมี" พาผู้รักการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปทริปเบาๆ แต่แน่นไปด้วยเรื่องราว ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แค่ สระบุรี-ลพบุรี-ศรีเทพ ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2555 (รายละเอียด 08-2993-9015)
นอกจากพาไปเที่ยวชมวัฒนธรรมไทยเบิ้ง หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน รวมทั้งวัดสมุหประดิษฐาราม จ.สระบุรี วัดที่อาจารย์ภูธรบอกว่า มีภาพอิมเพรสชั่นนิสต์ที่งดงามที่สุด และมีขึ้นก่อนยุโรปด้วยซ้ำ
ไฮไลต์หนึ่งอยู่ที่สองเมืองโบราณ "เมืองศรีเทพ" อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และ "เมืองซับจำปา" บ้านซับจำปา กิ่งอำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี
ทั้งสองเมืองนี้มีจุดทับซ้อนที่เหมือนกันคือ เป็นเมืองโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยังเป็นเมืองที่ปรากฏร่องรอยหลักฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการพบธรรมจักร จารึกคาถาเยธัมมา ประติมากรรมรูปกวางหมอบ ฯลฯ
ผศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ พาชมภายในอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า ในเมืองศรีเทพมีการสร้างทับซ้อนเยอะมาก ตั้งแต่ทวารวดียุคต้นคือที่ "เขาคลังใน" แล้วต่อมาพอทวารวดีเริ่มเสื่อมลง เป็นช่วงที่อาณาจักรเขมรเข้มแข็งขึ้น จะเห็นได้จาก "ปรางค์ศรีเทพ" และ "ปรางค์สองพี่น้อง" มีอายุอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 16
มาถึงศรีเทพ อีกจุดที่ต้องแวะไปชมให้ได้คือ "เขาคลังนอก" จากเนินดินที่มีต้นไม้ขึ้นคลุมไปหมด ชาวบ้านจูงวัวจูงควายขึ้นไปเลี้ยงเป็นประจำ กระทั่งกรมศิลปากรทำการขุดค้นอย่างจริงจัง สถูปศิลปะทวารวดี ขนาดกว้าง 120 เมตร ยาว 120 เมตร สูง 70 เมตร จึงปรากฏให้เห็นความยิ่งใหญ่ที่บ่งบอกถึงการเป็นเมืองสำคัญของศรีเทพอย่างชัดเจน
"เขาคลังนอกสมบูรณ์มาก ที่นี่ไม่เจอประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระแบก อย่างเขาคลังใน แต่ก็ไม่แปลก ที่เด่นของที่นี่คือ ตัวโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ชัดเจนมาก เราจะเห็นว่ามีรูปทรงของซุ้มอินเดีย เรียกว่า "กุฑุ" เป็นอิทธิพลของอินเดีย แต่เป็นพุทธศาสนาที่เข้ามาแล้ว
ด้านบนคือพระเจดีย์ที่ทลายลง ที่เราเห็นเป็นแค่ฐานเจดีย์ โดยความยิ่งใหญ่ของมัน ยิ่งเป็นการยืนยันว่า ศรีเทพสำคัญมาก เพราะในบรรดาภาคเหนือตอนล่างนับแต่เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ จันเสน ขุดเจอรูปเคารพพระโพธิสัตว์ คือ เป็นพระพุทธศาสนาแต่อาจจะประสานมหายานเข้ามาแล้ว
มัคคุเทศก์คนเดิมบอกพร้อมกับตั้งข้อสังเกตถึงระยะทางจากลพบุรีถึงศรีเทพ ราว 100 กิโลเมตร โดยมีแม่น้ำป่าสักผ่ากลาง ซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะสมต่อการเป็นแอ่งอารยธรรม
จากเมืองโบราณศรีเทพ เดินทางต่อไปยัง "ศูนย์ข้อมูลเมืองโบราณซับจำปาและป่าจำปีสิรินธร" ที่นี่เป็นความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาพเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของ "ชมรมอนุรักษ์เมืองโบราณซับจำปาและป่าจำปีสิรินธร"
สำหรับเมืองโบราณซับจำปานั้น เป็นเมืองโบราณมีกำแพงคันดินสูง 2 ชั้น มีคูเมืองลึกตรงกลาง กำแพงเป็นดินอัดแน่นสูงประมาณ 10 เมตร จากพื้นคูเมือง คูเมืองกว้างประมาณ 16 เมตร ฐานเนินดินกว้างประมาณ 20 เมตร ปรากฏร่องรอยที่อยู่อาศัยของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบแล้วไม่น้อยกว่า 20 แหล่ง
ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ได้รับวัฒนธรรมอินเดีย ผ่านทางแม่น้ำป่าสัก หรือจากเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในสมัยนั้น โดยพบโบราณวัตถุแบบทวารวดีจำนวนมาก อาทิ ธรรมจักร จารึก เศียรพระพุทธรูป กวางหมอบ ตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ชุมชนนี้มีผู้คนอยู่อาศัยมาจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 15 จึงถูกทิ้งร้างไปด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ
เราแวะเข้าไปดูส่วนของว่าที่พิพิธภัณฑ์เมืองโบราณซับจำปา ซึ่งใช้พื้นที่ของอาคารเรือนเพาะชำเดิม ผนังด้านในจัดแสดงภาพของเมืองโบราณซับจำปาช่วงที่อยู่ระหว่างการขุดค้น ภาพของโบราณวัตถุชิ้นสำคัญๆ ที่ขุดพบ หลายๆ ชิ้นเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ แต่อีกหลายๆ ชิ้นถูกขายไปอยู่ในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว
กระนั้นก็ยังมีโบราณวัตถุอีกเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งขวานหิน อาวุธทำจากสำริด แวดินเผา ตุ๊กตาดินเผารูปคนจูงลิง ฯลฯ เก็บอยู่ในกล่องพลาสติกขนาดใหญ่ซ้อนเรียงกันอยู่หลายกล่อง!!!
เหมือนจะอ่านความคิดออก เนตรนรินทร์ คำเรืองบุญ ประธานชมรมบอกว่า "ของที่นี่ไม่หายหรอกครับ ใครเอาไปก็ต้องเอากลับมาคืน เคยมีคนเอาไปหลายชิ้น แต่สุดท้ายก็ต้องเอากลับมาคืน แม้จะไว้หิ้งพระยังเอาไว้ไม่ได้เลยครับ ต้องเอากลับมาคืนทุกราย
"คนแถวนี้เขารู้กันดี เพราะเคยฝันเห็นกันหลายราย มาบอกว่าหิวข้าว เราจึงมีการทำบุญเมืองทุกปี โดยจะเอาข้าวคลุกกับเกลือ แล้วก็มีเนื้อเค็ม หว่านตามทางสามแพร่ง ทำบุญให้ "เขา" เพราะที่นี่เมื่อก่อนทางฝั่งตะวันออกเป็นชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ทั้งหมด พื้นที่ 350 ไร่ เราเจอโบราณวัตถุในพื้นที่ 280 ไร่ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมีการทำบุญเมืองอยู่ทุกปี"
ฟังเรื่องเล่าเมืองโบราณซับจำปากันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะไปปิดท้ายรายการสำรวจเส้นทางด้วยการไปขอความกระจ่าง กับนักประวัติศาสตร์เจ้าบ้าน
อาจารย์ ภูธร ภูมะธน อธิบายว่า เส้นทางสายไหมนั้น โดยปกติเราจะนึกถึงแค่จากมะริดข้ามมาประจวบ หรือจากคอคอดกระข้ามมาที่อ่าวบ้านดอน ที่แหลมโพธิ์ หรือเกาะแถวกระบี่มาลงตรัง ลงนครศรีธรรมราช เราจะนึกถึงแต่แหล่งลูกปัดเหล่านั้น แต่มีปริศนาหนึ่งที่ว่า ทำไมปากแม่น้ำมูลจึงเจออะไรเก่าๆ มากมาย ประเภทจารึกโบราณ ทั้งๆ ที่อยู่ลึกเข้ามาภายในแผ่นดิน นั่นเพราะมันเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทร
นั่นคือ จากอ่าวเมาะตะมะสู่อ่าวตังเกี๋ย โดยเดินทางผ่านอุทัยธานี ผ่านชัยนาท ข้ามแม่น้ำป่าสักมาศรีเทพ แล้วก็เข้าช่องทั้งหมดซึ่งมีหลายช่องด้วยกัน แต่ช่องที่สำคัญที่สุดคือ ช่องที่ซับจำปา เพื่อจะเข้าสู่เมืองเสมาแล้ว ทะลุไปเรื่อยๆ ไปลงแม่น้ำมูล แล้วไปเจอแม่น้ำโขง เพราะฉะนั้นจึงเจอจารึกวงศ์มหิธรปุระ หลังจากนั้นทะลุต่อไปออกที่ตังเกี๋ย
แม้กระทั่งชื่อ ทุ่งกุลาร้องไห้ คำว่า "กุลา" เป็นภาษาพม่า แปลว่า "แขกพ่อค้า" เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของการค้าข้ามทวีป ซึ่งอาจารย์ภูธรย้ำว่า ก็คือเส้นทางสายไหม
"เส้นทางสายไหม โดยหลักการมี 2 ทาง คือ ทางบก และ ทางทะเล ทางบกนั้นที่แน่ๆ คือจากจีนผ่านไปยังเมดิเตอร์เรเนียน อันนั้นเป็นเส้นเหนือ แต่ทางทะเลมันหลบๆ หลีกๆ ไปเรื่อยๆ
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายไหมเหมือนกัน แต่เดี๋ยวบกเดี๋ยวทะเล เป็นเส้นทางลัดจากอ่าวเมาะตะมะมาสู่อ่าวตังเกี๋ย เพราะฉะนั้นมันต้องผ่านช่องดงพญากลางนี่แหละ จึงได้เจอเมืองโบราณเต็มไปหมด แถวเมืองทวายก็เจอศิลปะทวารวดีเยอะ คาถาเยธัมมาก็เจอ พระพุทธรูปก็เจอสมัยเดียวกัน ยุคเดียวกับที่เจอที่อุทัยธานี"
ล่าสุด ชาวบ้านที่บ้านซับจำปาเจอจารึกโบราณ และเส้นทางโบราณที่เป็นเส้นทางเกวียนเลียบหุบเหว ผ่านช่องเขาไปลงเมืองเสมา จังหวัดนครราชสีมา ยิ่งเป็นการย้ำถึงทฤษฎีที่ว่า ศรีเทพ - ซับจำปาเป็นปากทางไปสู่ภาคอีสานเมื่อ 1,500 ปีก่อน
หน้า 20,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555
ขอบคุณ
มติชนออนไลน์
คุณกัญจกร รักษ์ชาด
สวัสดีวันศุกร์ค่ะ
Create Date : 19 ตุลาคม 2555
Last Update : 20 มิถุนายน 2557 13:02:16 น.
3 comments
Counter : 2843 Pageviews.
Share
Tweet
LIKE
โดย: surya21 (
surya21
) วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:15:14:39 น.
Letalia Topical Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย:
sirivinit
วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:20:33:30 น.
Letalia Topical Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย:
แก้วตา ม้ายิ้ม/colliekubon
วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:20:46:21 น.
Letalia
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [
?
]
sirivinit
แก้วตา ม้ายิ้ม/colliekubon
Webmaster - BlogGang
[Add Letalia's blog to your web]
Bloggang.com