เหวี่ยง...
วันนี้ชวนคุยดีกว่า... ที่มาของหัวเรื่อง เหวี่ยง นี่ก็ไม่ใช่อะไร ดิฉันโดนหลายอย่างพร้อมกันภายในสัปดาห์ที่แล้ว เล่นเอาสะบักสะบอมไปเหมือนกัน เรื่องแรก เป็นอะไรที่ไม่เคยโดนมาก่อนในชีวิต เรื่องของเรื่องก็คือดิฉันมีเพื่อนบ้านคนนึง อายุมากกว่าหลายปี เธอมีอาชีพเป็น Estate Seller ก่อนอื่นต้องอธิบายกันหน่อยนะคะว่า Estate Sale กับ Yard Sale นั้นต่างกัน Yard Sale นั้นคือเจ้าของมีอะไรที่ไม่ได้ใช้แล้วแต่ของยังอยู่ในสภาพดี ก็เอาออกมาวางขายหน้าบ้าน ขายถูกๆ สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยก็จะได้มาซื้อกันไป เพราะราคาจะถูกมากกว่าไปซื้อของมือหนึ่งจากร้าน แต่ Estate Sale เป็นเรื่องของธุรกิจ กล่าวคือ คนที่จะประกอบธุรกิจนี้จะต้องมีไลเซ่นส์การค้า ต้องเก็บ sales tax จากลูกค้าด้วย เพราะต้องรายงานผลประกอบการ กำไรขาดทุน ฯลฯ อีกอย่างนึงที่ต่างกันคือ Estate Sale นั้นเป็นการขายของทุกอย่างที่มีในบ้าน สาเหตุก็อาจจะมาจากเจ้าของบ้านตาย ทายาทไม่ได้อยู่ด้วยกัน เลยต้องกำจัดข้าวของไปให้หมด จะได้ประกาศขายบ้าน เอาเงินมาแบ่งกันระหว่างทายาท หรือ บางกรณีบ้านใหญ่ไปเพราะเหลือกันแค่สองคนตายาย ตอนลูกๆ ยังอยู่มันก็โอเค แต่พอลูกๆ แยกครอบครัวไป บ้านมันกลายเป็นใหญ่ ดูแลไม่ไหว ก็ต้องย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ที่เล็กลง หรือบ้างก็มีความจำเป็นเรื่องสุขภาพทำให้ต้องย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา เป็นต้น นักล่าทั้งหลายมักจะนิยมไปตาม Estate Sale เพราะจะได้เฟอร์นิเจอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ ที่อยู่ในสภาพดี นอกเหนือจากข้าวของกระจุกกระจิกต่างๆ ปกติแล้วถ้าเป็นจ๊อบเล็กๆ เพื่อนบ้านดิฉันเธอทำคนเดียว แต่ถ้าไปเจอบ้านหลังใหญ่ๆ เข้า ก็จะมาเรียกดิฉันกับเพื่อนบ้านอีกคนนึงไปช่วย เพราะเวลาคนเยอะๆ มาพร้อมๆ กัน โอกาสที่จะโดนขโมยของมีเยอะมาก งานแบบนี้เหนื่อยแต่สนุกดีค่ะ ค่าจ้างก็งาม และที่ชอบคือ มีโอกาสได้พบปะพูดจากับคนหลากหลายที่ปกติแล้วจะไม่มีวันได้วิสาสะด้วยเลย ทีนี้ดิฉันถูกเรียกไปทำงานสามวัน พร้อมกับเพื่อนบ้านอีกคน เนื่องจากบ้านหลังนี้ใหญ่มาก มีถึงหกห้องนอน มีสระว่ายน้ำอีกต่างหาก ดิฉันไม่เคยไปแถบนั้น ก็เลยขับรถไปดูลาดเลาล่วงหน้าหนึ่งวัน กันหลงทางเสียเวลาในวันจริง บ้านนี้อยู่เชิงเขาแถบ Bradbury ไม่ไกลเท่าไหร่ ขับรถไปเกือบถึงแล้ว ตรงนั้นเป็นสี่แยกใหญ่ที่มีรถลงมาจากฟรีเวย์ การจราจรหนาแน่นพอสมควร ดิฉันอยู่เลนในก็ขับตรงไป ไฟเขียวเปลี่ยนเป็นเหลือง เหลือบมองข้างหลังเห็นว่าถ้าเราหยุดปุบปับต้องโดนจูบบั้นท้ายแน่ เลยไปต่อเพราะยังทัน ปรากฏว่ามีรถกระบะชิ่งออกมาก่อนที่จะได้สัญญาณไฟเขียว พุ่งเข้ามาชนฝั่งคนขับตรงมุมไฟหน้า ก็ชนแรงค่ะ รถดิฉันหมุนกลางถนนครึ่งวงกลม ท้ายรถไปฟาดเอากับรถ SUV ที่จอดรอไฟอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนที่รถหมุนนั่นคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่แล้ว จำได้ว่าร้องเรียกให้คุณพ่อบ้านช่วยด้วย คิดอะไรไม่ออกแล้วตอนนั้น ดิฉันโทรเรียก 911 ไม่ถึงห้านาที รถตำรวจมาสองคัน รถดับเพลิงหนึ่งคัน รถพยาบาลหนึ่งคัน ดิฉันยังช็อคทำอะไรไม่ถูก บุรุษพยาบาลมาตรวจ ปรากฏว่าคนไม่เป็นไร แต่ไม่กล้าลงไปดูสภาพรถตัวเอง รถกระบะคันที่มาชนเราไม่เสียหายอะไรมาก มีบุบนิดหน่อย รถ SUV ที่เราไปชนเขา ด้านข้างบุบ ถลอกเป็นแนว กระจกข้างแตกละเอียด ดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ ถ้าเป็นรถเล็กก็ไม่แน่ เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการเรื่องรวบรวมข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย แล้วก็ให้เอกสารมาหนึ่งใบ เป็น report number ให้ไปขอรับบันทึกทีหลัง หรือจะให้ประกันเป็นคนไปติดต่อก็ได้ สรุปว่าวันนั้นดิฉันไปไม่ถึงจุดหมาย ต้องโทรเรียก AAA มายกรถกลับไปจอดที่บ้านก่อน พอวันจันทร์ว่างงานแล้วก็แจ้งประกัน พอดีมีเพื่อนช่วยเป็นธุระเรื่องหาอู่ซ่อมให้ แถมส่งรถยกมายกไปอู่ซ่อมเสร็จสรรพ สองวันต่อมาทางประกันแจ้งมาว่าค่าซ่อมรถของดิฉันเป็นเงินเก้าพันเหรียญ ประกันจ่ายหมดยกเว้น deductible ส่วนรถเช่าทางประกันจ่ายให้ไม่เกิน 25 วันๆ ละ ไม่เกิน 25 เหรียญ ถ้าเกินนั้นต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง เห็นราคาแล้วลมแทบใส่เพราะราคาประเมินของรถไม่ถึงสองหมื่น ค่าซ่อมปาเข้าไปตั้งครึ่ง
จากการนี้ทำให้ช็อคไปหลายวัน กว่าจะกล้าออกถนนอีกครั้ง แต่ก็ถือว่าโชคยังดีที่ไม่บาดเจ็บอะไรเลย.... เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะว่า "เหวี่ยง" ที่สอง คืออะไร
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 09 พฤษภาคม 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 9 พฤษภาคม 2554 1:04:57 น. |
Counter : 2267 Pageviews. |
|
|
|