๐๗ - พ่อข้าฯ เพิ่งจะยิ้ม
พ่อข้าฯ เพิ่งจะยิ้มสันติ ชูธรรม (สุวัฒน์ ดิลก)สำนักพิมพ์เพื่อนชีวิต (ครั้งที่3 ,2533)ISBN - 974 85680 7 5สำหรับเรื่องนี้สหายกุนเชียงนั่งคิดอยู่นานเกี่ยวกับเรื่องย่อที่จะเอามาลงบ๊อกว่าจะเอาเรื่องย่อซึ่งคัดจากวิทยานิพนธ์ ป.โท ของ ทวีศักดิ์ ปิ่นทอง ที่มีอยู่แล้วภายในเล่มหรือจะย่อเอาเอง ฉบับอ่านแล้วงง ของสหายกุนเชียงดี และแล้วก็ตัดสินใจว่าเอาฉบับอ่านแล้วงง ดีกว่า เพราะเรื่องย่อ ฉบับของ ทวีศักดิ์ ยาวไป (ขี้เกียจพิมพ์อ่ะ) *-*เรื่องย่อมีอยู่ว่า....กึ่งกับหวังเป็นพี่น้องกัน หวังผู้พี่ศึกษากฎหมายอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ส่วนกึ่งผู้น้องศึกษาช่างกลอยู่โรงเรียนอาชีวะ ทั้งสองเป็นพี่น้องที่ไม่ค่อยลงรอยกันเนื่องจากนิสัยที่ต่างกัน กึ่งเป็นพวกหัวรุนแรงไม่ชอบการดูถูกหรือถูกกดขี่จึงมีเรื่องชกต่อยอยู่เป็นประจำ ส่วนหวังเป็นพวกไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากหน้าที่ของตัวเองเพียงอย่างเดียวแต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันดี (หรือเปล่า)ด้วยเหตุนี้ พ่อจึงรักหวังมากกว่ากึ่ง...พ่อมีอาชีพเป็นทนายความ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของธรรมศาสตร์และเคยติดคุกเรื่องคดีการเมือง จากเหตุการณ์ นักศึกษาธรรมศาสตร์ต่อสู้ให้ทหารคืนมหาวิทยาลัยให้เมื่อ ปี 2496 และจากปมในใจเรื่องการเมืองในอดีตนี้เองทำให้พ่อของกึ่งและหวังเป็นคนที่ไม่เคยมีรอยยิ้ม เพราะพ่อไม่พอใจที่บ้านเมืองตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการของนักการเมืองมาตลอดจุดเริ่มต้นของเรื่องอยู่ที่กึ่งเริ่มสนใจเรื่องการเมืองจากการบอกเล่าของพ่อส่วนหวังเฉื่อยฉาต่อการเมือง มุ่งหวังแต่เรียนให้จบเพียงอย่างเดียวจนถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 กึ่งได้นำเพื่อนๆ อาชีวะ เข้าร่วมกับพวกนิสิตนักศึกษาในเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลา สงครามประชาชนต่อสู้กับเหล่าทหาร จนปลอบเพื่อนคนหนึ่งของกึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้นส่วนกึ่งได้เสียขาไปข้างหนึ่งจากการเข้าไปช่วยปลอบ และเพื่อนๆกึ่งอีกหลายคนได้บาดเจ็บล้มตายไปจากการการประกอบวีรกรรมต่างๆอาทิ ปาระเบิดขวดใส่รถถัง ขับรถเมล์ชนรถถัง เอาตัวเป็นกำแพงล้อมรอบแกนนำนักศึกษาหญิงไม่ให้ถูกยิง เป็นต้นและในวันเดียวกันนั้นเอง พ่อกับหวังพี่ชายของกึ่ง มีปากเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน เนื่องจากพ่อไม่เห็นด้วยที่หวังทำตัวขี้ขลาดเป็นเต่าหัวหดอยู่บ้าน โดยปล่อยให้เพื่อนๆที่ธรรมศาสตร์ต่อสู้อยู่กับเผด็จการทหารอย่างเอาเป็นเอาตายพ่อเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง หลังจากที่ทราบว่าประชาชนเป็นฝ่ายชนะสงครามเมื่อผู้นำเผด็จการหนีออกไปต่างประเทศ พ่อจึงพอใจในตัวกึ่งมาก...และจากเหตุหารณ์นี้เองเช่นกัน หวังก็ได้กลายเป็นคนใหม่ หวังเดินทางสู่ชนบทร่วมกับเพื่อนๆนิสิตนักศึกษา ออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย ไปสู่ถิ่นทุรกันดารถึงแม้จะถูกขัดขวาง และเกือบถูกลอบฆ่า จากผู้กลุ่มมีอิทธิพลในท้องถิ่นหลายต่อหลายครั้งก็ตาม....เมื่อสำเร็จการศึกษากึ่งและเพื่อนๆ ได้แยกย้ายกันออกไปทำงานกึ่งทำงานอยู่ในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง และในตอนนี้เอง กลุ่มเลือดอาชีวะ ก็ได้ก่อตั้งขึ้นจุดประสงค์ก็เป็นไปเพื่อการโค่นล้มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่พวกตนเคยเข้าร่วมด้วย โดยมีนายทุน และผู้ใหญ่ในบ้านเมือง คอยให้การสนับสนุน ยุยง อยู่เบื้องหลังเพื่อนของกึ่งหลายคนก็ได้เข้าร่วมด้วย โดยแต่ละคนได้รับเบี้ยเลี้ยงอย่างงามยานพาหนะ และอาวุธปืน โดยที่กึ่งได้ปฎิเสธที่จะเข้าร่วมไป จากการชักชวนของเพื่อนและพ่อของกึ่งเริ่มไม่ยอมยิ้มอีกครั้ง หลังจากที่เหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มดำเนินไปสู่ทิศทางที่เลวลงอีกครั้ง....นิยายเล่มนี้ เป็นอีกเรื่องที่สหายกุนเชียงชอบมากๆ เป็นเหมือนตำราประวัติศสตร์ขนาดย่อ ในรูปแบบนิยายภายในเรื่องมีการแสดงทรรศนะต่างๆนาๆเกี่ยวกับปัญหารอบตัวปัญหาสังคม ปัญหาการเมือง และปัญหาของระบบราชการ ในยุคนั้น (ซึ่งไม่แตกต่างอะไรกับยุคนี้เลย) เอาไว้อย่างมากมาย อันเป็นสาระความรู้ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงบอกเล่าภาพเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลัง 14 ตุลา ได้อย่างมีจินตภาพอีกด้วย...อ่านแล้วได้หลายอารมณ์...มีทั้งน้ำตาไหล มีทั้งอารมณ์ฮึกเฮิมสุดยอดมากๆครับ เอาไป 5ดาวเลยปิดท้าย ขออนุญาติ ปลุกอุดมการณ์ และเติมความฮึกเฮิมด้วยภาพการเดินขบวน 14 ตุลา ที่ถนนราชดำเนิน (รูปจากในเล่ม)