Metro Life วันนี้ พามาลงใต้กันที่จังหวัดระนอง ก่อนจะข้ามฝั่งล่องเรือไปเกาะสองของพม่า หาประสบการณ์ใหม่ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน คู่แค้นศึกสงครามครั้งวันวาน ที่กำลังเป็นจะเป็นคู่ค้าสำคัญด้านเศรษฐกิจ ในวันที่เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ในอดีต พอพูดถึงพม่ากับไทย ก็มักจะมีภาพของสงครามติดอยู่ในใจตลอด จะบอกว่าเป็น 'คู่แค้น' กันก็ไม่แปลก แต่ผ่านมาหลายร้อยปี ความสัมพันธ์ระว่างไทยกับพม่า ก็เปลี่ยนมาเป็น 'เพื่อนบ้าน' ที่คอยพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งหลายจังหวัดในประเทศไทยที่มีชายแดนติดกับพม่าไล่มาตั้งแต่ภาคเหนือจนมาถึงภาคใต้อย่างจังหวัดระนอง ความต่างของ 2 วัฒนธรรมได้สร้างความ 'ปรองดอง' ขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไขและเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง
การเดินทางหลายร้อยกิโลฯ จากกรุงเทพฯ เพื่อเข้าสู่เมืองระนองอันสุดซับซ้อนจากภูเขาหลายชั้น ก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้สัมผัสกับความซับซ้อนเหล่านี้ เพราะเมื่อเข้าสู่ตัวเมืองระนอง ก็เหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่ใช่ว่าได้เห็นความศิวิไลซ์อย่างเมืองหลวง แต่กลับเป็นการได้เห็นอดีตของระนองเมื่อ 150 ปีที่แล้ว จากหลักฐานที่ปรากฏ และการเล่าต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนเกิดเป็นสถานที่สำคัญของเมืองระนอง เช่นสุสานเจ้าเมืองระนอง (คอซู้เจียง), จวนเจ้าเมืองระนอง, พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง) รวมไปถึงบ่อน้ำร้อนรักษะวาริน แหล่งน้ำร้อนคุณภาพจากธรรมชาติที่ไม่ต้องไปหาไกลถึงเมืองนอก
พอเที่ยวเมืองระนองจนหนำใจ ก็ได้เวลาข้ามฝั่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยนั่งเรือประมาณ 20 นาทีจากท่าเรืออันดามัน คลับข้ามฝั่งไปยังเกาะสน เพื่อเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยที่โรงแรม ก่อนจะนั่งเรือต่อไปที่เกาะสอง หรือวิคตอเรีย พอยต์ ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของพม่า ตรงข้ามกับจังหวัดระนอง ใช้เวลาการเดินทางประมาณ 15 นาที
วิถีชีวิตของชาวพม่าทางตอนใต้ ซึ่งยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เช่น การแต่งกาย หนุ่ม-สาวพม่า ยังคงนุ่งผ้าถุง ห่มโสร่งกันเป็นปกติ จะมีบ้างที่ขอใส่เสื้อเชิ้ตท่อนบน แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งรากฐานเดิมๆ อยู่ดี โดยเฉพาะการทาแป้งทานาคาที่ใบหน้า เห็นทีไรก็รู้ทุกทีว่านี่คือเอกลักษณ์ของบ้านเขา จนคนบ้านเราก็ยังขอซื้อแป้งทานาคาที่ตลาดร่างสุเวเนีย์มาลองประหน้าบ้าง เพราะเห็นหลายคนกล่าวถึงว่าเป็นของดีราคาถูกไว้ใช้บำรุงผิวหน้า ไม่ต้องหาหมอให้เปลืองเงินอย่างที่เป็นกระแสในเมืองไทยตอนนี้
อีก 1 อย่างที่มาต่างถิ่นทั้งที ก็ต้องลองกันหน่อย ก็คือ อาหาร ซึ่งวันนี้ที่ได้ลองทานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่คล้ายๆ กับบ้านเรา แต่รสชาติจะไม่จัดจ้านเท่า
เดินตลาด กินจนอิ่มกันแล้ว มาดูสถานที่สำคัญของเกาะสองกันบ้าง เริ่มต้นที่จุดชมวิว เนินเขา 555 (555 Hill มาจากความสูงของยอดเขานี้อยู่ที่ 555 ฟุตจากระดับน้ำทะเล) เป็นจุดสูงสุด ที่สามารถมองเห็นทั้งเมืองของเกาะได้เต็มตา ซึ่งที่ผ่านมาบริเวณนี้คนทั่วไปไม่สามารถขึ้นมาได้ เพราะเป็นเขตทหาร แต่พอพม่าจะเปิดประเทศจึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาชมได้
ลงมาจากจุดชมวิว ไปกันต่อที่วัดปิดอร์เอ ซึ่งที่นี่เป็นวันจีน มีเจดีย์ที่จำลองมาจากเจดีย์ชเวดากองของย่างกุ้ง ที่นี่สำหรับชาวพุทธนั้น ก็ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ควรมากราบไหว้พระมหาศักยมุณี และเทพทันใจ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนปิดท้ายด้วยอีก 1 สถานที่สำคัญก็คือ อนุสาวรีย์บุเรงนอง ผู้เป็นตำนานกษัตริย์นักรบของพม่า เมื่อครั้งที่สู้รบกับไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งที่นี่เป็นอีก 1 สถานที่สำคัญชาวพม่าให้ความเคารพ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางตอนใต้สุดของพม่าด้วย
เห็นวิถีชีวิตของคนนอกเมืองหลวง ทั้งฝั่งไทยหรือพม่า ก็รู้สึกได้ว่า 2 ถิ่นดินแดนนี้ ยังคงรักษาขนบดั้งเดิมของท้องถิ่น ที่อาจมีความแตกต่างกัน แต่ก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างปรองดองได้ ไม่มีการแย่งชิงพื้นที่ว่าใครเป็นของใคร เหมือนในอดีต ไทยกับพม่าในวันนี้คือเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ซึ่งหลังจากที่พม่าเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ เราก็คงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนบ้านอีกครั้ง ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น คงไม่เป็นการทำลายรากฐานดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์อันดีงาม เหมือนอย่างบางพื้นที่ของไทยที่เจือจางหายไปบ้างแล้ว
*ข้อมูลการเดินทาง
จากระนองสามารถข้ามฝั่งไปเกาะสอง ประเทศพม่า ได้ 2 วิธีคือ
1. ขึ้นจากท่าเรืออันดามัน คลับ ราคา 490 บาท/คน (รวมค่าผ่านแดน ค่าเรือไป-กลับ , ท่าเรืออันดามัน-โรงแรมที่เกาะสน, รถนำเที่ยว, อาหารว่าง, และไกด์นำเที่ยว)
2. เช่าเรือหางยาวจากท่าเรือสะพานปลา อัตราลำละ 200-300 บาท ใช้เวลาการเดินทาง 15 นาที (ต้องเสียค่าทำบัตรผ่านแดน โดยสามารถติดต่อที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง ถนนสะพานปลา โทร : 0-7782-1216
Twitter : sriploi_social
ที่มา ไทยรัฐ