Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
2 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
6.แสงดาว ไอดิน อินเดีย # ชอนตะวัน





จากใจนักเขียน...ถึงผลงานเล่มที่ 6 ซึ่งอยู่ในคำนำ..

เมื่อปี 2545 ประเทศไทยได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาจากประเทศจีน ครานั้นทำให้ผู้เขียนมีความสนใจเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเจดีย์ จนกระทั่งตั้งจิตไว้ว่า จะต้องเดินทางไปสักการะพระธาตุเจดีย์ทั่วโลกให้ได้ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่เมื่อได้มีเจตนาไปแล้ว การกระทำเพื่อให้ถึงจุดหมายจึงได้เริ่มต้นขึ้น นั่นก็คือเริ่มต้นจากพระธาตุเจดีย์ในประเทศไทย ..ค่อย ๆ เก็บไปทีละองค์ แต่ว่าทุกองค์ที่ได้ไปกราบนั้น ก็ได้ไปตั้งจิตไว้ว่า อยากไปตามรอยบาทพระบรมศาสดาที่ประเทศอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และใช้เงินมากเกินวัยเกินฐานะของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ๆ จนกระทั่งได้อธิษฐานแบบลองของว่า

‘ขอให้ได้ไปตามรอยบาทของพระศาสดาที่อินเดียเป็นอัศจรรย์ด้วยเทอญ’
จะด้วยคำอธิษฐาน แรงปรารถนา หรือว่าบุญกุศลใด ๆ มาส่งผล ทำให้ผู้เขียนได้ไปที่อินเดีย แบบอัศจรรย์ถึงสองครั้งสองครา

..ไปครั้งแรกเมื่อปี 2549 ก็คิดไว้ในใจว่า อยากเขียนนิยายสักเรื่องที่ใช้ฉากสี่สังเวชนียสถาน แต่ว่าก็ไม่ได้เข้าไปลุมพินี ที่เนปาล เพราะว่าติดปัญหาทางการเมืองของประเทศเขา ..

แต่ถึงอย่างไรก็เริ่มวางพล็อตและคิดชื่อเรื่อง ตอนนั้นคิดว่าจะใช้ชื่อเรื่องอะไรถึงจะทำให้คนอ่านทราบตั้งแต่อ่านชื่อเรื่องเลยว่าเรื่องนี้ใช้ฉากอินเดียนะ จนกระทั่งรู้สึกประทับใจกับชื่อนิยายของเพื่อนนักเขียนด้วยกัน.. งานนั้นเริ่มต้นที่ชื่อ ‘แสงดาว’ แต่งานของเราต้องการคำลงท้ายที่มีชื่อว่า ‘อินเดีย’
คิดอยู่นาน จนกระทั่ง คิดจะตั้งชื่อ ‘แสงดาวที่อินเดีย’ แต่ถ้าตั้งอย่างนั้น คงหมายถึงพระสงฆ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอินเดีย ซึ่งน่าจะเข้ากับชื่อเรื่อง แต่ว่าเรื่องที่ตนเองได้วางพล็อตไว้นั้น คอนเซ็ปไม่ใช่เรื่องของพระสงฆ์ที่ต้องหนักหนาสำหรับคนเขียนและคนอ่านแน่ ๆ เราต้องการเขียนเพียง คนหนุ่มคนสาวคู่หนึ่งที่ไม่มีภูมิความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลยสักนิด แต่ว่าทั้งคู่ต้องไปเจอกันที่นั่นด้วยเหตุบางอย่าง และเหตุนั้นทำให้ทั้งสองคนผูกพันกัน จนขนาดที่ว่าความสูงต่ำทางอายุและฐานะนั้นไม่สามารถกั้นความรักได้ ...

แล้ววันหนึ่งผู้เขียนก็ได้นั่งรถจากนครสวรรค์เพื่อไปเมืองโบราณ สมุทรปราการ ระหว่างที่ก็นั่งรถไป ท่องอยู่ในใจว่า แสงดาว อินเดีย แสงดาว อินเดีย..และชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาตรงกลางสองชื่อนั่นก็คือความเป็นตัวตนของพระเอกที่ต่างจากนางเอกผู้เป็นดาราสูงส่งเป็นอย่างมาก...

‘แสงดาว ไอดิน อินเดีย’

พอชื่อนี้วาบขึ้นมา ความรู้สึกแบบว่า..ใช่เลย ก็ตามมาด้วย..นอกจากนั้นก็ยังรู้สึกตื้นตันใจและก็ปลาบปลื้มใจว่างานสืบสานอายุของพระพุทธศาสนาอีกชิ้นหนึ่งกำลังจะเกิดขึ้นด้วยฝีมือของเรา

จนกระทั่งความอัศจรรย์เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง.. ปี 2550 พี่สาวใจดีคนหนึ่ง ที่ได้รู้จักกันเมื่อครั้งที่ได้เดินทางไปอินเดียครั้งแรก โทรมาชวนให้ไปช่วยทำงาน..แบบที่พระเอกในเรื่องนั้นทำ ตอนนั้นลังเลว่าจะลาออกจากงานประจำดีไหม แบบตอนนั้นตึงกับงานสอนหนังสือเหมือนกัน..แต่ว่าถ้าเลือกเป็นนักเขียนอย่างเดียว มีโอกาสไส้แห้งแน่ ๆ.. แต่ในที่สุด..เมื่อมีช่องทางไปตามรอยบาทให้ครบทั้งสี่ที่อีกครั้ง กับเก็บข้อมูลเขียนนิยายที่อยากเขียนมาก ๆ ..จึงตัดสินใจลาออก แบบคิดในใจว่ากลับมา ไม่มีจะกินก็ช่าง..แต่ว่าลึก ๆ ก็มั่นใจว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะด้วยเดชแห่งบุญคงไม่ทำให้อดอยาก ช่วงนั้นมีบุญกฐินตลอดเดือน ก็อธิษฐานว่า ...

‘ให้มีบริษัทละครตัดสินใจซื้อนวนิยาย ‘ชิงชัง’ นามปากกา ‘จุฬามณี’ ไปสร้างละครทีเถอะ’ เหตุผล เพราะจะได้มีเงินไปทำบุญ กับกลับมาจะได้มีเงินประทังชีวิต..และก่อนจะเดินทาง

ไปเพียงไม่กี่วัน ค่ายละคร บริษัทเอ็กแซ็กท์ ที่ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะสนใจงานแนวลูกทุ่งพีเรียดจะติดต่อมาขอซื้อในวันนั้น ... ขายครับขาย..ได้เงินก่อนไป กลับมามีเงินใช้ นั่งทำงานเขียนสบาย ๆ ตลอดปี 51..ไม่รู้จะเรียกว่าบุญหรือเปล่า ?

ไปแล้วกลับมาก็ยังเขียนไม่ได้ ไปเขียนเรื่องอื่น เพราะกลัวทำออกมาอย่างที่ตั้งใจไว้เสียสูงส่งไม่ได้ จนกระทั่งคิดว่า ถ้าไม่เริ่มก็ไม่รู้ปัญหาถ้าไม่เริ่มเรื่องก็ไม่จบ.. ในฤดูพรรษาของปี 2551 งานชิ้นนี้จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธาและก็ตระหนกว่ารักต้องหวานเอาใจตลาด แรกทีเดียวตั้งใจจะค่อย ๆ คิดและทำไปให้ถึงสิ้นปี แต่ก็รวดเร็วกว่าที่ได้คิดไว้..จนกระทั่งได้นำไปโพสต์ไว้ในบล็อกแก๊งค์..

-Thanks for the good story that you wrote. I insist that your writing are different from other people. Keep up the good work.
-ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องดีๆ ให้ได้อ่าน ผมชอบเรื่องนี้มากนะครับ มีแง่คิดดีๆ มากมาย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาที่ไม่น่าเบื่ออีกด้วย ขอชมจากใจจริงว่าเก่งมากๆ ครับ
-สนุกดีนะ ทำให้มองเห็นการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถนำธรรมะมาปรับใช้ได้
-เรื่องนี้ขอบอกว่าอ่านแล้วทำให้ความอยากไปอินเดียปะทุขึ้นมาอีก มีกลุ่มทัวร์ไหนแนะนำไหมคะ ดิฉันอยากไปมาก แรก ๆ คิดว่าจะไปแบกเป้เอง แต่ยังไม่พร้อม เพราะต้องศึกษาเยอะ ช่วงนี้ไม่มีเวลามากนัก อ่านเรื่องของคุณแล้วรู้สึกว่าไม่ควรรอ (อีกต่อไปแล้ว) ค่ะ
-เรื่องนี้ทำให้ความฝันที่รันเคยอยากไปอินเดียมาตลอด กลับมาอีกครั้ง คุณเฟื่องเก่งจังค่ะที่สามารถนำเรื่องพุทธศาสนามาเขียนเป็นเรื่องในงานเขียนของคุณ ให้คนอ่านสามารถอ่านไปได้เรื่อยๆ แบบไม่น่าเบื่อ ได้ความบันเทิง ได้ความเข้าใจ ได้แนวทางแบบค่อยซึมซับ ฯลฯ

ครับเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ที่ตอบกลับมา แต่ก็มีหลายเสียงที่แตกต่างออกไปทำนองว่า ..กลัวศาสนา กลัวข้อมูลหนัก ๆ ที่ยังไม่อยากจะรู้ เพราะยังไม่แก่ตัวจนต้องคิดพึ่งศาสนา จนกระทั่งคนเขียนลังเลว่าจะเอาออกดีไหม มีแต่รักล้วน ๆ ดีไหม สาระไม่ต้อง จนกระทั่งได้ไปไหว้พระที่วัดระฆังฯ ขณะทดท้อห่อเหี่ยวกับต้นฉบับ ก็ได้มองเห็นหนุ่มสาววัยรุ่นถือธูปเทียนทอง ดอกไม้ เดินกันไปมา..เอ้า..ใช่ว่าวัยรุ่นวุ่นรักจะไม่สนใจศาสนา พวกเขาสนใจ แต่ว่ามันยังไม่มีสื่อที่ทำให้เขาสนใจจนเข้าใจหรือเปล่า ..ความปลาบปลื้มใจแล่นเข้ามา..เออ งานรักที่มีกลิ่นของพระพุทธศาสนา ที่ทำไปแล้ว มันดีแล้ว ถูกทางแล้ว..จนกระทั่งนำต้นฉบับไปให้อาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นนักอ่านนิยายมานาน ท่านก็บอกว่า.. ‘ฉันรู้สึกว่ามันจะได้พิมพ์รวมเล่มอย่างรวดเร็วเพราะมันมีมากกว่านิยายรักหวานซึ้ง’

จนกระทั่งสำนักพิมพ์ Simply books ได้พิจารณาและก็ได้ให้คำตอบรับอย่างรวดเร็วตามที่อาจารย์ท่านได้เอ่ยปากบอกไว้..

สุดท้ายขอขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ทำให้ผู้เขียนมี ‘วันดีดีที่อินเดีย’ จนได้

ขอบคุณครับ
เฟื่องนคร-ชอนตะวัน

-----------
เขตสปอยด์

สวัสดีค่ะน้องเฟื่อง

อ่านจบแล้วค่ะสำหรับ แสงดาว ไอดิน อินเดีย ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ให้ความคิดเรื่องชีวิตคู่ได้ดีมากๆ เอาเป็นว่าสำหรับแนวนี้(ศาสนา) ทั้งหมด 3 เรื่องที่ผ่านมา(ตะเกียงกลางพายุ,อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง, แสงดาว ไอดิน อินเดีย)

พี่ชอบเรื่องนี้ที่สุด คือว่ามันเป็นแนวที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ และใช้ได้ในขณะที่เรามีคู่ครองอยู่นี่แหละ (พี่ถึงได้ชอบหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤษี เพราะท่านจะสอนเรื่องที่ทำให้เราปฏิบัติธรรมในขณะที่เรามีครอบครัวได้)

ถ้าพูดถึงเรื่อง ....ตะเกียงกลางพายุ.... ก็จะออกแนวสำหรับคนที่คิดอ่านจะมีครอบครัวหรือผิดหวัง ในครอบครัวแล้วจะทำให้ไม่อยากมีครอบครัว แต่มุ่งไปทางสายตรงได้เลย


และสำหรับเรื่อง.... อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง... ก็เป็นแนวเดียวกันคือว่า พยายามที่จะปฏิเสธการมีครอบครัวและต้องหักใจตัวเอง เพื่อให้เดินตามเส้นทางที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ว่ามันดีกว่า ถึงเราจะต้องฝืนทำ (เพราะการฝึกจิตมันก็คือการฝืนทำทั้งนั้น) แต่ก็เห็นผลในบั้นปลายว่าถ้าเราทำได้ เราต้องมีความสุขในบั้นปลายแน่นอน

แต่สำหรับ.... แสงดาว ไอดิน อินเดีย.. พี่ว่าเรื่องนี้มันเปิดกว้างตรงที่มันเป็นนิยายรักที่ควบคู่ไปกับธรรมะ คือว่าคนที่มีรัก มีคนรัก มีสามี มีภรรยา ก็สามารถที่จะปฏิบัติตามได้ อีกอย่าง เหมือนกับเป็นการชี้ทางสว่างให้เลยค่ะ

อย่างสมมติว่าพี่น่ะอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อท่านจะกล่าวและแนะนำลูกศิษย์แบบนี้ตลอด แต่มันก็เหมือนกับพออ่านๆแล้ว ซักพักก็ลืม และละเลย

แต่นี่น้องเฟื่องนำเสนอในรูปแบบนิยายรัก ที่มีความเศร้า สุข ซึ้งใจ ให้ได้อ่านมันก็เหมือนกระตุ้นให้พี่ต้องระลึกถึงและก็จดจำ คนเราบางทีมันต้องมีสื่อดี ๆ ถึงจะเข้าใจง่าย และจำได้ง่าย เพราะเรามันเขลาปัญญาไอ้จะอ่านหรือฟังธรรมนิดเดียวน่ะ มันเป็นไปได้ยากมากกกกก


พูดถึงเรื่องของฝนทิพย์กะดาวเหนือ ทีแรกพี่อ่านแล้วก็นึกตำหนิสองคนนี้นะ ว่าใจเร็วด่วนได้ และมักง่าย ยิ่งดาวเหนือน่ะมักมากอีกต่างหาก แต่พออ่านจนจบแล้ว พี่ว่าน้องเฟื่องนำเสนอปัญหาอีกมุมได้ดีมาก ชอบตอนนี้ค่ะ

“ฝนกับเขาคือเนื้อคู่กัน มันก็เลยมีเหตุให้ได้มาแต่งงานกัน ฝนกับวีไม่ใช่เนื้อคู่กันมันก็เลยมีเหตุให้เราต้องพรากจากกัน ฝนเกิดมาเพื่อเขานะ เหตุการณ์มันร้อยให้ฝนมาเจอะกับเขา แล้วมามีเหตุแบบนี้ อนาคตวีเชื่อว่าเขาก็จะง้อฝนสำเร็จ เมื่อรู้อนาคตอยู่แล้ว ปัจจุบันฝนจะมาเศร้าทำไม มีประโยชน์ไหม”

ฝนทิพย์นิ่งคิด ..ต้น.. ระหว่าง.. และปลายทาง..สุดท้ายเธอก็คงหนีเขาไม่พ้นจริง ๆ และระหว่างทางเธอจะฟูมฟายไปทำไม.. ฝนทิพย์ขำกับวิธีคิดของเขา..



พี่อ่านแล้วชอบมากมันทำให้ได้คิดว่าเรื่องทุกเรื่องย้ำว่าทุกเรื่องนะคะ ถ้าคนเรามีวิธีคิดให้มันง่าย ๆ แบบนี้ เราและครอบครัวของเรารวมทั้งคนรอบตัวเราก็จะมีแต่ความสุข ไม่มีการแก่งแย่ง อิจฉาริษยากัน จะมีแต่กำลังใจและการให้อภัยกัน มันทำให้พี่คิดถึงครอบครัวตัวเอง และพี่สามารถจะนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ว่าควรจะใจเย็นไม่เกรี้ยวกราดถึงจะโมโหแค่ไหนก็ช่าง เพราะว่ายิ่งเราโมโหและทำสิ่งไม่ดีออกมาเราไม่ได้ทำร้ายคนรอบข้างแต่เราทำร้ายตัวเราเองด้วย

และในส่วนของตัวเรื่องที่กล่าวถึงการเที่ยวแทรกธรรมะอย่างนี้มันทำให้อ่านแล้วรู้สึกอยากไป อยากจะปฏิบัติตาม และทำให้คนอ่านที่ไม่ค่อยเข้าใจหรือรู้ซึ้งเรื่องธรรมะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ทั้งเรื่องของดวงรัศม์และปฐวี อ่านแล้วทำให้นึกถึงการครองคู่ และก็อยากปฏิบัติตามเค้าให้ได้ค่ะ ว่าควรจะทำกิจวัตรประจำวันควบคู่ไปกับเรื่องธรรมได้ยังไง

ส่วนตัวพี่เองได้อ่านเรื่องนี้แล้วพี่ว่าบทบาทตัวละครทุกตัวมันเต็มไปหมด ไม่มีใครแสดงขาดหรือเกิน มันไม่รู้สึกว่าขาดบทบาทของคนนั้นหรือคนนี้ สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ แต่ส่วนตัวพี่ว่าเรื่องนี้มันเต็มตื้นแล้วค่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่ดี อาจจะเพราะพี่เข้าใจในหลักธรรมที่นำเสนอด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ พี่ก็เลยอาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่น


รักค่ะ
พี่น้อง


********************************

การทำใจให้ดีเพื่อให้ถึงวันนั้น กับทำใจทุรนทุรายเพื่อให้ถึงวันนั้น..ใช่ซิ
คนสามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้ เขาจะใช้อะไรคุมใจไม่ให้ทุกข์....ใช่ ‘สติ’ หรือเปล่า"

นี่คือหนึ่งในความคิดของปฐวี ระหว่างที่เขาไปแสวงบุญ ณ สังเวชนียสถานสี่แห่ง
ณ ที่นี้ นอกจากเขาจะได้เรียนรู้ถึงพุทธศาสนาที่ยั่งยืนมากว่าสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว

เขายังได้เรียนรู้ถึงความรักที่เพิ่งก่อเกิดอีกด้วย ซึ่งรักครั้งนี้ของเขา ไม่ใช่เป็นรักครั้งแรก

แต่เป็นความรักที่ทำให้เขาเรียนรู้ถึงความจริงในความคิดที่ว่ามาข้างต้นได้อย่างดี

เหมือนกับคำพูดของหลวงพี่แอ (โชคดีไปที่ไม่ใช่เณรแอ)


"ถ้าเราใจเย็น ปล่อยชีวิตให้ไปตามเวลาของมันเดี๋ยวมันก็ดีไปเอง ..”


เท่าที่อ่านมาจนจบ เราบอกตัวเองว่า

คุณเฟื่องคนเดิมกลับมาแล้ว กลับมากับงานสร้างสรรค์ที่มีจุดยืนและเอกลักษณ์เฉพาะตัว

"สร้างสรรค์แต่ไม่ซีเรียส" กับนวนิยาย "แสงดาว ไอดิน อินเดีย"

ยอมรับว่านวนิยายที่เป็นงานเกี่ยวกับศาสนา เป็นงานที่เขียนยากมาก

จะเขียน จะเล่าอย่างไร นักอ่านถึงจะไม่วางมันลง หรือท้อเสียก่อนที่จะอ่านจนจบ
เพราะคนส่วนใหญ่จะเบื่อ และมักคิดไปก่อนว่า ถ้ามีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

นวนิยายเรื่องนั้นจะน่าเบื่อ และนึกไม่อยากอ่านขึ้นมาทันที
ต้องขอแย้งว่า สำหรับ "แสงดาว ไอดิน อินเดีย" นั้น
อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ที่ถูกกล่าวหามาทั้งหมด

คุณเฟื่องทำให้เรื่องของศาสนาพุทธ น่าศึกษา ค้นคว้า อยากเรียนรู้เพิ่มเติมมากขึ้น

โดยผ่านตัวละครเอกสองตัวคือ ปฐวี กับดวงรัศม์
ต้องบอกว่าพรหมลิขิตบันดาลให้คนทั้งสองมาพบกันได้ถูกที่ถูกเวลา

ถึงแม้ฝ่ายหญิงจะเป็นดาวที่อยู่สูงสุดสอย และฝ่ายชายจะต่ำค่าเพียงดินก็ตาม

แต่ด้วยทั้งสองเชื่อมั่นและศรัทธากับคำอธิษฐาน ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์

จึงทำให้เขาและเธอกล้าที่จะต่อสู้กับความรักที่มีฐานะเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางกั้น


ถึงแม้ในเรื่องนี้พระเอกของเรา จะอ่อนวัยกว่านางเอก
แต่ความคิดของเขาไม่ได้ด้อยตาม เขากล้าที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ

กล้าที่จะรอคอย ถึงแม้บางครั้งจะท้อกับจุดหมายที่มองแทบไม่เห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ก็ตาม


ในขณะที่ ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นดาวอยู่บนฟากฟ้า
เธอรู้ตัวและมีสติกับความรักครั้งนี้อย่างดี ไม่ผลีผลามทำตามใจตน เอาความมีสติเข้ามาตัดสินใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับความรักเธอจึงยืนหยัดและรอคอยให้ฝ่ายชายได้มีโอกาสพิสูจน์ความรัก

ในขณะที่เธอเองก็โน้มลงดิน เมื่อความรักเดินทางมาถึงพร้อมกับเวลาของมัน

ต้องบอกว่าคำพูดข้างบนที่ยกตัวอย่างมานั้น
คุณเฟื่องนำมาใช้กับตัวละครทุกตัวได้อย่างแนบเนียน
เนียนจนเราไม่รู้สึกว่า เราเองก็กำลังซึมซับคำพูดเหล่านั้นเข้าไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว


สำหรับเราเองเดือนหน้าจะเดินทางไปอินเดียด้วยเช่นกัน
เป็นการไปสักการะบูชา สังเวชนียสถานสี่แห่ง
การอ่าน "แสงดาว ไอดิน อินเดีย" ในวันนี้
ทำให้เราพร้อมที่จะเดินไปพบภาพความประทับใจ
ความเต็มตื้นกับสิ่งที่เจ้าของเรื่องบรรยายไว้
และไม่นึกกลัวกับสภาพแวดล้อมที่จะไม่สุขสบายเหมือนบ้านเรา

เพราะเรามีสิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวในใจคือ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงพากเพียรพยายามหาหนทางแห่งการดับทุกข์นั้นจนเจอ
และทรงมุ่งมั่นเผยแผ่ศาสนา ให้ยั่งยืนตราบมาจนถึงทุกวันนี้

"นายแน่มาก !" ยกนิ้วให้ด้วย

สุดท้ายเหมือนเดิม นี่คือความคิดเห็นส่วนตัวที่มีต่อ "แสงดาว ไอดิน อินเดีย"

หากท่านอ่านแล้วคิดเห็นเป็นอื่น ไม่ใช่ความผิดของท่าน
และไม่ใช่ความผิดของข้าพเจ้าด้วยเช่นกันที่จะคิดเห็นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ขอพระคุ้มครองค่ะ

โมริสา
-----------------




Create Date : 02 กรกฎาคม 2552
Last Update : 4 สิงหาคม 2554 18:59:21 น. 3 comments
Counter : 1407 Pageviews.

 
แสงดาว ไอดิน อินเดีย


ผลงาน ลำดับที่ 6 ของ ชอนตะวัน

แด่ชาวหนอนที่ไม่ควรพลาด ผลงานคุณภาพ
สำหรับแก้ว รู้จักนามปากกา ชอนตะวัน นี้จาก สะบายดีหัวใจ
พอได้เล่มนี้มาก็เริ่มอ่านตอนสายๆของวันเสาร์แล้วมาจบเอาเมื่อเที่ยงคืนครึ่งของคืนวันอาทิตย์
สิริรวม 429 หน้าได้ความรู้สึกของความ “พอดี” แบบอิ่มเอมใจ

แสงดาว ไอดิน อินเดีย เป็นความรักอันปราณีตที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นของดวงรัศมิ์กับปฐวี หนุ่มสาวที่เดินทางร่วมกับผู้ใหญ่ในคณะทัวร์ 4 สังเวชนียสถานอินเดีย-เนปาล
อ่านไปเรื่อยๆสักพักก็เริ่มรื่นไหลไปกับความสนิทสนมซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติท่ามกลางบรรยากาศขอสภาวะธรรม จนแทบไม่อยากให้สลับฉากมาที่ฝนทิพย์และดาวเหนือในเมื่องไทยเลย แต่ก็นะ คงเป็นเหตุปัจจัย หรือไม่ก็องค์ประกอบของเนื้อเรื่องที่สร้างให้เกิดมิติแนวลึกถึงเหตุผลของตัวละครในการต่อมา...
จะว่ารักและสายใยที่ดวงกับวีช่วยกันสานขึ้นนี้โรแมนติคดีแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต่างต้องกลับมามีวิถีชีวิตของตน ...ด้วยความคิดถึงก็ทำให้ซึ้งยิ่งกว่า
ขอบอกว่า ชอนตะวัน ทำได้ดีมากเขียนให้คนอ่านอินได้อย่างที่ควรจะเป็นทุกประการ

ตัวละครของเรื่อง ดวงรัศมิ์: ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าอยู่บนฟ้า ดาวจรัสแสง ของฟ้าเมืองไทย เดินทางมาถึงพุทธคยากับคำถามค้างคาว่า “มาทำไม” แต่แล้วก็ปรับตัวและทำใจได้ถึงขั้นมีโครงการที่เมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วจะอาศัยความมีชื่อเสียงเผยแพร่ธรรม ดูเหมือนจะเป็นขาวีน แต่กลับไม่ใช่ เพราะค่อนข้างจะใช้เหตุผล ใจกว้าง และจริงใจ การกระทำหลายครั้งของดวงรัศมิ์ทำให้ผู้อ่านย้อนคิด อย่างเช่น เธอมีคำถามว่า ตายแล้วไปไหน ที่ใดคือที่พำนัก และคำตอบของพระครูอ้วน ที่กำลังอรรถาธิบายให้ฟังขณะที่รถวิ่ง “สวรรค์มี 6 ชั้น แต่ละชั้นก็จำแนกจิตวิญญาณตอนสมัยเป็นมนุษย์ที่แตกต่างเพราะเราทำบุญทำกุศลทำความดีไว้ไม่เท่ากัน บางคนก็แค่ให้ทาน แต่บางคนทั้งให้ทานรักษาศีล แต่บางคนก็ให้ทั้งทาน ศีลและเจริญภาวนา บางคนก็ให้ทานน้อย บางคนก็ให้ทานมาก บางคนก็ให้ทานอยู่เนืองๆ บางคนก็รักษาศีลเฉพาะข้อ บางคนทุกข้อแต่เป็นบางวัน บางคนรักษาศีลดีเยี่ยม บางคนก็นั่งสมาธิปีละหน บางคนก็สัปดาห์ละครั้ง และบางคนก็นั่งทุกวัน วันละนานๆ บางคนมีสติระลึกรู้อยู่กับตนเองตลอด ฯลฯ เพราะฉะนั้น คนจึงมีที่ไปแตกต่างกัน ตามการกระทำของตนสมัยเป็นมนุษย์”
อ่านถึงตรงนี้แล้วย้อนดูตัวเราว่าอยู่ตรงไหน ทำให้ต้องคิด รี-เอ็นจีเนียริ่ง ตนเองเพื่อ รี-โพซิชั่นนิ่ง ซะแล้ว เป็นต้น

ปฐวีพระเอก : ออกจะหวั่นไหวกับความรู้สึกที่ดวงรัศมิ์มีให้ แต่ปฐวีนี่นับถือว่าจริงใจและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองดีมาก ปั่นป่วน หวั่นไหว ก็บอกออกมาตรงๆ ชอบอ่านช่วงวาระที่เค้าบวชมาก และนี่คงเป็นอีกมุมหนึ่งที่ได้จากการอ่านเรื่องที่ประพันธ์โดยนักเขียนชาย เค้าสามารถทำให้คนอ่านเข้าใจและนึกรักในน้ำใจของพระเอกได้ อย่างเช่นรพินทร์ ไพรวัลย์ ในเพชรพระอุมา ของท่านพนมเทียน และเสือ กลิ่นสัก ในร้อยป่าของ พันธ์ บางกอก ล้วนเป็นพระเอกในดวงใจตลอดมา
(ที่จริงน่าให้วีเป็นนางเอกมาก เพราะหน้าแดงบ่อย ขี้อาย และขี้งอนด้วย..ล้อเล่นค่ะ)

ตัวละครอื่นๆก็ล้วนมีมิติ จับต้องได้ เสมือนจริง ชอบทุกคนเลยไม่ว่า หลวงพี่แอ แม่ชีพัชรี ป้าแวว ธนกิจ พี่เรณู นิตยา เมธี เป็นต้น

สรุปว่า ถ้าคุณชอบ สะบายดีหัวใจ บางทีนะ..บางทีคุณจะรัก ..แสงดาว ไอดิน อินเดีย.. ผลงานจากปลายปากกาอันละเมียดละไมของ ชอนตะวัน ขั้นเทพ.

แก้ว Sri Admin (admin@agt-gems.com)


(ส่วนตัว) ขอเล่าค่ะ ขอเล่า ..เกิดที่นครสวรรค์ เหมือนกัน พรหมนิมิต วัดหลวงพ่อพรหม, และเพราะเดือนนี้เป็นเดือนเกิดเช่นกัน จึงหลบไปฝึกปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เพิ่งกลับมา จึงดีใจมากค่ะที่ได้พบหนังสือเล่มนี้ ถือเป็น “ไพรัชนิยาย” เนอะ อ่านแล้วรำลึกถึง รัตนาวดี ของ ว. ณ ประมาลมาร์ค เชียว



โดย: F_nakhon วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:14:24 น.  

 
จะหามาอ่านแน่นอนค่ะ


โดย: หวานเย็นผสมโซดา วันที่: 6 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:39:51 น.  

 
อ่านแล้วครับทางอีบุ๊คmeb เล่นเอาผมไม่ได้นอนทั้งคืนเลย ชอบทุกอย่าง โดยเฉพาะพระเอกกับนางเอกแบบนี้. โอมันโดนมาก


โดย: อนุ IP: 110.77.138.96 วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:15:54:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

F_nakhon
Location :
นครสวรรค์ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




email ถึงผู้เขียน

เฟื่องนคร : f_nakhon@hotmail.com
ลิขสิทธิ์งานเขียนทุกชิ้นในบล็อก เป็นของผู้เขียนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน

-------------------


Friends' blogs
[Add F_nakhon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.