Welcome2myBlog
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2549
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 

ภูกระดึง

ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนภูกระดึงเมื่อเดือน ธันวาคม 2544 กับเพื่อนๆ+พี่ๆ ที่เรียนป.โทที่ มธ. รวมทั้งสิ้น 11 ชีวิตข้างล่างนี้เป็นแผนที่ของแหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึงค่ะ เซฟรูปมาจาก //www.dnp.go.th/parkreserve/ ค่ะ ส่วนรูปที่ถ่ายตอนไปเที่ยวยังไม่ได้ทำการสแกนเลย เพราะถ่ายด้วยกล้องฟิมส์ ตอนนั้นยังไม่มีกล้องดิจิตอลในครอบครองเลยค่ะ


ยังไงจะเอารูปมาลงทีหลังเพื่อยืนยันข้อมูลตามประสบการณ์ของเรา แล้วจะรู้ว่าทริปนี้ของเราเป็นทริปทรหด อึด ไม่อึดอาจร้องไห้ได้

ทริปนี้เริ่มต้นจากความอยากค่ะ ก็ไปรวบรวมเพื่อนป.โท ว่าเราน่าจะไปเที่ยวด้วยกันนะ ให้มุขเดิมๆ หลอกล่อ พี่ๆ ก็ใจดี ตามใจน้องเล็กอย่างเรา หาวันว่าง เพราะบางคนทำงานประจำ ไม่ได้ว่างงานเหมือนน้องเล็กที่มีอยู่ 3-4 ตัว
พอดีปี 2544 มธ.เป็นเจ้าภาพกีฬามหาวิทยาลัย พวกเราจึงมีวันหยุดที่ไม่ต้องไปเรียนวันเสาร์กัน ส่วนพี่ๆ ที่ทำงานก็ไม่ต้องไปทำงาน อีกทั้งยังเป็นช่วงของวันหยุด 3 วัน ศ.ส.อา. ด้วย เห็นไหมแค่คิดจะเที่ยวเราก็ฝันหวานแล้ว ว่าจะต้องมันส์

เริ่มต้นด้วยการจองตั๋วเดินทาง เราไปรถทัวร์นะคะ ทั้งหมด 11 ที่ ราคาจำไม่ได้ จองเต้นท์โดยมีพี่ที่เป็นปลัดอำเภอเมืองเลยจองให้ได้สองหลังค่ะ โอเช เรียบร้อยทั้งการเดินทางและที่พัก อีกทั้งในทริปนี้เรามีไกด์กิตติมศักดิ์ คือท่านปลัดฯและผู้เชี่ยวชาญที่การไปเที่ยวครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 3 ของพี่แกแล้ว พี่แกบอกว่า "ทำไมเพื่อน แต่ละกลุ่มชอบชวนไปภูกระดึง" แต่แกก็ไป
เรานัดเจอกันที่หมอชิตค่ะ ทุกคนทยอยมาจนครบ แต่มีคนหนึ่งที่ทุกคนต้องตกใจคือพี่ตุ๋ย พี่ตุ๋ยเดินมาที่นัดหมายแบบหน้าบานสุดๆๆๆพร้อมทั้ง "หิ้ว" กระเป๋ามา เพื่อนๆ ทักว่า "เฮ้ย คุณตุ๋ย ทำไมไม่ใช้เป้ล่ะครับ" พี่แกตอบว่า "ไม่เป็นไรเราจ้างลูกหาบนี่นา" โอเค ไปขึ้นรถกันได้แล้ว เท่าที่จำได้เป็นรถเที่ยว 2 ทุ่ม

ขอเปรียบเทียบรถทัวร์ในสายอีสานกับสายเหนือหน่อยนะคะ ใครที่เดินทางไปเชียงใหม่เป็นประจำก็คงพอจะรู้ว่ารถทัวร์สายนี้ สภาพค่อนข้างดีถึงดีมาก แต่สายอีสาน แม่เจ้าโว๊ยยยย ทำไมแคบจัง ขนาดเราตัวเล็กนะ ยังเมื่อยเลย แถมด้วยเป็นโรคนอนไม่หลับด้วย ทั้งรถไฟ(นอน)รถทัวร์ เซ็งไปเลย หลับได้เป็นงีบๆ สั้นๆ

พอไปถึงตอนเช้า รถถึงที่หมาย ณ บริเวณจุดจอดรถทัวร์ เพื่อต่อรถสองแถวเข้าไปสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จุดจอดรถทัวร์จะมีร้านให้บริการอาหาร ห้องน้ำ แบบเต็มที่ ภาพที่เห็นตอนลงรถทัวร์มา อืมมม คนเยอะจัง เอาไปกันต่อจองคิวรถสองแถวเลย รถมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติ พี่ที่เคยมาก็ชี้ให้เห็นถึงจุดหมายของพวกเรา คือ ภูเขาข้างหน้าลักษณะแบนราบรูปโต๊ะอันนั้น อืมม ไม่รู้มาก่อนนะเนี่ย

พอถึงทางขึ้นอุทยานพี่ๆ ก็บอกว่าเอากระเป่ามารวมกันไว้ แล้วพี่จะไปติดต่อที่ทำการอุทยานเพื่อชำระค่าธรรมเนียมและเอาคิวลูกหาบ

พวกเราไอ้รุ่นเล็ก แหม ถ่ายรูปหน้าบานกันใหญ่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อพี่ๆเดินกลับมาพร้อมข่าวดีและร้าย

ข่าวดีคือค่าธรรมเนียมพวกเราไม่ต้องจ่ายเพราะพี่ๆจ่ายเอง
เฮ ใจดีจัง
ข่าวร้ายคือลูกหาบหมด อารายนะลูกหาบหมด กระเป๋าชั้น 8 กิโลเอง พี่ปลัดหนักสุด 12 กิโล ไม่รวมขนมถุงหิ้ว น้ำ แล้วพี่ตุ๋ยเจ้าของกระเป๋าหิ้วเพียงคนเดียวก็เหวอค่ะ เพราะพี่แกต้องอุ้มกระเป๋าขึ้นดอย
เอาวะมาถึงแล้วนี้จะกลับได้ไง
ปกติแล้วลูกหาบก็มีเยอะ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวมีมากเกินมีการแจ้งให้ทราบว่าช่วงวันหยุดครั้งนั้น มีคนขึ้นไปแค่วันที่เราไปถึงก็ 20,000 กว่าคนแล้ว

พอคนเยอะมันส่งผลอะไรหลายอย่าง เช่น ลูกหาบหมด แบกของเอง ยังทำให้ใช้เวลาในการเดินขึ้นนานมากกว่าปกติ เพราะเหมือนต่อแถวกันขึ้น จะแซงกันก็ลำบากกลัวหลงกับเพื่อนอีก ทางขึ้นก็แห้งเป็นฝุ่น เดินกันทีฝุ่นฟุ้งตลบ กว่าจะถึง "ซำแฮก" จุดแวะแรกก็นานมาก

พวกเราก็ยังเดินต่อกันไปพร้อมแบกกระเป๋ากันเอง มีผลัดกันแบกบ้างเพราะกระเป่าบางคนหนัก ตอนแรกกำลังใจดี เดินไปหัวเราะไป หลังจากที่เดินไปล่วงเลยมาบ่าย 4 โมงแล้ว พวกเรายังไม่ถึงหลังแปเลย พวกเราเริ่มเดินขึ้นภูไม่เกิน 10 โมงเช้า 6 ชั่วโมงผ่านไป เราไปถึงหลังแปกันประมาณ 5 โมงกว่าแล้ว ก่อนถึงหลังแป ใครที่เคยไปแล้วจะรู้สึกเหมือนเราไหมว่าเกลียดบันไดชมัด ก็บันไดเหล็กตั้งชันเกือบ 90 องศา กับแกนโลกจำนวน 7-8 อันมันช่างถ่วงนน.จริง เล่นเอาเหนื่อยกว่าเดินมาตั้งหลายชั่วโมง

พอถึงหลังแปถ่ายรูปกันอีกแล้ว กับป้าย "เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" กว่าจะครบทั้ง 11 คนก็กินเวลาที่จะต้องเดินไปที่พักเกือบ 6 โมง ครึ่ง ฟ้าเริ่มมืด เอ้าเดินกันต่อ อีกหลายกิโลนะคะท่านผู้ชม ทางเดินก็เต็มไปด้วยทราย 22 ตรีนเดินกันนี่ ต้องบอกเลยเหนื่อยไงห้ามเดินลากเท้าใครเดินลากเท้ามีด่าแน่ๆ ขณะที่เราเดินก็มีคนเข็นรถเข็นทยอยเดินสวนออกมา แต่รถว่าง พวกเราเห็นเข้าจึงถามไปว่าจะไปไหน เค้าบอกว่าจะไปรับของที่ลูกหาบแบกขึ้นมาตรงหลังแป เพื่อจะขนแล้วให้นักท่องเที่ยวมารับที่ศูนย์ พวกเราเข้าไปคุยเพื่อจะให้เค้าเข็นสัมภาระเราไป แต่เค้าไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม แล้วก็มีคนคิดมุขได้ พอมีรถเข็นรายใหม่กำลังเดินสวนออกมา พวกเราเริ่มเลยเข้าไปคุยแล้วก็เอาตำแหน่งหน้าที่ของพี่ปลัดไปอ้าง เค้าก็เชื่อนะ ยอมเข็นกลับไปให้ทั้งๆที่มันผิดกฎ ถึงตรงนี้ก็เอาเปรียบเข้าเนอะ เราทำผิดกฎเอง อย่าว่าเรานะ แต่ตอนนั้นทุกคนเหนื่อยมาก กว่าจะถึงเต้นท์ก็ทุ่มกว่าแล้ว ตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น หัวนี้แดงเชียว
พอเดินไปถึงที่กางเต็นท์ โอ้วววว เต็นท์เยอะมาก มาจากไหนกันนี้ เอ้า แยกย้ายกันเข้าเต็นท์ เตรียมตัวไปอาบน้ำ พอไปถึงห้องน้ำคิวยาวจริงๆ ผู้หญิงจะคิวยาวกว่าผู้ชายเพราะผู้หญิงใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำอาบน้ำนานกว่า บางครั้งเราก็ไปเข้าห้องน้ำผู้ชายอ่ะ ไม่อายหรอก ก็คิวมันสั้นนี้นา กว่าจะได้กินข้าวก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว

ข้างบนมีร้านค้าขายอาหารน้ำดื่ม ไม่น่าแบกมาเลย เคยได้ยินบางคนบอกว่ากินอาหารข้างบนแล้วเจอของใกล้เสีย แต่พวกเราไม่เจออ่ะ คงเป็นเพราะคนเยอะขายดีของไม่ค้างสต๊อก ขนมกินเล่นของพวกเราคือข้าวจี๊ที่เค้าขายกัน

คืนนั้นหลับเป็นตายทั้ง 11 คนค่ะ ไม่มีใครลุกมาดูเพราะอาทิตย์ขึ้นสักคน ทั้งๆที่รู้ว่ามันคือหนึ่งใน a must

พอสายๆ เราก็ตระเวณเดินค่ะไปที่ที่มัน a must ทั้งนั้น ทั้งดูต้นเมเปิลที่น้ำตก เป็นการเดินทางขึ้นไปทิศเหนือ ถ่ายรูปมามีแต่คน 55 เพื่อนร่วมทางเยอะจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินทางลงทางใต้ จุดหมายคือผาหล่มสักเพื่อไปถ่ายรูป ก่อนถึงผาหล่มสัก พวกเราเลือกเดินเส้นทางเลาะตามแนวผาเริ่มตั้งแต่ผาหมากดูก ผาจำศีล ผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และผาหล่มสัก

ในที่สุดเราก็มาถึงผาหล่มสักจนได้ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจมาดูเพราะอาทิตย์ตกดินที่นี้หรอก เชื่อไหม 11 คนเอาไฟฉายมาอันเดียว แต่ไม่รู้จะคำนวนเวลาในการเดินทางยังไง มาถึงก็เย็น ด้วยความที่คนเยอะพวกเราทั้งหมดจึงไม่มีภาพที่ถ่ายนั่งทำตาซึ้ง กอดเข่าอยู่ตรงผา ดังเช่นที่เราคุ้นเคย

พอเก็บบรรยากาศพอหอมปากหอมคอ เอ้าเดินกลับค่ะ เราจำเป็นต้องใช้เส้นทางเดิมที่เราเดินมา ตอนแรกกะว่าจะเดินทางกลับอีกทาง แต่เจ้าหน้าที่อุทยานแจ้งว่าเราต้องเดินกลับทางเดิมนะคะ เพราะเส้นทางอื่นพอตกกลางคืนเป็นเส้นทางที่ช้างป่าจะออกมาหากิน อันตรายมากหากไปเจอเข้า ขณะที่เราเดินกลับพวกเราได้ยินเสียงช้างแว่วๆมาด้วย

เมื่อไฟฉายมีอันเดียว พวกเราเดินได้ช้ามาเพราะไม่เห็นทาง และแล้วการเดินของพวกเราก็ช้าไปอีก เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเรานั้นเอง จำได้ว่าเดินกระแทกรากไม้ หลังจากนั้นก็ต้องเดินเขยงตลอด เท้าไม่สามารถโดนพื้นจังๆได้ มันเจ็บสุดๆ โดยมีเพื่อนช่วยประคองจนถึงที่หมาย คืนนั้น แทบจะร้องไห้ พรุ่งนี้จะกลับแล้วจะทำไงดี กลัวไม่ได้กลับบ้าน แถมออกไปนอกเต้นท์เพื่อคลุมเต็นท์ไม่ให้น้ำค้างรวมตัวจนหยดเข้ามาข้างใน กลับเจอทากเกาะขาอีกอะ

แต่มันเด็ดสุดตรงที่ว่าไม่รู้ว่าทากเกาะ พอกลับเข้ามาในเต้นท์ เพื่อเตรียมนอนก็เอาเคาเตอร์เพนมาทาๆไว้ ก็คล้ำๆทาๆไปที่แข้ง เอ ทำไมมีโคลนติดด้วยอะ ไหนขอไฟหน่อยสิ โคลนติดเยอะไหมเนี่ย โอ้วววเลือดค่ะ ไหลอาบมาไม่หยุดเลย แต่ทากหายไปไหนอ่ะ ทีนี้แหละในเต้นท์วุ่นวายกันใหญ่ รื้อหาทากตัวนั้นกันใหญ่ แต่ไอ้บีเพื่อนผู้ชายมีใครไม่รู้เริ่มต้นพูดว่า ถ้ามันเข้าไปในกางเกงทำไง ไอ้บีมันเลยทอดกางเกงทันที ไม่อายฟ้าอายดิน ขำก็ขำ นั่งมองเลือดที่มัน ปุด ปุด ออกมา ไอ้นุ๊กก็ด่าไอ้บีว่า กลัวไรนักหนา แล้วมันก็แสดงบทโหดหาทากจนเจอ แล้วก็ใช้พี่รามจัดการทากเดี๋ยวนี้ พี่รามก็จัดการไง ไอ้นุ๊กก็ โอ๊ยไม่ได้เรื่อง มันจัดากรขั้นรุนแรงกับทากจนตาย

เช้าวันรุ่งขึ้น อีกเต้นท์ตะโกนมาว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันไหม เต้นท์เราไม่มีใครไปเลย ตกลงก็มีไปกัน 3 คน พี่กลับมาบอกว่าพระอาทิตย์ดวงโตมาก ตอนแรกไปก็นั่งดูอยู่ข้างหลัง พอสักพักย้ายไปนั่งหน้าสุดตรงหน้าผาเลย ภาพที่เห็นใหญ๋โตเหมือนนั่งอยู่ในโรงหนังขนาดใหญ่

วันนี้เป็นวันเดินทางกลับของพวกเรา เราไม่ต้องแบกของเองแล้ว เพราะมีลูกหาบ จำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่เยอะเหมือนขาขึ้น เนื่องจากบางกรุ๊ปมานอนคืนเดียวก็กลับ
เราก็เดินกลับลงมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้มันอักเสบหรือเจ็บไปมากกว่านี้

พอมาถึงข้างล่างก็ไปรับกระเป๋า แล้วนั่งรถสองแถวออกมา พี่ที่ไปครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 โบกมือบ๊าย บายว่าจะไม่มาแล้วนะจ๊ะ เมื่อถึงจุดรอรถทัวร์เพื่อกับกทม. พวกเราไปอาบน้ำ โอ้ววว เท้าดำมาก ทำไงดี เอางี้ดีกว่าแปรงฟันเสร็จก็เอามาขัดเท้าเลย แล้วทิ้ง พี่ที่มาด้วยกันยังมาดูเลย มีแต่คนมองๆ ว่าอีนี้เอาแปรงสีฟันขัดเท้าแล้วจะเอาไปแปรงฟันต่อ คิดได้ไง รถทัวร์ที่เรานั่งกลับเป็นรถเสริมเพราะรถสายกทม.-เลยหมดจ๊ะ เลยต้องเอารถ กทม.-ชัยภูมิ มาแทน สภาพเยินกว่าตอนขามาอีก ที่นั่งที่เราได้เก้าอี้ก็เอนไม่ได้ เพราะเสีย แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ไม่หลับอยู่แล้ว ตอนเช้าถึงกทม.โดยปลอดภัย

ป.ล.ที่เล่ามาทั้งหมดเหมือนจะบ่นๆ เหมือนจะไม่ชอบ เหมือนจะไม่ประทับใจ แต่ถ้าใครถามว่าไปแล้วเป็นไง อยากจะบอกว่าสนุกค่ะ ไม่ได้มีทัศนคติแย่ๆ ใดๆ เลย แต่ที่เล่ามาเพียงต้องการเล่าประสบการณ์ที่เจอมา ซึ่งสิ่งที่เราเจอก็คงเหมือนบ้างไม่เหมือนกับคนอื่นบ้าง มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเนอะ

สุดท้ายหลังจากลงมาจากภูกระดึงแล้ว เราก็ไปหาหมอค่ะ เพราะเจ็บเท้าเดินไม่ถนัด คุณหมอบอกว่าเอ็นรูปพัดที่เท้าอักเสบ คนที่ใช้เท้าเยอะๆ เดินมากๆ วิ่งมากๆ มีโอกาสที่จะเจ็บง่ายกว่าคนอื่น เช่น นักฟุตบอล นักเทนนิส ของเราก็เดินมากไป ตอนแรกก็เออหาหมอแล้วจะดีขึ้นแบบหายขาด แต่มันไม่หายขาดน่ะสิคะ ยังมีอาการต่อเนื่องไปอีกประมาณปีกว่า ถ้าเดินมากๆ ไม่ระวังนี้เจ็บแปล่บเลย
ก็เป็นข้อเตือนใจสำหรับทริปที่ใช้เท้าหนักๆ ว่าต้องใส่รองเท้าที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะใช้วัสดุที่เหมาะกับการเดิน น่าจะปลอดภัยกว่า กันกระแทกได้มาก อย่างพวกรองเท้ายางนิ่มๆ เดินมากๆก็เมื่อยค่ะ

ส่วนเพื่อนๆพี่ๆ ยืนยันว่าตอนเดินขึ้นไม่ปวดแข้งปวดขาเท่ากับการเดินลง ตอนเดินลงนี้เดี้ยงนานกว่า เพราะเวลาเดินลงเรากระแทกนน. ทั้งหมดลงมา ก็เลยปวดเมื่อยมากกว่า นานกว่าค่ะ




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2549
3 comments
Last Update : 20 ตุลาคม 2549 18:07:47 น.
Counter : 1042 Pageviews.

 

 

โดย: na IP: 149.254.192.192 8 ตุลาคม 2549 8:02:50 น.  

 

อะจึ๋ย มีคนมาดูแล้ว
เราเสียมารยาทมากที่ยังไม่ได้เขียนอะไรเลย
อายจัง

 

โดย: จขบ.เองจ๊ะ (+JoeJang+ ) 20 ตุลาคม 2549 15:11:17 น.  

 

ชอบมากเที่ยวภูกระดึงครั้งแรกเหนื่อยดี

 

โดย: limingxin 5 กุมภาพันธ์ 2555 22:21:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


+JoeJang+
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เพิ่งเริ่มลองเขียน Blog ยังไม่มีอะไรน่าสนใจ เท่าไหร่น้า..ไว้จะมาอัพเดทบ่อยๆ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม
Friends' blogs
[Add +JoeJang+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.