วันที่สองบรรยากาศเริ่มครื้นเครง ผลจากการเล่นเกมละลายพฤติกรรม แนะนำตัวทางอ้อมกันด้วยหน้าต่างสี่บาน อันได้แก่
1.ความสำเร็จในอดีต
2.ความล้มเหลวในอดีต
3.ความสำเร็จในปัจจุบัน และ
4.สุดท้ายสิ่งที่คาดหวังในอนาคต
ด้วยวาทะของอาจารย์ที่ขอไว้ว่า "อย่าเก๊กและอย่ากั๊ก" ทำให้บรรยากาศในการนำเสนอเรื่องราวนั้นเกิดความครื้นเครง ตามมาด้วยการสามารถสร้างความคุ้นเคยต่อกันได้เป็นอย่างดี
C&C และ C&D คือ
จงอย่าลอกและทำอย่างนั้นจนเหมือนกันเป๊ะ คือ C&C (Copy and Copy) เพราะในแง่ธุรกิจ การที่มีสินค้าที่เหมือนกันอยู่ในตลาดมันก็จะแข่งขันกันเองในกลุ่ม เพราะมีความต้องการเดียวกัน ก็ต้องแข่งกันเอง แบ่งเค้กกันเอง แต่จง C&D (Copy and Develop) คัดลอกและพัฒนาต่อไป เพื่อทำให้เกิดความแตกต่าง เพื่อสร้างจุดขาย พัฒนาให้เกิดความแปลกใหม่เพื่อความน่าสนใจ จะได้ไม่ต้องแบ่งเค้กให้ใครเลย (อย่างน้อย ๆ ก็ก่อนที่ใครจะมา CC งานของเราต่ออีกที อิอิ)
ต่อด้วยทฤษฎี หน้าต่างโจฮารี ของลุงโจเซฟ และลุงแฮรี่ ที่ว่าด้วยการทำความรู้จักตัวเองด้วยจัดคุณลักษณะของแต่ละบุคคลออกเป็น 4 ส่วนหรือหน้าต่างสี่บานคือ
1. พื้นที่สาธารณะ หรือ พื้นที่เปิด คิดว่าการเรียนรู้หน้าต่างโจฮารีในว้ันนี้ มีประโยชน์ในแง่การสร้างบรรยากาศอบอุ่น ถ้าเราพร้อมจะเปิดตัวเอง หรือขยายพื้นที่สาธารณะให้กว้างขึ้น คนอื่นก็พร้อมจะสนองตอบมากตามไปด้วยเท่านั้น ลดกำแพงซึ่งกันและกันนำมาสู่ความเป็นเครือข่าย หรือความเข้าใจเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้มากขึ้นและง่ายขึ้น
Outside-in Inside-Out อันนี้น่าสนใจ.... แนวคิดการตลาดแบบ Inside-out
เกิดขึ้นเพราะต้องการปรับปรุงการตลาดแบบเถ้าแก่ธรรมด๊า ธรรมดาให้ดีขึ้นเพื่อให้ลูกค้าพอใจมากขึ้นจากเดิมที่เถ้าแก่อาจจะฟังจากคนทำงานไม่กี่คนแล้วไปทำการตลาด มาเป็นสำรวจเพิ่มเติมโดยการจ้างคนหรือบริษัทมาวิจัยมาสำรวจข้อมูลในตลาด หลังจากนั้นก็เอามาวิเคราะห์ แปรรูปออกมาเป็นกิจกรรม เช่น โฆษณา ใช้สื่อประชาสัมพันธ์ งาน event ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ในตัวสินค้าและบริการ เพื่อให้ได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้น
รูปแบบ Inside-out เนี่ย นอกจากผลการวิจัยมันจะช่วยให้เถ้าแก่เค้าสามารถจัดการกับสต๊อคได้ ยังช่วยประเมินทิศทางความต้องการสินค้าได้แม่นยำด้วยนะ เพราะใช้บริษัทมาวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลกันงัย แบบเนี่ยแน่นปึ้ก การคำนวณการกักตุนสต๊อคถูกต้องไม่ต้องเอาเงินไปจม และเพราะรู้ข้อมูลมากและแม่น ทำให้ส่งผลดีในเรื่องการเจรจาต่อรองในเรื่องต้นทุนสินค้าได้อีก เค้าถึงว่า ผู้รู้ข้อมูลข่าวสารได้เร็วมักได้เปรียบ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ Inside-Out ก็ได้ผลอยู่ระยะนึง เมื่อการตลาดมันแข่งขันกันดุเดือด Copy&Copy กันเข้าไป คนอื่น ๆ ก็ลอกกิจกรรมนี้ไปทำกันหมด จ้างบริษัทมาวิจัยกันใหญ่ ทำเหมือน ๆ กันเปี๊ยบ ยกเว้นโลโก้สินค้าเท่านั้นที่แตกต่าง Inside-Out ก็เลยชักจะไม่ work เมื่อเป็นแบบนี้แนวคิดเรื่อง "ลูกค้ายึดติดหรือภักดีต่อแบรนด์ที่ใช้ประจำ" ก็เริ่มไม่จริง ลูกค้าเริ่มไม่ผูกพันเพราะมีทางเลือก ในเมื่อมีการนำเสนอกันหลากหลาย ลูกค้าก็เริ่มนอกใจสิ
แล้ว Outsitd-in น่าสนใจยังงัย แนวคิดการตลาดแบบ Outside-in นั้นเกิดเพราะปัญหาความไม่แน่นอนในใจลูกค้า อันที่จริงแล้วเมื่อวิธีเดิมมันไม่ work แนวคิดนี้จึงสอนให้คนหันมาดูพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยแทน เรียกว่าการตลาดรายบุคคลก็ว่าได้ มีการคาดการณ์ว่าจะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต จากแนวคิดดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนการแนวคิดการตลาดแบบ Outside-in คือแทนที่จะเก็บข้อมูลทั่วไปมาวิเคราะห์และคิดเอาว่าลูกค้าต้องการอะไร ก็กลับมาเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้าจากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าแต่ละคน และนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อจะใช้จัดกิจกรรมการตลาดที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ราย
สรุปแล้ว : วันนี้ได้รู้เรื่องการวิเคราะห์ตัวเองอย่างเป็นระบบ จะทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อให้กลับมาส่องกระจกถามกันอีกครั้งว่า ...ไหวมั้ย อิอิ
ปล. เย็นนี้ สปา แอนด์ อโรม่า ช่วยด้วย