|
Japanese mass media
ช่วงนี้มีข่าวใหญ่ข่าวนึงในญี่ปุ่นคือ . "เด็กสองขวบเจอเครื่องShredderดูดนิ้วหักไปเก้านิ้ว" . . .
ย้อนกลับไปเดือนเมษายน 2005 ที่ญี่ปุ่นมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว ออฟฟิสสำนักงานต้องป้องกันมิให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้ารั่วไหลออกไปข้างนอก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำข้อมูลส่วนตัวของแต่ละบุคลนำไปใช้ในทางมิดีมิชอบ ด้วยเหตุนี้ ออฟฟิสสำนักงานต้องทำลายเอกสารหรือซีดีที่มีข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า โดยมีการนำเครื่องทำลายเอกสาร(Shredder)มาใช้การอย่างแพร่หลาย หลังจากการออกกฎหมายนี้ นอกจากก่อให้ภาคธุรกิจเพิ่มมาตรการการรักษาข้อมูลส่วนตัวของบุคลแล้ว ก็ส่งผลให้คนต่อหลายคนซื้อเครื่องShredderไว้ใช้ประจำบ้าน เพื่อทำลายเอกสารต่างๆ อย่างเช่นจดหมาย
เครื่องทำลายเอกสารประจำบ้านที่ขายกันทั่วไป บางรุ่นก็มีความกว้างของที่สอดกระดาษกว้างถึง 8 mm (เพื่อที่จะสอดเอกสารได้ทีละหลายๆแผ่น) ความกว้างขนาดนี้กว้างพอที่จะให้เด็กตัวเล็กๆสอดเข้าไปได้ง่ายๆ
หลังจากเกิดอุบัตเหตุนี้ขึ้นมา ผมเปิดทีวีช่องไหน ทุกๆวัน ผมเจอหลายรายการ(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการข่าว) ที่ออกข่าวเรื่องนี้ มีการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง มีการวิเคราะห์เหตุการณ์ การหามาตรการการป้องกัน ต่างๆนานา จากการดูข่าว ผมก็พบว่าเหตุการณ์ที่เด็กโดนเครื่องทำลายเอกสารทำนิ้วหัก ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก แต่นี่เกิดเป็นครั้งที่สาม ครั้งที่สี่แล้ว! น่าสงสัยว่าตอนที่เกิดอุบัติเหตุแบบนี้ครั้งแรกนี้ มีการนำเสนอข่าวไปแพร่หลายขนาดไหน สิ่งที่ผมเห็นอีกในอนาคตก็คือ กลุ่มผู้สื่อข่าวก็คงเล่นข่าวเรื่องนี้ไปนาน คงยาวไปเรื่อยๆถึงสองสัปดาห์ ผมเห็นเหตุการณ์ลักษณะนี้มาหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นเหตุการณ์เด็กเจอเครื่องทำคลื่นในสระว่ายน้ำดูดเข้าไป ข่าวๆนี้ก็ถูกนำเสนอ เอามาวิเคราะห์กันเป็นสัปดาห์ ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ ถ้ามองผิวเผินเหมือนสื่อมวลชนญี่ปุ่นก็พยายามที่จะนำเสนอข่าว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่สิ่งที่"โดยส่วนตัว"ที่ผมคิดก็คือ สื่อมวลชนก็แค่เล่นข่าวๆนึงไปเป็นสัปดาห์ นำเสนอเนื้อข่าวซ้ำๆทุกวัน พอผ่านไปสักพักก็เลิกเล่นข่าวเดิม เพราะมีข่าวใหม่ เหตุการณ์ที่สดใหม่กว่า ผมเห็นลักษณะของสื่อมวลชนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ผมเห็นข่าวบางข่าวก็เล่นกันเป็นสัปดาห์จนคิดว่า "มันจะอะไรกันนักหนาว่ะ มันต้อง Move on" กันได้แล้ว
การนำเสนอข่าวเหตุการณ์ ความผิดพลาด ซ้ำๆกันทุกวัน มันดูแล้วก็รู้สึกหดหู่ได้เหมือนกัน ลักษณะนี้ก็แทบไม่ต่างกับหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์บ้านเรา ข่าวอุบัติเหตุ ข่มขื่น การเมือง เห็นกันทุกวัน รู้สึกหดหู่กันทุกวัน ผมอยากเห็นข่าวที่สร้างสรรค์มากกว่า ข่าวกีฬาระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ข่าวคนไทยไปทำชื่อเสียงต่างประเทศ ข่าวการพัฒนาท้องถิ่น น่าเสียดายที่ว่าผู้คนให้ความสนใจกับข่าวพวกนี้น้อยเพราะ "ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับตัวเอง" แต่ถ้าเป็นข่าวร้ายก็ "กลัวที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง" ก็เลยให้ความสนใจ
คนเราผิดพลาดกันได้ ผมเคยได้ยินกฎ 90:10ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เราควบคุมได้เอง 90เปอร์เซนต์ ที่เหลือ 10 เปอร์เซนต์เป็นปัจจัยภายนอก ผมก็ได้แต่ตอบตัวเองว่า การนำเสนอข่าวแบบนี้ก็เป็น 10% ที่เหลืออีก 90% ผมก็อยากบอกว่าสื่อมวลชนแบบญี่ปุ่นก็ยังไม่สามารถนำเป็นแบบแผนปฏิบัติตามได้ เราก็เลือกเสพข่าวที่ดูมีประโยชน์ต่อชีวิตเราและปริมาณที่พอควร และผมคิดว่าแทนที่ใช้เวลามากเกินไปทำตัว passive รับข่าวสารแบบนี้ เราน่าจะ active เอาเวลาไปทำอะไรให้เป็นประโยชน์ รักษาสมดุลตรงนี้ให้ดีน่าจะดีกว่า
Create Date : 26 สิงหาคม 2549 |
|
6 comments |
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 7:25:37 น. |
Counter : 614 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Jeban 27 สิงหาคม 2549 14:48:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ~De Carrot~ IP: 203.151.53.68 28 สิงหาคม 2549 11:51:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jeban' IP: 203.156.78.12 28 สิงหาคม 2549 21:40:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ศุภกานต์ IP: 125.27.131.0 10 มิถุนายน 2550 13:49:28 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Nevertheless, I believe that media has an idea which bad news can attract more money than good news. But one true thing that they don't still realize is more people get bored if they consume too much bad news.