|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
โรคขี้เรื่อนเปียก
ขี้เรื้อนเปียก ปัญหาสุขภาพของสัตว์เลี้ยงบางเรื่องสร้างความท้อใจให้ผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึงครับ เนื่องจากเวลาเราซื้อสุนัขมาเลี้ยง หรือคนอื่นยกให้ก็ตาม ผู้เลี้ยงใหม่มักไม่ทราบว่าอาจมีโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นแล้วรักษายากติดตัวสุนัขมาด้วย เมื่อเค้าป่วยและได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว
บางท่านถึงกับถอดใจไม่อยากดูแลสุนัขเลยก็มี อย่างเช่น หมาที่ป่วยเป็น "โรคเรื้อนเปียกหรือขี้เรื้อนในรูขุมขน" ถือเป็นโรคผิวหนังซึ่งรักษายาก และต้องใช้เวลาตรวจรักษากันนานทีเดียว
แล้วยังส่งผลต่อลักษณะภายนอกของเจ้าตูบแสนรักอย่างชัดเจน เรียกว่าหน้าตาเละเทะจนจำแทบไม่ได้เชียว โรคเรื้อนเปียก หรือโรคเรื้อนในรูขุมขน เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไร เป็นปรสิตภายนอกที่อาศัยในรูขุมขนของสุนัข ปรกติแล้วไรขี้เรื้อนเปียกสามารถขูดพบได้ในหมาตัวที่ปรกตินะครับ เพียงแต่โอกาสที่เจอนั้นน้อย และไม่อยู่ภาวะที่ก่อให้เกิดรอยโรคได้ กลไกในการเกิดที่ว่านี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เท่าที่ค้นคว้าในปัจจุบันระบุว่าหมาตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้มีความผิดปรกติของเม็ดเลือดขาวชนิด T - cell และยังมีระดับของอินเตอร์ลิวคิน-2 ต่ำกว่าหมาปรกติ เจ้าสารอินเตอร์ลิวคิน-2 เป็นสารชีวเคมีที่ร่างกายของสุนัขมีอยู่ทุกตัว มันทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน
เพราะเมื่อสารนี้หลั่งออกมาจะเกิดการกระตุ้นให้มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพิ่มระดับการทำงาน เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ถ้าสารที่ว่านี้ลดต่ำลงเมื่อใด เจ้าไรขี้เรื้อนในรูขุมขนจะเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น และตัวมันเองยังเป็นตัวการสำคัญที่จะผลิตสารชีวเคมีซึ่งทำให้เกิดปัญหาการกดเซลล์ภูมิคุ้มกันด้วย คราวนี้เลยมีช่องทางให้เจ้าเชื้อโรคเพื่อนเกลอ คือแบคทีเรียเข้ามาร่วมก่อเสียหายด้วย สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเนื้อตัวจึงเละตุ้มเป๊ะในพื้นที่เกิดรอยโรค
อาการของโรคเรื้อนเปียกมีหลายรูปแบบ เริ่มทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่า อาการเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ มักพบที่บริเวณแก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า โดยหมามีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบเป็นตุ่มแดงๆ เล็กๆ ตามปรกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเอง และจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์
แต่ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขมารับยารักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหาย ตามปรกติแล้วมีสุนัขประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบเฉพาะที่ แล้วพัฒนาเป็นแบบกระจายตัวทั่ว
เจ้าของควรหมั่นพาสุนัขของท่านไปตรวจรักษาตามที่สัตวแพทย์แนะนำครับ อาการเรื้อนเปียกแบบกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักพบว่าหมาตัวที่เป็นมีการอักเสบของผิวหนังรุนแรงมาก มีขนร่วง มีตุ่มหนองแตกออก เป็นแผลคันเกา รอยโรคพบได้ตั้งแต่ส่วนของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า เรียกว่ามีอาการอักเสบของรูขุมขนจนมีเลือดออก มีหนองไหลแตกออกมาจากตุ่มที่ติดเชื้อนั้นล่ะครับ
รอยโรคที่เป็นแล้วถือว่ารุนแรงและรักษาได้ยาก คือ เมื่อเป็นทั่วตัวแล้ว เกิดการอักเสบมากที่ผิวหนังส่วนของเท้า สุนัขที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกที่ลามลงไปถึงที่เท้านั้นมีอาการเท้าบวม เป็นตุ่มเลือดแตกออก กระจายไปทั่วเท้าซึ่งสัตว์จะทรมาน เจ็บปวดมากทีเดียว
การตรวจวินิจฉัย โรคเรื้อนเปียกจำเป็นต้องพาสุนัขไปตรวจ เพื่อให้คุณหมอขูดเอาผิวหนังส่วนที่ลึกถึงชั้นรูขุมขนไปตรวจ เมื่อเก็บตัวอย่างผิวหนังได้ สัตวแพทย์จะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องตรวจดูตัวอย่างของผิวหนังซึ่งอาจจะเป็นหนองหรือเลือด เวลาพบว่าสุนัขป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกมักสังเกตเห็นตัวเรื้อนในตัวอย่างของผิหนัง ว่ามีมากมายหลายตัวและกำลังอยู่ในภาวะที่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น พบตัวเรื้อนตัวแก่ ตัวอ่อน พบไข่ อย่างนี้ล่ะครับที่เรียกว่ากำลังสร้างปัญหาสุขภาพให้สุนัขอย่างมาก การรักษา เรื่องนี้ล่ะครับเป็นปัญหา อย่างที่ทราบกันดีว่า โรคนี้เป็นโรคผิวหนังที่ต้องใช้เวลารักษานานมาก ยิ่งในรายที่เป็นแบบกระจายไปทั่วตัว บางรายอาจต้องให้ยานานกว่า3-8เดือนและต้องได้รับการตรวจเป็นระยะ อย่างเช่น สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกแบบกระจายไปทั่วตัว และเป็นที่ฝ่าเท้านั้น ใช้เวลารักษานานและต้องให้ยาอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจถามต่อว่าโรคนี้หายขาดไหม แต่เดิมเชื่อกันว่า รักษาไม่หาย
ปัจจุบันยารักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น สุนัขป่วยเป็นเรื้อนเปียกแบบกระจายทั่วตัวมีโอกาสหายขาดได้ จะมีในบางรายเท่านั้นที่ต้องให้ยาควบคุมไปตลอด และมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกหลังจากหยุดให้ยา เมื่อสุนัขรับยาจนไม่มีอาการผิดปรกติอะไรแล้ว ต้องพาสุนัขมาขูดผิวหนังตรวจซ้ำอีกครั้ง ว่ามีตัวเรื้อนเปียกอีกหรือไม่ในรอยโรคเดิม ซึ่งต้องขูดตรวจอย่างน้อย 5 จุดของร่างกายเพื่อให้ผลยืนยันได้อย่างชัดเจน ถ้าขูดผิวหนังตรวจแล้วไม่พบ หลังจากที่หยุดยานานกว่า 2 เดือนนั่นแสดงว่าสุนัขหายจากโรคนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สุนัขตัวที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนเปียกเจ้าของต้องหมั่นพาไปตรวจร่างกายครับ แต่ถ้าเริ่มมีตุ่มคล้ายสิวขึ้นแบบกระจายตัว ขนเริ่มร่วง และสุนัขคันเกาต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที *เรื่องการรักษาตามความเชื่อแบบแปลกๆ ที่เคยได้ยินมา เช่น นำกำมะถันทาทั้งตัวสุนัขหรือบริเวณที่เป็นรอยโรค ในรายที่เป็นเรื้อนเปียกแบบรุนแรงกระจายทั่วตัวไม่ควรใช้แล้วครับ ควรพาไปให้สัตวแพทย์รักษาด้วยยาแผนปัจจุบันดีกว่า บางรายหนักยิ่งกว่าใช้น้ำมันเครื่องทาตัวหมาบ้าง นำน้ำหน่อไม้ดองมาอาบให้บ้าง ไม่ควรใช้ครับโรคนี้ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญโรคนี้เป็นแล้วหายช้าอยู่แล้ว การรักษาตามความเชื่อที่ผิดๆ อย่างนี้คงส่งผลไม่ดีแน่
บทความนี้คัดลอก มาจาก//www.petgang.com/healthy/index.php?Group=13&Id=17 ฉบับวันที่ 2 มีนาคม 2548 | ฉบับที่ 5 เขียนโดยนายสัตวเเพทย์ทศพร นักเบศร์ ขอขอบคุณมากครับ
*นอกจากบทความหมาดีๆในwww.petgang.comเเล้วในเว็บนี้ยังมีคลิปวิดีโอเช่นการป้อนยา อาการต่างๆเป็นต้นเเละยังมีบทความน่าสนใจเกี่ยวกับสัตว์อื่นเช่นเเมว สัตว์เเปลก เกี่ยวกับอาหารเป็นต้น ท่านยังสามารถตั้งกระทู้ ถามคำถามกับสัตวเเพทย์ทศพร นักเบศร์โดยตรงอีกด้วย ถ้าสนใจก็สามารถเข้าไปดูได้ที่www.petgang.com
ขอให้ท่่านที่่เอาบทความไปไม่ว่าจะเอาไปโพสที่ไหนหรือทำอะไรกรุณาคัดลอกที่มาข้างบนด้วยครับ ไม่ใช่ชื่อblogของผมเเต่ชื่อตัวเว็บของผู้จัดทำ เพื่อเป็นเกียรติเเก่ผู้จัดทำบทความ น้องพจน์(honghong)
Create Date : 05 พฤศจิกายน 2549 |
|
0 comments |
Last Update : 17 ธันวาคม 2549 16:48:22 น. |
Counter : 629 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|