|
การเมือง พศ.2549
8 เมษายน 2549 เมื่อการเมืองเริ่มสงบ มุมมองต่างๆที่เคยมองเอาไว้เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น การยึดอำนาจโดยข้ออ้างรักชาติ สมประสงค์ กลุ่มหนุนก่อการต่างๆเริ่มเผยโฉม ทุกอย่างจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เท่าทีเห็นหัวหน้ากลุ่มต่างๆ ต่างเป็นกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มก่อการเก่า ที่ตามโลกาภิวัฒิไม่ทัน เคยแต่ค้าขายและเล่นการเมืองแบบอิงอำนาจรัฐ เมื่อตามไม่ทันก็จัดการล้มกระดานเสีย เพื่อเขียนกติกาใหม่ ตามใจตามความสามารถของกลุ่มอำนาจเก่า เพื่อจะได้กลับมาทำมาหากินกันใหม่ เพราะระบอบทักษิณ เป็นระบอบของคนที่ทำกินตามระบบ เล่นการเมืองตามระบบ อันเป็นการยากสำหรับกลุ่มคนที่มองประชาชนเป็นแค่เครื่องมือ และใช้ความเป็นชนชั้นทำมาหากิน ที่จะกระทำได้ ระบอบทักษิณจึงเป็นระบอบที่กลุ่มชนชั้นไม่ต้องการ เพราะประเภณีไทยแต่เดิมมา ไม่มีเคยมีพรรคการเมืองใดทำตามนโยบายที่ได้แถลงไว้กับประชาชน 50ปีที่ติดตามการเมืองมาเพิ่งเห็นระบอบทักษิณนี่ละกระทำได้กว่า 50 % จึงเป็นการยากที่พรรคอื่นๆจะกระทำได้ หนทางช้างหน้าย่อมมองเห็น หากปล่อยให้ระบอบทักษิณบริหารประเทศต่อไป อีกทั้งจะทำให้สังคม ไม่สนใจการชี้นำของนักวิชาการ การเป็นชนชั้นของนักวิชาการจะไร้ความหมาย จึงเป็นที่มาของการรุมสกรัมระบอบทักษิณ เพื่อรักษาความเป็นชนชั้นและเจ้านายของประชาชนไว้ ทำใมผมถึงมองแบบนี้หรือ การพูดย้ำของนักวิชาการ ที่ย้ำตลอดมาว่า เสียงประชาชนที่เลือกพรรคไทยรักไทย คือเสียงที่มีคุณภาพต่ำ นั่นคือการสารภาพว่า เป็นคนละชนชั้นกัน ในสมองของนักวิชาการ ไม่ยอมรับเสียงของคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย ทั้งๆที่มากกว่า นี่คือการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน อนาคตการเมืองไทยมืดมนเพราะมุมมองของนักวิชาการเหล่านี้ ต่อจากนี้ไปจะมีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้น ไปอีกนานแสนนาน เพราะนักวิชาการได้หนุนการชุมนุมเต็มรูปแบบ อันเป็นตัวอย่างให้เกิดการกระทำอีกต่อไปในอนาคต ผมไม่ใช่นักวิชาการ ไม่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ได้แต่บันทึกเก็บไว้ดูเพื่อระลึกถึงการถูกแบ่งชนชั้น ไว้ดูเพื่อเตือนตนเอง
Create Date : 09 เมษายน 2549 |
|
1 comments |
Last Update : 9 เมษายน 2549 13:11:05 น. |
Counter : 483 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: zzz IP: 61.19.54.163 10 เมษายน 2549 16:27:33 น. |
|
|
|
|
|
|
|
1. สมมุติว่ามีกำนันคนหนึ่งที่เบื้องหน้าชอบทำบุญ แต่เบื้องหลังใจโฉดชอบอมเงินทำบุญจากชาวบ้านที่บริจาคให้วัด โดยรวมหัวกับมักทายก 4 คน ทำให้ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วใน 5 ปี และได้ทำการสั่งสมอิทธิพลจากเงินที่เยอะขึ้นตลอดเวลา สั่งเก็บทุกคนที่ขัดขวางผลประโยชน์ตัวเอง
2. วันหนึ่งกำนันคนนี้ย่ามใจหนักขโมยเอาพระประธานของวัดไปขายได้เงิน 73,300 บาท มีพยานแอบเห็นเหตุการณ์จำนวนมาก พอญาติโยมไปแจ้งความตำรวจแต่ด้วยความเส้นใหญ่ทำให้ตำรวจไม่กล้าทำอะไร ดองคดีไว้ มีแกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คน ได้รวมตัวชาวบ้านไปประท้วงป่าวประกาศให้ชาวบ้านในตำบลรู้
3. กำนันทนแรงกดดันไม่ไหว จึงประกาศว่าจะขอเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าเพื่อหาเงินมาสร้างพระประธานองค์ใหม่แทนองค์เดิม ขอแรงชาวบ้านทุกคนในตำบลมาทำบุญใหญ่ด้วยกัน หากชาวบ้านคนไหนไม่มาร่วมด้วยแสดงว่าไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
4. มีผู้ใหญ่บ้าน 3 หมู่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าที่ถูกต้องกำนันต้องนำพระที่ขโมยไปมาคืนจึงจะถูก มิใช่การทอดผ้าป่าหาพระองค์ใหม่ จึงไม่ยอมลงขันร่วมทำบุญใหญ่ทอดผ้าป่าในครั้งนี้ และไปแจ้งให้ชาวบ้านในหมู่ของตนทราบถึงพฤติกรรมของกำนัน
5. แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คนได้ทำการป่าวประกาศปลุกใจชาวบ้านให้เห็นความผิดของกำนัน และท้าทายกำนันให้ชี้แจงความจริงกับประชาคมตำบล แต่กำนันไม่กล้า ได้แต่ส่งลูกน้องให้ไปพูดจาโจมตีแกนนำชาวบ้านว่ากู้เงินแล้วไม่ใช้บ้าง , เลี้ยงหมาไม่รอดบ้าง ชาวบ้านหลายคนเริ่มลังเล และมีหลายคนลืมเรื่องการขโมยเอาพระประธานของวัดไปเสียสนิท และมองว่าเป็นการทะเลาะกันของกำนันกับลูกบ้าน
6. แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คนกดดันอย่างไร กำนันก็ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง ดื้อด้านเพราะรู้ว่าวันใดลาออกจากตำแหน่ง วันนั้นเขาโดนข้อหาหนักแน่ อำนาจก็หมด ลูกเมียคงเดือดร้อน และต้องติดคุกแน่นอน จึงวิ่งไปหาชาวบ้านหลังโน้นหลังนี้โดยสัญญาว่าจะให้วัวบ้าง เงินกู้บ้าง จนชาวบ้านหลายคนเริ่มใจอ่อนและสงสาร จนกระแสกำนันขโมยพระวัดไปขายค่อย ๆ จางไปในที่สุด คนส่วนใหญ่ในตำบลกลับไปเตรียมตัวทอดผ้าป่ากันเป็นที่ครื้นเครง
7. ในวันทอดผ้าป่าปรากฎว่าชาวบ้านทั้งตำบลมี 4,500 คน มีชาวบ้านมาทอดผ้าป่าแต่ไม่บริจาคเงินจำนวน 1,000 คน บริจาคแบ๊งค์กงเต้ก 200 คน และไม่ยอมร่วมงานผ้าป่าอีก 1,700 คน รวมเป็นผู้ไม่บริจาคเงินให้ผ้าป่าของกำนันจำนวน 2,900 คน ( หรือ 65 % ) แต่กำนันกลับป่าวประกาศไปทั่วว่ามีคนให้เงินทอดผ้าป่ากำนัน 1,600 คน ซึ่งเกินครึ่งของผู้ร่วมงานที่แกจัด.....จะบ้าตาย
8. และกลับปรากฏว่าชาวบ้านใน 3 หมู่บ้านทางท้ายล่างของตำบลร่วมทอดผ้าป่าด้วยน้อยมาก จนทำให้กองผ้าป่ามีปัญหา ได้เงินไม่พอจะหาพระประทานองค์ใหม่ ชาวบ้านเริ่มเครียดและกดดันกำนันอีกครั้ง
9. หลังจากกลับจากการหารือกับเจ้าอาวาสวัดแล้ว กำนันถูกร้องขอบางอย่างได้เรียกประชุมคนทั้งตำบลทันที กำนันประกาศว่า.....จะขอถอยบวชสักระยะ และจะให้ลูกน้องสนิทขึ้นมาเป็นกำนันแทน.....สิ้นคำประกาศทันใดชาวบ้านค่อนตำบลส่งเสียงอนุโมทนาสาธุ ยกย่อง กำนันเป็นวีระบุรุษ ผู้เฒ่าผู้แก่น้ำตานองไหลทั่วทั้งตำบล
10. วันนี้ชาวบ้านไม่มีใครพูดเรื่องกำนันขโมยพระอีกแล้ว.....มักทายก 4 คน กำลังจะบอกชาวบ้านให้ทอดกฐินอีกครั้งก็ได้เงินครบแล้ว เอามาแทนพระประธานองค์ใหม่แทนองค์เก่าก็ได้ไม่เห็นจะเสียหาย .....กำนันกำลังจะเป็นพระให้ชาวบ้านกราบไหว้......ลูกน้องกำนันกำลังจะขึ้นมาเป็นกำนันแทน และอันธพาลกำลังคุกคามแกนนำชาวบ้าน
11. แกนนำชาวบ้านใจกล้า 5 คน และผู้ใหญ่บ้าน 3 หมู่ ออกมาบอกว่าต้องลงโทษกำนันและนำพระประธานคืนมาก่อน เพราะความผิดที่ขโมยพระยังไม่ได้ชำระ แต่ชาวบ้านหลายคนบอกว่ากำนันถอยแล้วทำไมฝ่ายอื่นไม่ถอยบ้าง......แกนนำชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านกำลังถูกโดดเดี่ยว.......อนิจจา
12. นิทานเรื่องนี้ถามว่า......การบวชทำให้พ้นความผิดข้อหาขโมยพระประธานได้อย่างนั้นหรือ หรือว่าต้องการแค่เพียงให้คนเขาลืมอดีตของกำนันเท่านั้น ???? หลังจากสึกหนนี้ ไอ้ทิดจะกลับมาเป็นกำนันอีกแสนนานใช่ไหม...???....ต้องถามชาวบ้านตำบลนี้แล้ว ???
13. จะมีการทอดกฎินอีกครั้ง.......ชาวบ้านหมู่ท้ายหมู่บ้านจะยอมบริจาคเงินหรือไม่ วันที่ 23 เม.ย.49 รู้กัน ??? ......ขอเป็นกำนันคนกลางโดยคำแนะนำของท่านเจ้าอาวาสไม่ดีหรือ ???จะได้มาสะสางความผิดกำนันก่อน คนผิดไม่ควรลอยนวลไม่ใช่หรือ ??? ชาวบ้านจะยอมให้ลูกน้องกำนันมาเป็นตัวแทนข่มเหงชาวบ้านอีกหรือ ?? ลืมเรื่องกำนันขโมยพระประธานไปแล้วหรือไร ??? อย่าต้องปล่อยให้แกนนำชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านโดดเดี่ยวเลยครับ.....เป็นกำลังใจให้เขาต่อสู้เรียกหาความยุติธรรมเถอะ