การวิเคราะห์ความคุ้มค่า เป็นกระบวนการความคิดที่แตกหน่อมาจากความอยากรู้ว่าการนำเงินไปลงทุนในเรื่องหนึ่งๆ หรือในโครงการหนึ่งๆ สิ่งที่ได้รับกลับมามันจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงไปหรือเปล่า โดยปกติแล้วภาคเอกชนก็จะดูเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน เช่น FIRR ส่วนภาครัฐก็จะดูผลตอบแทนทางเศรษฐกิจหรือ EIRR ซึ่งการพิจารณาก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้าผลตอบแทนคุ้มค่าก็น่าลงทุน ถ้าไม่คุ้มค่าก็ไม่ควรดื้อรั้นลงทุนต่อไป ทีนี้ในส่วนของภาครัฐมันมีประเด็นคำถามที่แตกหน่อออกไปให้ต้องคิด เช่น การลงทุนทำโครงการของภาครัฐ มันมีมิติที่ต้องพิจารณามากกว่าผลตอบแทน เช่น ประชาชนจะได้อะไร จะเกิดผลอะไรกับประเทศชาติ ฯลฯ หรือในกรณีที่รัฐมอบให้เอกชนมาลงทุนในโครงการของรัฐ (รัฐหมดเงินล่ะ หรือรัฐไม่อยากรับความเสี่ยงและมองว่าเอกชนน่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า...ก็น่าจะจริง) จะต้องพิจารณาอะไรบ้าง เช่น ดีกว่าทำเองยังไง คุ้มกว่ายังไง ฯลฯ มันก็เลยทำให้ต้องมาวิเคราะห์ "ความคุ้มค่า" ในเชิงที่ลึกและขยายมุมมองมากขึ้น ผมก็จะยกตัวอย่างแนวทางการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของ 2 กรณีข้างต้น ซึ่งเราเรียกกันว่า Value for Money หรือ VfM นั่นเอง กรณีที่ 1 ความคุ้มค่าในการดำเนินงาน หรือการดำเนินโครงการของรัฐ เป็นความพยายามที่จะอธิบายว่า การนำงบประมาณไปใช้ในโครงการต่างๆ หรือการปฏิบัติงานของส่วนราชการ (ในที่นี้จะหมายถึงระดับกรม) มีผลรับที่คุ้มค่ามากเพียงใด โดยสุดท้ายแล้วสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้กำหนดแนวทางว่า ให้วิเคราะห์ออกมาให้เห็นอย่างน้อย 3 มิติ คือ - ผลผลิตที่ได้มีอะไรบ้าง คิดเป็นมูลค่าเท่าไหร่
- ผลลัพธ์ที่ได้คืออะไรบ้าง หมายถึงมีการนำผลผลิตไปใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด ทำโครงการแล้วเกิดผลกำไรจริง หรือทำแล้วกลายเป็นอนุสาวรีย์
- ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง เช่น ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ช่วยลดปัญหามลภาวะ ทำให้สังคมสงบร่มเย็น ช่วยให้ประเทศเจริญมั่งคั่ง ฯลฯ อะไรเหล่านี้ถ้าสามารถคิดเป็นตัวเงินได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ให้อธิบายให้เป็นภาพ
จะเห็นว่าการมองความคุ้มค่าในการทำโครงการของรัฐจะใช้มุมมองที่มากกว่าเรื่องผลตอบแทนของโครงการ กรณีที่ 2 ความคุ้มค่าในการให้เอกชนเข้ามาลงทุนแทนรัฐ มุมนี้เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบกรณีที่ภาครัฐให้เอกชนเข้ามาลงทุนในโครงการที่ปกติแล้วรัฐจะเป็นลงทุนเองหรือรัฐมีหน้าที่ต้องทำเอง เช่น การลงทุนในทางด่วน การลงทุนโครงการประปา ฯลฯ จะแตกกับกรณีแรกตรงที่ว่าเราจะก้าวข้ามคำว่าที่ว่า ควรลงทุนไหม? ลงทุนแล้วคุ้มไหม? คือต้องพิจารณากันแล้วว่าต้องทำโครงการแล้วนะ (ห้ามเถียง) หากยังถกเถียงว่าควรทำโครงการหรือไม่ ก็ให้ไปคิดตามกรณี 1 ให้มันสะเด็ดน้ำเสียก่อน เมื่อได้ข้อยุติแล้วว่าควรทำหรือต้องทำก็ค่อยมาพิจารณาเรื่องความคุ้มค่าในกรณีนี้ต่อไป การเปรียบเทียบว่ากรณีให้เอกชนเข้ามาลงทุนแทนรัฐนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เราใช้วิธีการเปรียบเทียบว่า ให้เอกชนลงทุนแล้วทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายของภาครัฐลดลงหรือไม่ (โดยต้องได้สินค้าหรือบริการไม่น้อยกว่าเดิมนะ) เชน รัฐลงทุนทำทางด่วน ดูแลบริหารจัดการเอง มีต้นทุนเท่าไหร่ จดไว้ แล้วไปดูว่าถ้าให้เอกชนเข้ามาลงทุนรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมั่ง จดไว้ แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน ถ้าให้เอกชนทำแล้วรัฐมีต้นทุนลดลงก็เรียกว่าสามารถประหยัดได้หรือมีความคุ้มค่า อ้อลืมไป ศัพท์ทางเทคนิค 2 คำที่เกี่ยวข้อง กรณีที่รัฐทำเองเราเรียกว่า Public Sector Comparator (PSC) ส่วนกรณีให้เอกชนร่วมลงทุนเราเรียกว่า Public Private Partnership (PPP) ทีนี้มาดูกันว่ามีแนวทางการคิดต้นทุนแต่ละฝั่งอย่างไร - ต้นทุนของ PSC ประกอบด้วย
- ต้นทุนพื้นฐาน (Raw PSC) เช่น ค่าก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ก็คือต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เห็นๆ อยู่นั่นแหล่ะ
- ต้นทุนความเสี่ยง คือถ้ารัฐทำเองก็มองว่ามีความเสี่ยงล่ะ ยกให้เอกชนจัดการกับความเสี่ยงดีกว่า แล้วคิดเท่าไหร่ดีล่ะ ... จากข้อมูลงานวิจัยที่อ้างอิงได้บอกว่า ความเสี่ยงในช่วงการก่อสร้างคิดเป็นเงินประมาณร้อยละ 22 ของมูลค่าการก่อสร้าง ส่วนความเสี่ยงในขั้นตอนการดำเนินงานคิดเป็นเงินประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุนค่าใช้จ่ายช่วงการดำเนินงาน สรุปว่าต้นทุนความเสี่ยงทั้งหมดจะอยู่ราวๆร้อยละ 20-22 ของ Raw PSC (ถ้าขี้เกียจวิเคราะห์ลงลึกก็ใช้ค่าร้อยละ 21 คูณเปรี้ยงเข้าไปเลยครับ ง่ายดี)
- ต้นทุนด้านการแข่งขัน มองว่าเมื่อรัฐทำเองจะได้สิทธิพิเศษหลายอย่าง เช่น ภาษีเงินได้ ฯลฯ ซึ่งต้องคิดเป็นต้นทุนด้วย เพราะถ้าเป็นเอกชนทำรัฐก็จะได้ส่วนนี้
- สุดท้ายคือต้นทุนความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ ไม่ว่ารัฐทำเองหรือให้เอกชนทำ รัฐก็ยังคงมีความเสี่ยงส่วนนี้อยู่ (มักแสดงช่องว่างๆ ไว้ ไม่เปรียบเทียบเพราะถือว่าเท่าๆ กัน
- ต้นทุนของ PPP (มองเฉพาะต้นทุนของรัฐนะ)
- อย่างแรกเลยคือค่ากำกับดูแล ให้สิทธิ์แก่เอกชนไปแล้วแต่ก็ต้องตั้งคณะกรรมการหรือทีมงานกำกับดูแล ปล่อยปละละเลยไม่ได้ ก็เป็นต้นทุนส่วนหนึ่ง
- ค่าใช้จ่ายที่รัฐให้แก่เอกชน โดยในการจัดทำ PPP นั้นมองว่าเป็นการให้เอกชนทำหน้าที่จัดหาผลผลิต สินค้าหรือบริการมาให้รัฐ ซึ่งก็คือมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เอกชนคิดราคามานั่นเอง เช่น ค่าทางด่วนที่จัดเก็บทั้งหมด ค่าน้ำประปาที่เอกชนผลิตได้แล้วขายส่งเข้าท่อของการประปาฯ การตีความตรงนี้ใช้หลักการว่ารัฐเป็นผู้รับซื้อสินค้าและบริการที่เอกชนผลิตได้นั่นเอง (แม้ว่าความเป็นจริงเอกชนจะเป็นผู้จัดเก็บค่าสินค้าและบริการเอง)
- ในกรณีที่รัฐต้องจ่ายค่าจ้างหรือค่าอื่นๆ ให้เอกชน ก็ให้นับรวมเข้าไปด้วย หรือในกรณีเอกชนต้องจ่ายค่าสัมปทานให้รัฐ ก็นำมาหักลบกับต้นทุนด้วย
- รายการข้างบนนี่ เรามักจะรวบไว้เป็นหมวดเดียวเลย เรียกว่า Cost of Service Payments
- ส่วนรายการความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ก็แค่แสดงรายการไว้ มักไม่แสดงตัวเลข (คำนวณยากหรือคำนวณแล้วก็เหมือนๆ กันทั้ง PSC และ PPP)
ข้อสำคัญของการวิเคราะห์ความคุ้มค่านี้ก็คือตัวเลขต้นทุนทั้งหมดต้องคำนวณให้เป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) เพื่อให้อยู่ในฐานเดียวกัน จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกันดังรูป ถ้าพบว่ากรณีที่รัฐให้เอกชนลงทุนแล้วทำให้ต้นทุนของรัฐลดลงเมื่อเทียบกับกรณีที่รัฐทำเอง เราก็จะสรุปว่ามีความคุ้มค่า ซึ่งก็คือมูลค่าที่ประหยัดได้นั่นเอง
ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คุย/ทัก/เสนอแนะ ได้ครับ
Create Date : 14 พฤษภาคม 2561 |
|
1 comments |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2561 11:51:38 น. |
Counter : 6180 Pageviews. |
|
|
|