"จับหัวใจใส่จินตนาการผ่านอักษร"  


Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2565
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 ธันวาคม 2565
 
All Blogs
 
ร้อยดาวใต้เงาจันทร์ (ทดลองอ่าน)


ร้อยดาวใต้เงาจันทร์ (ทดลองอ่าน)

บทนำ..ที่มาที่ไป “Tāra Stone”

มีตำนานผ่านมา เรื่องเล่าเรื่องขาน
ส่งสืบสาน รุ่นหลัง ความช้งความเชื่อ
หินศักดิ์สิทธิ์ หายาก สะสงสะสม
หินมงคล ขอคืน ตระกงตระกูล

มีตำนานเล่าขานไว้ว่า นับพันปีก่อนในดินแดนอันปกคลุมไปด้วยสีขาวของหิมะ มีกลุ่มชนเผ่าโบราณหลายเผ่ากระจายอยู่บนภูเขาปาวิทรา ที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย รอยต่อระหว่างทิเบตกับเนปาล ต่อมาชนเผ่าเหล่านั้นได้รวมตัวกันเป็นเผ่าใหญ่ และเกิดวัฒนธรรมความเชื่อในเรื่องนับถือ Tāra (ตาละ) หินศักดิ์สิทธิ์ในยุคหนึ่ง ผู้นำพิธีของชนเผ่าจะนำหินศักดิ์สิทธิ์มาแกะสลักเป็นรูปสัญลักษณ์ตัวแทนเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อทำพิธีกรรมให้กับวิญญาณบริสุทธิ์แรกเกิด และวาระสำคัญต่าง ๆ ในชีวิต จนกระทั่งส่งวิญญาณในจุดสุดท้าย พร้อมกับสวดนอบน้อมต่อเทพเจ้า

ยุคต่อมามีการค้นพบว่า Tāra เป็นหินแร่สะเก็ดดาว มีสนามแม่เหล็กพลังงานสูง ลักษณะภายนอกเป็นสีดำดุจนิลมันวาว ฝังจมลึกอยู่ในดินนับพันปีจนเกิดการทับถมรวมกับสินแร่อื่น ๆ แต่เมื่อนำมาเจียระไนจะปรากฏชั้นของสีแทรกปนอยู่ในเนื้อหินอย่างน่าอัศจรรย์ ขาวใส เขียวสด น้ำเงินลึกลับ นิลอมตะ ในปัจจุบัน Tāra กลายเป็นหินที่มีค่าสูงลิ่ว เนื่องจากไม่มีผู้ใดได้พบเห็นหินบริสุทธิ์ชนิดนี้อีกแล้ว ยกเว้นแต่ผู้ที่ครอบครองมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อน และสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

Tāra Stone กลายเป็นหินที่มีค่าสูงสุด โดยเฉพาะกับนักสะสมหินแปลกหายาก ในเมื่อตาละมีลักษณะประหลาดของเนื้อหินโดยธรรมชาติ ราวกับเป็นหินแร่ที่เจียระไนเป็นอัญมณี ทั้งคุณสมบัติที่เอื้อและส่งผลต่อเจ้าของต่างกัน มีทั้งดีและร้ายอยู่ในตัวเอง การมีตาละไว้ในครอบครองจึงเป็นเสมือนดาบสองคม ในสมัยโบราณมีการเชื่อถือเทพและใช้คาถาศักดิ์สิทธิ์ควบคุม แต่ปัจจุบันคนสมัยใหม่ไม่ได้ยึดถือคาถาเทพใด ๆ อีกแล้ว ดังนั้นพลังเหนือธรรมชาติของ Tāra จึงขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใจของผู้ครอบครองแต่ละคน พลังบวกด้านไหนจะฉายแสงเด่นชัดในด้านใดก็แล้วแต่ตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ บางคนคุ้มครองภยันตรายรอบทิศให้ผู้ครอบครองแคล้วคลาด หรือบางคนส่งเสริมให้รุ่งเรืองก้าวหน้าเด่นในเรื่องอาชีพ ในขณะที่เสริมเสน่ห์ในเรื่องความรักให้กับบางคน

หินมงคล Tāra ทั่วไป ก็หายากพออยู่แล้ว แต่ Tāra ที่เสริมคุณสมบัติพลังบวกให้กับเจ้าของครบถ้วนในทุกด้านนั้น...หาได้ยากยิ่ง


1...Tāra Stone

เมฆสีเทา อึมครึม ทะมงทะมึน
ม่านมืดครึ้ม ตั้งเค้า ละลิ่วละโลด
ลมกรรโชก ฝนกระหน่ำ จะเปียกจะปอน
ต้องหลบก่อน ได้จังหวะ มาเจอะมาเจอ

ปัจจุบัน..รีสอร์ตอิงนนท์ จ.นครราชสีมา
เมฆสีเทาลอยตัวตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกล แล้วแผ่กระจายเข้าปกคลุมไปทั่วม่านฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนทิ้งเม็ดเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้ผู้คนที่เดินเที่ยวเล่นถ่ายรูปหรือทำกิจกรรมอื่นภายในบริเวณรีสอร์ต ต้องรีบวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น

ตอนที่ฝนตกหนักชายหนุ่มเจ้าของสถานที่กำลังนั่งสนทนากับแขกอยู่ในห้องทำงานส่วนตัว ม่านบังตาที่เปิดแง้มไว้ทำให้สามารถมองลอดผ่านกระจกใสออกไปเห็นห้องโถงกว้างตกแต่งอย่างสวยงาม มีมุมคอลเลคชั่นแยกเป็นส่วน ๆ ตามประเภทสิ่งของที่จัดวางโชว์
รีสอร์ตอิงนนท์เป็นรีสอร์ตขนาดกลาง ตั้งอยู่บนเนื้อที่ส่วนตัวบนเนินเขาแวดล้อมด้วยธรรมชาติสวยงาม ทุ่งหญ้า บึงน้ำกว้าง มองเห็นวิวภูเขาอยู่ในสายตา จุดเด่นอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของสถานที่คือ ตัวบ้านสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสองชั้นสีขาว หลังคามุงกระเบื้องดินเผาสีฟ้าเข้ม รูปแบบการสร้างเชื่อมต่อกันจนดูเหมือนเป็นบ้านหลายหลังแต่จริง ๆ เป็นบ้านเพียงหลังเดียว ทางเข้ามีคอร์ตหรือลานปูพื้นกระเบื้องสีเอิร์ธ เล่นลาย ล้อมรอบทางเดินคล้ายระเบียง มีน้ำพุกลางลาน รับซุ้มประตูช่องโค้งเล่นลวดลายปูนปั้นโอ่อ่า ต้นปาล์มซ้ายขวาบนพื้นหญ้าตัดเรียบเขียวขจี ตรงช่องหน้าต่างประดับกระถางต้นไม้ ระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาเข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างดี ขณะที่ระเบียงนอกด้านหลังมีซุ้มปกคลุมเถาไม้เลื้อย เป็นมุมโปรดที่นักท่องเที่ยวชอบมานั่งเล่นและถ่ายรูปกันเป็นประจำ
ภายในห้องโถงใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า ‘พิพิธภัณฑ์น้อย’ เป็นพื้นที่กว้างขวาง ทางด้านหนึ่งมีบันไดโค้งที่ทอดตัวขึ้นสู่ที่พักชั้นบน โถงด้านล่างมีตู้โชว์และชั้นวางสิ่งของ ประกอบด้วยของโบราณ สารพัดของแปลกหายาก แบ่งโซนไว้เป็นสัดส่วน โซนของใช้สวยงามจิปาถะ ชุดถ้วยโถโอชาม เครื่องลายคราม แจกัน แก้ว ขวดน้ำ เครื่องเขียนรุ่นเก่า ปากกาขนนก ปากกาคอแร้ง กล้องถ่ายรูปรุ่นโบราณ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องลายครามเซรามิก นาฬิกาลูกตุ้มแบบโบราณ ของแปลกทั้งไทยและต่างประเทศ สรรหามาวางไว้ บางส่วนตั้งโชว์เพื่อความสวยงาม แต่บางส่วนเป็นสินค้าสำหรับขายก็มี

โซนที่เป็นเครื่องประดับ ส่วนใหญ่จะเน้นยุคโบราณ แต่ที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดคือ เครื่อง ประดับประเภทลูกปัดหิน หินสี หินมงคล รวมไปถึงหินรูปทรงแปลกหายากต่าง ๆ จัดวางโชว์อย่างสวยงามอยู่ในตู้กระจกอีกมุมหนึ่ง

ชาฬีไม่ได้สนใจกับฝนหลงฤดูที่ตกหนักอยู่ภายนอก เพราะความสนใจขณะนี้กำลังพุ่งอยู่ที่ชายวัยกลางคนผิวสองสีรูปร่างสันทัดตรงหน้า ชายผู้นี้แต่งกายสุภาพเรียบร้อยราวกับนักวิชาการ หวีผมเรียบแปล้หน้าตาเกลี้ยงเกลามีเค้าว่าสมัยหนุ่มคงคมคายไม่น้อยทีเดียว ผู้เป็นแขกได้แนะนำตัวเองว่าชื่อรอดิน
“ราคานี้สูงที่สุดเท่าที่ผมจะให้ได้ รับไว้เถอะครับ เงินก้อนนี้จะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศในพริบตา ต่อไปอยากได้อะไรเงินจะเสกให้คุณสมปรารถนา รีสอร์ต ใหญ่โตอลังการเท่าที่คุณต้องการ...”
“ยกเว้นตาละสโตนที่ผมขายให้คุณ...ไม่ดีกว่าครับ...ขอโทษจริง ๆ ที่ผมต้องปฏิเสธข้อเสนอ” ชายหนุ่มขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค “ตามที่ผมบอกแต่แรก ตาละอาจจะมีมูลค่าสูงสำหรับนักสะสมอย่างพวกคุณ แต่สำหรับผมมันประเมินค่าทางจิตใจไม่ได้”
ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนขยับตัวลุกขึ้นยืน หลังจากใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมสารพัด “น่าเสียดาย...เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อน นี่นามบัตรผม ถ้าเกิดเปลี่ยนใจติดต่อไปได้เสมอ”
รอดินวางนามบัตรลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้า
“ขอตัวนะครับ”

ชาฬีถอนหายใจหนัก ๆ เมื่อชายวัยกลางคนออกจากห้องไปแล้ว ระยะหลังมีคนพยายามติดต่อขอซื้อตาละ สโตนหลายรายทีเดียว ไม่รู้ว่ามีใครปล่อยข่าวอะไรออกไปหรือเปล่า เขาเช็กดูตามช่องทางอินเทอร์เน็ตแล้วก็ไม่เจอต้นเรื่องที่น่าสงสัย แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่านักท่องเที่ยวที่มาชมตู้โชว์เครื่องประดับจะเป็นสาเหตุให้บานปลาย บางคนที่รู้เรื่องราวของตาละสโตนอาจนำไปบอกคนอื่นปากต่อปาก แต่ถ้าเป็นอย่างหลังคนที่สนใจก็น่าจะติดต่อมานานแล้ว เพราะเขานำเอาตาละเกล็ดผงเล็ก ๆ ซึ่งก็เป็นเศษที่เหลือจากการเจียระไน นำไปปนอยู่ในนาฬิกาทรายที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ และวางโชว์ไว้ตั้งแต่ปีแรกที่เปิดพิพิธภัณฑ์น้อยแห่งนี้

ชายหนุ่มลุกขึ้นไปยืนมองลอดผ่านม่านบังตาซึ่งเปิดแง้มไว้ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือหญิงสาวเรือนร่างสูงเพรียวมองดูเด่นต่างจากนักท่องเที่ยวชายหญิงอีกสามสี่คน เข้าใจว่าคงจะเข้ามาหลบฝนมากกว่าจะตั้งใจเข้ามาชมพิพิธภัณฑ์โดยตรง
หญิงสาวผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อสูทแขนยาวเข้ารูปตัวนอกสีแดงเลือดนก ด้านหน้าแต่งกระเป๋าหลอก ตัดด้วยเสื้อเกาะอกตัวในสีขาว กางเกงสแล็คขายาวสีเดียวกับเสื้อสูท แมทซ์กันอย่างลงตัวทั้งกระเป๋าถือใบเก๋และรองเท้าส้นสูง ชายหนุ่มเกือบจะมองผ่านไปในครั้งแรก แต่ไม่รู้เพราะอะไรกลับอดชำเลืองมองซ้ำอีกครั้งไม่ได้ จนสุดท้ายถึงกับจับตามองเธอนิ่งอยู่

เขาเห็นหญิงสาวเดินเอื่อย ๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกทรงสูงสีขาวสไตล์วินเทจ ประดับลายเถาวัลย์ด้านบนและตรงมือจับสำหรับเปิดบานตู้ ภายในติดหลอดไฟดาวน์ไลท์ ชั้นโชว์มีสามชั้นสำหรับเครื่องประดับหินสีหินมงคลหลายชนิด บนสุดเป็นนาฬิกาทรายบรรจุเกล็ดสีแวววาว เธอหยุดสายตาไว้ตรงชั้นบนสุด ขณะที่หนุ่มสาวคนอื่นแยกไปอีกทาง เขาถึงได้รู้ว่าตนเข้าใจผิดคิดว่าคนทั้งหมดมาด้วยกัน

ความสนใจในตัวหญิงสาวชุดสูทสีแดงเพิ่มระดับขึ้น เขาเห็นเธอหยุดยืนจ้องมองนาฬิกาทรายอยู่นาน เขารู้ดีว่าจุดนั้นเป็นจุดที่ดึงดูดสายตาคน และในบางครั้งจุดนั้นก็ทดสอบคนที่จ้องมองด้วยเหมือนกัน เขาควรจะเข้าดูเสียหน่อย

ชายหนุ่มเปิดประตูออกจากห้องทำงานส่วนตัว เดินตรงไปหาหญิงสาวทันที พยักหน้ากับพนักงานสาวที่ยืนคอยดูลูกค้าอยู่ห่าง ๆ เป็นสัญญาณบอกให้ฝ่ายนั้นไปดูแลตรงจุดอื่นแทน
“สวัสดีครับ ดูท่าทางคุณจะสนใจหินสีหินมงคลนะครับ”
คนถูกทักทำท่าคล้ายสะดุ้ง ละสายตาจากตู้กระจกทันที พร้อมกับเบือนหน้ามาทางต้นเสียงทุ้มห้าว ชายหนุ่มจึงได้มองหญิงสาวอย่างเต็มตา เมื่อมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าเธอผู้นี้มีผิวขาวเนียน ใบหน้าเรียวรูปไข่ล้อมประดับด้วยเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ ซึ่งขณะนี้ถูกถักเปียแบบมงกุฎแล้วปล่อยผมทิ้งยาวสลวยลงไปถึงกลางหลัง นัยน์ตาโตสีน้ำผึ้ง จมูกโด่งรั้นเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มได้รูปเคลือบโทนนู้ดเหลือบเฉดแดงอ่อน ๆ บางเบา จะว่าไปหากมองรวม ๆ แล้วไม่เชิงว่าเธอเป็นคนสวยสะดุดตาซะทีเดียว แต่อะไรบางอย่างบนใบหน้านั้นกลับทำให้ต้องสะดุดใจราวกับเป็นสัญญาณเตือนอย่างประหลาด

“สนใจหินมงคลหรือครับ” เสียงห้าวกล่าวย้ำถาม พร้อมส่งรอยยิ้มมีเสน่ห์ละลายใจสาว ๆ
“ใช่ค่ะ” เสียงหวานใสตอบรับ พยายามเบนสายตาไปทางอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าหล่อคมนั้น ผู้ชายคนนี้ดูดีมาก เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายไล่โทนสีเขียวหม่นและขาวตัวนอก แขนยาวพับขึ้นเหนือศอก ตัวในเป็นเสื้อยืดขาวคอกลม กางเกงยีนเดนิมสีไลท์บลูทรงเข้ารูป รองเท้าหนังกลับ อยากจะถอนสายตาเมินไป หากดูราวอีกฝ่ายมีแม่เหล็ก เพราะสุดท้ายกลายเป็นเธอถูกดึงดูดให้ต้องประสานสายตากับเขาตรง ๆ
“เอ้อ...คือ...ฉัน...รู้จักหินมงคลหลายชนิด ดูมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์มีคุณค่า แต่...”
“แต่...?”
หลังจากผ่านประโยคแรกที่พูดอึกอักเพราะความประหม่าผิดวิสัยของตน ประโยคถัดไปจึงค่อยพูดคล่องขึ้น
“ฉันไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน” หญิงสาวชี้ไปที่นาฬิกาทราย “ข้างในเป็นอัญมณีผสมอยู่ด้วยใช่ไหมคะ”

ชายหนุ่มละสายตาจากหญิงสาว หันกลับไปมองกระเปาะแก้วสองกระเปาะมีแกนไม้มะฮอกกานีสีเบจเป็นฐานรองรับ ความสูงประมาณหนึ่งฟุต มองผ่าน ๆ มันก็คือนาฬิกาทรายทั่วไป แต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ภายในกระเปาะแก้วบรรจุผงละเอียดที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้เป็นสีขาวนวลของทรายแต่เพียงอย่างเดียว กลับปนไปด้วยเกล็ดแวววาวสี่สี...ขาวใส...เขียวสด...น้ำเงิน...และนิล ทอประกายวิบวับยามสะท้อนกับแสงไฟมองดูงดงามอย่างน่าอัศจรรย์
“น่าสนใจมากค่ะ...นาฬิกาเป็นรูปทรงนาฬิกาทรายแบบโบราณ แต่ที่ปนกับทรายนี่แหละงดงามมาก ถ้าคิดไม่ผิดไม่น่าเป็นแค่กากเพชร แต่ต้องเป็นอัญมณี ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มในสีหน้า เสียงฟ้าร้องครืนทำให้การสนทนาของคนทั้งสองสะดุดขาดช่วงไปเล็กน้อย
“เกือบถูกต้องครับ...อัญมณีที่คุณเห็นบรรจุปนกับทราย อันที่จริงเป็นหินแร่สะเก็ดดาวชนิดหนึ่ง”
“หินแร่อย่างพวกรัตนชาติ? ”
“ไม่เชิงครับ รัตนชาติพวกเพชรพลอยก็เป็นกลุ่มหนึ่ง แต่อันนี้ถือเป็นผลึกแร่อีกประเภทซึ่งหายาก ปัจจุบันไม่มีให้เห็นแล้ว”
“คุณหมายถึงพวกหินมงคลที่นิยมกันในสมัยนี้หรือเปล่า ว่ากันว่าจะมีความเชื่อเกี่ยวโยงไปถึงพลังรังสีของหินด้วย”
“แสดงว่าคุณพอจะมีความรู้เรื่องหินมงคลอยู่ หินแต่ละชนิดมีลักษณะพิเศษต่าง ๆ กัน ผสมผสานไปด้วยความเชื่อในพลังพิเศษที่เหนือธรรมชาติ หินบางประเภทจึงถือว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้า”
“แล้วในนี้มีหินอะไรบ้างคะ”
“เพียงหนึ่ง...ชนิดเดียวเท่านั้น”
“คุณกำลังจะบอกว่าสีสันประกายแวววาวถึงสี่สีในนี้ มาจากหินแร่เพียงชนิดเดียวเท่านั้นหรือคะ” คนถามทำตาโต
“ครับผม”
“โอ้...น่าสนใจมาก มันคือหินอะไรถึงได้ประหลาดนักมีลักษณะยังกับอัญมณี ฉันสนใจนะ ถูกใจจริง ๆ ถ้าซื้อได้ก็อยากซื้อค่ะ มีขายที่ไหนบ้าง เอาแบบที่เจียระไนเป็นเม็ดแล้ว”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายนิ่งอย่างชั่งใจอยู่สักเดี๋ยว “จะซื้อหรือครับ”
“เห็นแล้วชอบค่ะ แต่อยากได้ที่เจียระไนแล้วจะเป็นสร้อย กำไล แหวน ตุ้มหู หรือจี้ก็ได้ เอ๊ะ คุณบอกว่าเป็นหินใช่ไหม พอเจียระไนออกมาแล้วมันจะแวววาวแบบเพชรพลอยอย่างที่เห็นในนาฬิกานี่ หรือมีลักษณะเป็นเนื้อหินคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามในประโยคท้าย พูดข้ามไปว่า
“เสียดายว่าปัจจุบันคงจะหายาก ผมยังไม่เคยได้ยินว่าที่ไหนมีตาละขายเลย ไม่ว่าจะเป็นก้อนผลึกหินหรือเจียระไนแล้วก็ตาม”
“ตาละ” หญิงสาวทวนคำ “ฉันว่าฉันรู้จักชื่อนี้” คนพูดทำท่าคิดอยู่สักเดี๋ยวก็ตาโตดีดนิ้วเปาะ
“ใช่แล้ว...ที่แท้ก็ตาละสโตนนั่นเอง พอพูดถึงก็นึกขึ้นได้ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวของหินชนิดนี้มาบ้าง แต่เพิ่งได้เคยเห็นของจริงก็วันนี้ คุณได้มาจากไหน”
“เป็นมรดกจากบรรพบุรุษครับ” ชายหนุ่มตอบโดยไม่ได้ขยายความมากกว่านั้น
“เข้าใจละ” หญิงสาวพยักหน้า ทำท่าลังเลก่อนถามในประโยคถัดไป “ถ้าสมมติ...สมมติว่าฉันจะขอซื้อนาฬิกาทรายอันนี้...ในราคาเท่าไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ คุณจะโอ.เค.ไหม”
ตาคมเหลือบมองอีกฝ่ายคล้ายประหลาดใจปนระแวง
“อยากได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ คุณจะเอาไปทำไม”
“ฉันอยากซื้อไปให้วันเกิดพี่สาว พอดีกำลังหาของขวัญแปลก ๆ อยู่”
“ครับ”
“ไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ หรอกค่ะ ฉันอยากตอบแทนพี่ที่ช่วยเลี้ยงและส่งเสียให้ฉันได้เรียนหนังสือสูง ๆ พี่สาวชอบเครื่อง ประดับประเภทหินมงคล ยิ่งเป็นตาละแล้วด้วยพี่ต้องถูกใจแน่ ๆ”
“อือม์ เหตุผลพอฟังขึ้น เอาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าบังเอิญ...บังเอิญนะครับ ผมได้ยินข่าวว่าที่ไหนมีตาละขาย ผมจะรีบติดต่อคุณดีไหม”
“แต่ที่คุณไม่มีแล้วใช่ไหมคะ” สายตาคนถามจับจ้องอยู่ที่สายสร้อยผ้าร่มสองทบซึ่งสวมอยู่บนลำคอของคู่สนทนา
ชายหนุ่มขยับตัวพลางยืนยันสั้น ๆ “ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่าฉันขอเป็นฝ่ายติดต่อคุณเองดีกว่า”
“จะไม่ลำบากหรือครับ ให้ผม...”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบตัดบท “มีโอกาสฉันจะแวะมาอีก” คนพูดพูดพร้อมส่งรอยยิ้มหวาน
“งั้นก็ตกลงตามนั้น”
ชายหนุ่มเดินไปหยิบนามบัตรจากกล่องบนเคาน์เตอร์ด้านหนึ่ง มาส่งให้หญิงสาวซึ่งยังคงยืนเพ่งพิจารณานาฬิกาทรายคล้ายไม่อาจละสายตาไปได้ง่าย ๆ
“ขอบคุณค่ะ” เธอก้มลงอ่านตามตัวอักษรสวยงามบนนามบัตร “คุณชาฬี อิงนนท์”
ฝนขาดเม็ดพอดีตอนที่หญิงสาวขอตัวกลับ และออกจากร้านไปโดยไม่ได้แนะนำตนเองแม้แต่น้อย
<><><><><><><>
พอออกมาด้านนอกอาคาร หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ลังเลอยู่ชั่ววินาทีว่าควรจะกดเรียกเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจหรือไม่
ชาฬี...น่าเสียดาย นึกถึงเจ้าของสถานที่ผู้มีแววตาอบอุ่นและรอยยิ้มละลายใจแล้วต้องถอนหายใจเบา ๆ ก่อนกดหมายเลข เสียงทางปลายสายตอบรับทันที พร้อมกับส่งเสียงถามรัวเร็วกลับมาเหมือนคนพูดรอคอยอยู่แล้วอย่างใจจดจ่อ
“ว่าไง”
หญิงสาวเล่ารายละเอียดที่พูดคุยกับชายหนุ่มให้ฟังทั้งหมด “เสียดายไม่รู้ว่าเขาสวมอะไรอยู่ที่คอ ปลายสายซ่อนอยู่ในเสื้อมองไม่เห็นเลยค่ะ”
“เขาสงสัยอะไรไหม”
“ก็ถามถึงเหตุผล”
“แล้วตอบไปว่ายังไง”
“บอกแค่ว่าอยากซื้อไปเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่สาว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรค่ะ”
“ดี เราคงไม่มีเวลารอนานกว่านี้ ทางโน้นตื่นเต้นก็เร่งมา เอาเป็นว่าเตรียมตัวเริ่มแผนขั้นต่อไปได้เลย”
คนปลายสายไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งหรือถามอะไรอีก เพราะสั่งแล้วก็กดวางสายไปเลย

สายฝนยังคงโรยตัวไม่หยุด เสียงเปาะแปะตกกระทบหลังคาเรือนหลังน้อย เสียงเม็ดฝนที่ตกลงมานั้นเป็นโทนสูง ๆ ต่ำ ๆ ราวกับเสียงดนตรีจากธรรมชาติ แหวนนิลนอนหลับตาฟังเพลินสมองก็คิดไปเรื่อยเปื่อยถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน สุดท้ายความคิดก็มาหยุดตรงชายหนุ่มลูกผสมผู้มีเค้าโครงหน้าตาคมคาย ชาฬี...

ชายหนุ่มผู้นี้มีสีผิวค่อนไปทางขาว คิ้วเข้มพาดยาวเหนือดวงตาคมสีอ่อน ตาของเขาเป็นสีแปลก ไม่ใช่น้ำตาลเข้มเกือบดำ หรือสีน้ำผึ้งอย่างคนไทยทั่วไป แต่ออกโทนไปทางเทาหน่อย ๆ ดูลึกลับมีเสน่ห์ จมูกโด่ง กึ่งแขกกึ่งฝรั่ง

ถ้าพัณวาได้เห็นก็คงแอบกระซิบว่า…หล่อแซบเว่อร์…หล่ออลังการ...หล่อไม่ง้อเทพ
ที่พัณวาต้องแอบกระซิบก็เป็นเพราะเจ้าตัวเป็นสาวน้อยค่อนข้างขี้อาย แต่มีสำนวนเด็ด ๆ ให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง และการที่พัณวาไม่มองหนุ่มอื่นแม้จะมีหลายคนเข้ามาติดพัน ก็เพราะในสายตาของหล่อนมองเห็นอยู่เพียงหนุ่มเดียวเท่านั้น

ความคิดของแหวนนิลตัดไปที่ตาละสโตนที่หมายตา เธอรู้ถึงกิตติศัพท์ความสวยงามและความศักดิ์สิทธิ์ของหินชนิดนี้มาบ้าง แต่ยังไม่เคยเห็นกับตา...จนกระทั่งวันนี้
อดนึกสงสัยถึงจุดประสงค์ของผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ หินมีค่าสูงขนาดนี้ทำไมถึงได้มาตั้งโชว์ล่อตาล่อใจ นักท่องเที่ยวบางคนอาจไม่รู้จักตาละก็จริง เผลอ ๆ บางคนจะคิดไปว่าเป็นกากเพชรธรรมดาปนอยู่กับทรายเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าคนตาถึงมองเป็นจะรู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่กากเพชร แต่เป็นหินที่สวยราวอัญมณี มีค่ามีราคา

และเธอก็เชื่อว่า นอกจากในนาฬิกาทรายแล้ว ชาฬีต้องมีตาละสโตนชิ้นอื่นอยู่อีกแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นก้อนผลึกหิน หรือที่เจียระไนแล้วก็ตาม
ความคิดของหญิงสาวสลับไปสลับมาไม่หยุดนิ่ง คิดไปเรื่อยจนเกือบจะเคลิ้มก็มีความรู้สึกบางอย่างทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่ เธอรู้สึกว่ามันมืด มืดเกินไปอย่างผิดปกติ หญิงสาวลืมตาขึ้นทันที

แม้จะมีความคุ้นชินกับสถานที่อยู่แล้ว แต่ก็ออกจะตกใจนึกฉงนกับความมืดสนิทที่ครอบคลุมอยู่รอบตัว
ไฟดับ! ใจหนึ่งร้องบอกกับตนเองเช่นนั้น
หากอีกใจนึกสงสัย มีคำถามตามขึ้นมาทันที เพราะรู้อยู่ว่าปกติเวลาไฟดับจะมีแสงราง ๆ อยู่บ้าง ไม่ได้มืดสนิทเช่นนี้
“น้าเมี่ยง”
แหวนนิลลุกขึ้น ส่งเสียงร้องเรียกแม่บ้าน ขณะเดินเปะปะมือควานหาโทรศัพท์มือถือตรงโต๊ะหัวเตียงเพื่อเปิดไฟฉาย
“น้าเมี่ยง อยู่ข้างนอกหรือเปล่า”
เสียงเรียกดังขึ้นอีกนิด หากไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงฝนตกกระทบหลังคาก็ไม่ได้ยินแล้ว มันเงียบสนิท เงียบจนเกินไป
ขณะกำลังยืนงง พลันสายตามองเห็นแสงสว่างบางอย่างจุดขึ้นเบื้องหน้า เรืองรองระยิบระยับดุจม่านอัญมณีหลากสีพลิ้วไหวเริงระบำ ขาวใสวาววับ...เขียวสดโปร่งแสง...น้ำเงินรัศมีกระจ่าง...ตัดนิลดำจนแทบจะกลืนไปกับความมืด ผสานหมุนเป็นเกลียววิ่งวนอยู่รอบตัวสวยงามยิ่งนัก
ทำให้นึกถึงแสงออโรร่าหรือที่เรียกว่าแสงเหนือแสงใต้แถบขั้วโลก แต่นั่นเป็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ ไม่ใช่เกิดจากหินประเภทหนึ่ง ไม่กี่วินาทีที่ตื่นตะลึกมอง สายเกลียวสี่สีเยือกเย็นสวยงามกลับแปรเปลี่ยนไป ความร้อนรุ่มแผ่กระจายเข้าครอบคลุมแทนที่ แสงของมันจัดจ้าแสบผิวแสบตาเหลือเกิน แหวนนิลรู้สึกเหมือนมีแรงบีบอัดบางอย่าง ราวกับห้องทั้งห้องแคบลง ๆ จนตรึงเธอไว้ทุกด้านแทบจะขยับตัวไม่ได้ หัวของเธอหมุนติ้วหวิววับจะเป็นลม ร่างที่ยืนตัวลีบโงนเงนล้มพับหมดสติไปในทันที!

ตอนที่หญิงสาวลืมตาขึ้น ปรากฏแสงแดดอ่อนรุ่งอรุณลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามารำไร แหวนนิลนอนมองม่านพลิ้วเล่นสายลมบางเบา...พอนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ก็ผวาลุกขึ้นจากที่นอน เหลียวมองสำรวจไปรอบห้องทันที
“ฉันฝันไปหรอกหรือ! อะไรจะอย่างนั้น!”
ความสงสัยล้นปรี่จนต้องเปิดประตู เรียกแม่บ้านมาสอบถาม “เมื่อคืนไฟดับหรือไง”
น้าเมี่ยง แม่บ้านร่างท้วมทำหน้าเหลอหลา “ตอนไหนคะ น้าดูทีวีอยู่จนดึก ไม่มีไฟที่ไหนดับเลย”
“ก็ตอนฝนตก...”
“ฝนตก? เอ่อ...” แม่บ้านทำท่าคิด “ตอนบ่ายหรือคะ”
“เอ๊ะ กลางคืนสิ จะบ่ายได้ยังไง”
“ไม่นี่คะ เมื่อคืนไม่มีฝน ตกหนักตอนกลางวัน พอหยุดไปก็ไม่ตกอีกจนถึงตอนนี้”
แหวนนิลมองหน้าน้าแม่บ้าน คนพูดจริงจังไม่มีแววล้อเล่น สุดท้ายหญิงสาวก็พยักหน้า
“โอเคฉันรู้แล้ว น้าไปทำงานต่อเถอะ”
หญิงสาวกลับเข้าห้องด้วยความสับสน เธอคงฝัน หากความรู้สึกที่ได้เห็นแสงพร่างพรายแต่ร้อนรุ่มนั้น มันจริงจังเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝัน!!

เธอคงคิดถึงเรื่องราวของตาละสโตนมากเกินไป เมื่อวานยืนมองเกล็ดระยิบระยับสี่สีในนาฬิกาทรายอยู่นาน เป็นไปได้ว่าภาพนั้นติดตาแล้วเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ แต่มันไม่ใช่
ฝันดีเลยจนนิดเดียว มันอึดอัดราวกับถูกเกลียวแสงนั้นบีบกดดันจนอึดอัดหายใจไม่ออกมากกว่า


2...ไกด์จำเป็น

สามสิบปีกับความทรงจำ
ให้เจ็บช้ำขมขื่นทนขื่นขม
ใจมารดาชอกช้ำทุกข์ระทม
สุดระบมถูกข่มไม่คิดลืม

“ชาฬี...รับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่แทนแม่หน่อยเถอะ แม่พูดกับเขาไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“ทำไมล่ะครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากงานเอกสารบนโต๊ะทำงาน เสียงห้าวถามด้วยความสงสัย ในเมื่อเพียงอุไรแม่บุญธรรมผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ตนั้น ทั้งเก่งคล่องกระตือรือร้นชอบต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นที่สุด
“นักท่องเที่ยวสองคนนี้ประหลาด เป็นคนต่างชาติที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ผู้หญิงอีกคนก็ดูเหมือนคนไทยนะแต่ก็ไม่เห็นพูดไทยเหมือนกัน ไม่พูดภาษาอังกฤษด้วย เอาจริง ๆ คือแค่ยืนฟังเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลย ดูเถอะ...เล่นเอาพนักงานเราส่ายหน้าปวดหัวกันเป็นแถว”
หญิงวัยกลางคนร่างท้วม แต่งกายภูมิฐานสมวัยห้าสิบส่ายหน้าบ่นพึม “แต่เราปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหม ช่วงนี้ยิ่งเงียบ ๆ อยู่ วิกฤตหลายอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เศรษฐกิจตกวูบไปทั่วโลก แทบไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเลย พอมีเข้ามาบ้างประปรายยังไงก็ต้องรับละ ไม่งั้นรีสอร์ตจะไปไม่รอด”
“พี่ริมาบอกผมแล้วว่าอาเขตต้องขายกิจการคอนโดให้คนอื่นทำต่อ ทางเรือนริมาเองก็ย่ำแย่ไปไม่ไหว กำลังนัดเจรจาเซ็นสัญญาขายทั้งที่โคราชและพัทยา”
“นั่นสิ พักก่อนอาเขตก็มาปรึกษาเรื่องนี้กับแม่เหมือนกัน ไม่นึกว่าจะหาคนซื้อได้เร็วขนาดนี้ ทีนี้ก็เหลือแต่ในกรุงเทพสาขาเดียวละสิ เฮ้อ...ลำบากกันไปทั่วจริง ๆ จะทำยังไงได้ล่ะ เอ๊า...ตกลงเรื่องนักท่องเที่ยวจะว่ายังไงลูก ยังดีที่สมัยก่อนแม่เคยได้ยินแม่นาดาของลูกพูดแคชมีรีบ่อย ๆ ก็เลยพอจะคุ้นเคยกับภาษานี้อยู่บ้าง แต่จะให้พูดกันยาว ๆ คงไม่ไหว ทั้งไกด์ทั้งพนักงานเราไม่มีใครพูดแคชมีรีได้สักคน ฬีนำทัวร์ไปเลยก็แล้วกัน”
แคชมีรี (Kashmiri) ที่เพียงอุไรกล่าวถึงก็คือภาษาแคชเมียร์นั่นเอง แคชเมียร์อยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย ในแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ หรือที่คนอินเดียเรียกกัศมีร์ เมืองหลวงคือศรีนาการ์ คนแคชเมียร์มีภาษาเป็นของตัวเอง ซึ่งก็คือแคชมีรี

“พวกเขามาจากจัมมูหรือศรีนาการ์ครับ”
“จากข้อมูลในพาสปอร์ตระบุว่ามาจาก...บาลาซาน ”
ปลายเสียงแม่บุญธรรมสะดุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อเร็ว ๆ “มากันเองไม่มีไกด์นำ ท่าทางคล่องคงจะเดินทางบ่อย”
คำว่าบาลาซาน ทำเอาหัวใจของชาฬีถึงกับเต้นผิดจังหวะไปทันที เสียงห้าวที่ถามในประโยคถัดไปจึงฟังดูร้อนรนอยู่บ้าง
“บาลาซานหรือครับ เอ๊ะ ยังไงมาถึงนี่ได้”
“ถึงว่าสิ นี่เป็นครั้งแรกที่เราต้อนรับนักท่องเที่ยวจากบาลาซาน จองห้องโซนเกวียนยิปซีไว้สองหลัง ท่าทางกระเป๋าหนักจ่ายไม่อั้นเสียด้วย”
แม่บุญธรรมตอบ แล้วย้อนถาม “ตกลงรับทัวร์นะลูก เขาอยากออกเทรลขี่ม้าชมรอบบริเวณไร่ พักเต็นท์หนึ่งคืน พรุ่งนี้ถึงจะเช็คอินเข้าเกวียนยิปซี”
ปกติชายหนุ่มจะไม่นำทัวร์เองเพราะเขาไม่ใช่มัคคุเทศก์อาชีพ เขามีหน้าที่ที่ต้องดูแลพิพิธภัณฑ์น้อยซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของเขาโดยตรง และปกติก็มีไกด์มืออาชีพทำหน้าที่ประจำอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างบางครั้งเท่านั้นที่เขาต้องทำหน้าที่ไกด์อย่างไม่เป็นทางการ
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับสั้น ๆ สีหน้าสงบ หากใจนั้นเหมือนดังเช่นน้ำนิ่งในบ่อที่ถูกกวนตะกอนจนขุ่นคลั่ก

ความขุ่นเคืองอันเกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับแม่เพียงอุไรแต่ประการใด หากเป็นเพราะอคติบางอย่างที่เขามีต่อทางโน้นมานานนักหนา ครั้นตอนนี้เขาต้องออกหน้าต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของศรีนาการ์ เขาต้องพาลูกทัวร์กลุ่มนี้ออกทริปร่วมกิจกรรมในไร่ด้วยกัน อดรู้สึกต่อต้านขึ้นมาหน่อย ๆ ไม่ได้ ทั้งที่ใจก็รู้อยู่ว่าเขาจะเอาความรู้สึกอคติที่มีต่อคนไม่กี่คนไปลงกับชาวบาลาซานทุกคนไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแม้แต่น้อย
แม่บุญธรรมลับตัวออกจากห้องไปได้สักพักแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงนั่งหมุนปากกาในมือเล่นอย่างใจลอย เขากำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของแม่ที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนออกไปว่า
‘แม่รู้ว่าลูกลำบากใจ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานเกือบสามสิบปี...เท่าอายุของลูก ถ้าวันนี้พ่อกับแม่ของลูกยังคงมีชีวิตอยู่ แม่เชื่อว่าคงต้องพูดเหมือนอย่างที่แม่อยากจะพูดในตอนนี้ ตัวเรากำหนดตัวเรา ใจเรากำหนดใจเรา อย่าให้อดีตมาเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งในปัจจุบัน’
อย่าให้อดีตมากำหนดทุกสิ่งในปัจจุบัน...ชาฬีทวนคำขม ๆ อยู่ในใจ
แต่อดีตก็สามารถส่งใครให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ทั้งนั้น สำหรับเขาแล้วไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าการที่แม่แท้ ๆ ของเขาถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม
ริยาสขับไล่นาดาลูกสาวคนเล็กออกจากบาลาซานบ้านเกิด ด้วยข้อหาที่ร้ายแรงว่าทำผิดต่อข้อห้ามจารีตประเพณี

เรื่องเลวร้ายเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่นาดายอมรับสารภาพกับบิดาว่า ครั้งที่นางมาเรียนอยู่ในเมืองไทย จน กระทั่งเรียนจบและได้งานทำอยู่ที่นี่ ช่วงหนึ่งได้สนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ชื่อชอบธรรม อิงนนท์ สุดท้ายก็คบหารักใคร่กัน แม้ว่านางจะรู้ดีว่าริยาสผู้เป็นบิดาต้องการให้นางกลับบ้านเพื่อแต่งงานกับอะนากี แต่นางไม่ได้รักอะนากีจึงไม่ยอม กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือแอบแต่งงานกับชอบธรรมเงียบ ๆ

ชีวิตคู่ของนาดากับชอบธรรมมีความสุขแค่ในระยะ
สั้น ๆ แล้วโชคร้ายก็มาเยือน นาดากำลังตั้งท้องได้สี่เดือน ตอนที่สามีถูกโจรปล้นชิงทรัพย์ระหว่างเดินทางไปติดต่อธุระที่ต่างจังหวัด เขาถูกทำร้ายขึ้นรถได้ก็พยายามขับหนีจนเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง เมื่อไม่มีเสาหลักของครอบครัว นาดาจำต้องลาออกจากงาน แล้วเดินทางกลับบาลาซานบ้านเกิด หวังว่าบิดามารดาจะเห็นแก่หลานในท้องบ้าง
ทว่านางคิดผิด เมื่อริยาสรู้เรื่องทั้งหมดก็โกรธมาก ลูกสาวสุดที่รักแอบแต่งงานกับคนต่างชาติต่างภาษาและวัฒนธรรมไม่พอ ยังมีลูกติดท้องมาด้วยอีกคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ริยาสรับไม่ได้ ริยาสขับไล่ลูกสาวออกจากบ้านทันที มิหนำซ้ำยังสั่งห้ามไม่ให้แม่หรือญาติพี่น้องคนไหนช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น ตราหน้าว่านางทำผิดจารีตร้ายแรง

หมดหนทางไร้ที่พึ่งพิง ทุกคนกลัวริยาสผู้มีอิทธิพลของบาลาซาน นาดาจำต้องอุ้มท้องเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง ไม่มีงานทำ ไม่มีที่ไป เนื่องจากบ้านที่อยู่กับสามีผู้ล่วงลับเป็นบ้านเช่าและได้บอกคืนเจ้าของบ้านไปแล้ว สุดท้ายนาดาจำต้องขอความช่วยเหลือจากกัญจน์...พี่ชายของอดีตสามี

แม้กัญจน์จะไม่เห็นด้วยในตอนแรกที่ทั้งสองแต่งงานกัน แต่เขาเห็นแก่น้องชายและหลานในท้อง จึงช่วยเหลือน้องสะใภ้ต่างเชื้อชาติไว้ โดยให้อาศัยอยู่ด้วยกันที่ฟาร์มม้าของเขา มีเพียงอุไรภรรยาคอยดูแลเป็นอย่างดี ชาฬีเกิดและเติบโตมีชีวิตอบอุ่นอยู่กับครอบครัวอิงนนท์ เขาใช้นามสกุลอิงนนท์ของพ่อ น่าเสียดายว่าทั้งลุงกัญจน์และแม่ของเขาอายุสั้น เหลือแต่ป้าเพียงอุไรซึ่งรักหลานเหมือนลูกแท้ ๆ เพราะป้าไม่ได้มีทายาทที่ไหนอีก ในที่สุดจากป้าก็ยกฐานะขึ้นมาเป็นแม่บุญธรรม พอชายหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีแล้ว จึงได้กลับมาช่วยเพียงอุไร เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลกิจการฟาร์มม้าจนพัฒนามาเป็นรีสอร์ตขนาดกลางถึงทุกวันนี้

ขณะที่กำลังคิดเพลิน เสียงกริ่งโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานได้ดังขึ้นยุติความคิดล่องลอยไปไกลของชายหนุ่มลงฉับพลัน
“ฮัลโหล ครับ?”
“ฬีจ๋า...พี่เองนะ...ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะต้องนำทัวร์เองเลยหรือ”
“ข่าวไปไวจริง”
ไม่ต้องถามให้เสียเวลาชายหนุ่มก็พอจะเดาได้ คนกระจายข่าวไม่มีใครอื่นหรอกนอกจากยายหงส์หรืออันนา พนักงานประชาสัมพันธ์ต้อนรับ หงส์ทำงานเก่งคล่องตัวสูง เสียแต่ว่าพูดมากชอบจับเรื่องคนอื่นรอบตัวมาจ้อได้ทุกวันจนน่ารำคาญ
“ให้พี่ช่วยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ลูกทัวร์แค่สี่ห้าคนผมรับมือไหว ยังไงก็มีก้องเป็นผู้ช่วยอยู่แล้วทั้งคน”
“เถอะค่ะ พี่อยากช่วย”
“จะไหวหรือครับ นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกโปรแกรมทัวร์เอง ท่าทางจะชอบออกเทรลผจญภัยอย่างขี่ม้าชมธรรมชาติตั้งแคมป์พักแรม” คนพูดแจงรายละเอียดตามที่แม่บุญธรรมบอก
“ขี่ม้า…พักแรมด้วย? ” น้ำเสียงคนอยากช่วยชักลังเล
“ครับ ดูท่าจะเป็นขาลุยพอสมควร”
“ก็ได้ พี่ลุยได้ เอาเป็นว่าจะไปกันกี่โมงจะได้เตรียมตัวไปให้ทันเวลา”
“ผมว่าอย่าเลย ต้องพักแรมค้างคืนอย่างนี้คงไม่สะดวกกับพี่แน่ ๆ อาเขตจะว่าผมได้”
ชายหนุ่มหาข้ออ้าง ริมาเป็นหลานสาวคนโปรดของ
เขตคราม เป็นลูกสาวคนเดียวของลุงเขมรัฐซึ่งเขาเคยพบเพียงไม่กี่ครั้ง เขมรัฐเป็นเจ้าของผู้ก่อตั้งคอนโดมิเนียมดลธีดิเรก ต่อมาเมื่อเขมรัฐเสียชีวิตลง เขตครามในฐานะหุ้นส่วนคนสำคัญจึงได้ดูแลกิจการอย่างเต็มตัว น่าเสียดายว่าคอนโดมิเนียมที่อาเขตกับเขมรัฐพี่ชายร่วมสร้างกันมา ได้ถูกเปลี่ยนมือไปเสียแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี่เอง

ชาฬีรู้จักสนิทสนมกับริมาตั้งแต่เขายังเรียนไม่จบ เขาเห็นหญิงสาวเป็นเสมือนพี่สาวที่เขาไม่เคยมี ริมาชอบมาขลุกอยู่ที่รีสอร์ตอิงนนท์บ่อย ๆ อาเขตก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพราะทั้งสองครอบครัวไปมาหาสู่กันตั้งแต่สมัยลุงเขมยังมีชีวิตอยู่
เป็นที่รู้กันดีอยู่ในหมู่ญาติมิตรแวดล้อม เขตครามอยากได้ชาฬีเป็นหลานเขย ก่อนหน้านี้อาเขตผิดหวังที่จะได้เป็นพ่อเลี้ยงของเขา ในอดีตเขตครามมาติดพันแม่นาดา ความรักนั้นได้เผื่อแผ่มาถึงตัวเขาด้วยจนถึงทุกวันนี้ นาดานั้นไม่ได้คิดกับอีกฝ่ายมากเกินไปกว่าเพื่อน นางเป็นหม้ายยังคงยึดมั่นในความรักสามีเพียงคนเดียวมาตลอด แต่อาเขตก็รักชาฬีเหมือนลูกหลานจริง ๆ แม่เสียชีวิตไปนานแล้ว และถึงเขาจะไม่ได้เป็นลูกเลี้ยงอย่างที่เขตครามหวังไว้ แต่ถ้าให้เป็นหลานเขยก็เป็นสิ่งที่มีโอกาสเป็นไปได้ อาหนุ่มใหญ่อยากให้หลานนอกไส้ได้แต่งงานกับลูกสาวของพี่ชาย แม้ว่าหลานสาวคนนี้จะมีอายุมากกว่าชาฬีห้าปีก็ตาม

“เอาเป็นว่าไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับพี่ริมา”
ชาฬียืนคำปฏิเสธหนักแน่นโดยอ้างถึงอาเขตคราม ริมาจึงจำต้องยอมแพ้ในที่สุด หากยังไม่วายทิ้งท้ายคำพูดไว้ก่อนวางสายว่า
“ถ้าฬีอยากได้ผู้ช่วยเพิ่ม...อย่าลืมโทรหาพี่นะ”
“ครับผม” ชายหนุ่มตอบรับอย่างเต็มใจ เพราะแน่ใจว่านอกจากก้องหล้าแล้วเขาไม่ต้องการผู้ช่วยเพิ่มอีก
เขาไม่ได้รังเกียจริมา ตรงกันข้ามเขาค่อนข้างชอบเธอด้วยซ้ำ ริมาเป็นคนสวย มั่นใจในตัวเองสูง ถึงแม้บางครั้งจะเอาแต่ใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดกับร้ายจนรับมือไม่ไหว ติดอยู่ตรงที่เธอเป็นรุ่นพี่ถึงห้าปี ที่สำคัญเขาสนิทสนมกับเธอในฐานะพี่สาว เขาไม่คิดจะล้ำเส้นไปมากกว่านั้น

รุ่งขึ้น...แสงอาทิตย์ยังไม่ทันทาบทั่วแผ่นฟ้า ชาฬีลงมาพบนักท่องเที่ยวตรงจุดนัดหมาย บริเวณด้านหน้าของบ้านพิพิธภัณฑ์น้อยนั่นเอง และพบว่าบุคคลทั้งสี่ได้มารออยู่ก่อนแล้ว
พอชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับคำกล่าวทักอรุณสวัสดิ์ด้วยภาษาอังกฤษ

“อิงนนท์ยินดีต้อนรับครับ ผมชาฬีทำหน้าที่เป็นไกด์ให้กับพวกคุณ”
บุรุษสองคนแต่งกายทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมสมบุกสมบัน เหลียวขวับมามองร่างสูงใหญ่ของเจ้าของสถานที่เกือบพร้อมกัน
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันครับ”
เสียงทักทายโต้ตอบกลับมาเป็นภาษาไทยชัดเจนจนชายหนุ่มต้องจ้องมองอย่างฉงน เสียงห้าวใหญ่ดังมาจากบุรุษผู้มีเค้าหน้าคมดุออกแนวภารตะ ผมดำ ผิวสองสี ความสูงไล่เลี่ยกับเขาคือประมาณหกฟุตเศษ แต่เพราะอีกฝ่ายอยู่ในวัยกลางคนจึงทำให้ดูตัวใหญ่บึกบึนมากกว่า
“ผมนูร์” หนุ่มใหญ่แนะนำตัวง่าย ๆ ก่อนแลกมือสัมผัสตามธรรมเนียมสากล
ชายหนุ่มอีกคนรีบลุกขึ้นจากที่นั่งคอย คนหนุ่มนี้ไม่สูงมากแต่ไม่ถึงกับสันทัด เรียกว่าอยู่ในระดับปานกลางของชายไทย ชาฬีคะเนอายุว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาคือเกือบสามสิบ สีผิวสีผมเฉดเดียวกับหนุ่มใหญ่ หน้าตาดีดูเป็นมิตร บุรุษผู้นี้ได้แนะนำตัวว่าชื่อตรีทัพ พร้อมกับกล่าวแสดงความยินดีที่ได้รู้จักด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกัน

“คุณพูดไทยได้ ผมทราบมาว่าพวกคุณมาจากแคชเมียร์”
“ผมคนไทยครับ แต่ลุงนูร์มีเชื้อสายอินเดียนิดหน่อย”
“แม่ผมเป็นลูกครึ่งอินเดียในเมืองไทย” นูร์อธิบายเสริม
“เห็นว่ามาจากบาลาซาน คือ...” ชายหนุ่มถามเพราะยังนึกสงสัย
“คุณคงหมายถึงบัซซา บัซซามาจากบาลาซานจริงครับ เขารู้จักกับหุ้นส่วน...เพื่อนของผมน่ะครับ บัซซากับเพื่อนผมคนนี้เป็นคนติดต่อกับทางรีสอร์ตด้วยตัวเอง น่าเสียดายว่าทั้งสองคนมีธุระด่วนจำเป็นต้องรีบกลับกรุงเทพไปก่อนเลยไม่ได้ออกเทรลด้วยกัน”
“อ้อ ครับ”
“วา...แหวน”
หนุ่มใหญ่หันไปส่งเสียงเรียกหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเพลินอยู่กับการยืนชมสวนหย่อมตรงมุมน้ำล้นหินผาจำลอง สายน้ำไหลจากภูผาเป็นชั้นแล้วตกลงมาเป็นม่านน้ำ รองรับด้านล่างด้วยสระน้ำใส มีแสงไฟใต้น้ำส่งประกายวิบวับอย่างสวยงาม รอบขอบสระแต่งด้วยหินธรรมชาติประดับตุ๊กตาปูนปั้นสลับไม้ใบประดับเขียวขจี

ชาฬีมองผ่านสายตาไปถึงสาวสองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ คนทั้งสองแต่งกายคล้ายกันในชุดกางเกงยีนเสื้อยืดเล่นลายเพ้นท์คนละสี มีความสดใสไปคนละแบบ คนผิวสีน้ำผึ้งคมขำดูเด็กกว่าหลายปี คะเนอายุน่าจะประมาณสิบเก้าหรือไม่เกินยี่สิบเป็นอย่างมาก
ครั้นเหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างเพรียวระหงอีกคน ชาฬีก็รู้สึกแปลกใจปนตื่นเต้นชอบกล ผมยาวหยักศกของเธอถูกซ่อนไว้ใต้หมวกปีกกว้าง วงหน้ารูปไข่ประดับดวงตาคมโตสีน้ำผึ้ง ริมฝีปากอิ่มได้รูปแย้มยิ้มสดใส ตาคมสบตาหวานคม
“คุณนั่นเอง บังเอิญจริง ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ”
“อ้าว นี่รู้จักกันหรือ” นูร์เลิกคิ้ว ถามอย่างแปลกใจ
“เมื่อวันก่อนตอนที่หนูบอกว่าจะแวะไปเดินเล่นที่พิพิธภัณฑ์น้อย คุณชาฬีอยู่พอดีเลยได้คุยกันนิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง พร้อมรอยยิ้มหวานส่งผ่านมาถึงเขา

หนุ่มใหญ่พยักหน้าพร้อมกับแนะนำว่า “หนูแหวนเป็นน้องสาวของหุ้นส่วนที่ผมพูดถึง หุ้นส่วนคนนี้แหละที่มากับบัซซาตอนที่จองห้องพักในตอนแรก เดิมว่าจะมาเที่ยวด้วยกัน กะว่าจะเป็นคนพาตระเวนเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพราะคุ้นเคยกับโคราชมากกว่าพวกผม เสียดายบังเอิญติดธุระซะก่อน ผมเลยยกหน้าที่นี้ให้ตรีทัพไปแทน รายนี้มาโคราชบ่อย ๆ”
“ผมก็ไม่ค่อยรู้จักที่เที่ยวมากนักหรอกครับ ตั้งต้นที่
รีสอร์ตอิงนนท์ก่อนก็แล้วกัน คงต้องให้คุณชาฬีช่วยแนะนำด้วยครับ” ตรีทัพพูดเป็นเชิงออกตัว
“งั้นรอสักครู่นะครับ ผู้ช่วยผมกำลังเตรียมม้า เตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการพักแรมให้พร้อมก่อนออกเดินทาง”

ตรีทัพพยักหน้าไปทางเป้เดินทางซึ่งวางกองรวมกันทางด้านหนึ่ง “เราเตรียมเสบียงมาบ้างเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวอย่างพวกไฟฉาย เสบียงอาหาร โชคดีไม่ต้องห่วงเรื่องเต็นท์ ไม่งั้นแบกอานแน่”
“ทางเรามีเต็นท์ มีถุงนอนไว้บริการอยู่แล้วครับ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นพวกเครื่องหุงต้ม ของแห้ง ของสดแพ็กสำเร็จพร้อมปรุงได้เลย อาหารกระป๋อง แล้วก็น้ำดื่ม”
“ของเยอะเหมือนกัน” หนุ่มใหญ่ส่งเสียงชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลารอผู้ช่วยไกด์
คนเป็นไกด์อธิบายให้ลูกทัวร์ฟังว่าม้าสองตัวที่นำมาบรรทุกสัมภาระ ทั้งสำหรับตัวเขาเองอีกตัวหนึ่งด้วย จะเป็นพันธุ์อาระเบียนหรือม้าอาหรับตัวใหญ่แข็งแรง
“ม้าอาหรับนี่จะช่วยลดแรงกระแทกผ่อนแรงคนขี่ได้มาก เพราะเวลาวิ่งโคนหางจะยกขึ้นขาจะลอยจากพื้นพร้อมกันทั้งสี่ขา ส่วนม้าที่นำมาให้นักท่องเที่ยวใช้เป็นพาหนะจะเป็นพันธุ์อเมริกันควอเตอร์หรือควอเตอร์ฮอร์ส เพราะว่าพันธุ์นี้เมื่อฝึกดีแล้วจะเชื่องสงบนิ่งเหมาะสำหรับขี่เล่นออกเทรลชมธรรมชาติ ไม่น่ากลัวหรอกครับ แต่ถ้าคุณสาว ๆ อยากเปลี่ยนม้าที่ตัวเล็กกว่านี้ก็บอกได้เลย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง หลานสองคนอาจจะไม่ได้เรียนขี่ม้ามาโดยตรง แต่ก็พอไหว เด็ก ๆ ลุยกว่าที่คุณเห็นเยอะ”
“ทำไมถึงมาเที่ยวรีสอร์ตแนวคาวบอยครับ”
“ผมไปเที่ยวทะเลบ่อยมาก พอดีต้องแวะมาทำธุระในโคราช มาเยี่ยมคนรู้จักด้วย นึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศขี่ม้าชมทุ่งบ้าง หนึ่งหนุ่มกับสองสาวก็อยากผจญภัยเลยจับมือกันตรงมาที่นี่” คนพูดพยักหน้าไปทางหนุ่มสาวสามคน

หลังจากสนทนาเรื่อยเปื่อยต่อไปอีกหลายประโยค สักครู่ก้องหล้าผู้ช่วยหนุ่มร่างเพรียวแข็งแรงกำลังจูงม้าพาเดินลัดจากคอกมาทางสนามโล่ง ได้โทรศัพท์เข้ามารายงานเจ้านายว่าทุกอย่างพร้อมแล้วสามารถเดินทางได้ทันที

เมื่อท้องฟ้าแต้มรัศมีสีส้มเรืองรองทาบม่านฟ้ายามรุ่งอรุณ ชาฬีชักม้าอาระเบียนสีดำตัวใหญ่สง่างามนำขบวน ติดตามด้วยลูกทัวร์สี่ชีวิตนั่งบนหลังม้าควอเตอร์ฮอร์ส ม้าของสองหญิงสาวเป็นสีน้ำตาลแซมสีขาวตรงขาหน้าและหลังคล้ายกัน ส่วนม้าของนูร์กับตรีทัพสีน้ำตาลแดง ต่างกันตรงม้าตัวที่ตรีทัพขี่มีแผงคอและพู่หางเป็นสีขาว
คนที่ตามมารั้งท้ายสุดคือหนุ่มชาวไร่วัยเบญจเพสบนหลังม้าอาหรับ พร้อมกับจูงม้าตัวใหญ่อีกสองตัวพันธุ์เดียวกันสำหรับขนสัมภาระพักแรม
ตอนเริ่มเดินทางชาฬีเหลียวมองสาว ๆ อยู่หลายครั้ง เป็นห่วงว่าม้าที่ขี่ออกจะตัวใหญ่ปราดเปรียวเกินไปสำหรับ หญิงสาวหรือเปล่า ครั้นเห็นทั้งสองสามารถควบคุมม้าได้ดีพอสมควรชายหนุ่มก็ค่อยวางใจ พลางกระตุ้นม้านำมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้ากว้างโอบล้อมด้วยทิวเขาสูง การเดินทางดำเนินไปพักใหญ่ พอถึงจุดชมวิวจึงหยุดแวะชมความงามของธรรมชาติเป็นระยะ ๆ

“สมัยก่อนเลยทีเดียวที่นี่เป็นเขตฟาร์มเลี้ยงม้าครับ รอบ ๆ มีแต่ทุ่งหญ้า ถนนหนทางยังไม่สะดวกสบายเหมือนเดี๋ยวนี้ จนตอนหลังถึงได้ปรับพื้นที่ค่อย ๆ พัฒนามาเรื่อย”
ไกด์จำเป็นอธิบายพลางชี้มือไปรอบบริเวณประกอบคำพูด
“เริ่มต้นเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ก่อน เปิดสอนขี่ม้า มีบริการขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติ เที่ยวชมไร่ชมฟาร์มและบริเวณรอบ ๆ จากนั้นก็ขยายพื้นที่เปิดเป็นรีสอร์ตอย่างที่เห็น"
“ผมชอบนะ” ตรีทัพพูดขณะชักม้าขึ้นมาเคียง “ผมเคยไปเที่ยวพักรีสอร์ตหลายแห่งในเมืองไทย แต่เพิ่งเคยเห็นที่พักที่รวมเอาเกวียนคาราวานแบบยิปซี กระโจมอินเดียน-คาวบอย กระโจมทะเลทราย แล้วยังมีบ้านดินให้เลือกครบวงจรในที่เดียวกันอย่างนี้ เข้าท่ามาก”
คนพูดหมายถึงที่พักหลายรูปแบบของรีสอร์ต แบ่งเป็นหลายโซนให้เลือกตามความพอใจของนักท่องเที่ยว อย่างโซนของกระโจมอินเดียนแดงจะมีลักษณะเหมือนกรวยคว่ำทาสีแต่งลวดลายสวยงาม ตรงยอดกระโจมปักพู่ขนนกอินทรี ขณะที่อีกด้านเป็นกระโจมทะเลทราย นอกจากนี้ยังมีห้องพักเลียนแบบเกวียนยิปซี สุดท้ายคือบ้านดินทันสมัยตกแต่งคลาสสิก

“เป็นความคิดสร้างสรรค์ไม่ซ้ำแบบใคร”
“เป็นความคิดของคุณลุงกัญจน์ครับ เจ้าของฟาร์มม้าแต่เดิม”
“ลุงกัญจน์? ลุงแท้ ๆ หรือครับ”
ชาฬีเหลียวมองหนุ่มใหญ่หน้าคมดุคนถามอย่างฉงน “ทำไมถึงคิดว่าลุงกัญจน์จะไม่ใช่ลุงแท้ ๆ ของผมล่ะครับ”
“ผมเดาเอา ดูว่าเค้าโครงหน้าตาคุณไม่ค่อยเหมือนคนไทยเท่าไหร่ แต่ลุงของคุณน่าจะเป็นคนไทยอยู่แล้ว ขอโทษนะครับถ้าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวมากเกินไป”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้คิดว่าจะต้องปิดบังเป็นความลับอะไร” ชายหนุ่มตอบรับตรง ๆ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดในชาติกำเนิด เขาเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่า “แม่ผมเป็นชาวเมืองบาลาซานในแคชเมียร์ แต่ผมเกิดในเมืองไทย รู้จัก
บาลาซานแค่เท่าที่แม่พูดถึงเท่านั้น จะว่าไปผมก็คือคนไทยมากกว่าแคชเมียร์”
“โอ้ว์ บาลาซาน...น่าสนใจ ถ้าบัซซารู้คงดีใจที่ได้เจอคนบ้านเดียวกัน แล้วคุณเคยคิดอยากจะไปอยู่บาลาซานบ้างหรือเปล่า”

ชาฬีชำเลืองมองหนุ่มใหญ่บนหลังม้าซึ่งเหยาะย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันไป
“ถ้าพูดถึงแคชเมียร์ ผมเคยไปเพียงแค่ครั้งเดียว จะไปอีกหรือเปล่ายังไม่แน่ แต่ถ้าพูดถึงบ้านเกิดของแม่ คงจะไม่ละครับ ไม่รู้จะไปทำไม ชีวิตผมอยู่ที่นี่สบายดีอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มตัดบทสนทนาด้วยการชักม้าพาเหยาะย่าง นำลัดเลาะผ่านร่มเงาไม้ครึ้มไปตามแนวริมบึงกว้าง เสียงห้าวอธิบายถึงในเรื่องธรรมชาติรอบตัวอีกครั้ง


3...หวั่นไหวใต้เงาจันทร์

หวั่นไหวไหวหวั่นแปลกจิต
มิ่งขวัญมิตรใหม่ตาหวาน
สานสัมพันธ์ดื่มชาใต้แสงจันทร์
แสนสุขล้ำแย้มยิ้มอิ่มเอมใจ

“ตรงนี้ช่วงเช้าอากาศจะดีมาก มีหมอกลงบาง ๆ เพราะจะเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ตอนกลางวันร้อนเอาเรื่อง”
เจ้าของสถานที่พาทัวร์ตามจุดชมวิวต่าง ๆ พร้อมกับกล่าวไปเรื่อย ๆ จนเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาในที่สุดก็มาถึงจุดพักอีกแห่งใกล้ไหล่เขา อันเป็นจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบด้านได้อย่างชัดเจน แสงอาทิตย์ยามสายส่องเป็นประกายระยับต้องเนินเขารายล้อมสีเขียวสลับซับซ้อนสวยงามราวกับอยู่ในเมืองมรกต

ถึงเวลาที่ทั้งคนทั้งม้าหยุดพักรับประทานอาหารมื้อแรกในตอนสายของวัน ก้องหล้านำม้าไปพักผ่อนให้น้ำให้อาหาร ไกด์จำเป็นจัดเตรียมมื้อเช้าง่าย ๆ สำหรับทุกคน นูร์กำลังพูดคุยบางอย่างอยู่กับตรีทัพ ขณะที่สองสาวพากันเดินลัดเลาะชมสถานที่รอบ ๆ แหวนนิลกางแขนเงยหน้าขึ้นสูดอากาศสดชื่น สีหน้ากระจ่างใสจนชาฬีนึกอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

พอคิดถึงเรื่องนี้ชายหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้ด้วยความฉงน ลูกทัวร์กลุ่มนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดจะเก็บภาพสถานที่อันสวยงาม เพียงแค่ชื่นชมด้วยสายตา ผิดจากนักท่องเที่ยวทั่วไปที่มักจะสนุกสนานกับการถ่ายรูป ไม่ว่าจะเป็นกล้องหรือโทรศัพท์มือถือก็ตาม เมื่อเห็นไม่มีใครนำกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ เขาก็เสนอตัว
“ถ่ายรูปไหมครับ”
แหวนนิลชะงักไปนิดหนึ่งอย่างนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะถามขึ้นมา “ก็ดีค่ะ พวกเราลืมเรื่องนี้สนิท รีบเดินทางจนไม่ได้นึกถึงกล้องถ่ายรูป จะใช้มือถือก็เก็บภาพมุมกว้างไม่สวยเท่าที่ควร คงต้องรบกวนคุณแล้วคุณฬี” หญิงสาวเรียกชื่อเขาเป็นกันเองสนิทสนม
แหวนนิลอาจไม่ใช่คนสวยโดดเด่นอย่างดารานางเอกหรือนางงามบนเวที ดูจะแพ้เปรียบริมาเสียด้วยซ้ำ แต่เธอก็มีเสน่ห์ตามแบบของตัวเอง ดวงตาหวานคมท่าทางกระตือรือร้นสดใสนั้น ตรึงสายตาคนเป็นไกด์จำเป็นจนแทบลืมสิ่งอื่นรอบด้าน ครั้นพอรู้ตัวว่าตนออกจะเสียกิริยามากไป เขาก็เสทำเป็นหันไปพยักหน้าเรียกเด็กสาวอีกคนที่กำลังจ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เชิญครับน้อง”
พัณวาขยับตัวเหลียวมองหามุมที่วิวสวยมากที่สุดตรงแถบนั้นเป็นฉากหลัง แล้วสองสาวก็ถ่ายรูปคู่กับธรรมชาติกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับชวนอีกหนึ่งหนุ่มและหนุ่มใหญ่มาจับภาพด้วยกัน ตอนหลังก้องหล้ากลายเป็นมือกล้องถ่ายภาพหมู่ให้กับทุกคน บางครั้งก็สลับกันเป็นคนถ่ายระหว่างชาฬีกับก้องหล้า

หลังจากเพลินกับการเก็บภาพอยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาของมื้ออาหาร พออิ่มหนำสำราญนั่งพักท้องหายเหนื่อยหายหิวทั้งม้าทั้งคนแล้ว ไกด์จึงให้สัญญาณว่าขึ้นม้าเดินทางต่อกันได้แล้ว ระหว่างทางเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นผ่านมาประปราย ในช่วงบ่ายแดดแรงขึ้น อาศัยว่าอยู่บนเส้นทางที่มีป่าไผ่สลับต้นไม้ใหญ่ทอดเงาอยู่สองข้างทางจึงพอบรรเทาความร้อนและแสงแรงกล้าจากดวงอาทิตย์ไปได้บ้าง จนลัดเลาะผ่านเขตร่มไม้ไปแล้วจึงได้พบกับทุ่งดอกไม้งามอีกครั้ง
“อยากถ่ายรูปก็บอกนะครับ”
ชาฬีบอกขึ้นในตอนหนึ่ง เนื่องจากตรงจุดนี้เป็นทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์แข่งกันเบ่งบานสวยงาม เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้หญิงมักจะกรี๊ดกร๊าดตื่นเต้นกันมาก
“กำลังจะขอให้ช่วยอยู่พอดีค่ะ”
“งั้นเชิญเลยครับ”
หลังจากนั้นกลุ่มลูกทัวร์สองสาวก็สนุกสนานกับการถ่ายภาพคู่กับธรรมชาติอีกครั้ง ครั้งนี้ตรีทัพเข้าไปร่วมด้วยไม่กี่ภาพ ส่วนหนุ่มใหญ่เชื้อสายผสมภารตะขอตัวเป็นส่วนใหญ่ จะมีส่วนร่วมอยู่ในรูปแค่ไม่กี่รูปเท่านั้น
“ใกล้ถึงจุดกางเต็นท์แล้ว เราจะตั้งเต็นท์ตรงแถว ๆ ธารน้ำ สะดวกครับ บรรยากาศดีมาก น้ำในธารใสเล่นน้ำได้สบาย ๆ ไม่ต้องกลัวอันตราย แต่ถ้าไม่ชอบอาบน้ำกลางแจ้ง เราก็มีห้องอาบน้ำและห้องน้ำไว้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาพักแรมโดยเฉพาะ”
ก้องหล้าผู้ช่วยไกด์ชี้มือประกอบคำพูดไปยังเบื้องหน้า เป็นเนินหญ้าเขียวร่มรื่นอันเป็นจุดพักค้างแรม
“เลยออกไปเป็นอะไรคะ” พัณวาถามขึ้น ซึ่งไม่บ่อย ครั้งนักที่จะได้ยินเจ้าตัวพูดคุย ส่วนใหญ่คนที่คุยซักถามโน่นนี่มักจะเป็นแหวนนิล
“เป็นป่านอกรีสอร์ต ลึกเข้าไปจะเป็นเขตอุทยานครับ”
ในที่สุดทั้งหมดก็มาถึงจุดกางเต็นท์พักแรม รอบบริเวณเป็นทุ่งหญ้าสลับไม้ใหญ่น้อย มีธารน้ำไหลเอื่อยอ้อยอิ่งตัดผ่าน
"ถึงแล้วครับ เราจะพักกางเต็นท์กันที่นี่"

ลานตั้งแคมป์มีบริเวณค่อนข้างกว้าง ถ้าเป็นช่วงไฮท์ซีซั่น นักท่องเที่ยวก็จะมาปักหลักพักแรมก็กันตรงจุดนี้ ทางด้านหนึ่งเป็นโรงพักของม้า อีกด้านเป็นห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกออกมาต่างหาก
“แดดร่มแล้วอยากเล่นน้ำในลำธารก็ได้ฮะ” เสียงผู้ช่วยไกด์ว่ามาอีก
หนุ่มใหญ่ลงจากหลังม้ายืนเท้าเอวมองสำรวจไปรอบบริเวณ ปากถามชายหนุ่มผู้กำลังช่วยเจ้านายลำเลียงสัมภาระลงจากหลังม้า “ปกติมีนักท่องเที่ยวมาพักแรมเยอะไหม”
“ฤดูหนาวคนจะเยอะครับ ถ้าเป็นปีก่อน ๆ ตอนนี้เริ่มจะเข้าไฮท์ซีซั่น แต่ปีนี้ก็อย่างที่เห็น...แค่พอประปราย”
ระหว่างที่เจ้านายกับลูกน้องหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการปรับพื้นที่เพื่อกางเต็นท์ ตรีทัพเตร่เข้ามาอาสาช่วยด้วยอีกแรงแม้ว่าหนุ่มเจ้าของสถานที่จะปฏิเสธ บอกให้ไปพักผ่อนสบาย ๆ ดีกว่า
“ให้ผมช่วยเถอะ ปล่อยให้คนแก่เฝ้าดูหลานไปก็
แล้วกัน”
ตรีทัพพูดขำ ๆ สัพยอกว่านูร์เป็นคนแก่ทั้งที่ความจริงตรงกันข้าม เพราะฝ่ายนั้นถึงจะอายุเข้าวัยกลางคนแต่เรียกว่าอยู่ในวัยฉกรรจ์คือสี่สิบกว่าเท่านั้น ยังห่างไกลจากคำว่าแก่จริง

หลังจากจัดการเรื่องที่พักเสร็จ จากนั้นเป็นเรื่องของการเตรียมหุงต้มอาหาร เมื่ออาหารพร้อมคนพร้อมได้เวลาดวงอาทิตย์คล้อยต่ำจากขอบฟ้า มีการก่อกองไฟเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของการพักแรม แสงสีส้มจากกองไฟสะบัดเปลวไปตามกระแสลมเย็นรอบตัว หกชีวิตนั่งล้อมวงรับประทานอาหารอยู่หน้ากองไฟไม่ห่างจากแคมป์เท่าไหร่นัก ส่วนพื้นที่ห่างออกไปอย่างบริเวณทางเดิน ไปจนถึงเพิงที่พักม้า ห้องอาบน้ำห้องน้ำจะมีตะเกียงห้อยตามไว้เป็นจุด ๆ

อาหารมื้อเย็นแคมป์ปิ้ง เป็นอาหารง่าย ๆ ที่ทางรีสอร์ตจัดเตรียมไว้เป็นพื้นฐาน ข้าวเหนียว ไก่ย่าง หมูและเนื้อแดดเดียวแยกกัน เผื่อว่านักท่องเที่ยวบางคนไม่ทานหมู บางคนไม่ทานเนื้อ จึงทำไว้ทั้งสองอย่างจะได้เลือกได้ มีต้มยำไก่ร้อน ๆ พร้อมเจียวไข่ฟูเพิ่มอีกอย่าง อีกส่วนหนึ่งจากลูกทัวร์นำมาสมทบ เป็นอาหารกระป๋องง่าย ๆ แต่อร่อยทุกอย่าง นูร์ซึ่งมีเชื้อสายอินเดียบอกว่า
“ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร ผมทานได้ทุกอย่าง ผมไม่ได้นับถือฮินดูหรอกครับ เป็นพุทธปกตินี่แหละ” แล้วเขาก็เล่าว่าถึงเขาจะมีเชื้อสายอินเดียอยู่ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็อยู่เมืองไทยมาแต่เกิด แม่นับถือเทพทางฮินดู พ่อมาทางพุทธเขาก็เป็นพุทธตามพ่อ

"แถวนี้อากาศดีจริง" นูร์กล่าวหลังจากเคี้ยวอาหารหมดคำ “ถึงตอนนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงติดใจที่นี่จนไม่อยากไปอยู่ที่อื่น”
หนุ่มใหญ่พูดกลั้วหัวเราะ ก่อนกล่าวประโยคต่อไปแบบทีเล่นทีจริง หากมีนัยความหมายแปลกอย่างที่ชาฬีฟังแล้วรู้สึกแปลบลึกอยู่ในใจ
“สำหรับคนมีบ้านเกิดอบอุ่นก็คงคิดอย่างนั้นแหละครับ”
“คุณพูดแปลก พูดเหมือนตัวเองไม่มี” แหวนนิลร่วมสนทนาไปกับกลุ่มผู้ชาย ต่างจากพัณวาซึ่งชอบฟังมากกว่าจะพูด “ทุกคนมีบ้านเกิดด้วยกันทั้งนั้น”
“ถ้าคำว่าบ้านเกิดมีความหมายเพียงแค่สถานที่ผมก็ยอมรับ”
“แล้วจะมีความหมายอะไรอื่นได้อีก” ตรีทัพถามสีหน้าคล้ายฉงนกับคำพูดวกวนของอีกฝ่าย
“คำว่าบ้าน ‘โฮม’ ไม่ใช่แค่ ‘เฮ้าส์’ สำหรับผมหมายรวมถึงในแง่จิตใจด้วย ผืนดินไหนโอบอุ้มชีวิตผมไว้ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ผมเรียกที่นั่นว่าบ้านเกิด”
“คุณพูดเหมือนคนมีปม” หนุ่มใหญ่วิจารณ์ แล้วย้อนถามเรียบ ๆ “คุณอยู่ตรงนี้ตรงจุดเดิมที่ผ่าน ๆ มา แล้วเคยคิดอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง อยากไปสัมผัสกับบาลาซานบ้างหรือเปล่า”
“ดูเหมือนผมจะเคยตอบคำถามคล้าย ๆ อย่างนี้ไปแล้ว ทำไมต้องเปลี่ยนครับ ผมพอใจตรงจุดนี้...พอใจมากด้วย ไม่คิดว่าจะจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร”
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏอยู่บนสีหน้าหญิงสาว
“ไม่มีใครรู้อนาคตตัวเองหรอกค่ะ ไม่แน่ว่าบางทีอาจถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิตบ้างแล้ว
ก็ได้”
ระหว่างสนทนาจู่ ๆ ก็มีเสียงร้องและซอยเท้าถี่ ๆ ของม้าดังขึ้นตรงเพิงพักที่มองเห็นได้ในระยะสายตา เจ้าข่านม้าดำของชาฬีส่งเสียงร้องท่าทางกระสับกระส่าย ชาฬีขมวดคิ้ว หันไปถามก้องหล้าทันที
“ก้อง เจ้าข่านมันเป็นอะไร มีอะไรมากวนหรือเปล่า”
“เดี๋ยวผมไปดูให้”

ก้องกล้าลุกจากวงอาหาร เดินแกมวิ่งตรงไปยังที่พักของม้าแปดตัว ผู้ช่วยหนุ่มทำท่าก้ม ๆ เงย ๆ ลูบเนื้อลูบตัวเจ้าข่านอยู่สักเดี๋ยวอาการกระสับกระส่ายของมันก็ค่อยสงบลง
พอเห็นเจ้าข่านไม่เป็นอะไรชายหนุ่มก็ค่อยเบาใจ ก้องหล้า กลับมานั่งร่วมวงรับประทานอาหารต่อ ชาฬียังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอาการของม้าคู่ใจกับผู้ช่วย ก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเกิดอาการร้อนวูบราวกับถูกของร้อนนาบตรงบริเวณอกจุดที่แขวนล็อกเก็ตไว้กับสร้อยผ้าร่มสองทบอย่างกะทันหัน อาการผิดปกตินั้นเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีล็อกเก็ตก็กลับเย็นลงเป็นปกติ ไม่มีใครทันสังเกตเห็นอาการสะดุ้งของชายหนุ่ม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ชาฬีใจคอไม่ดี นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ว่ามันเป็นสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง อะไรที่ไม่ค่อยดีนัก

แม้ว่าความไม่สบายใจจะก่อตัวขึ้นเป็นริ้ว แต่เขาไม่มีเวลาที่จะมานั่งครุ่นคิดวิเคราะห์ถึงสาเหตุ เนื่องจากกำลังดูแลกลุ่มลูกทัวร์อยู่ จึงพยายามเก็บสีหน้าปล่อยให้ความกังวลใจผ่านไปก่อน ครั้นพอนึกบางอย่างขึ้นได้ก็หันทางแหวนนิลเพื่อที่จะถามถึงสิ่งที่กำลังคุยค้างกันอยู่ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่หญิงสาวได้กล่าวขอตัวจากวงอาหารเสียก่อน ราวกับเป็นการตัดบทสนทนาค้างไว้เพียงแค่นั้น

ผิวพื้นน้ำลำธารกระทบแสงจันทร์ครึ่งดวง กระเพื่อมไหวไปตามทิศทางของแรงลม ละไล้ผมยาวน้ำตาลไหม้หยักศรกให้พลิ้วสะบัดอวดสายตาคมของคนที่กำลังมองตรงมาอย่างเผลอไผล จนเมื่อเจ้าตัวหมุนร่างกลับจึงได้สังเกตเห็น
ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ตรงโขดหิน ห่างไปไม่ไกลจากริมฝั่งเท่าไหร่นัก คนถูกมองชะงักเมื่อรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังอย่างที่เข้าใจ
พอหญิงสาวเห็น อีกฝ่ายก็เดินเอื่อย ๆ เข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาสวยฉายแววยิ้มขบขำชัดเจน
“คุณไกด์...คุณเป็นคนที่ชอบแอบสุ่มมองลูกทัวร์ผู้หญิงในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เสมอหรือคะ”
“แอบที่ไหน ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแท้ ๆ คุณไม่เห็นเองต่างหาก ผมเพ่งกระแสจิตแทบตายให้คุณหันมาซะที”
“ก็แล้วทำไมไม่เรียก”
“เรียกแล้ว”
“ไม่ได้ยินจริง ๆ ค่ะ”
“ผมเรียกแล้ว แบบนี้...” คนพูดลดเสียงลงในลักษณะเสียงกระซิบเบา ๆ “คุณแหวน คุณแหวนนิล”
หญิงสาวถึงกับหัวเราะเสียงใส “โธ่ ก็กระซิบซะขนาดนั้นใครจะได้ยิน”
“ตอนเรียกผมเพ่งกระแสจิตประกอบด้วย คนถ้าใจตรงกัน แค่มองแล้วเรียกในใจก็สื่อถึงกันได้แล้ว”
“งั้นแสดงว่าใจเราไม่ตรงกัน ไม่ก็ทฤษฎีของคุณผิด”
“อย่าเพิ่งตัดสินสิครับ นี่เป็นทฤษฎีสากลเชียวนะจะบอกให้ ขนาดแมวยังสามารถเพ่งจิตสื่อสารผ่านสายตาได้เลย”
“โม้ มีที่ไหนกัน”
“จริง ๆ นะครับ ผมเคยได้ยินเรื่องของแมวตาเพชรจ้องมองจิ้งจกบนเพดานห้อง แล้วจิ้งจกตกลงมากลายเป็นลาภปากของแมวไป เขาว่าแมวมันรู้จักหากินด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้คนมาเลี้ยง”
“ไม่รู้เหมือนกันนะคะ แต่ที่ฉันเคยรู้คือสัตว์มีสัญชาติญาณพิเศษรู้ถึงภัยธรรมชาติได้ล่วงหน้า แต่มันเป็นคนละเรื่องกับกระแสจิต”
“งั้นผมถามใหม่ คุณเชื่อเรื่องโชคชะตาบ้างหรือเปล่า”
“โชคชะตาของใครคะ”
“แน่ะ กวนนะคุณ...ของใครก็ได้ หรือของเราก็ได้ ผมว่าเราสองคนชะตาต้องกันนะ จริงไหม”
วกเข้าหาตัวจนได้สิน่า โดยเฉพาะประโยคที่ว่า...เราสองคนชะตาต้องกัน แก้มหญิงสาวเป็นสีชมพูเรื่อขึ้นด้วยความเขินที่จุดขึ้นในใจ นี่เขากำลังจีบเธออยู่หรือเปล่า
“พูดเรื่องกระแสจิตของแมวอยู่ดี ๆ ไหงข้ามไปถึงเรื่องโชคชะตา”
“มันจริงนี่ครับ ถ้าเราชะตาไม่ต้องกัน คงไม่ได้มานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้ ถ้าคุณไม่ชอบหน้าผม ผมไม่ชอบหน้าคุณก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง คงไปกันคนละทาง”
แหวนนิลเสมองผืนน้ำกระทบแสงจันทร์ เพราะรู้สึกว่ายิ่งพูดยิ่งเข้าเนื้อ

ฝ่ายชาฬีเห็นหญิงสาวเงียบไป ก็พูดขึ้นเหมือนรู้ตัวว่าคำพูดของเขาทำให้เธออึดอัด “ผมขอโทษถ้าผมพูดตรงเกิน แต่ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ตรง ๆ ได้ แต่ถ้าเจอโค้งก็เลี้ยวนะ”
คราวนี้แหวนนิลหัวเราะออกมาพร้อมกับส่ายหน้า เห็นเขามาแต่แรกดูเป็นคนพูดคุยเป็นกันเองและสุภาพ นึกไม่ถึงว่าจะเล่นมุกกวนไม่เบาทีเดียว “แหม...คุณนะ...ปากดีจริง ๆ ! ”
คนปากดียิ้มรับอย่างภาคภูมิ และก่อนที่เขาจะใช้วาจาตบมุกต่อไปอีก หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียก่อน พูดคุยจริงจังมากขึ้นกว่าตอนแรก
“แล้วคุณล่ะ เชื่อโชคลางของชีวิตบ้างไหมคะ”
“หือม์?” ชายหนุ่มมองคนถามอย่างฉงน “นึกอย่างไรถึงถาม”
“คุณก็รู้ว่าฉันกำลังสนใจตาละสโตน คุณเชื่อในตาละหรือเปล่า หินที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนบางคนได้”

คราวนี้ชาฬีกลับเป็นฝ่ายเลี่ยงประเด็นด้วยการนั่งลงเคียงข้างหญิงสาว พลางทอดสายตาลงมองดวงจันทร์ในสายน้ำ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อ ๆ “คุณชอบมองดวงจันทร์ไหม ผมว่าผู้หญิงเกือบทุกคนชอบ”
“คุณจงใจเปลี่ยนเรื่อง” หญิงสาวหันไปต่อว่าด้วยน้ำเสียงกล่าวหา “จะบอกอะไรให้ ฉันว่าคุณคงเป็นคนที่ชอบหนี...หนีปัญหา...หนีความจริง...หนีตัวเอง”
“ว่าไปโน่น”
“หรือไม่จริงคะ ถามอะไรตอบไม่ได้ก็เฉไฉเลี่ยงไปซะงั้น”
“ผมมีคำตอบให้ตัวเองเสมอครับ แต่บางครั้งก็อยากเก็บคำตอบไว้กับตัวเองมากกว่าจะป่าวประกาศให้ใคร ๆ รับรู้”
“ใคร ๆ ที่ว่านั่นคงจะเป็นฉันใช่ไหม”
ดวงตาสีเทาเข้มที่มองหญิงสาว แม้ไม่มีแววยิ้มละไมเหมือนตอนแรก แต่ก็ไม่ได้ขุ่นเคืองกับคำพูดคล้ายจงใจไล่ต้อนให้จนมุม จะเพราะสาเหตุอะไรก็ช่างเถอะ เขารู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้จริง ๆ และเวลาสบาย ๆ อย่างนี้เขาไม่อยากคิดมากให้ทำลายบรรยากาศรอบตัวเปล่า ๆ
“คุณยังไม่ได้ตอบผมเหมือนกัน พระจันทร์ข้างขึ้นถึงจะยังไม่เต็มดวงแต่ก็สวยนะว่าไหม”
“สวยจริงค่ะ แต่ฉันชอบมองพระอาทิตย์ตรงขอบฟ้าในวันใหม่หรือไม่ก็กำลังจะจบวันมากกว่า เพราะนอกจากความสวยงามแล้ว ยังเป็นสัญญาณบอกถึงเวลาที่เริ่มต้นและสิ้นสุดลงด้วย”
“คิดแปลกดี”
“ยอมรับค่ะ เคยมีคนบอกเหมือนกันว่าฉันไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงคนอื่นเท่าไหร่ ฉันคิดต่างเพราะไม่ได้มองทุกอย่างผ่านแว่นสีกุหลาบ”
คิ้วเข้มยาวเข้มเลิกขึ้นนิด ๆ รู้สึกว่าในยามนี้แหวนนิลดูต่างไปจากหญิงสาวผู้ร่าเริงสดใสเมื่อตอนกลางวันทีเดียว
“คุณเล่าถึงเรื่องราวของตาละให้ฉันฟังหน่อยสิคะ”
“คุณก็พอทราบอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ”
“ฉันอยากฟังตำนานเรื่องเล่าขานในอดีต”
“เอาเท่าที่ผมพอรู้ก็แล้วกันนะ ก็ต้องว่ากันตั้งแต่ต้น นับพันปีก่อนโน้น ว่ากันว่าชนเผ่าโบราณบนเทือกเขาหิมาลัยเป็นผู้ค้นพบหินศักดิ์สิทธิ์ และว่ากันว่าอีกนั่นแหละว่าตาละ สโตนเป็นของสูงที่สวรรค์ประทาน มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเองแม้จะไม่ได้ผ่านการปลุกเสกจากผู้มีวิชาอาคมก็ตาม ในยุคต่อมาเกิดวัฒนธรรมความเชื่อในเรื่องเวทมนตร์ ผู้นำพิธีของชนเผ่านำหินมาแกะสลักเป็นรูปสัญลักษณ์ตัวแทนเทพเจ้า ทำพิธีกรรมสวดนอบน้อมให้กับวิญญาณบริสุทธิ์แรกเกิด และส่งวิญญาณในวาระสุดท้าย”
“ปัจจุบันพิธีแบบนี้ยังคงมีอยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่มีแล้วครับ เพราะแม้แต่แหล่งกำเนิดบนเขา
ปาวิทรา เทือกเขาหิมาลัย ตาละสโตนก็ไม่มีปรากฏให้เห็นอีกเลย”
“นั่นสิ ฉันก็ถามไม่ได้คิด” หญิงสาวหัวเราะขำตนเอง “ฉันเคยได้ยินว่าตาละเลือกเจ้าของเองได้ เปลี่ยนสีตามอารมณ์ของผู้ใส่ด้วยจริงหรือเปล่า”
“คุณก็รู้เยอะอยู่เหมือนกันนี่”
“ฉันก็ทำการบ้านมาเหมือนกันนะ แต่ก็รู้เท่าที่มีข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ฉันถึงได้ถามคุณไง”
“คุยเรื่องหินมันสนุกตรงไหน พูดถึงเรื่องของคุณบ้างดีกว่า” เสียงห้าวเฉไฉไปได้อีก
“จะให้เล่าอะไร ประวัติฉันไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”
“สรุปสั้น ๆ ก็ได้ เป็นคนจังหวัดไหน เรียนจบอะไร ทำงานอะไร มีแฟนตอนไหนชื่ออะไร"
พอคนพูดถามถึงตรงประโยคท้าย แหวนนิลก็ขว้างค้อนวงใหญ่ ซึ่งชาฬีเห็นก็ทำท่ารับ แล้วเป่าเบา ๆ ให้ลอยไปเหมือนเป็นขนนก เลยได้รับแจกค้อนวงเล็กอีกครั้ง
“ชีวิตฉันมันไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ ฉันไม่ได้มีชีวิตสูงส่งอะไร ตรงกันข้ามค่อนข้างลำบากด้วยซ้ำ บ้านเกิดก็อยู่โคราชนี่เอง พ่อกับแม่เลิกกันแม่ไปทางพ่อไปทาง ฉันอยู่กับป้า ป้านงพี่สาวของแม่ทำงานเป็นแม่บ้านให้นายใหญ่ พอนายใหญ่เสียชีวิต คุณลีเมียของนายใหญ่ก็ดูแลฉันต่อ แต่พอคุณนายตายไปอีกคน ลูกสาวของนายใหญ่ก็รับอุปการะส่งเสียให้ฉันเรียนหนังสือจนจบ”
“คนอุปการะคุณแหวนก็คือคนเดียวกับที่คุณเคยเล่าว่าเป็นพี่สาวที่คุณรักมากใช่ไหมครับ”
หญิงสาวชะงักไปนิด ๆ คล้ายกับไม่คิดว่าเขาจะจำได้
“ค่ะ ใช่ ถึงจะไม่ใช่ญาติพี่น้องกันแท้ ๆ แต่ถ้าไม่ได้พี่สาวคนนี้ ฉันก็คงไม่มีอนาคตไกลขนาดนี้ ก็คงเป็นได้แค่แม่บ้านทำงานรับใช้ในบ้านไปวัน ๆ”
“แสดงว่าคุณต้องได้งานมั่นคงเงินเดือนดีแน่ ๆ ไม่งั้นจะมีเงินทุ่มซื้อตาละให้พี่สาวหรือ”

คำถามที่ถูกยิงมาทำให้หญิงสาวอึกอักไปนิดหนึ่ง ก่อนตอบอย่างระมัดระวัง “ฉันไม่ได้ร่ำรวยมากมายหรอกค่ะ อาศัยว่าเก็บเงินเก่งเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นมรดกจากป้านงที่เก็บงำมาตลอดชีวิต ป้านงไม่มีลูกทุกอย่างจึงยกให้ฉันในฐานะหลานแท้ ๆ คนเดียว”
“แล้วแฟนล่ะครับ มีคนมาจีบกี่คนแล้ว”
เขาถามน้ำเสียงนิ่งเรียบกับคำถามสุดท้าย ราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจจะถามจริงจัง แค่หาเรื่องสนทนาไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
“เรื่องนั้นฉันยังไม่คิดหรอกค่ะ ช่วยพี่สาวทำงานให้ชีวิตมั่นคงกว่านี้ก่อน”
เขายิ้ม “ผมไม่เชื่อหรอก”
“ก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ”
คำถามนี้ผ่านไป เขาก็ยิงคำถามใหม่มาอีก “แล้วคุณมารู้จักกับคุณนูร์ คุณตรีทัพ และน้องพัณวาได้ยังไงหรือครับ”
“พวกเขารู้จักกับพี่สาวค่ะ จะเรียกว่าเป็นหุ้นส่วนกันก็ได้”
“ผมเข้าใจแล้ว ได้ยินคุณนูร์พูดถึงหุ้นส่วนอยู่เหมือนกัน”
ชาฬีเว้นช่วงไปแล้วเริ่มต้นใหม่ เสียงห้าวเรียกชื่อหญิงสาวอย่างชัดเจนเป็นกันเอง “คุณแหวน”
“คะ?”
“งั้นผมขอถามอีกอย่าง เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหมครับ”
“จบเรื่องตาละแล้วหรือคะ” แหวนนิลถามพร้อมอมยิ้มในสีหน้า
“จบแล้วครับ ตอบผม”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ”
“หมายถึงหลังจากจบทัวร์ ถ้าผมอยากจะติดต่อกับคุณ คุณโอเคไหม”
คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายหลบสายตาคมด้วยการเบนไปมองดวงจันทร์สุกสว่างเท่าที่จันทร์ครึ่งดวงจะสว่างได้
“ถ้าคุณอยากเป็นเพื่อนกับฉันจริง ๆ ช่วยทำอะไรให้หน่อยสิคะ”
“อะไรครับ”
“ดื่มชาเป็นเพื่อนฉันสักแก้ว...แล้วฉันจะให้คำตอบ”
“คืนนี้หรือ”
“ค่ะ”
“แค่ดื่มชาทำไมจะไม่ได้”
“มั่นใจจัง คิดก่อนตอบสักหน่อยก็ได้ค่ะ”
“การหยุดคิดคือความลังเลไม่แน่ใจ คุณแหวนไม่ใช่นางพญางูขาวแปลงร่างมาซะหน่อยจะได้กลัวโดนกัดตาย”
หญิงสาวหัวเราะกิ๊กกับคำเปรียบเทียบนั้น “ทำไมต้องเป็นนางพญางูขาวด้วย ทำไมไม่เป็นงูจงอาง งูเห่า”
“งูพวกนั้นเป็นสัตว์ครับ แต่นางพญางูขาวเป็นตำนานพื้นบ้าน ถึงนางจะเป็นงูแต่งดงาม...”
“งามเพราะปีศาจแปลงร่างมาต่างหาก ออกนอกเรื่องแล้วคุณฬี...เอาเป็นว่าเราไปดื่มชากันดีกว่า”

ชายหนุ่มตอบรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ เธอเป็นผู้หญิงที่แปลกจริง ๆ เธอมักจะทำให้เขาแปลกใจได้เรื่อย ๆ

เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองกลับมายังจุดที่ตั้งแคมป์พักแรมก็ไม่เห็นสมาชิกคนอื่น นอกจากก้องหล้าผูกเปลระหว่างต้นไม้นอนสบายอยู่ไม่ห่างกองไฟที่ยังคงลุกโชนทำหน้าที่ให้แสงสว่างอย่างไม่มีบกพร่อง ชาฬีชะโงกหน้าเข้าไปดูผู้ช่วยเห็นอีกฝ่ายกำลังหลับสนิท เพราะที่นี่ไม่ใช่ป่าอันตรายที่ต้องอยู่โยงเฝ้าระวังภัย อีกอย่างก้องหล้าก็คงเหนื่อยไม่น้อย ไหนจะช่วยเขาในเรื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แล้วยังต้องดูแลให้น้ำให้อาหารลูกสมุนม้าทั้งแปดอีก เขาจึงไม่อยากปลุก ปล่อยให้พักผ่อนเต็มที่

ไม่เพียงแต่ก้องหล้าเท่านั้น ดูเหมือนว่าลูกทัวร์อีกสามคนจะพร้อมใจกันพักผ่อนสบายอยู่แต่ในเต็นท์
“หลับกันหมด เออ ทำไมนอนกันเร็วจริง” ชายหนุ่มปรารภอย่างฉงนในเมื่อยังไม่ดึกมาก อากาศก็กำลังสบายหนาวนิด ๆ เขาคิดว่าคนอื่นยังคงนั่งเล่นอยู่หน้ากองไฟเสียอีก
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรนอกจากขอตัวไปหยิบกระป๋องบรรจุผงชามาชงกับน้ำร้อนรินใส่สองถ้วย ถ้วยหนึ่งส่งให้
ชายหนุ่ม อีกถ้วยสำหรับตนเอง
“ลองดื่มชาน้ำผึ้งผสมสมุนไพรสูตรพิเศษของเราแล้วคุณจะติดใจ หวานอร่อย ถ้าไม่ขอเติมเป็นถ้วยที่สองฉันยอมให้ปรับ”
“ให้ปรับจริงนะครับ อย่างนี้ขอไม่เติมดีกว่าคุณจะได้ถูกปรับ”
“แน้ ได้ยังไง ดื่มสิคะดื่ม เอ๊า...ชนแก้ว”
เสียงห้าวหัวเราะสลับกับเสียงใสอย่างเป็นกันเอง ภาย ใต้เงาไม้โยกไหวไปมาในแสงจันทร์ โดยไม่ได้รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าระหว่างที่คนทั้งสองสนุกสนานกับการสนทนาอย่างเป็นกันเองอยู่นั้น มีสายตาสองคู่แอบมองลอดมาจากในเต็นท์พัก คู่หนึ่งยอกแสยงใจกับภาพบาดตาเบื้องหน้า อีกคู่หนึ่งกลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจกับมิตรภาพที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว!




4...ลักพาตัว

วะเหวย...ใครกันช่างบังอาจ
ทำให้พลาดถูกพาตัวมิรู้ถิ่น
มากเล่ห์หลายชั้นทั้งแยบยล
ไม่รู้กลในดวงตาพาซ่อนใจ

เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงกว้างหนานุ่ม ปูด้วยผ้านวมสีฟ้าอ่อนสะอาดตา เข้าชุดกับหมอนและหมอนข้าง ขณะที่เฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นภายในห้องล้วนเป็นโทนสีฟ้าอมเทาอ่อนแบบแนววินเทจ รับกับสีของผนังห้อง พื้นห้องเป็นไม้มองดูอบอุ่นเรียบง่าย

เสียดายว่ามันไม่ใช่ความฝันอบอุ่นแต่อย่างใด…
เหมือนฝันร้ายมากกว่า ที่จู่ ๆ พอลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ มาได้อย่างไร และเมื่อไหร่!!

ชายหนุ่มลูกผสมแคชเมียร์ลุกขึ้นนั่งกวาดตามองสำรวจไปรอบห้อง เขากำลังตั้งสติสลัดความมึนงงพยายามเรียงลำดับความคิดปะติดปะต่อเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายเท่าที่จำได้...เขากำลังดื่มชาน้ำผึ้งสูตรพิเศษของแหวนนิล นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยท่ามกลางแสงจันทร์ครึ่งดวง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่จำได้จริง ๆ
แล้วยังไงเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?
หรือเขาเมา?...ใครบางคนอาจพาเขามาพักในห้องนี้ แต่เขาไม่ได้ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียวจะเมาได้ยังไง อีกอย่างถ้าเขาเมาหรือหมดสติด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ ก้องหล้าก็น่าจะพาเขากลับบ้านอิงนนท์ไม่ใช่หรือ
ความแปลกในสถานที่ทำให้ฉุกใจคิดขึ้นมากะทันหัน...คำหนึ่งผุดขึ้นมา...
ลักพาตัว!?
ตลกร้ายเกินไปหน่อยแล้ว ไม่ใช่หรอกน่า!
ความคิดสับสนงงงันสะดุดลง ประตูห้องเปิดขึ้นพร้อมกับบุคคลสี่คนเดินเรียงกันเข้ามา สามคนแรกเป็นคนที่เขารู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้ว ยกเว้นสาวใหญ่คนสุดท้าย
“สวัสดีครับ...รู้สึกตัวก็ดีแล้ว คุณชาฬี”
“คุณ...นูร์...นี่มันอะไรกัน ผมต้องการคำอธิบาย”
ชาฬีเริ่มต้นถามด้วยยังสับสน “ก้องหล้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมผมมาอยู่ที่นี่”
“ไม่มีอะไรครับ อย่าเพิ่งตกใจ ลูกน้องคุณพาม้ากลับเข้ารีสอร์ตไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน”
“เมื่อคืน!? ” แต่นี่มันเช้าแล้ว...ชายหนุ่มยิงคำถามประโยคต่อไปให้ตรงประเด็นไปเลย “ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน? ”
“เรื่องนั้น...คงต้องสารภาพก่อนว่าพวกเรามีความจำเป็นต้องเชิญคุณมาพักกับเราชั่วคราว ขออภัยด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เพราะถึงบอกกล่าวยังไงคุณก็คงไม่เห็นด้วย เราจึงจำเป็นต้องใช้วิธีนี้”

...เชิญคุณมาพักกับเราชั่วคราว…
…จำเป็นต้องใช้วิธีนี้…

ชาฬีทวนคำในใจ พอตั้งสติได้ความเป็นตัวของตัวเองค่อยกลับคืนมาอีกครั้ง ก็เริ่มทบทวนเรื่องราว เป็นอย่างที่นึกสงสัยไม่มีผิด จะด้วยวิธีการใดก็ตามแต่คนกลุ่มนี้พาเขามาโดยพลการแน่นอน ปัญหามีอยู่ว่าทำไม มีเหตุผลอะไรถึงต้องทำกันขนาดนี้

ชายหนุ่มมองผ่านบุรุษทั้งสองไปถึงหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาหวานคมแล้วเริ่มประจักษ์ชัด สีหน้ารอยยิ้มหวานน่ารักเป็นมิตรที่เห็นในครั้งสุดท้าย บัดนี้ไม่ปรากฏทั้งรอยยิ้มจากแววตาและบนริมฝีปาก เขาจ้องมองสาวคนต้นเหตุด้วยความผิดหวังผสมขุ่นเคืองที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ถ้าเป็นคนอื่นยังพอว่า แต่นี่เธอเป็นคนชงชาและส่งชาถ้วยนั้นด้วยมือของเธอเอง

“ทำไม” เขาส่งสายตาและคำถามไปให้แหวนนิลโดยตรง “ไม่พอใจอะไรผมหรือ”
ปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายตอบรับกลับมามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของมิตรภาพใด ๆ หลงเหลืออยู่อีกต่อไป

ชาฬีรู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด...เขาตกหลุมพรางติดกับดักเพราะผู้หญิงคนนี้เพียงคนเดียว สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้คืออยากบีบคอนางนกต่อให้ตายคามือไปเลย

ชายหนุ่มจ้องมองหน้าแต่ละคนเรียงตัวกันไป ถามน้ำเสียงกระด้างขึ้นกว่าเดิม “พวกคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่ ถ้าต้องการค่าไถ่คงต้องผิดหวัง ผมไม่ใช่คนรวย บ้านเราไม่รวยแค่พออยู่พอกินเท่านั้น”
“เราไม่ได้ต้องการเงินทอง ของบางอย่างมีค่ามากกว่านั้น” หนุ่มใหญ่เป็นคนตอบน้ำเสียงเรียบเรื่อย คงความสุขุมไว้อย่างคงเส้นคงวา
“แล้วอะไรคือของบางอย่างที่พูดถึง”
“เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้เอง”
“ยอมรับแล้วสิว่าลักพาตัวจริง ๆ ความพยายามของพวกคุณช่างสูงเป็นเลิศ อุตส่าห์เล่นบทนักท่องเที่ยวจนผมเชื่อสนิท!”

ชายหนุ่มพูดเยาะ ๆ ถ้าเขาเป็นผู้หญิงแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตนถูกลักพาตัวมากักขังไว้ในสถานที่หนึ่งก็คงตกใจ แล้วก็คงตะเกียกตะกายหาทางหนีในทันที แต่เพราะเขาเป็นผู้ชายถึงจะตกใจระคนไปด้วยความโกรธ แต่แม้จะวิตกกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญแค่ไหน หากต้องพยายามตั้งสติเพื่อรับมือกับสิ่งเดือดร้อนที่ประสบอยู่ให้ได้

“จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งพวกคุณคงจะไม่รู้ ครอบครัวอิงนนท์อาจจะเป็นครอบครัวธรรมดา ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรแต่ก็กว้างขวางไม่น้อย คิดหรือว่าคนหายไปทั้งคน ทั้งแม่เพียง รวมถึงอาเขตจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปง่าย ๆ ”
“เรื่องนั้นเราจัดการได้”
“หมายความว่ายังไง”
ชาฬีย้อนถามเสียงแข็งกลับไปทันควัน ตาคมแลบประกายกล้าลุกเรืองเหมือนหัวใจที่ลุกโชนด้วยความเป็นห่วงแม่บุญธรรม
หนุ่มใหญ่ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม “อย่าเพิ่งโกรธ แม่ของคุณปลอดภัยดีทุกอย่าง ตราบเท่าที่คุณยินดีจะให้ความร่วมมือกับเรา คุณเพียงอุไรจะไม่เป็นอันตราย”
“นี่ขู่กันหรือ แล้วจะให้ผมมั่นใจได้ยังไง”
“มั่นใจได้แน่ ตรี…”

ประโยคหลังหนุ่มใหญ่หันไปพยักหน้ากับชายหนุ่มอีกคน ซึ่งตรีทัพก็เข้าใจถึงความต้องการของอีกฝ่ายในทันที เขาหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมากดเบอร์บ้านอิงนนท์ บอกความประสงค์กับคนรับทางปลายสายว่าต้องการพูดกับเพียงอุไร รออยู่สักเดี๋ยวก็ส่งโทรศัพท์ยื่นมาให้ชาฬี
“ผมต่อสายที่บ้านให้แล้ว คุณจะได้คุยกับคนทางบ้านให้หายข้องใจ”
ชาฬีรับโทรศัพท์พร้อมกับรีบกรอกเสียงจนเกือบเป็นละล่ำละลัก “แม่...ผมชาฬีนะครับ”
“ฬีหรือลูก แหม ดีจริง แม่กำลังเป็นห่วงอยู่เชียว ว่าจะโทร.ไปคุยกับหนูริมากับอาเขตอยู่พอดี”
“แม่ปลอดภัยดีหรือเปล่า”
“ถามแปลก ก็อยู่ดีมีสุขปกติสิจ๊ะ เรานั่นแหละถ้าเป็นเด็ก ๆ จะจับตีให้ก้นลาย อะไรกันอยู่ ๆ ก็นึกขลังลุกขึ้นหิ้วกระเป๋าตามลูกทัวร์ไปกลางดึกซะอย่างนั้น ก้องนี่งงไปหมด”
“อ๊ะ ผมน่ะหรือ เอ้อ...คือจริง ๆ ผมไม่ได้...” เขาพูดต่อไม่ทันเพราะเสียงปลายสายขัดขึ้นก่อน
“แล้วนี่ไปถึงแล้วหรือ แหม ไวจริง ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง คนที่ชื่อบัซซาโทรเข้ามาบอกว่าเขามีธุระต้องเดินทางไป บาลาซานโดยด่วน ทางกลุ่มลูกทัวร์ที่เหลือก็จะไปกันทั้งหมด บัซซาน่ะพูดภาษาอังกฤษปร๋อเชียว แล้วตอนแรกก็ไม่ยอมพูดกัน เออ...ฬีนึกยังไงล่ะลูกถึงได้ตามเขาไปปุปปับ” ประโยคท้ายเพียงอุไรพูดแบบบ่น ๆ ไม่ได้เฉลียวใจอะไรทั้งสิ้น “ก้องก็งง ๆ อยู่นะ เห็นเล่าว่าฬีโทรเรียกให้รามไปช่วยก้องเก็บสัมภาระแล้วพาม้ากลับมากลางดึก ฬีเองก็เก็บสัมภาระรีบร้อนเดินทางไปกับพวกนั้นเฉยเลย”
“บัซซา?”
“ฬีเจอลุงแท้ ๆ แล้วแม่ก็ดีใจด้วย เขาหว่านล้อมยังไงหรือฬีถึงได้ลุกขึ้นไปบาลาซานกะทันหัน ก่อนหน้านี้ก็เห็นเคืองแค้นมาตลอด”
ลุงงั้นรึ! มันโกหก! ชาฬีตะโกนอยู่ในใจ “แม่ครับ ฟังผมให้ดี...บัซซาอะไรนั่นไม่ใช่…”
โทรศัพท์ในมือถูกดึงกลับแล้วตัดสายทิ้งทันที
“พอได้แล้ว เห็นหรือยังว่าตอนนี้คุณเพียงอุไรสบายดีทุกอย่าง ทุกคนทางบ้านเข้าใจว่าคุณอยากกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด พวกเรามีธุระด่วนต้องรีบเดินทางทันทีเหมือนกัน คุณก็เลยตัดสินใจเดินทางมาพร้อมกับพวกเราอย่างกะทันหัน”

ชาฬีหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อครั้งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังนั่งดื่มชาน้ำผึ้งอยู่กับแหวนนิลตรงกองไฟหน้าเต็นท์พักแรม แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แถมก้องหล้ายังรายงานให้แม่บุญธรรมฟังอีกว่าเขาเก็บสัมภาระด้วยตนเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร ความจำเขาไม่ใช่แค่เลอะเลือนแต่ดับสนิทไปเลยจริง ๆ
ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วเพิ่งสะดุดตากับเป้ทางด้านหนึ่ง เป้ใบนั้นมันเป็นของเขาแน่นอน
“ไม่เข้าใจ หมายความว่า...ตอนนี้ผมอยู่ที่บาลาซาน อย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ ผมเดินทางออกจากรีสอร์ตข้ามประเทศมาได้ยังไง หวังว่าคงไม่ได้ทุบหัวแอบพาขึ้นเครื่องส่วนตัวมาหรอกนะ!”

เขาถามประชดออกไปทั้งยังสับสน จู่ ๆ เขาลุกขึ้นเก็บของตามคนพวกนี้มาจนถึงบาลาซาน จะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะทำอะไรไร้สติได้ถึงขนาดนั้น
ชาฬีไม่ต้องคิดนานนัก ตรีทัพกำลังให้ความกระจ่างว่า “หวังว่าคุณคงยังจำชาน้ำผึ้งสูตรพิเศษที่ดื่มเมื่อคืนได้ รสชาติของมันหอมหวานมากใช่ไหม”
“ชา...ชาถ้วยนั้นนั่นเอง!!”
“จริง ๆ แล้วชาปกติมันไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก แต่ถ้านำ ไปผสมกับสมุนไพรบางตัวบวกกับวิธีการบางอย่าง จะทำให้เกิดฤทธิ์คล้ายกับการถูกสะกดจิต”
ชาฬีตาลุกวาบ หันขวับไปจ้องสายตาเย็นชาของหญิงสาว คนอธิบาย เขาโต้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงฉายชัดถึงความเป็นอริชัดเจน “คงฤทธิ์ร้ายเหมือนกับคนที่ส่งชาให้ผมดื่มละมัง!!”
คนถูกกระทบวางสีหน้าเฉยไม่โต้ตอบ คนที่พูดประโยคต่อไปกลับเป็นนูร์อีกครั้ง
“วางใจเถอะคุณชาฬี หากคุณให้ความร่วมมือกับเราเป็นอย่างดี ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ไม่กี่วันคุณก็จะกลับบ้านได้”
“ว่ามา...ต้องการอะไร”
“เราต้องการอะไรคุณจะได้รู้ในไม่ช้า เราจะคุยถึงเรื่องนี้กันทีหลัง ตอนนี้คุณควรพักผ่อนให้มาก ทำตัวให้คุ้นเคยกับที่นี่เหมือนอยู่บ้านของคุณเองก็แล้วกัน ถึงเวลาคุณจะได้รู้ทุกอย่างอย่างแน่นอน”
“อีกอย่าง...” เสียงแหวนนิลกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ถ้าต้อง การอะไรเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินบอกแม่บ้านของเราได้ น้ารัตน์เป็นแม่ครัวทำอาหารเก่ง คุณจะได้กินอร่อยทุกมื้อ น้าจะช่วยดูแลอำนวยความสะดวกระหว่างที่คุณอยู่กับเรา”
ชายหนุ่มเปลี่ยนสายตาไปมองสาวใหญ่ผู้แต่งตัวเรียบง่าย ยืนสงบเสงี่ยมรอรับฟังคำสั่งอยู่
ตรงหน้าประตูห้องอย่างพิจารณา เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนี้ หรือไม่ก็เป็นเจ้าของบ้าน พอได้รู้ว่าเป็นแม่บ้านเขาก็ออกจะผิดคาดอยู่บ้าง เนื่องจากดูลักษณะภายนอกแล้วคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าจะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าเป็นแค่แม่บ้าน
ระหว่างที่กำลังคิดเช่นนั้น อีกฝ่ายเหลือบมาสบตาชายหนุ่มพอดี ชาฬีนึกสะดุดอยู่ในใจ เขามองเห็นแววเห็นใจเป็นห่วงเป็นใยปรากฏอยู่ในแววตาของฝ่ายนั้น แต่พอนูร์เหลือบไปส่งสายตามองดุ ๆ อีกฝ่ายก็รีบหลบตาเมินไปทางอื่นทันที
“ผมคงไม่อยู่นานขนาดนั้น”
“ก็ขึ้นอยู่กับคุณ” แหวนนิลโต้ตอบ “ลืมบอกไปว่ายังมีอีกคนที่จะช่วยดูแลเรื่องความสะดวกต่าง ๆ พัณวาไงคะ หวังว่าคุณคงจำได้”
“พัณวาหรือ? ยกทีมกันมาทั้งหมดสินะ!”
“อยู่ที่นี่คุณจะเจอแต่พวกเราแค่ไม่กี่คน อาจจะเบื่อบ้างแต่ก็ช่วยทนสักระยะก็แล้วกัน” แหวนนิลทิ้งท้ายประโยคก่อนออกจากห้องไปเป็นคนแรก
พอคนทั้งหมดลับตา ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเตียง ก้าวยาว ๆ ไปหมุนลูกบิดประตูทันที แต่มันถูกปิดล็อกแน่นหนา
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!”

มีคำสบถหยาบคายตามมาอีกหลายคำ ทั้งทุบและเขย่าประตูด้วยความโมโห หากไร้ผล สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้ชายหนุ่มก็เดินวนไปวนมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง แง้มผ้า ม่านมองผ่านมุ้งลวดและเหล็กดัดแข็งแรง กวาดสายตาสำรวจเพื่อหาทางหนี คิดหรือว่าเขาจะยอมอยู่คอยฟังความต้องการของคนพวกนี้ ในเมื่อมือเท้าแขนขาก็ไม่ได้ถูกมัดพันธนาการแต่อย่างใด เขาต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
เขาอยู่ที่ไหนของบาลาซานกันแน่ ชายหนุ่มถามตนเองอยู่ในใจ
เขาไม่เคยเดินทางไปบ้านเกิดของมารดาเลยสักครั้ง ขณะที่คิดเช่นนั้นสายตามองผ่านไปด้านนอก พลันต้องชะงัก เพ่งมองซ้ำอย่างให้แน่ใจ
ด้านนอกทิวทัศน์รอบบ้าน มีสวนหย่อม ต้นไม้กระถาง ต้นไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติ มองไกลออกไปเห็นทะเลอยู่ในสายตา

ทะเลหรือ...!?
ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่บาลาซานแน่ ๆ ถ้าเป็นทะเลสาบหรือเทือกเขา เขาจะไม่แปลกใจจนนิดเดียว

ชาฬีถอยกลับมานอนก่ายหน้าผากบนเตียงอีกครั้ง อาการเวียนศีรษะเหมือนจะกลับมาอีก เนื่องจากชาที่ดื่มมีสารบางอย่างที่ยังคงมีฤทธิ์ตกค้างอยู่ ถ้าคิดจะหนีตอนนี้คงลำบากถึงไปก็คงไปได้ไม่ไกล สู้นอนพักเอาแรงให้ร่างกายแข็งแรงเต็มที่แล้วค่อยว่ากันใหม่
หวังว่าเมื่อตื่นเหตุการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้นและจบลงในทางที่ดี หลังจากคิดได้ชายหนุ่มลูกผสมแคชเมียร์จึงหลับตาลงแล้วเผลอผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งที่สมองยังคงหนักอึ้งสับสนด้วยความคิดหาหนทางเอาตัวรอด

ในห้วงภวังค์ฝันของชาฬีเต็มไปด้วยความสับสน เขากำลังขี่ม้าอยู่บนทุ่งหญ้าสีทอง ข้างกายมีแหวนนิลเคียงคู่ไปด้วยกัน บนท้องฟ้ามีจันทร์ครึ่งดวง แล้วก็มีพระอาทิตย์ส่องแสงด้วย เสียงหัวเราะเริงร่าของหญิงสาวผสมผสานไปกับเสียงร้องของเจ้าข่านที่ยกสองขาหน้าขึ้นสูงตะกุยอากาศในอาการพยศ มันพยายามสลัดเขาลงจากหลัง ก่อนวิ่งทะยานเต็มฝีเท้าเตลิดไปข้างหน้าไม่รู้ทิศทาง แล้วจู่ ๆ เขาก็มาอยู่ตรงริมทะเล เจ้าข่านหายไปแล้ว แหวนนิลก็หายไปด้วย แต่เขาเห็นเงาคนหลายคนอยู่ล้อมรอบตัว เอื้อมมือไขว่คว้าจะมาจับตัวเขาไว้ เขาวิ่งหนีจนสะดุดล้มลง แล้วก็สะดุ้งตื่น

ทุกอย่างโคลงเคลงไปหมด เพดานห้องหมุนคว้าง มีเสียงคลื่นลมเป็นซาวด์ประกอบ แล้วเขาก็เห็นแหวนนิลกำลังขี่เจ้าข่านวิ่งเหยาะไปตามผืนทราย เขาพยายามตะโกนเรียกแต่ทั้งคนทั้งม้าก็หายวับไปจากสายตา แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นอีก
ชาฬีขยับตัว ลืมตามองเพดานห้องที่รู้สึกว่ากำลังเหวี่ยงตัวช้า ๆ อีกครั้ง
“โอย...” ชายหนุ่มร้องครางเบา ๆ ฝันซ้อนฝันรึยังไง เขาพยายามจะตื่นตาให้เต็มที่จะได้เลิกติดหล่มฝันบ้า ๆ พวกนี้เสียที สุดท้ายชายหนุ่มยกมือขึ้นวางทาบบนอก พึมพำไม่มีเสียง “ตาละ...”
แล้วความรู้สึกของเขาก็เหมือนตกวูบลงไปในหลุมลึกมืดมิด ก่อนจะค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นมาราวกับขนนกที่ล่องลอยไปตามกระแสลม จนมาพบกับแสงสว่างเยือกเย็นสี่สี แสงนั้นผสานเข้าด้วยกันแล้วห่อหุ้มตัวเขาไว้ ความสับสนในภวังค์ ค่อย ๆ สงบลง ชาฬีหลับสนิทและไม่ฝันร้ายอีก
ติดตามอ่านต่อในเล่ม ebook

https://bit.ly/3BgUj9t





Pink Transparent Valentine Balloon Heart






Create Date : 09 ธันวาคม 2565
Last Update : 9 ธันวาคม 2565 12:51:33 น. 7 comments
Counter : 799 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณhaiku


 
ขอบคุณคุณ haiku ที่โหวตให้ค่ะ


โดย: รุ้งลายดาว (รุ้งลายดาว ) วันที่: 10 ธันวาคม 2565 เวลา:9:51:32 น.  

 


โดย: Stanley Nowaczyk (สมาชิกหมายเลข 7413951 ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา:10:42:19 น.  

 


โดย: Herman Mcdonalds (สมาชิกหมายเลข 7413951 ) วันที่: 6 มีนาคม 2566 เวลา:10:28:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ~ ทางเราจากแอพ NovelToon ค่ะเห็นเรื่องสั้นของคุณถ้าปรับเป็นนิยายแชทโพสต์ในแอพเราจะมีโอกาสได้รับความนิยมและผู้อ่านมากขึ้นค่ะ ทางเราจะช่วยโปรโมทผลงานอย่างเป็นพิเศษ !
ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มาเชิญคุณเข้าร่วมกับเราค่าาา~o(* ̄▽ ̄*)ブ
ถ้าเห็นข้อความนี้แล้วสนใจ โปรดทิ้งช่องทางติดต่อให้เรานะ~ ถ้าสะดวกฝากติดตามเฟ๊สขอทักแชทคุยละเอียดค่ะ ขอบคุณนะคะ
FB:Honeie Zi


โดย: NTthaii (สมาชิกหมายเลข 7449101 ) วันที่: 6 มีนาคม 2566 เวลา:16:50:40 น.  

 


โดย: Jarvis Schug (สมาชิกหมายเลข 7413951 ) วันที่: 7 เมษายน 2566 เวลา:13:49:32 น.  

 


โดย: Mariano Sonka (สมาชิกหมายเลข 7413951 ) วันที่: 8 เมษายน 2566 เวลา:10:09:19 น.  

 
ตอบคุณ NTthaii สมาชิกหมายเลข 7449101
เพิ่งได้มาเห็นข้อความก็ผ่านไปเป็นปีแล้ว
แต่ก็อยากจะตอบว่า ฉันไม่ชอบนิยายแชทจ้า
ไม่นิยมเลยจ้า ไม่อยากเขียนแชท ไม่อ่านด้วย


โดย: รุ้งลายดาว (รุ้งลายดาว ) วันที่: 6 มีนาคม 2567 เวลา:13:04:22 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

รุ้งลายดาว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





คำเตือน
ขอสงวนลิขสิทธิ์ผลงานเขียนทุกชนิดใน
blog แห่งนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ.2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือ
นำไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น
รวมถึงการนำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นโดยไม่
ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน



























นิยายในคลัง-สถานะ-บางเรื่องยังรีไร้ต์ บาง
เรื่องกำลังเขียน บางเรื่องจองชื่อ+ตั้งพล็อต
ไว้แล้วรอคิวเขียน บางเรื่อง อาจมีการ
เปลี่ยนแปลงชื่อเรื่องในภายหลังเพื่อความ
เหมาะสม และบางเรื่องเป็นนิยายเล่มเล็ก
และเรื่องสั้นขนาดยาว
1. ทะเลหลอนซ่อนเงารัก…2. เจ้าบ่าวมนตรา
3. มุกรัตติกาลแห่งมหาสมุทร
4. พฤกษามนตราสาป……..5. ใต้ฟ้าหิมาลัย
6. เล่ห์กลมนต์(รัก)ยิปซี…. 7. หงส์ร้ายยูงลำพอง
8. มายาทรายใต้ธารดาว.…9. จริงหรือ ผี(ไม่)มีในโลก
10. ภูผาร้อยดาว……......11. ภวังค์หวานใต้ปีกฝัน
11. แดนฝันตะวันรุ่ง.......12. นิยายของแม่มด
13. หยุดหัวใจไว้ที่เธอ มะหมา มะเหมียว
14. รวมเรื่องสั้นต่างอารมณ์ ชุด 3


On every journey, there is a meaning. ..
ทุกการเดินทางมีความหมาย..
(คติสอนใจจาก ชนเผ่าอเมริกันอินเดียน)








Friends' blogs
[Add รุ้งลายดาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.