ใจหาย
4 ปีแล้วเหรอคะ ในขณะที่เราได้เดินก้าวมาข้างหน้า มายืนอยู่ ณ เวลานี้ ก็ได้หันกลับไปดูว่าเราเดินมาไกลขนาดนี้แล้วเหรอ ในขณะที่เรามีความสุขใจกับความสำเร็จของเรานั้น เรากลับใจหาย และ รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะนั่น ก็แปลว่าเวลาของเรากับเมืองที่รักที่นี่ ได้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ทุกทีๆ เราไม่อยากจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุดเลย เราจะทำอย่างไรดี เราจะแกล้งเรียนช้าๆ ทำอะไรไม่ผ่านไปได้มั้ย...
เรานึกกลับไปถึงวันที่ตัวเองเดินมาเหยียบอเมริกาครั้งแรก (หมายถึงที่มาเรียนอะนะ ไม่ใช่ตอนสิบกว่าปีที่แล้วที่มาเที่ยวหรอก) เรายังจำความรู้สึก และภาพทุกอย่างได้แม่นยำ เหมือนกับว่าทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ จากเราคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เกี่ยวกับการวิจัยขั้นสูง หรือเกี่ยวกับ การเรียน การสอนนักเรียน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ stem cell เลย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการใ้ช้ชีวิตด้วยตนเอง หรือวิถีชีวิตของคนที่นีื่่ เติมน้ำมันเองก็ไม่เป็น checkout เองก็ไม่เป็น ทำอะไรหลายอย่างไม่เป็น ไม่รู้อะไรหลายๆอย่าง ช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่มีค่าของชีวิตมากมายนัก ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน มิตรภาพที่คนหยิบยื่นให้เรา รวมถึงแม้กระทั่งสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ที่ได้หล่อหลอมให้ประสบการณ์กับเรามา สิ่งเหล่านี้ช่าง priceless.... priceless เหลือเกิน มันแปลว่ามันมีค่ามากมายเกินกว่าจะนับเป็นมูลค่าเงินใดๆได้ "อเมริกา คือดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส" เรายังเห็นด้วยอย่างที่สุด... เราคงไม่อาจปฏิเสธได้เลย ว่าถ้าวันนั้น เราไม่ตัดสินใจเดินทางมาเรียนต่อ สิ่งเหล่านี้ คงจะไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราที่เมืองไทย เมื่อเราท้อแท้และหมดกำลังใจ เราเคยบอกพี่ RR ว่าสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเสียใจเลยที่เราเดินทางมาที่นี่ ก็คือการที่เราได้เจอเค้า เพียงแค่สิ่งเดียวที่เราได้ hold on to ก็มีคุณค่าและเหตุผลเกินพอสำหรับการเดินทางข้ามฟ้ามาที่นี่ แต่มาถึงวันนี้ เราึคิดว่ามันกลับไม่ใช่อย่างนั้น มันมีสิ่งอื่นมากกว่านั้น ที่มีค่าในตัวของมันเองอยู่อีกมากมาย
ช่วงเวลาที่เราขับรถกลับบ้าน เป็นช่วงที่เราชอบปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามเหตุการณ์ของชีวิตในช่วงต่างๆ เราก็พลันนึกไปถึงหน้า professor เรา ตั้งแต่แรกที่เราได้เจอเค้า ที่ถึงแม้ที่ผ่านมา เราก็มีเรื่องกันอะไรต่ออะไรที่ผ่านมาทุกอย่าง แต่เราก็ผ่านมันมาด้วยกัน เค้าให้support เรา มาตลอดเวลาที่ผ่านมา อดทนกับเราที่สุดแสนจะเอาแต่ใจตัวเอง บางทีก็ใช้อารมณ์กับเค้าด้วย แต่ ก็เพราะเค้า ที่เปิดโอกาสรับเราเข้าเรียน เปิดโอกาสให้เราได้ทำงานสอน ยกย่องเรากับคนอื่นๆเสมอ สอนอะไรให้เราหลายๆอย่าง แนะนำให้เรารู้จักสังคม รู้จักงาน รู้จักการทำงาน รู้จักระบบการคิด ..แล้ว เรานึกถึงหน้า Larry ขึ้นมา หน้าตาที่อ่อนโยนและเมตตาของเค้า ที่ช่วยเหลือ เรื่องในแล็ปเรามาตลอดเวลา วันที่เราร้องไห้ ก็มี Larry นี่แหละ ที่เห็นน้ำตาของเรา เพราะว่าเค้าอายุไม่ไกลจากเรามาก เค้าจึงมีความเข้าใจ และช่วยเรามาทุกๆเรื่อง Larry มีแต่รอยยิ้มให้เราเสมอ เค้าเป็นคนที่ฉลาดและเก่งมากๆ แต่ไม่เคยถือตัว หรือรำคาญอะไรเลย เราสามารถจะถามอะไรได้ทุกคำถามตั้งแต่่สิ่งที่ง่าย ไร้สาระ ไปจนถึงสิ่งยากที่สุด เรา owe เค้า big time จริงๆ ไม่ว่าจะความสำเร็จในด้านใด เราอยากจะให้เค้ารู้ ...จากนั้น ความคิดต่างๆเราก็ switch ไปนึกถึงคนนั้นคนนี้ Shuler, Pat, Benton, Javier, Takashi, Yucheng, Fred, Jason S, Jason G, Ming, Hongjun, Songtao พีสหรัฐ พี่เก๋ พี่คิทและแก๊ง พี่แพมและพี่ที่สมาคมจุฬา พี่ๆที่ NAT TV เราไม่สามารถจะเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือได้หมด ว่าเรารู้สึกอย่างไร ท่ามกลางเมืองใหญ่อย่าง LA อย่างนี้ เรามีความรู้สึก อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ว่าบุคคลเหล่านี้ได้โอบอุ้มช่วยเหลือ ให้กำลังใจเรามาตลอดทาง ที่เราได้ค่อยๆเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง และเติบโตขึ้นมา เราไม่เคยคิดว่าเราจะมีความผูกพันกับเมือง สิ่งแวดล้อมและผู้คนที่นี่ขนาดนี้ เรารัก LA มากๆ เราเชื่อว่า ประสบการณ์ที่เราได้รับที่นี่ จะเป็น Key experience ที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว....เรารู้สึกว่าเราโชคดี and I really think I am truly blessed...
ตอนนี้ก็เพียงแต่ได้คิดว่า เมื่อเวลาของเราที่นี่จบลง เราจะทำใจจากเมืองนี้ และจะทิ้งผู้คนเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของอดีตไปได้อย่างไร.....แน่นอนว่าทุกคนต้อง move onและยอมรับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละขั้นของชีวิต (from Who moved my cheese?) แต่บางช่วงของความคิด เราก็อยากจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เราจะอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ ขอเวลาให้เราได้ซึมซาบความสุขเหล่านี้ ไปนานกว่านี้ จะได้ไหม
Create Date : 31 มีนาคม 2550 |
|
7 comments |
Last Update : 31 มีนาคม 2550 13:40:57 น. |
Counter : 453 Pageviews. |
|
|
|
You have your own memory box to keep your precious moments.