|
|
|
|
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ดีลควบรวมทรูดีแทค ตัวแปรสำคัญหนุนเศรษฐกิจดิจิทัล
ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่จับตามองของนักลงทุน ทำให้ธุรกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน สาธารณูปโภค หรือโทรคมนาคม ที่เป็นด่านหน้าในการดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ มีการปรับตัวเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งข้อมูลจาก “ดีลโลจิก” ผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ระดับโลก ชี้ว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2021 เฉพาะบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการทำ M&A มูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 114% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2020
นอกจากนี้ ผู้บริหารกูเกิ้ล ประเทศไทย ให้ความเห็นไว้ว่า ภายในปี 2568 มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะเติบโตไปถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นไปถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วใกล้เคียงกับประเทศเวียดนาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีโทรคมนาคม ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล ก็คือ ดีลควบรวมกิจการของ “เซลคอม เอเซียตา” กับ “ดิจิดอตคอม” ที่กลายเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย โดยทางการมาเลเซียอนุมัติดีลนี้ ผ่านวิสัยทัศน์ที่ว่าจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และเตรียมพร้อมรับกับวิกฤตการณ์การเงินโลกครั้งใหม่ สำหรับประเทศไทยดีลที่คล้ายคลึงกับของมาเลเซียคือการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค เพื่อรวมพลังปรับองค์กรเป็นบริษัทเทคโนโลยีรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ยังถูกแช่แข็งอยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานกำกับดูแล ที่ยืดเวลาการพิจารณาออกไปจากกำหนดเดิมอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือน ล่าสุดมีการตั้งคณะอนุกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาพิจารณาผลกระทบอีกหนึ่งคณะ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 4 คณะ ซึ่งดูเหมือนเป็นการยื้อเวลาโดยไม่มีความจำเป็น อันที่จริงบทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของหน่วยงานกำกับดูแล คือการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศของบริการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในการรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล จึงควรสนับสนนุนให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัวเพื่อพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพ ในการนำเสนอบริการที่ดีมีคุณภาพทันโลกทันยุคสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเวลาที่ทุกอุตสาหกรรมต่างหันหน้ามาพึ่งพาเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรเร่งพิจารณาดีลนี้ เพื่อให้ธุรกิจได้เดินหน้าต่อ เนื่องจากต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนาบริการอีกหลายอย่าง เพื่อรองรับเมกะโปรเจ็กท์สำคัญ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น หลายโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่มีโครงการเมืองอัจฉริยะที่ต้องการการพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีชั้นสูงอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง หากหน่วยงานกำกับดูแลด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม มีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ก็จะเห็นภาพรวมภาพใหญ่เป็นภาพเดียวกัน ที่ไม่เพียงช่วยให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ แต่ยังเดินต่อได้อย่างมีศักยภาพในการแข่งขันที่เข้มแข็งทัดเทียมกับประเทศที่เจริญแล้ว ไม่ใช่เดินตามหลังคนอื่น ทำให้ประเทศต้องเสียโอกาสหลายอย่าง เพราะมัวยึดติดอยู่กับเรื่องจุ๋มจิ๋มกับแค่กลัวว่าเหลือผู้เล่นในตลาดน้อยราย ซึ่งแก้ได้ด้วยการส่งเสริมให้บริษัทโทรคมนาคมในกำกับของรัฐ อย่าง NT ลุกขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพรายใหม่ได้, หรือห่วงแค่ราคาค่าบริการจะสูงขึ้น ทั้งที่หน่วยงานกำกับของรัฐเองมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมราคาได้อยู่แล้ว, หรือกลัวการกระจุกตัวของตลาด ทั้ง ๆ ที่ตลาดโทรคมนาคมไทยเป็นตลาดที่มีการกระจุกตัวเป็นปกติอยู่แล้ว ถึงจุดนี้ ประเทศจะไปต่อได้หรือไม่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ประกอบการธุรกิจ แต่ติดที่วิสัยทัศน์ของหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ หากไม่รีบปรับ แทนที่จะเป็นหน่วยงานสนับสนุนการเจริญเติบโต กลับกลายเป็นหน่วยงานถ่วงความเจริญของประเทศ แล้วคุณค่าของหน่วยงานจะอยู่จุดไหนและสมควรมีไว้ต่อไปหรือไม่
*****************
ที่มา: โพสต์จัง
Create Date : 15 กรกฎาคม 2565 |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2565 17:21:13 น. |
|
0 comments
|
Counter : 417 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
สมาชิกหมายเลข 3757763 |
|
|
|
|