จะ สุข หรือ ทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่ คนอื่น ทำ แต่อยู่ที่ เรา เลือก ^ 0 ^

<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
12 สิงหาคม 2554
 

► ►►. . .เนื่องในโอกาส วันแม่แห่งซาด ขอ' นุยาด เอา แม่มาเม้าส์ เจ้าค่ะ อิอิ ^ 0 ^ . . .◄ ◄◄



อิอิ ก็ตามหัวข้อ กาทู้ แหล่ะคร้าาาาาา

เนื่องในโอกาส วันแม่แห่งซาด
ขอ' นุยาด เอา แม่มาเผา เอ๊ย มาเม้าส์ แหะ ๆ
ใครมีเรื่องราวอะไรที่อยากจะเล่า เกี่ยวกับหม่ามี๊
เชิญ เม้าส์ กันได้ตาม สบายคร้าาา
( ขอบคุณล่วงหน้า ที่ แบ่งปันกันอ่าน เจ้าค่ะ )



อนึ่ง อิฉัน ขอใช้สิทธิ ความเป็นเจ้าของกาทู้
เริ่ม เม้าส์แม่ตัวเอง เป็นคนแรก แระกัล อิอิ

ขอ นุยาด เอา ลิงค์ เก่า ๆ ที่เคย เม้าส์ คุณนายแก้วดี ( หม่ามี๊อิฉันเอง )
มาแปะ หั้ย ทุกทั่น ได้ อ่าน อีกครั้ง นะเจ้าคะ


เชิญ คลิ๊กไปอ่านได้ที่

//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2009/03/W7579692/W7579692.html


ส่วนอันนี้ แถมจร้าาาาาาาาาาาาาาาา

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=ladyintercrazyclub&month=23-09-2010&group=10&gblog=4



น้ำนมหนึ่งหยด
ทดแทนไม่หมด
ชั่วฟ้าจรดดิน
ไม่สิ้นกลิ่นนม











 

Create Date : 12 สิงหาคม 2554
112 comments
Last Update : 12 สิงหาคม 2554 18:28:34 น.
Counter : 2309 Pageviews.

 
 
 
 
สวัสดีวันแม่นะคะ
 
 

โดย: nangjai1 วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:21:31:19 น.  

 
 
 


" สวัสดีวันแม่คะ ฝากพวงมาลัยนี้กราบและขอพรคุณแม่ด้วยคนนะคะเพราะหน่อยอิงไม่มีแม่ให้กราบและขอพรมา 7 ปีแล้วคะ แต่ท่านก็ยังอยู่ในใจของลูกๆ ทุกคนอยู่ทุกวันนี้คะ "

 
 

โดย: หน่อยอิง วันที่: 12 สิงหาคม 2554 เวลา:22:44:23 น.  

 
 
 

 
 

โดย: นู๋บี วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:16:11:32 น.  

 
 
 
ความเดิม จาก หน้าที่ แล้ว

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=01-2012&group=3&date=11&gblog=6

2497
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:09:11 น.  

 
 
 
และ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
เริ่ม ชำแหละ อิอ่อน ต่อ เรยแระกัน หุหุ


อ้าง
อิอ่อน ว่า
------------------------------------------
ชักจะเป็นน้ำหมุนวนแระ ไม่หลุดซักที 555

คำตอบสำหรับทั่นด๊อกฯ ก็ตามนั้นอีกเช่นเคย
ทั่นด๊อกฯ ชำแหละไว้อย่างไร ก็ตามนั้น ชำแหละแต่อิอ่อนก็แล้วกันนะ อย่าไปชำแหละพาดพิงไปถึงบุคคลที่3 เพราะจะทำให้อิอ่อนมันไม่สบายใจ มันเป็นทุกข์ ว่ะค่ะ บุคคลที่3 ได้แก่ ลูก สามี และหลวงพ่อ นะ ส่วนประเด็นเจ้าชายสิทธัตถะ ขี้เกียจถกและ ไม่มีประโยชน์ต่ออิอ่อน ง่ะ มีแต่ขาดทุนหากำไรไม่เจอ เนื้อไม่ได้กินยังมีกระดูกแถมมาติดคออีก เพลียวุ้ย!!!

ปล. เวลาท่านด๊อกฯถามความเห็นอิอ่อน มันก็ตอบตามที่คิดให้แล้วนะ ส่วนคำวิจารณ์ก็จะน้อมรับไปพิจารณาก็แล้วกัน อิอิ ถ้าคิดต่างกันก็จะไม่แถ-ลงแล้ว เพราะขี้เกียจแถ-ลง แล้ว เบื่อเรื่องทางโลกมากมาย
+++++++++++++++++++++++++

ทั่นด๊อก ฝากมาถาม ว่า....

เคยสังเกต ไหม ว่า ทำไมเวลา ที่การสอบสวนสืบพยาน เพื่อ หาตัวผู้กระทำผิด
ผู้ที่ กระทำผิด จึงมักจะ ตอบคำถาม แบบ จับต้นชนปลายไม่ได้
ในลักษณะที่ดู สับสน วกวน ลุกลี้ลุกลน จนเกิดพิรุธ
เหมือนจะพยาม ปิดบัง วาระซ่อนเร้น อะไรอยู่

แต่ ผู้ที่ ไม่ได้กระทำผิด ใด ๆ เลย
จะ ตอบคำถาม ตามประเด็นที่ถาม อย่าง เปิดเผยตรงไปตรงมา
โดย ไม่มีการ แถ เบี่ยงเบน ประเด็น จับแพะชนแกะ ?


ความ บริสุทธ์ใจ ( สุจริตใจ ) นั่นแหล่ะ
คือ สิ่งที่ แยกแยะ ผู้ที่กระทำผิด ออกจาก ผู้ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด

ถามใจตัวเอง มั่งก็ดีน้าาาาาาาาาาาาาา
เพราะ ถ้า อิอ่อน มันมีความตรงไป ตรงมา
และมี บริสุทธิ์ใจ ในการตอบคำถาม อย่างแท้จริงแล้ว
การตอบคำถาม มันก็คงไม่ วกไปวนมา เป็น วังน้ำวน อย่างนี้หรอกมั้ง อิอิ
วกวน พอ ๆ กับ ตอนที่ ยูไทโฟร ตอบคำถาม
เรื่อง ศาสนธรรม กับ โสเครติส เยยยย


นึกถึง รุ่นพี่ที่ทำงาน คนหนึ่ง จังว่ะ
ก็คนที่ เคยเถียงกับ อิฉัน เรื่อง น้ำปานะ นั่นแหล่ะ
และ สุดท้าย เรื่องก็จบลงตรงที่ว่า


พี่แก เชื่อว่า การกินน้ำปานะ ในช่วงที่ถือศีล
( แม้จะกินด้วยความกระสันอยากในรส และ กินตุนไว้ เพราะกลัวหิว )
ก็ถือว่า เป็น สัมมาฯ เพราะ ขนาด พระพุทธเจ้า
ก็ยังทรงอนุญาต ให้ ดื่มน้ำปานะ หลังเพล ได้เลย
ฉะนั้น แกจะเชื่อ ตามที่ พระพุทธเจ้าสอน ทุกสิ่งอย่าง


แล้วก็พี่ คนนี้ อีกนั่นแหล่ะ ที่ พยาม จะ พูดให้ชาวบ้าน เห็น ความแตกต่าง
ระหว่าง เรื่องทางโลก กับ เรื่องทางธรรม
โดย พร่ำเพ้อ ถึงแต่เรื่อง การปล่อยวางอย่างคนพุทธ


รู้ไหม ตอนที่ อิฉัน บอก พี่แก ไปว่า
ถ้าจะให้ อิฉันลงไปพักเที่ยงก่อนคนอื่น
ทั้ง ๆ ที่ คนอื่นยังต้องทำงานงกๆอยู่ (เพราะคนไข้ยังไม่หมด)
อิฉันคงทำไม่ลงหรอก นะเพราะรู้สึกว่า การกระทำเช่นนี้ มันเหมือนคนเห็นแก่ตัว

พี่แก จึงแนะนำ ประมาณว่า ให้ อิฉัน หัด ปล่อยวาง ซะมั่งอ่ะ
โดย ให้ข้อคิดว่า ถ้าเรามองว่า...
สิ่งนี้เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว มันก็ดูเหมือนเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว
แต่ ถ้า เรามองว่า ไม่เห็นแก่ตัว มันก็ จะ ไม่เห็นแก่ตัว


อนึ่ง ฟัง ทิฏฐิ ของ อิอ่อนเรื่อง การละทิ้งครอบครัว ไปบวช นั้น มันเป็น สัมมา ฯ แล้ว
ก็ให้ นึกถึง เรื่อง ทิฏฐิคำคม ของ อิเจ้คนนี้ อ่ะ พูดตรง ๆ เลยนะ
เท่าที่ สังเกตดู รู้สึกว่า เจ้แก ถ้าจะ อยู่ใน สปีชี่ซ์ เดียวกับ อิอ่อน ว่ะ ประมาณ ว่า ...

การมีความสุข บน ความทุกข์ ของผู้อื่นนั้น มันเป็น สัมมา ( ถูกต้องชอบธรรม )
และ มีสิทธิกระทำได้ เพราะมันเป็น การปล่อยวางละแล้วซึ่งทางโลกกกก


เฮ้ออ จะว่า ไป เจ้แกก็คงจะ ปล่อยวางทางโลก ได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ
เพราะ เจ้แก ก็มักจะเห็นว่า การเบียดบังเวลาหลวง ไปหาความสุขใส่ตัว
(อาทิเช่น การแว่บไปนวดคลายเมื่อยบ่อย ๆ / ไปฝังเข็มทำหน้าเด้ง /
โฉบไปคุบกับ คนโน้นคนนี้ ในเวลางาน )
โดย ปล่อย ให้ เพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีงานอื่นต้องทำ
มารับผิดชอบทำงานจัดยาแทน(ในส่วนที่ควรจะเป็นหน้าที่ของแก ซึ่งอยู่ว่างๆ ) นั้น เป็นเรื่องที่เป็น สัมมาฯ


แหม๊ ? ช่าง รู้รักษา ตัวรอด เป็น ยอดชะนี เหมือน อิอ่อน มันจังเลยเน๊าะ
ถ้าจะต่าง ก็คง ต่างกันแค่ อิเจ้นั่น มันโชคร้าย เสแสร้ง และ แอ๊บเนียน ไม่เก่งเหมือนอิอ่อนมั้ง
ก็เลยไม่เจนเวที เวลา แสดง พฤติกรรม อะไร ออกมา
มันเลย ส่อสันด่าน ให้เห็นแบบเต็ม ๆ
ไม่สามารถ ตบตา ชาวบ้านได้แบบชิล ๆ เหมือนอิอ่อน มันอิอิ

4781

 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:10:27 น.  

 
 
 
ส่วนประเด็นเจ้าชายสิทธัตถะ นั้นน่ะ
ถ้า อิอ่อน มันขี้เกียจถกและ รู้สึกว่า ไม่มีประโยชน์ต่ออิอ่อน
มีแต่ขาดทุนหากำไรไม่เจอ เนื้อไม่ได้กินยังมีกระดูกแถมมาติดคออีก
ไม่ต้อง ตอบก็ดีแล้วจร้าาาาาาาาาาาา เพราะเห็น ทิฏฐิ ของ อิอ่อนแล้ว
ทั่นด๊อกฯ ก็ ขนลุก ว่ะ เพราะ คนที่ สามารถ พูดได้อย่างหน้าตาเฉย
ประมาณ ว่า

การมีความสุข บนความทุกข์ของคนอื่น หรือ การ ข่มขืนจิตใจช่วบ้านนั้น
มันเป็น เรื่องของ สัมมาฯ ( มีความชอบธรรม ) และ สามารถกระทำได้
หาก ผู้กระทำมีเจตนาดี มุ่งหวังที่จะ บรรลุ โพธิญาณ


คนที่ มีทิฏฐิเช่นนี้ได้ อ่ะนะ ไม่ใช่ แค่ ใจดำ หรอกนะ
แต่ เข้าขั้น อำมหิต และ เลือดเย็น เลย ด้วยซ้ำ

ใจดำ น่ะนะ มันก็แค่ เห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจ ให้ผู้อื่น
แต่ก็ ยังถือว่า มี สิทธิเสรีภาพ ที่จะทำได้
ตราบเท่าที่ มันไม่ไป ละเมิด สิทธิ ของ ชาวบ้านเขา


แต่ อำมหิตและเลือดเย็น เนี่ย นอกจากจะไม่มี น้ำใจ แล้ว
มันยัง มีการละเมิด สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้อื่น ด้วย
แถมเมื่อ ตัดสินใจทำไปแล้ว
ก็ ยังไม่รู้สึกรู้สา ว่า สิ่งที่ตนทำนั้นมัน มีความ ชอบธรรม หรือไม่
ที่สำคัญ ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยวางความรู้สึก ผิดนั้น ได้
แบบไม่สะทกสะท้าน อีกตะหาก


ขนาด อิการ์ฟิลด์ มัน เป็นคนสวยใจดำ
ชอบใช้ วาจชำแหล่ะ ชาวบ้าน ให้เกิด ทุกขัง กาละมัง แค่ไหน
มันก็ยัง รู้เลย ว่า การกระทำเหล่านี้ของมัน เป็นสิ่ง ที่มิใช่ สัมมาฯ
และ ไม่สมควรกระทำ หรือ สนับสนุน ให้ผู้อื่นกระทำ
( เพียงแต่ว่า อิการ์ฟิลด์ มันยังหลงระเริงอยู๊
จึง เลิกเรื่องระย่ำ เหล่านี้ ไม่ได้ และ ก็ ต้อง รับวิบาก ในเรื่องนี้ไปตามสภาพ )


ผิดกับ อิอ่อน ลิบลับ ที่ มองว่า...
ความคิดทิฏฐิ เช่นนี้ ของตนนั้น มัน เป็น สัมมาฯ
คิดแค่ว่า ขอเพียงมีเจตนาดีที่บริสุทธิ์ (ถึงจะไม่ โยนิโสฯ ให้ แยบคาย )
ก็ ยังถือว่า เป็น เรื่องที่สมควรที่จะกระทำ และ สนับสนุน ให้ผู้อื่นกระทำ


รู้ไหม ? อะไร คือ ความเหมือน ที่แตกต่าง ระหว่าง อิอ่อน กับ อิการ์ฟิลด์
สิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งอิอ่อน และ อิการ์ฟิลด์ กำลังจับของร้อน
แล้วยัง วางไม่ลงปลงไม่ได้ เหมือน ๆ กัน


แต่ ต่างกันแค่ อิอ่อน มัน ไม่รู้ว่า...
สิ่งที่กำลัง ถือ นั้น มันเป็นของร้อน แต่ อิการฟิลด์ มันรู้
ฉะนั้น ความระมัดระวัง ในการ ถือ ของร้อน ของ คนทั้งคู่จึงต่างกัน
การเพลย์ เซฟ ตัวเอง ไม่ให้ ถลำลึก ลงไป
จึงต่างกันไปตาม สามัญสำนึกที่มีอยู่ ล่ะมั้ง อิอิ


อ้อ เห็น อิอ่อน มันชอบ พร่ำเพ้อ แอบตัดพ้อต่อว่า
แสร้ง เหน็บแนม เหมือน จะให้คนทั้งโลก หันมาทบทวน ดูว่า
เพราะเหตุใด สามัญสำนึกของ ชาวโลก จึง สวนทาง กับ อิอ่อน
แถมยัง ชอบ ย้ำ ราวกับ จะ บอกว่า ชาวบ้านไม่เข้าใจตนและตนเข้าใจคนอื่นไม่ได้
เพราะ ชาวบ้าน เข้าใจเรื่องทางโลก กับ เรื่อง ทางธรรม ต่างจากตน
ตนจึงมีแต่ต้องเข้าใจตัวเอง เท่านั้น ฯลฯ


แต่ อิอ่อน มันก็พยามปิดหูปิดตา ไม่เคยมีความ บริสุทธิ์ใจ
คิดจะ หันหน้ามาจับเข่าคุย เพื่อ ทำความเข้าใจ ให้ตรงกัน เลย
พร่ำแต่บอกว่า เราไม่เข้าใจกัน มันเป็นเรื่องทางโลก ที่ไม่ตรงกับ เรื่องทางธรรมๆๆๆๆๆๆ อยู่นั่นแหล่ะ
แต่ครั้น พอมีคนเขา พยาม เอา นิยามและ หลักการ มา ถกธรรมด้วย
อาทิ เช่น ถามเรื่อง สิ่งนี้เป็น กุศลหรือไม่ สิ่งนี้ เป็น อกุศล หรือ ไม่
โดย ยกตัวอย่าง ให้เห็น เป็น กรณีศึกษา
จะได้ มา สอบทวน นิยาม และ หลักการทางธรรม ของ แต่ละคน
ให้เกิด บรรทัดฐานที่ ยอมรับ และ เข้าใจตรงกัน


อิอ่อน มันก็ แอ๊บ เนียน ไม่ยอมตอบ แต่ พูดคำคม เท่ห์ ๆ ออกมา
เป็น อภิมหาโตระ ปรัชญา ว่า

สิ่งใดเป็นกุศลมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
สิ่งใดเป็นอกุศลมันเป็นอยู่อย่างนั้น
มันไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศลเพราะลมปากเรา
หรือเพราะทิฏฐิเราเห็นว่านี้ถูกนี้เป็นสัมมานี่เป็นกุศลหรอก บลา ๆๆๆ


ถามหน่อยเหอะ ว่า ถ้า มัวแต่ มาทำเป็น สำบัดสำนวน โวหาร
โดย ไม่ตอบคำถาม อย่างตรงไปตรงมา ตาม ประเด็น เช่นนี้
เรา จะมี ไม้บรรทัดเอาไว้ ชี้วัด ว่า สิ่งใดคือ กุศล สิ่งใด คือ อกุศล
จน เข้าใจตรงกัน และ นำไปใช้ตรวจสภาวะจิต-สภาวะธรรม ในตัวเอง
เพื่อฝึกฝนและ พัฒนาตัวเองได้ อย่างไร ?


แล้ว ไอ้ที่ ปากเปียกปากแฉะ ถาม ๆ เนี่ย
ก็ ไม่ได้ คิดจะเอา ไม้บรรทัด ของตัวเอง ไป ตัดสิน คนอื่น
เพียงแต่ว่า ต้องการจะเอา ไม้บรรทัดตามหน่วยวัดของตน กับ ของชาวบ้าน
มา "Calibrat" เพื่อ หา ค่ามาตรฐาน ให้มันเป็นเหมือน ระบบ SI
จะได้ เอา "ไม้บรรทัด" ของตัว ไปใช้สอย ประโยชน์ได้ เต็มศักยภาพ
สามารถเอาไป วัด ทิฏฐิของตน ไปเปรียบเทียบกับชาวบ้าน ในหน่วยเดียวกัน ได้
ว่า มันเอียงกะเท่เร่ เป็น กุศล หรือว่า อกุศล กี่กิโลขีด
และ สามารถ เอาไป "เสวนาธรรม" คุยกับชาวบ้าน แล้ว เข้าใจตรงกัน (ตาม "มาตรฐาน" เดียวกัน )


และ ตราบ เท่าที่ คนเรา ยังมี อคติ บังตา อยู่
ก็ควรจะ สำเหนียก ไว้ด้วยว่า การอยู่ในกะลา
พยาม ศึกษาทำความ เข้าใจ ...สภาวะจิต-สภาวะธรรม ของตัวเอง แต่เพียงลำพังนั้น บางที มันก็ไม่เวิร์ค นะ มันถึงต้อง มีการ ปุจฉา-วิสัชนา เพื่อถกธรรม กันขึ้นมาไง
ก็ เหมือนกับ การที่ โสเครติส เสวนา เรื่อง ศาสนธรรม กับ ยูไทโฟร
หรื่อว่า ถกธรรม ถามเรื่องต่าง ๆ กับ ชาวบ้าน นั่นแหล่ะ


และ สิ่งที่ได้ จากการ สนทนาเหล่านี้นั้น
แท้จริงแล้ว สิ่งสำคัญ มัน ไม่ใช่ การไปตัดสิน การกระทำของคนอื่น
ว่า เป็น สัมมาฯ หรือไม่ หรอกนะ


แต่มันเป็นการ "รีเชคระบบ" และ เป็นการ " ตรวจสอบกระบวนการคิด" ของเราเอง ต่างหาก
ว่า ยังมี "สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี " หรือไม่

สามัญสำนึก
= จิตสำนึก ที่ "บุคคลทั่วไป" พึงมี อันได้แก่ การมี สติ สัมปชัญญะ
ที่จะ ตะหนักแยกแยะ ผิดชอบชั่วดี (ในระดับพื้นฐาน)
อาทิเช่น รู้ว่า สิ่งใดสมควรกระทำ ทำแล้ว เป็นประโยชน์
และ มีความ ชอบธรรม ( ยุติธรรม ) ที่จะกระทำ ในสิ่ง นั้น ๆ ฯลฯ

วิญญูชน
= บัณฑิต หรือ ผู้ที่รู้ว่า อะไรเป็นกุศล-อกุศล ฯลฯ


อืม...อิฉัน มีเชื่อเหมือนที่ โสรเครติส เชื่อ ( มั้ง ) ว่า..
หาก คนเรา ไม่ถูก อคติ บังตา จนมืดบอด เสียก่อน
คนทุกคน ย่อมมี "สามัญสำนึก" แยกแยะผิดชอบชั่วดี ได้ เสมอนะ
รู้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี แม้ว่า เขาจะ ทำตัวเป็นคนดีไม่ได้ก็ตาม
จะว่าไป สามัญสำนึก มันก็เหมือนกับ สิ่งที่ช่วย ตรวจวัด หา จุดสมดุลบนตราชั่ง นั่นแหล่ะ



และ การตั้งคำถามต่าง ๆ เชิงปรัชญา เพื่อค้นหาคำตอบของความหมาย
มันก็เป็น เครื่องมือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ ช่วยปลุกกระตุ้น สามัญสำนึก ที่มีอยู่ในตัวเองอ่ะ

5080
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:11:34 น.  

 
 
 
ไอ้เสือจำศีลตัวหนึ่งที่ ลานธรรมเสวนา
เคยสอน อิฉันไว้ว่า ถ้าอยากรู้ว่า การกระทำต่าง ๆ ใน สถานการณ์ใด ๆ
ที่ เรากำลังสับสน ว่า กระทำนั้น มันเป็นเรื่องที่ สมควร หรือไม่
ก็ ให้ ลอง เอา ปูชนียบุคคลที่เรา เคารพนับถือ ( อาทิเช่น ในหลวง ) มาเป็น กรณีศึกษา
ว่า ถ้า พวกท่านเหล่านั้น อยู่ในสถานะการณ์ สมมุตินั้น ๆ แล้ว
ท่านจะ ตัดสินใจกระทำการณ์นั้น หรือไม่ เพราะอะไร ?
แล้ว ให้ โยนิโสฯ พิณาเอาท่านเป็น แบบอย่าง ในการดำเนินชีวิต

เช่น เมื่อ ต้อง เลือก ระหว่าง พูดความจริงแล้วเสียประโยชน์
กับ โป้ปดมดเท็จ แล้ว ได้ประโยชน์ พระองค์จะทรงเลือกอะไร เพราะอะไร ?

ฯลฯ

อนึ่ง แต่เนื่องจาก อิฉัน มันเป็น พวก ปัจเจกที่ไร้ ซึ่ง ศรัทธา จริตโดยสิ้นเชิง
จึง ไม่รู้สึกว่า มีความ เคารพเลื่อมใส ใครเป็นพิเศษ
สุดท้าย ก็เลย สถาปนา ตัวเอง มาเป็น เคสสตั๊ดดี้ เวลา ที่จะพิณา ว่า
การกระทำนั้น ๆ มันเป็นเรื่องที่ สมควร หรือไม่ ?


ซึ่ง ข้อดี ของ การทำงี้ ก็คือ ...

มันทำให้เราเห็น กิเลสตัณหา และ อัตตา ( โดยเฉพาะของตัวเอง)
ที่ เป็นแรงขับเคลื่อน พฤติกรรม ได้ แจ่มชัดมากกว่า การมโนฯ ถึงคนอื่นอ่ะ
เพราะหาก เรา สมมุติ สถานการณ์ โดยใช้ ผู้อื่นมาเป็น หนูทดลองยา
คนธรรมดาที่ ไม่มี เจโตฯ อย่างเรา ก็ มองเห็นอะไร ที่เป็น แรงขับฯ ของคนอื่นได้
ไม่ชัดเจน เหมือนการ พิณา ชำแหละเนื้อหนังตัวเองว่ะ
( อันนี้หมายถึง เราต้องซื่อสัตย์ต่อ ตัวเองเพียงพอ ด้วยนะ )


ฉะนั้น ถ้าสังเกต ให้ ดี ข้อถามของ อิฉัน ที่ถามชาวบ้านนั้น
deep meaning ส่วนใหญ่ มันไม่ได้ ให้ความสำคัญกับ ประเด็นการ ไปเพ่งโทษ คนอื่นนะ (อิอันนี้น มันแค่น้ำจิ้ม เอิ๊ก ๆๆ )
แต่ คำถามของอิฉัน มักจะ เน้น ไปที่ การ สมมุติ สถานการณ์ ว่า
หาก อยู่ใน สถานะการณ์ สมมุตินั้น ๆ เหมือนเช่น เหตุการณ์ที่เคยเกิด กับ ชาวบ้าน
คุณจะตัดสินใจ ทำอย่างไร เพราะเหตุใด
ที่สำคัญ สิ่งที่คุณตัดสินใจ ที่จะกระทำ มันเป็น กุศล หรือ อกุศล ฯลฯ
นั่นก็คือ ตัดสินแต่ในเรื่องที่ตนเองทำ
ฉะนั้น โอกาส ขาดทุน นั้นไม่มีหรอกมั้ง


เพราะ ไอ้ตัวอย่างที่ ยก ๆ มา มันก็เป็นการ หยิบยก มาเป็น กรณีศึกษา
เหมือน เวลา นศพ. เขา เอา คนไข้ที่ ตาย 5 ไปแล้วมาเป็น case conference
เพื่อเอา ไป พัฒนาต่อยอด การวินิจฉัยโรค เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการรักษา คนไข้ รายอื่น ที่นอน พะงาบ ๆ ก็เท่านั้น


ไม่มี นศพ. คนไหน เขาสนใจหรอก นะว่า
ไอ้คนไข้ที่ ตาย 5 ไปแล้ว คนนั้นน่ะ
มันจะ มีสัมมา หรือ มิจฉาฯ
เพราะ กรรมของมัน ไม่ได้เกี่ยวข้อง
หรือ มีผลกระทบอะไรกับเรา นิ
เราเองก็ไม่ได้ รู้จักมักจี่ อะไรกับมัน
ที่สำคัญ มันตาย 5 ไปอยู่ ปรโลก แระ
ไม่สามารถ ให้คุณ ให้โทษ อะไรกับเรา ได้แว้ววว
ไม่เห็นจะมีอะไรต้องไปให้ความสำคัญเลยนีหว่า


เพราะเหตุนี้ไง อิฉัน ถึงได้ มอง ว่า
สมณะโคดม ไม่ต่างจาก หมาขี้เรื้อน หรือ แมงสาบ สักตัว
ประมาณว่า ไม่มี ปฏฆะ หรือ ว่า อะไร ให้ เกี่ยวข้องกัน
จึง มองเป็น แค่ case conference ที่เอามา ศึกษา
แคะไค้ ชำแหล่ะหาเนื้อนาบุญ และ บทเรียนที่มีประโยชน์ จากศพนี้ เสร็จ ก็จบกิจ
ถีบหัวส่ง แล้ว เก๊าะไปหาศพใหม่ มา ชำแหล่ะ
เพื่อ ศึกษาหาความรู้ เพื่อใช้เป็นอุทาหรนณ์สอนใจต่อไป
ถ้า อะไรที่ ดูแล้วเป็น สัมมาฯ ก็ เอาเยี่ยง
อันไหน ไม่เข้าท่า ก็ไม่เอาอย่าง แค่นั้นเอง


แต่สำหรับ อิอ่อน มันคง ทำใจไม่ได้ เหมือน ทั่นด๊อกฯ มั้ง
เพราะ สมณะโคดม ไม่ใช่ แค่ ศพ ๆ หนึ่ง ที่ถูกทั่นด๊อกฯ ชำแหล่ะ เป็น case conference เท่านั้น
แต่ เป็น ถึง ปูชนียบุคคล ที่ตนเลื่อมใส เชียวนะ
ฉะนั้น การเอา สมณะโคดม มาชำแหละ ถึงจะวิจารณ์ ไปตามเนื้อผ้าไง
ก็คงจะ มีอารมณ์ร่วม และ เมื่อ มีการ วิพากษณ์ วิจารณ์
การกระทำ ของสมณะโดคม แบบถึงพริกถึงขิง
ตามประสาการ ทำ case conference ในสไตล์ของ พวกนศพ. ก็เลยทำใจไม่ได้
( ถึงแม้ สิงที่วิจารณ์จะ ยืนอยู่บน บรรทัดฐาน ของ การถกธรรม ว่า สิ่งใดเป็น กุศล สิ่งใดเป็น อกุศล ตาหลักกาลามสูตร ก็ตาม )


สุดท้าย อิอ่อน มันก็เลย ได้ ประโยชน์
จาก การชำแหละ ครั้งนี้ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร
เพราะมัน ไม่ยอม ตอบคำถาม ตามประเด็น อย่างตรงไปตรงมา
แต่ ก็ช่างมันเหอะนะ เพราะ ว่า ทั่นด็อก ฯ มัน ไม่ได้ ใส่ใจหรอกว่า
ใคร จะได้ ประโยชน์ จาก เรื่องนี้ แค่ไหน
ไงซะ จ้าวมือ อย่างทั่นด็อก ก็ กินรวบ อยู่แระ 5555
ส่วน ชาวบ้านมันจะ ได้เศษบุญเศษกุศล ไปด้วยหรือไม่ ทั่นด๊อกฯ ก็มิได้นำพาาาาเพราะว่า ทั่น ด๊อกฯ สนใจ แต่จะหลอกกินตับ อ่ะจร้าาา
มิได้ สนใจจะ กระเตง สรรพสัตว์ ข้ามห้วง ทุกข์ อ่ะ อิอิ



3550
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:12:52 น.  

 
 
 
ส่วน ไอ้เรื่องที่ อิอ่อน ขอร้อง ว่า ให้ ชำแหละแต่อิอ่อน
อย่าไปชำแหละพาดพิงไปถึงบุคคลที่3 (ลูก สามี และหลวงพ่อ)
เพราะจะทำให้อิอ่อนมันไม่สบายใจ มันเป็นทุกข์


เนี่ย....ทั่นด๊อกฯ มันฝากถามว่า
อิอ่อนมัน ทุกข์ ใจ แล้ว เกี่ยวอะรัย ก๊ะ ตรู วะ
ก็ ขนาด เจ้าชายสิทธัตถะ ยัง ใช้ เอกสิทธิ ทำให้ ลูกเมียตัวเอง ทุกข์ใจ ได้เลยนิ
แล้ว ทำไม ทั่นด๊อกฯ จะใช้ เอกสิทธิ ทำให้ ลูกเมียชาวบ้าน ทุกข์ใจ มั่งไม่ได้ล่ะ

ทีกับ คนอื่น ล่ะ ทำปากเก่ง สนับสนุนเหย็ง ๆ
ให้ ผัวชาวบ้าน เดินหน้าสร้างความ ทุกข์ใจ ให้กับ ครอบครัว ของเขา ได้เลย
แต่ พอ ถึงคราว คนอื่นจะมา ทำ แบบเดียวกับ ครอบครัวตัวเอง มั่ง
กลับมาบีบน้ำตาตีโพยตีพาย ขอร้อง ให้ละเว้น ซะงั้น ดับเบิ้ล สะเตนดรด์ จังเน๊าะ อิอิ


แล้ว อิอ่อน มันจะเจื๋อกมา ดรามา เกิด ทุกขัง กาละมัง ไปทำไมล่ะ
ฟัง ทั่นด๊อกฯ มันแพล่ม ก็ โยนิโสฯ คิด ตาม ไป
โดย อาศัย คอนเซปต์ของ The triple filter of Socrates จิ

ว่า สิ่งที่ ทั่นด๊อกฯ พูดนั้น

มันจริงหรือไม่ / มันดี ยังไง ?
และ เอาไปใช้ประโยชน์ อะไร ได้มั่ง ?

เนี่ย บางที ทั่นด๊อกฯ อาจจะมีเจตนาดี
ทำไปเพื่อแสวงหาปัญญาความรู้หาวิธีทำให้ คนทั้งหลายได้แก่
อิอ่อน ลูก ผัว และคนอื่นๆ ได้ฝึกตน จนเห็นดวงตาธรรม
หลุดจากการถูกบูชายัญถาวร(ความทุกข์ทางโลก) อยู่ก็ได้น้าาาาาาาาาาาาาาาา หุหุ


ถ้าทำไม่สำเร็จ อิอ่อน ลูกผัว และคนอื่นๆ
ก็จะถูกบูชายัญซ้ำๆซากๆไปเรื่อยๆไม่จบไม่สิ้น จนกว่าท่าน ด๊อกจะเบื่อ หรือ ไปเจอ ของเล่นชิ้นใหม่
เอ ? ไม่แน่นา บางที อิอ่อน ลูก ผัว และ แฟนคลับทั้งหลาย
อาจจะอธิษฐานจิตติดตามท่าน ด๊อกฯ มาเป็นบริวาร ก็เพื่อรอวันที่ท่าน ด๊อกฯ ตรัสรู้สำเร็จจะได้พากันพ้นทุกข์หลุดจากบ่วงบูชายัญแบบถาวรเป็นหมู่คณะ ก็ได้อ่ะ
อนึ่ง ถ้าไปคนเดียวแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั่นด๊อกฯ ก็ทำได้
แต่ท่านไม่เลือกแบบนั้น ( เพราะมัน ไม่ดราม่า เท่าที่ควร เลย ต้องอยู่ กวนตรีน อิอ่อน ก่อนไง อิอิ )


ปอลิง 1

อืม....ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ แระ
แวะ มาสอนเรื่อง "สามัญสำนึก " ให้ อิอ่อน
มัน อีกสักดอกส์ 2 ดอกส์ ก็แระกัน เน๊าะ หุหุ

ไอ้เรื่องที่ อิฉัน พาดพิง ถึง หลงพ่อไก่ เนี่ย
ถ้า อิอ่อน มันมี "สามัญสำนึก" เนี่ย
รู้ไหม ? มันควร ทำไง ? A. or B. ?

A. ขอร้องให้ ทั่นด๊อกฯ หุบปาก เลิกพูด อะไร ขัดหูขัดใจอิอ่อน

B.พิณาเรื่องนี้ ตาม คอนเซปท์ ของ

The triple filter of Socrates

จากนั้น ก็ เอาเรื่องนี้ไป ปรึกษา ผัวตัวเองซะ
ว่าควรทำยังไง กับเรื่องนี้ ดี ?
และ ถ้า ไม่มีปัญญา ตักเตือน หลงพ่อไก่ ให้ หุบปาก ซะมั่ง
ก็จงเตือน ให้ ผัวตัวเอง หุบปาก เสียที
เพราะ ไอ้ที่ แพล่ม ๆ ถาม ๆ ไป โดยไม่รู้ กาลเทศะ อย่างนั้นน่ะ
มัน จะสร้าง ความลำบากใจให้ พวกพระสุปฏิปัณโณ ได้นะ
แถม เกิดพลั้งปากถามอะไรไม่เหมาะไม่ควรเข้า
จะเป็นการ ทำให้ พระดี ๆ บางรูป ต้องพลอยเสียหาย
จน อาบัติปราชิก ด้วย ข้อหา อวด อุตริ ฯ ได้นะจ๊ะ


แหม๊ ? นี่ดีนะ ที่ ทั่นด๊อกฯ มัน ขี้เกียจเขียน จม.
ไม่งั้น เกิดมันนึกครึ้ม ส่ง บัตร สนเท่ห์ ทางไปรษณีย์
ไปถาม หลงพ่อไก่ ในประเด็นนี้ ขึ้นมา
หลงพ่อไก่ อาจรู้สึกผิด และ อาจจะมีสามัญสำนึก ...
พอที่จะ แสดงความรับผิดชอบ ที่ละเมิดธรรมวินัย
จนต้อง อัปเปหิ ตัวเองออกจากวัดแบบ มิตซูโอะซัง ก็เป็นได้ หุหุ



ปอลิง 2

ว่า ด้วยเรื่อง สามัญสำนึก อีกหน่อย
รู้ไหม ? ประโยชน์ อีกข้อ ของการ ตอบคำถาม ในประเด็น
เจ้าชายสิทธัตถะ หนีเมีย ไปบวช เนี่ย คือ อะรัย

ต่อไป เวลา ลูกมันถาม จะได้ ตอบมันได้ไง
ว่า การกระทำแบบไหน ที่เป็นสัมมา ฯ
ถ้า อิอ่อน มันกล้า บอกว่า

การมีความสุข บน ความทุกข์ของผู้อื่น ( โดยการข่มขืนทางจิตใจของเขา ) นั้น

มันเป็น สัมมาฯ และ มีความ ชอบธรรม แล้วล่ะก็
มันก็ต้อง กล้า เอาเรื่องนี้ ไปสอน ลูก ๆ
เพื่อปลูกฝัง ให้เกิด "สามัญสำนึก " ในเรื่องนี้ กับ ฮาร์ทจัง อ่ะ
เด็กอายุน้อย ๆ น่ะ มันเหมือน ผ้าขาว อ่ะนะ สอน ๆ ไปเหอะ
รับรอง มันจดจำฝังลึก จนถึงระดับ อนุสัย กลายเป็น จิตใต้สำนึก แน่ ๆ


ก็เหมือน กับ เรื่องที่ ที่ อิอ่อน มันรักลูกไม่เท่ากัน นั่นแหล่ะ
จำเรื่อง ที่ น้องจูน แย่ง จักรยาน น้อง ฮาร์ท จนน้องฮาร์ท ร้องไห้ ได้ป่ะ
ตอนนั้น อิอ่อน มัน อาจจะมองแล้วขำ ๆ นะ แต่จะ เล่าเรื่องไม่ขำให้ฟังนะจ๊ะ

การกระทำของอิอ่อน นั้นน่ะ ถูกผิด ไม่รู้นะ
แต่ที่แน่ ๆ อิอ่อน มัน ปลูกฝัง ค่านิยม และ สามัญสำนึก บางเรื่อง
ให้ น้องจูนน้องฮาร์ท เรียบร้อยไปแระ ก็ ค่านิยม เรื่อง ....

การมีความสุข บนความทุกข์ ของคนอื่น เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมไง

เมื่อ มีเหตุไม่ ยุติธรรมเกิดขึ้น ในครอบครัว
ตัวเองเป็นแม่ อทนที่ จะ ตัดสินให้ความเป็นธรรม กับลูก ๆ ในแบบที่ควรเป็น
กลับ ยืนมอง อย่างขำ ๆ แถม ยัง คิดว่า เด็ก ๆ ทะเลาะกันแป๊บ ๆ แล้วก็ลืม
แต่ อิอ่อนมันไม่รู้หรอกว่า ภาพการกระทำนั้นน่ะ
บางที มันอาจ ถูก ฝังลึก จนกลายเป็น สามัญสำนึก ก็ได้นะ

การที่เด็กทำไม่ถูกต้อง เช่น แย่งของคนอื่น
แล้ว ไม่มีผู้ใหญ่ คนไหนห้ามปราม
เด็กก็อาจจะ คิดไปว่า การแย่งของจากคนอื่น
( การมีความสุข บนความทุกข์ ของคนอื่น เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม )
ซึ่ง เมื่อเกิดความเคยชินในเรื่องนี้ บ่อย ๆ เข้า มันก็จะ กลายเป็น ความเคยชิน
กลายเป็น นิสัย และ สันด่าน ได้ ในกาลต่อไป


เด็กที่ถูกบ่มเพาะนิสัยแบบนี้ อ่ะนะ
โตขึ้น ถึงจะ มี ปฏิภาณไหวพริบ ฉลาดแค่ไหน
แต่ สามัญสำนึกเรื่อง หิริโอตตัปปะ ( MQ ) จะต่ำ
จนกลายเป็น คนอำหิต ที่น่าขนลุก ได้นะ ระวังไว้มั่งก็ดี


ส่วนไอ้เด็กที่เป็นเหยื่อ ต้องเป็นเบี้ยล่าง ถูก โขกสับ โดยพี่น้องบ่อย ๆ
แถม ผู้ใหญ่ในบ้าน ก็ไม่สามารถจะให้ความยุติธรรมกับเขา ได้
ยิ่ง ถ้า พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน
แล้วแสดงออกให้ดเห็นอย่างโจ่งแจ้ง
จนคนรอบข้างสัมผัสได้ อ่ะนะ
มีโอกาสเก็บกด และ กลายเป็นเด็กมีปัญหา ได้ในระยะยาว
SQ จะค่อนข้างต่ำ ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และ ขาดความมั่นใจในตัวเองด้วย


อ้อ ที่พูดมาเรื่อง พ่อแม่ รักลูกไม่เท่ากัน
จน ลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา มีปมด้อย
ประชดพ่อแม่เพื่อเรียกร้องความสนใจ นี่น่ะ
ประสบการณ์ ตรง อ่ะจร้าาาาา

8312
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:23:13:43 น.  

 
 
 
อำมหิต และ เลือดเย็น...

อืมๆ โอเค จะรับไว้พิจารณา นะ

ส่วนอันนี้ ที่ฟันธงว่า อิอ่อนมันคิดว่า
การมีความสุข บนความทุกข์ ของคนอื่น เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม

ขอบอกว่า การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมันไม่ชอบธรรมอยู่แล้วใครๆก็รู้ แต่เรื่องเจ้าชายสิทธัตถะ ในมุมมองของอิอ่อนก็มองว่าท่านไม่ได้มีเจตนาจะมีความสุข บนความทุกข์ของลูกเมีย ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านหาวิธีที่จะช่วยครอบครัวให้พ้นจากทุกข์ทางโลก เรามองที่ประเด็นนี้ เป็นหลักเท่านั้น และทุกคนก็เป็นทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขเลย การที่บอกว่า มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจึงไม่ถูกต้อง ก็เห็นต่างกันแล้ว พูดไปมันก็เท่านั้น และความจริงมีหนึ่งเดียว การที่ทั่นด๊อกฯมั่นใจว่าเห็นความจริงของคนอื่นตามจริงแล้วก็ฟันธงไปตามนั้น มันมีประโยชน์กับตัวทั่นตามจริงแน่หรือ ถ้าเห็นถูกก็เสมอตัว ถ้าเห็นผิดจะเป็นไง มีประโยชน์ต่อตัวเองตรงไหน? มีแต่ขาดทุนกับเสมอตัว แต่ถ้าเห็นความจริงทุกเรื่องตามจริงแล้ว ก็โอเค จะโปรดสัตว์ต่อไปก็ตามนั้นแหละ อิอ่อนมันก็จะรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี ไม่ทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัว เองอยู่แล้ว แค่รู้ว่าคนนั้นคิดไง คนนี้คิดไง แค่นี้ก็เป็นทุกข์แล้ว มันก็ไม่อยากยุ่งกับใครแล้ว แค่รู้ทิฏฐิกันแล้วก็แล้วกัน ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก อย่างทั่นด๊อกฯรู้ทิฏฐิอิอ่อน ว่ามันอำมะหิตเลือดเย็น แต่อิอ่อนนะไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร สนใจแต่เรื่องความจริงของตัวเองแค่นั้น

3517
*.*







 
 

โดย: อิอิ IP: 58.11.249.136 วันที่: 8 สิงหาคม 2556 เวลา:10:38:37 น.  

 
 
 
อืม... ทั่นด๊อกฯ ฝากถาม อิอ่อน ว่า

ถ้า สนใจแต่เรื่อง ความจริง ของตัวเอง แล้ว
อิอ่อนจะ รับประทาน ยาแก้โรคประสาท ไปทำไมกันล่ะจ๊ะ
อยู่กับ "โลกแห่งความจริง" ตามสิ่งที่ ตัวเองเห็น แต่เพียงผู้เดียว
ก็น่าจะ เวิร์ค ดี ออก ถึง คนอื่นไม่ "เห็น " ภาพต่าง ๆ อย่างเดียวกับที่เราเห็น
แต่ ในเมื่อ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นจริง ๆ นี่หน่า จะไปกินยา
เพื่อปรับสภาพให้เห็น เหมือนที่ คนอื่นเห็น ไปทำไม



อ้าง

อิอ่อนว่า
-------------------------------------------
ขอบอกว่า การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมันไม่ชอบธรรมอยู่แล้วใครๆก็รู้ แต่เรื่องเจ้าชายสิทธัตถะ ในมุมมองของอิอ่อนก็มองว่าท่านไม่ได้มีเจตนาจะมีความสุข บนความทุกข์ของลูกเมีย ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านหาวิธีที่จะช่วยครอบครัวให้พ้นจากทุกข์ทางโลก เรามองที่ประเด็นนี้ เป็นหลักเท่านั้น และทุกคนก็เป็นทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขเลย การที่บอกว่า มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจึงไม่ถูกต้อง ก็เห็นต่างกันแล้ว พูดไปมันก็เท่านั้น

++++++++++++++++++++++++++++++

ทั่นด๊อก ว่า

เห็นด้วย ในประเด็น สิทธัตถะ ไม่ได้ "มีเจตนา" จะมีความสุข บนความทุกข์ของลูกเมีย

แต่ในประเด็น ที่บอกว่า ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว
ท่านหาวิธีที่จะช่วยครอบครัวให้พ้นจากทุกข์ทางโลก
ที่ อิอ่อน มัน บอกว่า มองที่ประเด็นนี้ เป็นหลักเท่านั้น

อยากจะ ถาม อิอ่อน มันว่า ทุกข์ทางโลก คือ อะไร จำเป็นต้องเหมือนกัน หรือไม่



ไม่รู้ดิ อิฉันมักจะ ขบขัน เสมอ นะ
เวลา ที่ มีคนมาพยาม สร้างดราม่า โดย ท่องตาม สคริปต์ ของ สมณะโคดม
แล้ว เฝ้าบอกกับ ชาวบ้านว่า การเกิดแก่ เจ็บ ตาย นั้น การพลัดพราก จากของรัก ฯลฯ ล้วนเป็นทุกข์

ไอ้ครั้น ใครจะบอกว่า อิฉัน แยกแยะ เรื่อง ทุกข์ เรื่องทางโลก กับเรื่องธรรม ไม่ออก
นั้น ก็ กระไร อยู่นะ เพราะว่า ภูมิศีล ภูมิรู้ และ ภูมิธรรม ระดับอิฉัน
มันก็คงจะ การันตี คุณภาพ สารพัด คิว ของ อิฉันได้


อืม...สำหรับ อิฉัน ทุกข์ มัน ก็ แค่ สภาวะ ที่ทนไม่ได้
สิ่งใด ที่เราคิดว่ามันเป็นทุกข์ มันก็จะเป็นทุกข์
แต่ถ้าเรา ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ ได้
การ เกิด แก่ เจ็บ ตาย การ พลัดพรากจากของที่รัก ฯลฯ
มันก็ เป็นเรื่อง ธรรมดา ของ โลกธรรมที่ต้องพบเจอ ตาม ยถาสภาวะ ก็เท่านั้น

แล้ว มันจะเป็นทุกข์ ตรงไหน ก็แค่ ทำใจ ยอมรับยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ ให้ได้ มันก็ไม่ทุกข์ แล้ว


และ ถ้า อิอ่อน มัน มองที่ ประเด็นเรื่องที่บอกว่า
"ท่าน มีเจตนาดี ที่จะหา วิธีที่จะช่วยครอบครัวให้พ้นจากทุกข์ทางโลก " เป็นหลักเท่านั้น


งั้น ถามหน่อยว่า การหนีเมียไปบวช
นี่มันช่วยให้ ครอบครัว พ้นทุกข์ ตรงไหน
แล้วเหตุใด ใย สิทธัตัถะ ถึง ถือวิสาสะ คิดเองเออเอง
โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของผู้ที่ ได้รับ ผลกระทบ ว่า
ณ ปัจจุบันขณะ ตอนที่ กำลัง หนีเมียไปบวช นั้น
ลูกเมียของมัน ต้องการจะเป็นบันไดเหยียบ
ให้มันไปหา มรรคผลนิพพาน หรือไม่ ?


การนึกถึงแต่ความ ต้องการ ที่จะพ้นทุกข์
และ ยึดมั่นถือมั่น กับความ คิดเห็นของตนเป็น หลัก
และ มุ่งที่จะ กระทำตามความ ความกระสันอยากของตัวเอง
โดยไม่ โยนิโสให้แยบคาย จนทำให้มีผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ต้องถูก ละเมิดสิทธิ ของความเป็นลูก เป็นเมีย
ที่สมควรได้รับสิทธิในการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา/สามี
แล้ว ต้อง ทุกข์ทรมานใจเช่นนี้ นั้น


มันเป็นเรื่อง ที่เป็นสัมมาฯ ( ชอบธรรม ) แล้วหรือ


ไม่รู้สินะ สามัญสำนึก อย่างหนึ่ง
ที่ อิฉัน ใช้เป็น บรรทัดฐาน ชี้วัด มาตรฐาน
ความเป็น สัมมาฯ ของการกระทำใด ๆ ก็คือ

เรื่องที่เป็น สัมมาฯ ทั้งหลายนั้น
นอกจาก จะหมายถึง การกระทำ ที่นำไปสู่ การเจริญ ของ กุศล
จน ทำให้ สิ้น กิเลสตัณหา ( รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ) แล้ว

เรื่องที่เป็น สัมมาฯ ทั้งหลายนั้น เมื่อ ทำไปแล้ว ต้องไม่ไปบังคับฝืนใจ
หรือ ไม่ไป กระทบ หรือ ละเมิด "สิทธิ อันชอบธรรม" ของผู้อื่น ด้วย


สิทธิโดยชอบธรรม ของการเป็น เมีย นั้นมีอะไรบ้าง
เงื่อนไข ข้อตกลงแห่งการ วิวาห์ มันก็ ผ่านการตกลงปลงใจ
และ ได้มีการ ยอมรับ เงื่อนไข ดังกล่าว โดยสมัครใจ ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว
ไม่ได้ มีใคร ไปบังคับ ให้ คุณทำข้อตกลง นี้
ในเมื่อ คุณ สร้าง พันธะนี้ ขึ้นมา โดยสมัครใจ
มันจึงเกิด หน้าที่ และ สิทธิ โดยชอบธรรม ของ การเป็น ผัวเมียกัน

ใครเป็นผู้ให้ เอกสิทธิ ว่า สามีที่เจตนาดี
สามารถ ละทิ้งครอบครัว หนีเมียไปบวชได้ หรือ ?
ถึงแม้ อิอ่อนมันจะพยาม แก้ตัวให้ สิทธัตถะ ยังไง
จะบอกว่า สุดท้าย เรื่องมันก็จบแบบ แฮ่ปปี้เอนดิ้ง
ลูกเมีย ของ สมณะโคดม ก็ได้ พ้นทุกข์ถาวร ในเบื้องปลาย ฯลฯ


แต่ ก็แก้ไข ความจริงไม่ได้ ว่า ในเบื้องต้น และ เบื้อง กลาง นั้น
สิทธัตถะ มันยังยึดมั่นถือมั่น อยู่กับ ความกระสันอยากในนิพานัง ปรมัง สุขัง
จนได้ ละทิ้งหน้าที่ และ ละเมิดสิทธิโดยชอบธรรม ของ ลูก และเมีย
เพื่อ สนอง ตัณหา และ อัตตาตัวเอง นั่น คือ การ ปรารถนา ( หรือ กระสันอยาก ) ที่จะหาทางพ้นทุกข์


ซึ่ง ตรงนี้ แหล่ะ ที่ ทำให้ การหนีเมีย ไปบวช ของสิทธัตถะ ไม่จัดเป็นสัมมา
เจตนาดี ที่ ปราศจากการ โยนิโส โดย แยบคาย จะเป็น สัมมา ได้อย่างไร
เรื่องนี้ มันก็คล้าย ๆ กับ เรื่อง The monk and spider ที่ อิฉัน พูดถึงบ่อย ๆ นะ
การกระทำ ของ สิทธัตถะ ก็เหมือน กับ พระเซน
ที่ ปรารถนา คิดจะช่วยเหลือ แต่ ผีเสื้อ ที่ติดอยู่ที่ใยแมงมุมให้เป็น อิสระ
โดย ไม่ได้ นึก ถึง ความทุกข์ ของ แมงมุม ที่ หิวโซ นั่นแหล่ะ
ถ้า คุณจะช่วย ผีเสื้อ ให้เป็น อิสระ พ้นจากห้งทุกข์
คุณ ก็ต้อง เคารพใน วิถีแห่งธรรมชาติ
ไม่ไปละเมิดสิทธิ ในการอยู่รอดของ เจ้าแมงมุมด้วย
ไม่ใช่ มาบอกว่า เกิดเป็นแมงมุม ก็ต้องรู้จัก เสียสละซะมั่งดิ
จะมัวแต่ เห็น แก่ตัว นึกถึงแต่ความต้องการ ของตัวเอง อย่างเดียว ได้ไง


เมื่อไร ก็ตามที่ คิดเช่นนี้ แสดงว่า
คุณกำลัง ไป บังคับฝืนใจผู้อื่น ให้ ทำตาม ความต้องการของคุณ โดยไม่สมัครใจ
คุณกำลัง แก้ปัญหา โดยการ ปรับที่ แฟคเตอร์ภายนอก
โดยพยาม ให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปตาม ความปรารถนา ของคุณ
แต่ ตัวคุณเอง กลับไม่ เคย ย้อนกลับมาดูตัวเอง และ ปรับแก้
โดย ลดทอน อัตตา และ ตัณหา ในตน เลย

3630
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 8 สิงหาคม 2556 เวลา:21:55:37 น.  

 
 
 
อนึ่ง เพื่อให้เห็นภาพ จะ เอา เรื่อง การเรียน เภสัชของนู๋บี
กับ การหนีเมียไปบวช ของ สิทธัตถะ มาเปรียบเทียบให้ ดู ก็แล้วกัน
ว่า มันเหมือน และ ต่างกัน อย่างไร

1. ส่วนที่เหมือนกัน คือ ทั้ง นู๋บี และ สิทธัตถะ ต่างก็ มี ความ กระสันอยาก
เกิด ภวตัณหา ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหมือน ๆ กัน
( สิทธัตถะ กระสันอยาก ที่จะหาทางพ้นทุกข์ มีเจตนาดีต่อครอบครัว
นู๋บี กระสันอยาก ที่จะเรียนเภสัช มีเจตนาดีต่อครอบครัว )
ซึ่ง สุดท้าย คนทั้งคู่ ก็ บรรลุเป้าหมายในเบื้องปลาย เหมือน ๆ กัน


2. ส่วนที่ต่างกัน ก็คือ

วิถีทางที่ก้าวย่าง ของคนทั้งสอง

สิทธัตถะ ปฏิเสธการรับฟัง ความคิดเห็น ของคนรอบข้าง
ละทิ้งหน้าที่ทางโลก ในเรื่องของการเป็นสามีที่ดี
และ ถือ วิสาสะ ละเมิดสิทธิของผู้เป็นเมีย โดยไม่พูดคุย ถามไถ่ ความสมัครใจ
เมื่อ รู้สึกว่า ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ กลายเป็น พันธะผูกมัด
ทำให้ตนไม่สะดวก ที่จะ ไปแสวงหา ในสิ่งที่ตนปรารถนา
ก็ หักพร้าด้วยเข่า ดึงดันที่จะยึดมั่นถือมั่น
ปฏิบัติตาม คำบงการของ ตัณหาและ อัตตาของตน เท่านั้น



นู๋บี ยอมรับฟังความคิดเห็น ถามไถ่ ความสมัครใจของคนรอบข้าง
ยอม ให้ สิทธิแก่ บุพการี เลือกทางเดินชีวิตให้
โดยไม่ ถือ วิสาสะ ละทิ้งหน้าที่ของการเป็นบุตร หรือ ละเมิดสิทธิของผู้เป็นพ่อแม่
และ เมื่อ รู้สึกว่า ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ กลายเป็น พันธะผูกมัด
ทำให้ตนไม่สะดวก ที่จะ ไปแสวงหา ในสิ่งที่ตนปรารถนา ( พ่อแม่ไม่ให้เรียน เภสัช )
ก็ ไม่ได้ คิดจะหักพร้าด้วยเข่า ไม่ได้ดึงดันที่จะยึดมั่นถือมั่น
ปฏิบัติตาม คำบงการของ ตัณหาและ อัตตาของตน เท่านั้น


แต่ นู๋บีกลับ ทำตามความประสงค์ของพ่อแม่
เลือกที่จะ ละทิ้งความสะดวกสบาย ในการ ไปตามหาความปรารถนา ของตน
และ ยอมที่จะมี อุปสรรคขวกหนาม ในเส้นทางเดิน ที่มากขึ้น ทวีคูณ
ดีกว่าที่จะ ยอมตามใจกิเลสตัณหา จนทำให้พ่อแม่เกิดความทุกข์พอกพูนในใจ

ซึ่งสุดท้าย นู๋บีก็ฝ่าฟัน อุปสรรค รอบ ๆ ตัว
หาทางส่งเสียตัวเองจนเรียนจบเภสัชศาสตร์ ได้
ด้วย วิธี ละมุนละม่อม ไม่ได้ทำให้ พ่อแม่ต้องเสียใจ
ทั้งใน เบื้องต้น เบื้องกลาง และ เบื้องปลาย
แม้จะต้อง ใช้เวลามากกว่าเดิม เป็น ร้อยเป็นพัน เท่า
แต่ มันก็คุ้มค่าที่จะยอมลำบาก หากมันไม่ทำให้ ใครต้องมาเสียน้ำตา เพราะเรา


นี่ต่างหากคือ ประเด็น ที่อิฉันต้องการจะสื่อ ให้รู้
ก็อ่านดู แล้ว โยนิโสเอาเอง ก็แล้วกัน ว่า
อย่างไหน กันแน่ที่เป็น สัมมา อย่างนู๋บี หรือว่า สิทธัตถะ

คียรเวิร์ด มันอยู่ที่ .....

- มีการยินยอมสมัครใจ ของ คู่กรณี
จนไม่เกิด ปฏิฆะซึ่งกันและกัน
ถึง แม้ จะ ตัดวง ปฏิจ ไม่ได้
แต่ การขับเคลื่อน วงปฏิจ ก็เป็นไปในทาง ที่เป็น กุศล
ไม่มีการ อาฆาต พยาบาท จองเวรกัน

-มี การเสียสละ ยอมละทิ้งตัณหา - อัตตา ตัวเอง เพื่อ เยียวยารักษาน้ำใจผู้อื่น
โดยไม่นำพาต่อ ความปรารถนา ของตน แต่เพียงฝ่ายเดียว
ตลอดจน ไม่ละทิ้งหน้าที่ และ ละเมิดสิทธิทางโลก ของใคร

การกระทำใดที่ มีลักษณะดังกล่าว
ก็ จัดได้ว่า เป็น สัมมา ฯ เพราะเป็น กุศลกรรม
ที่สำคัญ ถูกทั้งทางโลก และ ทางธรรม

ซึ่ง นี่แหล่ะ คือ เหตุปัจจัย ที่อิแน ใช้ เป็น บรรทัดฐาน
ตัดสินว่า พฤติกรรม การหนีเมียไปบวชของ สิทธัตถะ ไม่เป็น สัมมา
และ ไม่คิด จะเอาเป็น เยี่ยงอย่าง
เจตนาดี และ ความ สำเร็จในเบื้องปลาย เพียง 2 อย่างนั้น
มันยังไม่ เปอร์เฟค เพียงพอ ที่จะเป็น สัมมา สำหรับ อิฉัน อ่ะ

ก็อย่างที่ เคยบอกนั่นแหล่ะ ว่า ทางแห่ง กุศล นั้น หนทางที่จะเดิน
มันก็จะต้องเป็น กุศล ทั้ง เบื้องต้น เบื่องกลาง และ เบื้อง ปลาย ด้วย
การใช้ ผู้อื่นเป็น บันได เหยียบ หรือ หาทางพ้นทุกข์ โดยไปสร้างทุกข์ ให้คนอื่นนั้น
มันไม่ใช่ เรื่องที่ ถูกต้องชอบธรรม

แล้วก็ไม่ต้องมา เล่น สำบัดสำนวน ด้วยว่า
ทุกชีวิตในโลก ล้วนเป็นทุกข์ อยู่แระ
เพราะฉะนั้น สิทธัตถะ ไม่ได้ ไปสร้างความทุกข์ ให้ใคร นะเว้ยเฮ้ยย
พวกมันทุกข์กัน อยู่แล้วนิหว่า จะมา กล่าวหา ว่า

สิทธัตถะ มีความสุข บนความทุกข์ ของ ผู้อื่นได้อย่างไร

อนึ่ง ที่บอกว่า สิทธัตถะ มีความสุข บนความทุกข์ ของ ผู้อื่น นั้น
เป็นเพราะ

1. สิทธัตถะ ประสบความสำเร็จ
ในการ เดินตาม ความกระสันอยากของตน
( คือสามารถหนีเมียไปบวช ได้ สมใจ ไง )
เมื่อ บุคคลใดที่ได้รับการตอบสนอง ต่อ ตัณหาของตัวเอง
ไปในทางที่ตนต้องการ แล้ว ก็จะเกิด กามสุข (เพราะ สมใจอยาก ) ไง


2. แม้ อิอ่อนจะคิดเองเออเอง เหมา เอาว่า
ทุกคนก็เป็นทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มีใครมีความสุขเลย
แล้ว อ้างว่า
"การที่บอกว่า มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจึงไม่ถูกต้อง
( เพราะ ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ การ พลัด พรากจากของรัก ฯล
ฯ ด้วยกัน ทั้งนั้น )

แต่ ทุกข์ เหล่านั้น ที่เกิดขึ้น ตาม ยถาสภาวะ ตามสภาพ
ไม่ได้เกิด ขึ้นโดยมี เจตนา ของใคร จงใจมาเป็น ตัว เร่งปฏิกิริยา นี่หน่า
การจงใจเร่งปฏิกิริยา ทำให้ ลูกเมียต้องทุกข์ใจ "มากกว่าปกติ" ของสิทธัตถะ
เพื่อ ไปแสวงหาการพ้นทุกข์ถาวร นั้น
มันจัดเป็น" เจตนาดี ที่ขาดซึ่งการโยนิโสฯ โดยแยบคาย" นะ
จึงมี ผลกระทบในแง่ลบ ต่อ ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าง มหันต์


ถึงได้ เคยถามไปไง ว่า จำเป็นต้องดราม่า หนีเมียไปบวชด้วยหรือ
ถึงจะได้ มรรคผลนิพพาน น่ะ
การฝึกทักษะ การ ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ
จนเกิด ตถตาลงใจ จนเกิด ปรากฏการณ์ วางลงปลงใด้ นั้น

มันก็ฝึก ได้เสมอ ใน ทุกที่ ทุกทาง และ ทุกขณะ ในชีวิต ประจำวัน นี่หว่า
ถ้า คุณมีศักยภาพ เพียงพอ ( แปลว่า เจ๋งจริง ถึงไม่หนีเมียไปบวช )
คุณก็ ฝึกฝนเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องจำเป็นต้องไป บำเพ็ญทุกขกริยา ให้ เมื่อย
ถึงได้ ยก ตัวอย่าง เรื่อง ที่พระพุทธเจ้าทรงเล่า ว่า
เคยมี เจ้าชายองค์หนึ่ง บรรลุ ถึง อรหัตผล เป็น สัมมาสัมพุทธะ ได้
ทั้ง ๆ ที่ ประทับอยู่ใน อุทยาน ( โดย ไม่ต้องดราม่าหนีเมีย ไปบวช ไง )


ฉะนั้นโดยสรุป ...
สัมมาฯ ในความคิดของ อิฉัน นั้น
มันจึงมิใช่ เพียงแค่ ต้อง มีเจตนาดี เท่านั้น
แต่มันต้องมี การ โยนิโส ฯ โดยแยบคาย
จนเกิด เป็น กุศล ทั้งใน เบื้องต้น เบื้องกลาง และ เบื้องปลาย ด้วย
สิ่งที่ฉันยอมรับ ว่าเป็น สัมมาฯ ที่ แท้นั้น
จะต้อง ถูกทั้งทางธรรมและ ทางโลก ด้วย
เพราะ อิฉัน เชื่อเสมอนะ ว่า ถ้าอะไร ก็ตาม
ที่ ถูกต้องทางธรรม ( เป็น กุศลกรรม แล้ว )ย่อม ต้อง ถูกต้องทางโลกด้วย
อ้อ แต่ ถูกต้องทางโลกในที่นี้ ต้อง วินิจฉัย
โดย บุคคลที่มี สามัญสำนึก เฉกเช่น วิญญูชน พึงมี อ่ะนะ
ไม่ใช่ โดย ปุถุชนผู้เปี่ยมไปด้วย อคติ 4 แบบคนบางคน อิอิ


อ้าง
อิอ่อนว่า...
--------------------
การที่ทั่นด๊อกฯมั่นใจว่าเห็นความจริงของคนอื่นตามจริง
แล้วก็ฟันธงไปตามนั้น มันมีประโยชน์กับตัวทั่นตามจริงแน่หรือ
ถ้าเห็นถูกก็เสมอตัว ถ้าเห็นผิดจะเป็นไง มีประโยชน์ต่อตัวเองตรงไหน?
++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทั่นด๊อกฯ ว่า..

อืม...ก็มี ประโยชน์ ตรงที่ ได้ รีเชค ระดับคุณภาพ มาตรฐานของ "สามัญสำนึก "
และ ทบทวนกระบวนการปรุงแต่ง อุปทานขันธ์ทั้ง 5 ของตัวเอง ล่ะมั้ง
ว่า ตรูนั้น พอจะเป็น วิญญูชน ผู้รู้ว่า สิ่งใด คือ กุศล สิ่งใดคือ อกุศล ได้สักกี่มากน้อย อิอิ


ที่สำคัญ ก็ ได้ บรรทัดฐาน ไว้ใช้ประโยชน์ ในการ ตรวจเชค ด้วยว่า
อะไรคือ กุศล ( จะได้ เอาเป็น เยี่ยงอย่าง )
และ อะไร คือ อกุศล ( จะได้เอาเป็น อุทาหรณ์สอนใจ
และ ไม่เจริญรอยตามทางแห่งความเสื่อมแบบ คนพวกนั้นไง )


อย่าลืมนะ ว่า ทั่นด๊อกฯ ทวนศีล ทวนจิตในระดับของ สัมมัปทาน 4
ไม่ใช่ รู้ แล้วก็ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เอ๊ย รู้ แล้วก็วาง แบบ อิอ่อน
มันมีออปชั่นเสริม ทั้ง ระบบ เซนเซอร์ แบบ ออโต้ฯ และ กระบวนการ PDCA
ที่สำคัญ ทั่นด๊อกฯ ถกธรรมกับชาวบ้าน โดยเอา ตรรกะ ใน กาลามสูตรเรื่อง..

" ธรรมนี้ เป็น กุศล หรือไม่ และ เป็นสิ่งที่ วิญญูชน ติเตียน หรือไม่"

มาเป็นสิ่งที่ ต้องสำเหนียก ด้วยอ่ะ ไม่ได้ เอาแต่แถ
โดยไม่ตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาตามประเด็น เหมือนเช่นบางคน

ถึงแม้ สิ่งที่ทั่น ด๊อกฯ เห็น จะไม่ใช่ สัจธรรม สุดยอด
ในแบบที่ อิอ่อน ชอบ พร่ำเพ้อ
แต่ ท่านด็อก ก็ ถกโดยมี จุดประสงค์ เพื่อเป็นธรรมวิจัย
ศึกษา เคสเพื่อ เอาไปใช้สอยประโยชน์ เพื่อพัฒนา ตัวเอง
ไม่ได้ เถียงเพื่อเอาชนะคะคาน หรือไปเพ่งโทษใคร
ถ้า อิอ่อน มันสามารถ หาเหตุผล ตามหลักกาลามสูตร
มาทำให้ ทั่นด๊อกฯ เห็น สิ่งที่มัน เป็น ความจริงยิ่งกว่าเดิม
ทั่นด๊อกฯ มันก็พร้อม ที่จะปรับ ปรุง และ เปลี่ยนแปลง "ทฤษฎี" ที่ตนได้เชื่ออยู่ก่อนหน้านั้น


เนื่องจาก ท่าน ด๊อกฯ มองว่า ที่ เรา ถกธรรมกันนั้น
มันก็เหมือน การ หยิบยก "สมมุติฐาน" และ "ทฤษฎี"
มาแลกเปลี่ยนกัน แบบนักวิทยาศาสตร์ และ นักปรัชญา ที่ยังไม่รู้จริง ในทุกเรื่อง น่ะ
ไม่ได้มา หาเรื่องทะเลาะตบตีกัน แบบ พวกศรัทธาจริต อันมืดบอด ที่คิดว่า ตัวเองรู้แล้ว
ก็แค่ แลกเปลี่ยนแนวคิด ทฤษฎี ( ที่รอการพิสูจน์ ) กับชาวบ้าน มันก็เท่านั้น


และ ทั่นด๊อก ถกฯ กับชาวบ้าน ด้วยเหตุ ด้วยผล
ที่ไม่มีความเลื่อมใสศรัทธา อันเป็น เหตุปัจจัยของ อคติ 4 มาเจือปน
ดังนั้น เมื่อมี "สมมุติฐาน" และ "ทฤษฎี" ที่เข้าท่า
สามารถหักล้าง ของเดิมที่เคยเชื่อ และ นำมาใช้ประโยชน์ ได้มากกว่า
ทั่นด๊อกฯ ก็ โยน สมมุติฐาน และ ทฤษฎีเดิม ๆ ทิ้งขยะ ได้ เสมอ
โดยไม่รู้สึกเสียหน้า แต่ประการใด อ่ะ


ฉะนั้น ทั่นด๊อกฯ ย่อม ได้ประโยชน์
จาก การ เสวนาธรรม อย่างแน่นอน จร้าาาาาาาาาาาา
หรือ ถ้าไม่ได้ ประโยชน์ ในการณ์นี้

อย่างน้อย ทั่นด๊อกฯ ก็ได้ ตระหนัก ในเรื่องการอยู่ร่วมกับคน ล่ะมั้ง
ว่า จะต้อง ระมัดระวังตน เมื่อต้องอยู่ กับ บุคคลประเภทไหน ? เป็นพิเศษ
ก็อย่างที่เคย บอกแหล่ะ ว่า ทั่นด๊อกฯ มี พรนรก
ในเรื่อง การสัมผัสได้ถึงตัวตนของผู้คน
ที่สะท้อนผ่านตัวหนังสือ ที่เขาโพส


ถึงแม้ ว่า สิ่งที่รับรู้ จะไม่ไช่เรื่องจริงสุดยอด แต่มันก็ มีประโยชน์ ตรงที่ ....
มันช่วย ให้ทั่นด๊อกฯ ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท และ ไม่ชะล่าใจ เกินไป อ่ะ

เวลาที่ สัมผัสได้ถึง รังสีอำมหิต
และ ความ เลือดเย็น ของคนบางคน
คนที่ มี สามัญสำนึกที่น่าขนลุก
สามารถ มีความสุข บน ความทุกข์ของคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
โดย ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ อะไร เนี่ย
มันก็เหมือนกับอยู่กับ พวก หมาบ้า อ่ะนะ


ถ้า แค่ บ้าเลือด แล้ว " แข็งนอก อ่อนใน"
เป็น ลูกหมาพิทบูล แบบไอ้ทึ้งเมียทิ้ง นี่ก็ ว่าไปอย่าง
อิแบบนั้น ไง ทั่นด๊อกฯ ก็ "เอาอยู่" อ่ะจร้าาา
เพราะว่า ลูกหมาแบบนั้น มันค่อนข้างจะรู้ความและ มีสามัญสำนึก
จึงยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ตามเนื้อผ้า ได้ดี
ไม่มีแถกไม่มีแถ เวลาที่มัน จนด้วยเหตุผล ที่จะเอามาโต้แย้ง


แต่ อิลูกหมา ประเภท บ้าระห่ำ
พร่ำแต่ธรรมะ แล้ว "อ่อนนอกแข็งใน" นี่ดิ
อันนี้ ต้อง ระวังให้จงหนัก
วันดีคืนดี เกิด ลืมกินยา จน ประสาทแดร่กขึ้นมา
ก็อาจจะคลุ่มคลั่ง ทำร้ายคนรอบข้างได้
ประเหมาะเคราะห์ร้าย เกิดมันนึกครึ้ม
จับเรา ไปเชือดคอบูชายัญ เพื่อ เซ่นสังเวย เจ้าแม่กาลี
เพราะ คิดว่าจะช่วยทำให้มันบรรลุธรรม ขึ้นมา แบบ สิทธัตถะ ก็ยิ่ง ซรวยลิ่ว


คนที่ เอาแต่ ความต้องการของตน เป็นที่ตั้ง
จนละเลย ที่จะใส่ใจกับ ความต้องการของผู้อื่น
และ เห็นว่าการไป ละเมิด สิทธิ และ เสรีภาพ ของผู้อื่น
เป็นเรื่องที่ ถูกต้องทางธรรม เนี่ย น่ากลั๊ว น่ากลัว อ่ะ

เฮ้ออ ชักสงสาร ป๋าโจซะแระดิ
เกิดวันดีคืนดี อิอ่อนมันนึกครึ้ม
อยากจะเจริญรอย ตาม สิทธัตถะ ขึ้นมา
แล้ว หนีลูกหนีผัว ไปบวช ด้วย เจตนาดี อัน บริสุทธิ์ผุดผ่อง จะทำไงล่ะหว่า ?
แหม๊ ? สงสัย ครอบครัว ลูกผัว จะต้อง ทำใจยอมรับ
และ ฝึกตน ให้มี จิตสำนึกที่เสียสละ ไว้แต่เนิน ๆ เสีย แล้วกระมั้ง หุหุ

4368
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 8 สิงหาคม 2556 เวลา:21:56:54 น.  

 
 
 
อืม... ทั่นด๊อกฯ ฝากถาม อิอ่อน ว่า

ถ้า สนใจแต่เรื่อง ความจริง ของตัวเอง แล้ว
อิอ่อนจะ รับประทาน ยาแก้โรคประสาท ไปทำไมกันล่ะจ๊ะ
อยู่กับ "โลกแห่งความจริง" ตามสิ่งที่ ตัวเองเห็น แต่เพียงผู้เดียว
ก็น่าจะ เวิร์ค ดี ออก ถึง คนอื่นไม่ "เห็น " ภาพต่าง ๆ อย่างเดียวกับที่เราเห็น
แต่ ในเมื่อ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นจริง ๆ นี่หน่า จะไปกินยา
เพื่อปรับสภาพให้เห็น เหมือนที่ คนอื่นเห็น ไปทำไม

ตอบ...ก็เพราะใส่ใจในความจริงไง ถึงรู้ว่าที่เห็นมันไม่จริง พอรู้แล้ว ก็แก้ไขไป รู้ว่าที่เห็นนั้นมันบิดเบือนก็แก้ไขปัญหาที่ทำให้เห็นบิดเบือนคือการนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เขาเรียกว่ารู้ความจริงของตัวเองตามจริงไง รู้ตัวเองว่าหลอนๆก็ต้องอยู่นิ่งไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปตัดสินใจทำอะไร หรือรอตัวช่วยก่อน รอให้เห็นความจริงตามจริงเหมือนที่คนอื่นๆเขาเห็นกันแล้วค่อยตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ทั่นด๊อกเข้าใจเข้าใจความหมายของคำว่าความจริงตามจริงไหมเนี่ย

3955
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.121 วันที่: 9 สิงหาคม 2556 เวลา:10:59:35 น.  

 
 
 
ทั่นด๊อก ว่า

เห็นด้วย ในประเด็น สิทธัตถะ ไม่ได้ "มีเจตนา" จะมีความสุข บนความทุกข์ของลูกเมีย

แต่ในประเด็น ที่บอกว่า ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว
ท่านหาวิธีที่จะช่วยครอบครัวให้พ้นจากทุกข์ทางโลก
ที่ อิอ่อน มัน บอกว่า มองที่ประเด็นนี้ เป็นหลักเท่านั้น

อยากจะ ถาม อิอ่อน มันว่า ทุกข์ทางโลก คือ อะไร จำเป็นต้องเหมือนกัน หรือไม่

ตอบ ทุกข์ทางโลก ที่เป็นทุกข์สัจจ์จริงๆนั้นมันเหมือนกันทุกคน แต่ไม่ได้รู้ทุกข์สัจจ์กันทุกคน เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าเป็นทุกข์ ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะเห็นคนเกิดแก่เจ็บตายแล้วเป็นทุกข์มากขนาดที่ว่าใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ ต้องออกไปลำบากแสวงหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ไม่กลัวตวามตายไม่กลัวความลำบาก แต่เราเห็นเกิดแก่เจ็บตาย เรารู้ว่าเป็นทุกข์แต่เราอยู่กับทุกข์ได้ไม่ขวนขวายเดินออกจากทุกข์ ทั้งๆที่รู้วิธีแล้ว แต่สละเรื่องทางโลกไม่ได้ มันแปลกไหมล่ะ อะำไรทำให้เราเฉยอยู่ได้ ถ้าตอบตามตำราก็คือเรารู้ทุกข์แต่เราไม่รู้ทุกข์สัจจ์ เราไม่รู้จักทุกข์จริงๆ คนที่เดินมาถึงจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะเป็นได้นั้นต้องสะสมการเห็นทุกข์สัจจ์มาจนเต็มถังแล้ว ต้องเจอพระพุทธเจ้าหลายๆครั้ง รู้ว่ามีวิธีเอาชนะโลกได้ รู้ว่ามีคนทำได้ แล้วสร้างหนทางนั้นขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง พอมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยเขามาขอร่วมสร้างทางนั้นด้วย อย่างพระนางพิมพาและลูก เขาก็ขอมาร่วมสร้างหนทางนี้กับท่านด้วย รู้อยู่แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไร ถ้าไม่ได้อธิษฐานจิตมาอยู่ร่วมกันก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ ก็พูดตามตำราเพราะเรื่องที่ถกกันมันมาจากตำรา เรามองแบบนี้ เมียลูกขาดที่พึ่งทางใจ คือผัวและพ่อ นั้นเป็นทุกข์ใครจะหักห้ามใจไม่ให้เป็นทุกข์ได้ แต่ในความทุกข์นั้นเขารู้หน้าที่กันอยู่แล้วว่าใครต้องทำอะไรเพื่ออะไร ถ้าไม่รู้หน้าที่กันก็จะช่วยกันไม่ได้ ทำไมทุกคนถึงยอมเป็นทุกข์ ก็เพราะรู้ว่ายอมทนทุกข์กันเพื่อบรรลุจุดประสงค์ร่วมกัน เขาถึงเรียกว่าทำกันเป็นหมู่คณะ ถ้าไม่มีใครมาร่วมด้วยก็ทำไปคนเดียวพ้นทุกข์ไปคนเดียว ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่การจะมีหมู่คณะขึ้นมาได้ เกิดจากมีคนอื่นเขาเห็นดีเห็นงามด้วยขอมาร่วมงานด้วยไม่มีการบังคับมีแต่ภาคสมัครใจ ถ้าไม่มีใครมาร่วมมันก็ไม่ได้จบแบบนี้ เขาถึงเรียกว่าแฟร์กันทุกฝ่าย ยินดีมาร่วมทุกข์ด้วยกันเอง ถ้าหากไปไม่ถึงจุดสุดท้ายใครจะเลิกออกไปก่อนเขาก็ไม่ห้ามกันก็ต้องรอคนใหม่มาสมัครใจทำ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจของคนๆนั้น แต่เจตนาร่วมกันคือหาทางพ้นจากทุกข์ในโลกแบบถาวร ไม่ใช่เป้าหมายคือการอยู่กับทุกข์แบบไม่ทุกข์ ไง ใครที่มีเป้าหมายไว้อย่างไรก็มีหน้าที่ทำให้สำเร็จไปตามนั้น อย่างอิอ่อนมันก็ไม่ได้พอใจอยู่ที่การอยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ แต่เป้าหมายคือพ้นจากทุกข์ในโลกแบบถาวร ถึงต้องขวนขวายหาทางนั้นให้เจอ ไม่เจอชาตินี้ก็ไม่เลิกก็ต้องหาต่อไป หาเจอแล้วก็ต้องทำให้ได้เท่าที่สามารถ ระหว่างทางเห็นใครมีเจตนาเหมือนเราก็เข้าร่วมช่วยกันไป ถ้าเจอว่าคนละทางก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ที่สำคัญต้องเข้าใจเป้าหมายของตัวเองให้ได้ตามจริง

9057
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.121 วันที่: 9 สิงหาคม 2556 เวลา:11:41:55 น.  

 
 
 
ทุกข์ของทั่นด๊อก
ทุกข์ของอิอ่อน
ทุกข์ของนู๋บี
ทุกข์ของคุณนายแก้วดี
ทุกข์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
ทุกข์ของพระนางพิมพาและลูก

เป็นทุกข์ทางโลกของพวกเขาคืออะไร เป็นทุกข์เพราะเรื่องเดียวกันไหม ทุกคนรู้ทุกข์ไม่เหมือนกันแต่ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ทุกคนมีวิธีจัดการปัญหาต่างๆกัน เจ้าชายสืทธัตถะรู้ว่าจะต้องทำอะไรถึงจะพ้นทุกข์ได้ พระนางพิมพาและลูกเป็นทุกข์ต้องรอเจ้าชายสิทธัตถะมาช่วยแก้ให้ ทุกข์ของอิอ่อนต้องพึ่งตนเอง ทุกข์ของทั่นด๊อกฯมีหรือเปล่าไม่รู้ ส่วนนู๋บีก็ ทำใจ ยอมรับยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ ให้ได้ มันก็ไม่ทุกข์ แล้ว ทุกคนมีวิธีของตัวเอง

ที่ถามว่า...
งั้น ถามหน่อยว่า การหนีเมียไปบวช
นี่มันช่วยให้ ครอบครัว พ้นทุกข์ ตรงไหน
แล้วเหตุใด ใย สิทธัตัถะ ถึง ถือวิสาสะ คิดเองเออเอง
โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของผู้ที่ ได้รับ ผลกระทบ ว่า
ณ ปัจจุบันขณะ ตอนที่ กำลัง หนีเมียไปบวช นั้น
ลูกเมียของมัน ต้องการจะเป็นบันไดเหยียบ
ให้มันไปหา มรรคผลนิพพาน หรือไม่ ?

ตอบว่า ลูกเมียเขายอมสมัครใจมาร่วมเป็นบันไดไปหามรรคผลนิพพาน จะเชื่อไหมล่ะ ก็เชื่อไม่ได้อีก อิอิ ก็ต้องไปถามลูกเมียเขาถึงจะได้ความจริงถูกไหม เคยอ่านเรื่องสุเมธดาบส มีผู้หญิงมาขอร่วมเป็นครอบครัวเพื่อสร้างมรรคผลนิพพานด้วย แต่จะด้วยเหตุผลใดเราก็คงไปคิดแทนคนอื่นๆไม่ได้ มีแต่คิดเองว่าถ้าเป็นตัวเราเราจะทำยังไง ก็ได้แบบนั้น เช่นถ้าเป็นนู๋บีก็คงไม่เป็นทุกข์แบบพระนางพิมพาเพราะ ยอมรับยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะได้ก็ไม่ทุกข์ ทั่นด๊อกฯก็ไม่ทุกข์อยู่แล้วเพราะไม่ได้เป็นเมียใครอิอิ ถ้าเป็นอิอ่อนมันก็เป็นทุกข์แต่ยอมรับได้เพราะเห็นว่าเขาไปเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ ไม่ตำหนิเขาว่าทิ้งเราไปคนเดียว การเป็นทุกข์และวิธีเอาตัวรอดจากทุกข์ของแต่ละคนก็ต่างๆกันขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีและประสบการณ์ในเรื่องทุกข์ของแต่ละคน จะเอามาตราฐานของเราไปตัดสินให้คุณให้โทษกับคนอื่นมันก็จะเ้ป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมแล้วแน่หรือ

เรื่องใดเป็นกุศลและอกุศล มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะแสวงหาทางจะพ้นทุกข์ก็เป็นสัมมา พระนางพิมพาและลูกตกลงใจจะร่วมสร้างบารมีกับเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นสัมมา การตกลงร่วมมือร่วมใจฟันฝ่าอุปสรรคแน่นอนมีทุกข์รออยู่แล้วทั้งการพลัดพรากจากกัน การถูกทิ้งให้ผจญทุกข์ ทั้งหมดนั้นก็ถือเป็นอุปสรรคที่ต้องเจอ ถ้าไม่ได้มีเป้าหมายร่วมกันมันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่สัมมา คือไม่ชอบด้วยความสมัครใจ ทีนี้การตัดสินกรรมใดๆของใครก็ควรจะรู้ความจริงตามจริงของคนเหล่านั้นรู้เจตนาจากใจจริงของเขาถึงจะไปตัดสินถูกผิดเขาได้

4747
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.121 วันที่: 9 สิงหาคม 2556 เวลา:13:37:16 น.  

 
 
 
อ้่างถึง...
การนึกถึงแต่ความ ต้องการ ที่จะพ้นทุกข์
และ ยึดมั่นถือมั่น กับความ คิดเห็นของตนเป็น หลัก
และ มุ่งที่จะ กระทำตามความ ความกระสันอยากของตัวเอง
โดยไม่ โยนิโสให้แยบคาย จนทำให้มีผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ต้องถูก ละเมิดสิทธิ ของความเป็นลูก เป็นเมีย
ที่สมควรได้รับสิทธิในการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นบิดา/สามี
แล้ว ต้อง ทุกข์ทรมานใจเช่นนี้ นั้น

มันเป็นเรื่อง ที่เป็นสัมมาฯ ( ชอบธรรม ) แล้วหรือ

ตอบว่า ถูกต้องชอบธรรม ถ้าเขาอธิษฐานจิตมาสร้างมรรคผลนิพพานด้วยกัน คือให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นผู้นำ และพวกเขาทำตาม รู้ว่าจะต้องเป็นทุกข์แต่ยอมรับทุกข์นั้นเพราะตั้งใจมาแบบนั้นแล้ว แต่ใครเห็นต่างจากนี้มันก็ไม่ผิดหรอก

อ้างถึง
ใครเป็นผู้ให้ เอกสิทธิ ว่า สามีที่เจตนาดี
สามารถ ละทิ้งครอบครัว หนีเมียไปบวชได้ หรือ ?
ถึงแม้ อิอ่อนมันจะพยาม แก้ตัวให้ สิทธัตถะ ยังไง
จะบอกว่า สุดท้าย เรื่องมันก็จบแบบ แฮ่ปปี้เอนดิ้ง
ลูกเมีย ของ สมณะโคดม ก็ได้ พ้นทุกข์ถาวร ในเบื้องปลาย ฯลฯ

ตอบ ไม่ได้แก้ตัว เพียงแต่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวบอกว่าชอบธรรมแล้ว และวิบากกรรมที่หนีเมียบวชก็มีไง คือโดนติเตียนจากผู้อื่นที่ไม่เห็นด้วยนี่ไง และตอนนี้เลิกเดือดร้อนแทนเจ้าชายสิทธัตถะและพระนางพิมพาและลูกเขาแล้ว ก็เลยเฉยๆ ใครจะติเตียนกล่าวโทษก็ว่ากันไป ไม่เกี่ยวกับเรา

อ้างถึง....
เมื่อไร ก็ตามที่ คิดเช่นนี้ แสดงว่า
คุณกำลัง ไป บังคับฝืนใจผู้อื่น ให้ ทำตาม ความต้องการของคุณ โดยไม่สมัครใจ

ตอบว่า แบบนี้ไม่ถือเป็นสัมมาอยู่แล้ว ถ้าสมัครใจก็ถือเป็นสัมมาได้ใช่ไหม แล้วสมัครใจมาตั้งแต่ชาติก่อนหน้านี่นับได้ไหม ถ้าไม่นับก็ถือว่าเงื่อนไขต่างกันแล้วและถ้าจะเอาแต่ชาตินี้เป็นหลัก ก็คงจะคุยกันให้เข้าใจไม่ได้

อ้างถึง

คุณกำลัง แก้ปัญหา โดยการ ปรับที่ แฟคเตอร์ภายนอก
โดยพยาม ให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปตาม ความปรารถนา ของคุณ
แต่ ตัวคุณเอง กลับไม่ เคย ย้อนกลับมาดูตัวเอง และ ปรับแก้
โดย ลดทอน อัตตา และ ตัณหา ในตน เลย

ตอบถ้าเป็นอิอ่อน อะใช่ แต่สำหรับเจ้าชายสิทธัตถะแล้วไม่น่าจะใช่ โอเคปะ

อ้างถึง...

- มีการยินยอมสมัครใจ ของ คู่กรณี
จนไม่เกิด ปฏิฆะซึ่งกันและกัน
ถึง แม้ จะ ตัดวง ปฏิจ ไม่ได้
แต่ การขับเคลื่อน วงปฏิจ ก็เป็นไปในทาง ที่เป็น กุศล
ไม่มีการ อาฆาต พยาบาท จองเวรกัน

ตอบ ของเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ไม่มีใครอาฆาต พยาบาท จองเวร นินา แต่คนรอบข้างเป็นทุกข์ ละก็ใช่ ถ้าจะบอกว่าไม่งดงามตรงที่มีคนอื่นเป็นทุกข์ ก็ตามนั้น มาตราฐานต่างกันก็ตามนั้น ผลลัพธ์ก็เลยเป็นตามนั้นเพราะเป้าหมายของเจ้าชายสิทธัตถะกับนู๋บีไม่เหมือนกัน เจ้าชายสิทธัตถะยอมให้คนรอบข้างเป็นทุกข์เจ็บแต่จบทุกข์ในชาตินั้น แต่นู๋บีเพื่อความงดงามทั้งเบื้องต้นเบื้องกลางและเบื้องปลาย ก็เลยไม่ยอมให้คนอื่นเจ็บแต่ยอมจบช้าหน่อยเป็นทุกข์นานหน่อยไม่เป็นไร มันก็เป็นวิถีใครวิถีมัน ไม่มีใครผิดมีแต่ว่าใครจะเลือกไปทางไหน ใครชอบทางไหนก็ไปทางนั้น

ถูกทั้งทางโลก และ ทางธรรม

เป็นวิถีของนู๋บี ก็เข้าใจตามนั้นแหละ

ส่วนวิถีของเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ตามนั้นแหละ

ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามนั้นแหละ โลกเขาก็ตัดสินไปตามกรรม ทำกรรมกุศลก็ได้กุศลกกรรม ทำอกุศลก็ได้อกุศลกรรม อยู่แล้ว ส่วนใครจะอาฆาตพยาบาทชื่นชมสรรเสริญอะไรมันก็ได้เป็นเอกสิทธิของแต่ละคนสามารถทำได้ เจ้าชายสิทธัตถะเขาก็คงไม่ได้มาอาฆาตพยาบาทชื่นชมสรรเสริญอะไรกับใคร แล้วจะไปเดือดร้อนแทนเจ้าชายสิทธัตถะทำไม อิอิ เรื่องของตัวเองก็ทุกข์จะแย่แล้ว หาทางพ้นทุกข์ให้ไวจะเป็นประโยชน์กับตัวเองมากฝ่านะ อันนี้พึมพำบ่นให้ตัวเองฟังเฉยๆนะ สู้เอาเวลาไปสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองทำกรรมเพื่อความพ้นทุกข์ยังจะเวิร์คฝ่านะ

9810
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.121 วันที่: 9 สิงหาคม 2556 เวลา:14:36:24 น.  

 
 
 
อ้าง
อิอ่อนว่า
-------------------
ก็เพราะใส่ใจในความจริงไง ถึงรู้ว่าที่เห็นมันไม่จริง พอรู้แล้ว ก็แก้ไขไป รู้ว่าที่เห็นนั้นมันบิดเบือนก็แก้ไขปัญหาที่ทำให้เห็นบิดเบือนคือการนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวันทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เขาเรียกว่ารู้ความจริงของตัวเองตามจริงไง รู้ตัวเองว่าหลอนๆก็ต้องอยู่นิ่งไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปตัดสินใจทำอะไร หรือรอตัวช่วยก่อน รอให้เห็นความจริงตามจริงเหมือนที่คนอื่นๆเขาเห็นกันแล้วค่อยตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ทั่นด๊อกเข้าใจเข้าใจความหมายของคำว่าความจริงตามจริงไหมเนี่ย
+++++++++++++++++

ทั่นด๊อกฯ ว่า

อืม...เข้าใจ ไม่เข้าใจ ความจริง หรือ เปล่า นี่ไม่รู้ นะ
แต่ ท่าน ด๊อกฯ มัน "ก้าวข้ามความจริง"
โดย มีสามัญสำนึกที่จะ ใส่ใจกับความรู้สึกของคนรอบข้าง
รับผิดชอบการกระทำของตน โดย ไม่ปล่อยวางอย่างมักง่าย
เห็นควรว่า การละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่ ชอบธรรม อ่ะ


เฮ้อออ อ่าน ตัวหนังสือ ของ อิอ่อน ที่ว่า...

"รอให้เห็นความจริงตามจริงเหมือนที่คนอื่นๆเขาเห็นกัน
แล้วค่อยตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไร "

แล้ว นึกถึง นีโอ กับ หนังเรื่อง เดอะ เมตริกซ์ ว่ะ
บางที อิอ่อน กับ นีโอ มันก็ คล้าย ๆ กันล่ะมั้ง
แสวงหา และ พยาม ต่อสู้ เพื่อค้นหาความจริง
จนหลงลืม สำเหนียกกับ หลัก อิทัปปัจจยตา
ที่เป็น แรงขับเคลื่อนของ วงปฏิจฯ


ในขณะที่ อิอ่อน และ นีโอ มัน พยามต่อสู้
และ รอให้เห็นความจริงตามจริงเหมือนที่คนอื่นๆเขาเห็นกัน
แล้วค่อยตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ( รอ+คาดหวัง กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต )

ทั่นด๊อกฯ กลับ ไม่สนใจว่า สภาวะในโลกเมตริกซ์นั้น
มันเป็น โลกสมมุติ หรือ โลกแห่งความจริง
แต่ ทั่นด๊อกฯ ก้าวข้าม ความสงสัยและ ข้อ กังขา เรื่อง ความจริงต่าง ๆ
แล้ว พิณา ทุกอย่าง โดย ดูจาก ผลกระทบที่เกี่ยวเนื่อง กัน ใน วงปฏิจฯ อ่ะ
ก็แค่ตระหนักในเรื่อง กระทบคน -กระทบโลก-กระทบเรา และ พิณาว่า...

1. ผัสสะที่ แฟคเตอร์ ภายนอก มากระทำ กับเรา มันทำให้เราทุกข์ไหม
ถ้า มันทำให้เราทุกข์จะต้องทำยังไง จึงจะสามารถ ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบัน ขณะ ได้โดยไม่ทุกข์


2.ผัสสะ ที่เรา ส่งออกไป กระทบโลกนั้น
มันไปมีผลกระทบกับใครหรือไม่ อย่างไร สมควรที่จะกระทำไหม ?
และที่ สำคัญ เมื่อ ทำแล้ว มันเกิดประโยชน์ ต่อ "ทุกฝ่าย" และ ชอบธรรม ( ยุติธรรม ) หรือไม่ ไป ละเมิด สิทธิของใคร หรือเปล่า ?


ฉะนั้น ทั่นด๊อก ฝึก ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบัน ขณะ ให้ได้ ก็เท่านั้น
จริง ไม่จริงไม่สน รู้แต่ว่า ตรูไม่ทุกข์ กับ ยถาสภาวะ ที่เจอ ก็แระกัน
ที่สำคัญ คือ ต้องมี สำนึก รับผิดชอบ ไม่ไปสร้างผลกระทบต่อผู้อื่น โดยละเมิดสิทธิ ของเขา อย่างไม่ชอบธรรม ด้วย



++++++++++++++++++++++++++++++



อ้าง
อิอ่อนว่า
-----------------------------------------------------
ทุกข์ทางโลก ที่เป็นทุกข์สัจจ์จริงๆนั้นมันเหมือนกันทุกคน แต่ไม่ได้รู้ทุกข์สัจจ์กันทุกคน เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าเป็นทุกข์ ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะเห็นคนเกิดแก่เจ็บตายแล้วเป็นทุกข์มากขนาดที่ว่าใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้ ต้องออกไปลำบากแสวงหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ไม่กลัวตวามตายไม่กลัวความลำบาก แต่เราเห็นเกิดแก่เจ็บตาย เรารู้ว่าเป็นทุกข์แต่เราอยู่กับทุกข์ได้ไม่ขวนขวายเดินออกจากทุกข์ ทั้งๆที่รู้วิธีแล้ว แต่สละเรื่องทางโลกไม่ได้ มันแปลกไหมล่ะ
++++++++++++++++++++++++++++++++

ทั่นด๊อกฯ ว่า....
อืม...ตอบได้ตาม แพทเทิร์น ของคนพุทธ เป๊ะ ๆ เลย เน๊าะ
แหม๊ ? นี่ถ้าไม่เชี่ยว ในเรื่อง วงปฏิจฯ และ หลัก อิทัปปัจจยตา
จนเคยเกิดสภาวะ ตถตา ลงใจ ก็คงจะเคลิ้ม ไปกับ คารี้คารมของคน พุทธ อย่าง อิอ่อน ซะแล้วดิ อิอิ


ไอ้เรื่อง ทุกข์สัจจ์ เนี่ย ก็เคยบอกไปแล้ว นิ ว่า

ทุกข์ของแต่ละคน มัน ไม่เหมือนกั๊นนนนนน


ไอ้เรื่อง ความทุกข์ เนี่ย มัน เหมือน แฟชั่น สไตล์ใครสไตล์มัน
มันเป็น "นามธรรม" ตะละคน ต่างก็มี ทุกข์ ไม่เหมือนกัน
สภาวะไหน ไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ทนไม่ได้ ก็ เรียกว่า ทุกข์ของเขา
แต่ สภาวะทุกข์ ของแต่ละคน อาจจะเหมือน หรือต่างกันก็ได้
ไม่ว่า จะเป็น ...


ทุกข์ของทั่นด๊อก
ทุกข์ของอิอ่อน
ทุกข์ของนู๋บี
ทุกข์ของคุณนายแก้วดี
ทุกข์ของเจ้าชายสิทธัตถะ
ทุกข์ของพระนางพิมพาและลูก

ทำไม ต้องมา ดรามา คิดเองเออเอง
ว่า "คนทุกคน" ต้อง เห็น การเกิดแก่เจ็บตาย แล้วต้องบอกว่า เป็นทุกข์ ด้วยวะ
คนบางคนที่เขา ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะได้
เมื่อ เผชิญหน้า กับ การเกิด แก่ เจ็บตาย
เขาก็ไม่ได้เกิด ทุกขัง กาละมัง อะไร นิ


ก็ในเมื่อ เราสามารถ ปรับตัว อยู่กับ ยถาสภาวะ ( เกิด แก่ เจ็บ ตาย ) ได้
โดยไม่ได้รู้สึกว่า มัน มีผลกระทบ อะไร มาทำให้เราเกิด ทุกขังกาละมัง
เจอสภาวะพวกนี้ ก็เหมือน เจอกับ สายลม มาพัดผ่านผิวหน้า ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป
ไม่ได้ เดือดร้อนหรือ รู้สึกรู้สา อะไร จะให้ไปขวนขวายเดินออกจากสภาวะ พวกนี้ ทำไม


สำหรับบางคน สิ่งเหล่านี้ มันก็แค่ "ยถาสภาวะ"
เป็น เป็นธรรมดาของโลก ( เป็น "ตถตา" )
ไม่ได้รู้สึก ทนไม่ได้ ที่ต้องเจอ สภาวะพวกนี้
แล้ว มันจะเป็น ทุกข์สัจจ์ ได้อย่างไร ?
มันก็แค่ สภาวะที่คนส่วนใหญ่ เจอแล้ว รู้สึกทนไม่ได้ เลย ต้องทุกข์ ก็แค่นั้น


ฉะนั้น ไอ้เรื่อง อยู่กับทุกข์ โดย ไม่ ทุกข์ นั้นน่ะ
มัน เป็น ตรรกะ ที่ แปลก ๆ นะ น่าจะเรียกว่า ...


เป็นการ อยู่กับ สิ่งที่ คนส่วนใหญ่ รู้สึกว่า มัน ทุกข์ ได้
โดยที่ เจ้าตัว ไม่รู้สึก ว่า ต้องไปทุกข์ร้อน อะไร เหมือนชาวบ้านเขา

น่าจะ มันดูจะโอเค กว่านะ



สรุป อีกครั้งนะ ทุกข์สัจจ์ สำหรับ อิฉัน มันไม่มีหรอกจร้าาาาาาา
เพราะ สภาวะที่ เมื่อทุก ๆ คน ต้อง พบเจอ แล้วเกิดทุกข์ เนี่ย
มันเป็น เรื่องของความรู้สึก ของ แต่ละคน ว่า เขาจะ ทนได้ หรือไม่ได้ กับ สภาวะ เหล่านั้น
แม้ ว่า "คนส่วนใหญ่" จะเห็น ว่า การเกิด แก่เจ็บตาย เป็นทุกข์
แต่ ก็ไม่ได้ หมายความว่า "ทุก ๆ คน" จะต้อง ทนไม่ได้ เมื่อ ต้องเจอ สภาวะ นี้
มันอยู่ที่ ทัศนคติ และ มุมมอง ของเขาตะหาก
ถ้า มี SQ แจ่ม ๆ ก็จะยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ
และ ทนกับ สภาวะเหล่านั้นได้แบบชิล ๆ แระอ่ะ


ฉะนั้น จะถือว่า การเกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิด เป็น ทุกข์สัจจ์ ได้ไง
ในเมื่อมีบางคนเขา ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรที่จะต้อง มาวนลูป
กับการเวียนว่ายตายเกิด และ การเกิดแก่เจ็บตาย
เพราะ ถือว่า เป็นการเก็บเกี่ยว ประสบการณ์ชีวิต ใน วงปฏิจฯ
จะให้ เขา ต้อง ไป วิ่งตาม เทรนด์ ด้วยการหนีเมียไปบวช เพื่อหาทางพ้นทุกข์ ทำไมล่ะ ?

6712
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 12 สิงหาคม 2556 เวลา:23:52:21 น.  

 
 
 

อ้าง
--------------------------------------------
คนที่เดินมาถึงจุดที่เจ้าชายสิทธัตถะเป็นได้นั้นต้องสะสมการเห็นทุกข์สัจจ์มาจนเต็มถังแล้ว ต้องเจอพระพุทธเจ้าหลายๆครั้ง รู้ว่ามีวิธีเอาชนะโลกได้ รู้ว่ามีคนทำได้ แล้วสร้างหนทางนั้นขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง

พอมีคนเห็นดีเห็นงามด้วยเขามาขอร่วมสร้างทางนั้นด้วย อย่างพระนางพิมพาและลูก เขาก็ขอมาร่วมสร้างหนทางนี้กับท่านด้วย รู้อยู่แล้วว่าต้องมาเจอกับอะไร ถ้าไม่ได้อธิษฐานจิตมาอยู่ร่วมกันก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ ก็พูดตามตำราเพราะเรื่องที่ถกกันมันมาจากตำรา

เรามองแบบนี้ เมียลูกขาดที่พึ่งทางใจ คือผัวและพ่อ นั้นเป็นทุกข์ใครจะหักห้ามใจไม่ให้เป็นทุกข์ได้ แต่ในความทุกข์นั้นเขารู้หน้าที่กันอยู่แล้วว่าใครต้องทำอะไรเพื่ออะไร ถ้าไม่รู้หน้าที่กันก็จะช่วยกันไม่ได้

ทำไมทุกคนถึงยอมเป็นทุกข์ ก็เพราะรู้ว่ายอมทนทุกข์กันเพื่อบรรลุจุดประสงค์ร่วมกัน เขาถึงเรียกว่าทำกันเป็นหมู่คณะ ถ้าไม่มีใครมาร่วมด้วยก็ทำไปคนเดียวพ้นทุกข์ไปคนเดียว ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่การจะมีหมู่คณะขึ้นมาได้ เกิดจากมีคนอื่นเขาเห็นดีเห็นงามด้วยขอมาร่วมงานด้วยไม่มีการบังคับมีแต่ภาคสมัครใจ

ถ้าไม่มีใครมาร่วมมันก็ไม่ได้จบแบบนี้ เขาถึงเรียกว่าแฟร์กันทุกฝ่าย ยินดีมาร่วมทุกข์ด้วยกันเอง ถ้าหากไปไม่ถึงจุดสุดท้ายใครจะเลิกออกไปก่อนเขาก็ไม่ห้ามกันก็ต้องรอคนใหม่มาสมัครใจทำ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจของคนๆนั้น แต่เจตนาร่วมกันคือหาทางพ้นจากทุกข์ในโลกแบบถาวร ไม่ใช่เป้าหมายคือการอยู่กับทุกข์แบบไม่ทุกข์ ไง ใครที่มีเป้าหมายไว้อย่างไรก็มีหน้าที่ทำให้สำเร็จไปตามนั้น

ระหว่างทางเห็นใครมีเจตนาเหมือนเราก็เข้าร่วมช่วยกันไป ถ้าเจอว่าคนละทางก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ที่สำคัญต้องเข้าใจเป้าหมายของตัวเองให้ได้ตามจริง

+++++++++++++++++++++++++++++++++


ทั่นด๊อก ว่า ...

เข้าใจเป้าหมายของตัวเองให้ได้ตามจริง
แล้ว จะแยกย้าย ไป ทำ กิจ ของ ตน ตามเป้าหมาย นี่ก็ใช่
แต่ ก็ต้องไม่ ละเลย หน้าที่/ ความรับผิดชอบ ในส่วนของตน
และ ไม่ไปบังคับฝืนใจ ใครจนละเมิดสิทธิอันชอบธรรม ของเขาด้วย
เพราะ หากทำอย่างนั้น มัน ก็คือ การทำตามใจ กิเลสตัณหา และ อัตตา ตัวเอง
ดูยังไง ก็ไม่เป็น กุศล หรือ ชอบธรรม ไปได้หรอก นะ



แล้วที่ อิอ่อนมันบอกว่า

การจะมีหมู่คณะขึ้นมาได้ เกิดจากมีคนอื่นเขาเห็นดีเห็นงามด้วย
ขอมาร่วมงานด้วยไม่มีการบังคับมีแต่ภาคสมัครใจ

อันนี้ มันก็จริง อยู่ แต่ ไอ้เรื่องที่จะบอกว่า

ยินดีมาร่วมทุกข์ด้วยกันเอง ถ้าหากไปไม่ถึงจุดสุดท้าย
ใครจะเลิกออกไปก่อนเขาก็ไม่ห้ามกัน
ก็ต้องรอคนใหม่มาสมัครใจทำ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจของคนๆนั้น

นี่มัน เรียกว่าแฟร์กันทุกฝ่าย จริงอ่ะ ?


น่าขำจัง ก็ อิอ่อน มันเคย บอกเองว่า
พยามที่จะเรียนรู้ การ "อยู่กับปัจจุบันขณะ" เอง แท้ ๆ แต่ พอถาม เรื่อง ...
ความสมัครใจของลูกเมีย ของ สิทธัตถะ " ณ ตอนที่ เจ้าชาย จะ หนีเมียไปบวช " ขึ้นมา
ก็ ดัน ไป ขุดคุ้ย หยิบยก เอา เรื่องราวในอดีตชาติ สมัยพระเจ้าเหา
เข้ามาจับ เพื่อ หาความ ถูกต้องชอบธรรม ให้กับ บุคคลที่ ตัวเองเลื่อมใส


ชาติ หน้าชาติก่อน มีจริงไหม ก็ยังไม่รู้ จะเอามาเป็น Ref ได้ไง ว้าาาา ว่า
ลูกเมียเขายอมสมัครใจมาร่วมเป็นบันไดให้ สิทธัตถะเหยียบเพื่อไปหามรรคผลนิพพาน
การเอา ตำราชาดก มาอ้าง ทั้ง ๆ ที่ ก็ ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องจริงไหม งี้ น่ะ
กาลามสูตร เขาสอนไว้หรือไงกันน๊อออออออออออออออ


นี่ ๆ ถามจริง เหอะ ว่า จะแน่ใจได้ไง อ่ะ
ว่า ไอ้ นิทานหลอกเด็ก ในตะกร้า 3 ใบ เกี่ยว กับ พุทธชาดก เนี่ย มันเกิดขึ้นจริง
เผลอ ๆ บางที ชาตินี้ ชาติหน้า อาจจะไม่มีก็ได้
เกิดมาชาตินี้ชาติเดว แล้ว เผลอ ๆ ตายแล้วก็สูญ ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ ไอ้ตำนานชวนเชื่อพวกนั้น
มันน่าเชื่อถือสักแค่ไหน กันเชียว

อาจจะเป็นแค่ การโฆษณาชวนเชื่อ
เพื่อทำ มาร์เกตติ้ง ขยายฐานลูกค้า ของ บรรดา พุทธบริษัท 4 ก็ได้
เพราะ เท่าที่อ่านดูแล้ว เล่นแต่งนิทาน สร้างอิมเมจ
อวยกันเอง ซะจน ตรีนไม่ติดดิน เลยนิ
ขนาด หาหลักฐาน ณ ปัจจุบันขณ มาสนับสนุน ให้ตัวเอง ดู ชอบธรรม ไม่ได้
ยัง ไป ขุด เอา หลักฐานใน เมื่อชาติที่ 500 มาเป็น ข้อผูกมัด
เพื่อ ให้ สิทธัตถะ มี เอกสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ด้วยอ่ะ อิอิ


แต่ เอาเหอะ ๆ ทั่นด๊อก บอกว่า
มันจะแสร้ง ทำเป็น หลับหูหลับตา เชื่อ ตามตำรา ที่เขาเล่ามา
แล้ว เออออ ห่อหมก สมมุติ ว่า สิ่งที่ กล่าวไว้
(เรื่องการอธิษฐานจิต ของ พระนางพิมพา ว่าด้วยการ ขอพลีกายเป็น บันไดเหยียบ
เป็น เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ใน อดีตกาล เป็น พันธะสัญญาที่ทำร่วมกันเมื่อชาติก่อน ก็ได้ อ่ะ


แต่ ทั่น ด๊อก มันข้องใจ อ่ะว่า


1.ถาม จริง เหอะ ถ้า สมมุติว่า .....
ชาตินี้ อิอ่อน มันไม่ได้โดนผัว ล่ามโซ่ ติดหัวกระได
ยังคงโสดสโมสร เป็น แม่พวงมาลัย เฉิบ ๆ อยู่สบาย ๆ
จู่ ๆ วันดีคืนดี ก็มี ยอดชายนาย จ. เดินเเข้ามา อ้างสิทธิ ว่า
นี่แหน่ะ รู้ปล่าว เมื่อ สมัย 5000 ปี ก่อน พุทธกาล ประมานหลายร้อยชาติที่แล้ว
อิอ่อน มันเคยให้สัญญา ว่า จะเป็น เมีย อาเฮีย ทุก ๆ ชาติไป นะจ๊ะ
ฉะนั้น อิอ่อนต้องรักษา สัจจะ น้าาาา มามะ จงมาเป็นเมีย ให้อาเฮียปล้ำ ซะดี ๆ ฯลฯ


ถ้าได้ยินงี้ อิอ่อน มันจะยอม อ้าขา แต่โดยดี
ยอมให้ ผู้ชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายตรีน อย่าง นาย จ.
มาใช้สิทธิความเป็นผัว ไหม เนี่ย ?

ถ้า รวยเป็น หมื่นล้าน แบบ ปั๋วเก่ามาดามตู่ ก็ว่าไปอย่าง
แต่ ถ้า เกิด นาย จ. ในชาตินี้ ไม่มีอะไรที่ตรงสเปค เอาซะเลย
ภูมิศีลก็ต่ำ ภูมิธรรมก็ด้อย ภูมิรู้ก็น้อย
รูปก็ไม่หล่อ พ่อก็ไม่รวย หวยก็ไม่เคยถูก
ขืน ยอม ปลูกเรือนอยู่ด้วย คงโดนมัน เกาะกินไปทั้งชาติ
แถม มันยังสำส่อน จน เป็เอดส์ อีกตะหาก ฯลฯ


ถาม ! อิอ่อน มี สิทธิโดยชอบธรรม ที่จะเปลี่ยนใจ เลือกทางเดินชีวิตใหม่
สามารถ ยกเลิก พันธสัญญาใน อดีตชาติ เมื่อ 500 ชาติ ก่อน
ปฏืเสธที่จะ ยอมเป็น เมีย นาย จ. แล้ว ถีบหัวมันออกจากชีวิต
เพื่อไปอยู่เสถียรธรรมสถาน ก๊ะ แม่ชี ศันสนีย์ ได้ป่ะ




2. อนึ่งแล้ว ในเคส คล้าย ๆ กัน
ถ้า ณ ปัจจุบันขณะ (ซึ่งข้ามภพข้ามชาติ มาหลายอสงไขย )
ใน ตอนที่ สิทธัตถะ ตั้งใจจะหนีไปบวชนั้น
ถ้า พระนางพิมพา ทนความทุกข์ใจ ที่จะได้รับจากการถูกผัวทิ้งไม่ไหว
she "มีสิทธิ" โดยชอบธรรม ที่จะ "เปลี่ยนใจ"
แล้วขอ ล้มเลิก พันธะสัญญา ที่เคยให้ไว้สมัยพระเจ้าเหา ได้ไหม ?


หรือว่า ไงมันก็เป็น " หน้าที่ " ของ ลูกกับเมีย
ที่ต้องทนทุกข์ เป็น บันไดเหยียบ ให้ผัว
ก็ เฉือกโง่ ...เอ๊ย...รู้เท่าไม่ถึงการณ์
เผลอไปเซ็นสัญญาทาส แบบข้ามภพข้ามชาติ กับ สิทธัตถะ ? เองนิ
ฉะนั้น ห้ามหือ ห้าม อือ หรือบิดพลิ้วเป็นอันขาด
เพราะ เคย อธิษฐานจิตร่วมกัน ตั้งแต่ชาตินู้น แระ
ถือว่า มีการยินยอมพร้อมใจ ยังไงก็อนุมานได้ว่า สมัครใจ ในทุกภพทุกชาติ แหง๋ ๆ


แหม๊ ? ก็ผ่านมาแค่ 500 ชาติเองนี่หน่า
คงก็ไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องไป "สอบทวน" ถาม ลูกเมีย อีกครั้ง
ก่อนที่จะ ออกบวช หรอกมั้ง ว่า ณ ตอนนี้ ยังจะยอมทนทุกข์
ยัง สมัครใจ จะ เป็น บันไดให้อยู่ อีกไหม ?


3. ทั่นด๊อกมันก็เห็นด้วยกับ อิอ่อนมันนะ เรื่องที่บอกว่า

ไอ้เรื่อง ความสมัครใจ อะไรนั่น
มันต้องไปถามลูกเมียเขาถึงจะได้ความจริง

แต่ที่ไม่เข้าใจ ก็คือ

- เมื่อรู้งี้แล้ว เหตุใด สิทธัตถะ จึงไม่ ยอม ถามไถ่ ความสมัครใจของ ลูกเมีย
ให้มันเคลียร์ ๆ ก่อนที่จะ ออกบวช ล่ะจ๊ะ
กลัวว่า ถ้าถามแล้ว ชวดโพธิญาณ หรือ มรรคผลนิพพานมันจะบินหนีไป หรือไงกัน
ถึงได้ ด่วนตัดสินใจเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่
โดยละ ทิ้ง หน้าที่ และ ความความรับผิดชอบต่อ ครอบครัว เช่นนี้


- อนึ่ง แล้วไอ้ตอนที่ สิทธัตถะ คิดจะ หนีไปบวช นั้นน่ะ
ไอ้ บุพเพสัณนิวาสญาณ 5 เหว อะไร ก็ใช่ว่าจะมี จะไปรู้ได้ไง ล่ะ
ว่าตัวเอง มีหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่จะต้องแบกโลกทั้งไว้ใบ
เพื่อต้องกระเตงสรรพสัตว์ ข้ามห้วง ทุกข์ น่ะ

ตอนนั้น สิทธัตถะ มันก็แค่ ปุถุชนคนนึง
ที่บังเอิญ ไปเห็น การเกิดแก่เจ็บตาย แล้ว ดันดราม่า
เกิดเป็น วิภวตัณหา ( ไม่อยากจะทุกข์ ) + ภวตัณหา ( อยากจะพ้นทุกข์ )
จึง กระสันจะหนีไปบวช ก็เท่านั้น ณ ตอนนั้น มัน การันตีไม่ได้ด้วยซ้ำ
ว่า สิทธัตถะ มันจะประสบความสำเร็จ ได้ บรรลุมรรคผลนิพพาน ในชาตินั้น


ฉะนั้น ช่วงเวลา ตอนนั้น มันไม่มีใคร ระลึกชาติได้หรอกนะว่า
ตัวเองมี "สิทธิอันชอบธรรม" ที่จะ ไปแสวงหาโพธญาณ
สิทธัตถะก็ไม่รู้/ พิมพา ก็ไม่รู้ เพราะ งี้มันจึงเหมือนกับว่า
ทุกอย่าง มันต้อง เริ่มนับ หนึ่งใหม่ไง
ณ ตอนนั้น มัน ไม่มีสัญญาในอดีต จากชาติปางก่อนมาให่รับรู้
แล้วก็ ไม่มี ความแน่นอนในอนาคต มาเป็น หลักประกัน ความสำเร็จด้วยซ้ำ


ถ้าจะให้เป็น สัมมา ฯ อย่างแท้จริง ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงงี้
ก็ควรจะ มีการ เริ่มต้นถามไถ่ความ สมัครใจ ในชาตินั้น ๆ กัน ไหม่อีกครั้ง
มันถึงจะ "แฟร์" ไม่ใช่ ยึดถือแต่ความคิดเห็นและ ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง
แล้ว ตัดสินใจโดยพละการ ทั้ง ๆ ที่ตัวเอง ก็ไม่รู้ ว่า อีกฝ่าย เต็มใจ ให้ไป หรือไม่

สิ่งใดก็ตาม ที่ ถือวิสาสะ ทำไปโดยพละการ
โดย "สนใจ" แต่ ความ ต้องการ ของ ตนเอง
แต่ ไม่ "ใส่ใจ" ถึง ความรู้สึก-ความคิดเห็น ของคนรอบข้าง
ตลอดจน ละทิ้งหน้าที่ ความรับผิดชอบ ที่ตนพึงมี
แถมยังไป ละเมิดสิทธิ ของผู้อื่น เพื่อให้ ความปรารถนาของตน สมหวัง นั้น

มันเป็น เป็น สัมมา หรือไม่ และ เป็น กุศล ที่ตรงไหน
ว่าง ๆ ก็ ลอง มานั่ง ตรองดู แระกัน



เฮ้ออ...แต่พูดก็พูดเหอะนะ จะว่าไป...
พระนางพิมพา ช่างเหมือนคนโง่ที่ ถูก โฆษณาชวนเชื่อ
มาหลอกให้เซ็นสัญญาทาส เพื่อทำกรมธรรม์โปรโมชั่น สุดคุ้ม
ของ พวก บริษัทประกันชีวิต ทั้งหลายแหล่ จังเลยเน๊าะ
เพราะ ส่วนใหญ่ ธุรกิจพวกนี้ ก็มักจะ อาศัยโฆษณาชวนเชื่อ
ทำให้เหยื่อ หลงกล ยอมทำประกันด้วย แบบนี้แหล่ะ

แต่พอถึงเวลาที่ลูกค้าเกิด ไม่ โอเค กับ โปรฯ ที่ได้อยากจะเปลี่ยนใจ
พอเขาไม่อยากใช้ บริการ อยากยกเลิกสัญญา ขึ้นมา ล่ะก็
คราวนี้ล่ะ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ปัดความรับผิดชอบทันที
แถมใช้ ข้อสัญญา ที่เคยทำไว้ใน อดีต มาเป็น เงื่อนไข ต่อรอง
เพื่อ อ้าง "สิทธิ" มาผูกมัด ไม่ยอมให้เราเลิกจ่ายเบี้ยประกัน


อืม...แต่ บริษัท ประกัน พวกนี้ ก็ยัง ดี นะ
เพราะ มัน ผูกมัดเรา แค่ชาตินี้
ไม่ได้ ผูกมัดถาวร แบบ ข้ามภพข้ามชาติ
แล้ว ผูกขาด การตัดสินใจ ในเรื่องต่าง ๆ
สงวน ไว้เป็น "เอกสิทธิ"ของตนแต่เพียงผู้เดียว อิอิ



- ส่วนไอ้เรื่องที่ บอกว่า ใครที่มีเป้าหมายไว้อย่างไร
ก็มีหน้าที่ทำให้สำเร็จไปตามนั้น ระหว่างทางเห็นใครมีเจตนาเหมือนเราก็เข้าร่วมช่วยกันไป
ถ้าเจอว่าคนละทางก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง


นั้น น่ะ

ทั่น ด๊อก ฯ มันก็ ให้สงสัย อีกแล้วอ่ะ ว่า
ว่า ถ้า ชาตินี้ พิมพา มัน ไม่ได้ สมัครใจ จะให้ผัวมันไปบวช
แต่ ต้องการ เรียกร้อง "สิทธิโดยชอบธรรม" ของการเป็นเมีย ในชาตินี้
จะขอให้ ผัวตัวเอง มันอยู่ ช่วย ดูแลลูกเต้า ครอบครัว
ตาม "หน้าที่" และ ความรับผิดชอบที่มีต่อกัน ในชาตินี้ ล่ะ

สิทธัตถะ จะต้องกระทำเช่นไร
จึงจะเป็นเรื่องที่เรียกว่า ถูกต้องทางโลก
และ ต้อง ทำ อย่างไร ถึงจะเรียกว่า ถูกต้องทางธรรม
และ อย่างไหน ที่เรียกว่า เป็น สัมมาฯ ?

A or B ?


A. ละทิ้งหน้าที่ และ ความรับผิดชอบ ต่อ ครอบครัว
แล้ว หนี ออกไปบวช เพื่อหาทางพ้นทุกข์ ตามที่ตนนั้นกระสันอยาก
เพราะ ชาติก่อนโน้น เมียก็เคย อธิษฐานจิต ยินยอมให้ตน ไปแสวงหาโพธิญาณ แล้ว นี่หน่า


ฉะนั้น ชาตินี้ ตนก็ยัง มี "สิทธิโดยชอบธรรม" ที่จะ รักษาสิทธิ
ใน พันธะสัญญา ที่ได้ เคย อธิษฐานจิต ด้วยกัน ใน อดีตชาติ
จึง สามารถ ออกไป แสวงหาโพธิญาณ เพื่อ แสวงหาโพธิญาณได้ ตามความต้องการของตน


ส่วน เมียจะต้อง ทนทุกข์ไงต่อไป ก็ ไม่เห็นเป็นไร
ในเมื่อ ชาสติก่อน ดันโง่ เอ๊ย สมัครใจ เซ็นสัญญาทาส กันแล้ว จะ บิดพลิ้วไม่ได้
เมื่อ มี สิทธิโดยชอบธรรม ที่จะ กระทำ ในสิ่งที่ ทำให้ "สมปรารถนา" จะต้องนำพากับ สิ่งใดอีกล่ะ



B. ยอม สละสิทธิประโยชน์อันชอบธรรมที่ตนพึงมีพึงได้
ไม่เอา พันธะสัญญาทาส ที่เคยทำร่วมกันใน อดีต มาเป็นข้อผูกมัด มาต่อรอง
แล้ว บังคับฝืนใจ ให้ เมียต้องมาเอ่ยปาก จำยอมให้ตน ได้บวช


ถ้า ณ ปัจจุบันขณะ นั้น เมียไม่ได้ สมัครใจ จะให้ตนบวช
ตนก็จะ ยอม "หยุด" ความต้องการของตน
"ยอม" สละ สิทธิ ที่พึงมีพึงได้ ไม่ไปบวช แล้ว
แต่จะ อยู่เพื่อเยียวยา และ แสดงความรับผิดชอบ
ในหน้าที่ ของ ผู้เป็นพ่อ ดชเป็น สามี ตามที่สมควร กระทำ

ส่วนเรื่องของ การ แสวงหา โพธิญาณ นั้น
ก็จะทำ ไปตามสภาพ เท่าที่จะ สามารถทำได้ ใน ยถาสภาวะนั้น ๆ
ถึงแม้ว่า เมื่อ ตัดสินใจทำเช่นนี้แล้ว
จะไปถึงเป้าหมาย ยากลำบาก ขาดความสะดวกสบาย
แต่ มันก็สมควรกระทำ เพราะมันไม่ได้นำมาซึ่งน้ำตา ของคนรอบข้าง


อ้อ แล้ว ไอ้ที่ พล่าม บ่อย ๆ เรื่อง
ถูกต้องทางโลก มันไม่เหมือนกับ ถูกต้องทางธรรม นั้นน่ะ
ไหนลอง อธิบายให้ ฟัง หน่อยดิ๊ ว่า นิยามของอิอ่อน นั้น

"ถูกต้องทางโลก" เป็นอย่างไร

"ถูกต้องทางธรรม" เป็นอย่างไร

และ มัน "ต่างกัน" ที่ตรงไหน
เหตุใด ถูกต้อง ทางโลก จึงต้อง สวนทางกับ ถูกต้องทางธรรม

สำหรับ อิฉัน แล้ว "ถูกต้องทางโลก" นั้น มี "ความยุติธรรม" เป็น ดัชนีชี้วัด
ส่วน "ถูกต้องทางธรรม" นั้น มี ความ "การยุติกรรม" เป็น ดัชนีชี้วัด นะ


สิ่งที่ ถูกต้องทางโลก
= สิ่งที่กระทำลงไปแล้ว ไม่ไปละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของใคร
( กล่าวคือ ไม่ไปเบียดเบียน ทำให้ใครเดือดร้อน หรือ เป็นทุกข์ )

หลักการ ของเรื่องนี้ จึงมีว่า คนทุกคน ย่อม มีสิทธิ และ เสรีภาพ
ที่จะแสดงออก และ ทำ อะไร ก็ได้ตามความต้องการของตน
ตราบเท่าที่ ไม่ไป ละเมิดสิทธิ ทำให้ ใครเดือดร้อน หรือ เป็น ทุกข์

จะยก ตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพ นะ

ส. กับ พ. เซ็นสัญญา เพื่อลงทุน ธุรกิจหาผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยมีเงื่อนไข ว่า ระหว่างที่ ส. ยังบริหารงาน หาผลประโยชน์ เป็นกอบเป็น กำ ไม่ได้
พ.ก็จะต้องยอมทน ลำบาก ฝ่าฟัน เป็น ทัพเสริม และ บันไดเหยียบ เพื่อคอยสนับสนุน ส่งเสริม การดำเนินธุรกิจ เสมอ

อยู่มา วันหนึ่ง พ.ทนกับความลำบากตรากตรำ
จากการเป็นบันได ให้ ส. เหยียบไม่ไหว
จึง เปลี่ยนใจ จะ ขอ ยกเลิก สัญญาที่ทำร่วมกันกับ ส.
ซึ่ง การกระทำเช่นนี้ อาจทำให้ ส. อาจจะ ต้องเสีย ประโยชน์
จนทำให้ บรรลุ เป้าหมายที่ต้องการ ได้ ล่าช้า ได้

อนึ่ง แต่ เนื่องจาก พ. ได้ตกลงปลงใจ
ไป สร้างเงื่อนไขทำสัญญา ไว้ กับ ส. แล้ว
หาก พ. บิดพลิ้ว ไม่ทำตาม สัญญา ( เสียสัจจะ )
ส. ก็ย่อม มี " สิทธิโดยชอบธรรม " ทุกอย่าง
ที่จะ บังคับฝืนใจ ให้ พ. ยอมเป็น บันได ให้เหยียบ
เพื่อ ให้ ส. และ พ. ได้รับ ผลประโยชน์
และ บรรลุถึง เป้าหมาย เป้าหมาย ตามที่ตนตกลงกันไว้
โดย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่า ณ ปัจจุบัน ขณะ พ. จะ สมัครใจ จะ ร่วมทุนด้วยหรือไม่


กรณีนี้ เรียก ได้ว่า สิ่งที่ ส. ทำ เป็น สิ่งที่ ถูกต้องทางโลก และ "ยุตติธรรม"แล้ว
เพราะ ไม่มีการ "ละเมิดสิทธิ ของ พ. "
เนื่องจาก พ. ได้ตกลงปลงใจ ไปเซ็นสัญญาสร้างพันธะ กับ ส.
ให้ สิทธิกับ ส. ใช้ตน เป็น บันไดเหยียบเอง ด้วยความสมัครใจ
สัญญาที่ได้เคยกระทำไว้ ในอดีต ย่อม ผูกมัดจนดิ้นไม่หลุด
( ถือว่า เป็น ความซรวย ของ พ. เอง )


แต่ สิ่งที่ ถูกต้องทางธรรม มันไม่ใช่ แค่ ยุติธรรม นะ
มัน ต้อง มีการ "ยุติกรรม" เข้ามาผสม ด้วย


สิ่งที่ ถูกต้องทางธรรม
= สิ่งที่กระทำลงไปแล้ว ไม่ไปละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของใคร
( กล่าวคือ ไม่ไปเบียดเบียน ทำให้ใครเดือดร้อน หรือ เป็นทุกข์ )
ตลอดจน เป็น การกระทำที่ รู้จะหยุด รู้จะเย็น รู้จักยอม ด้วย


หลักการ ของเรื่องนี้ จึง ไม่ใช่แค่ มีความยุติธรรม
( การรักษาสิทธิ และ ผลประโยชน์ ของตน ไว้ โดยไม่ไป ละเมิด สิทธิ ของผู้อื่น ) เท่านั้น
แต่ สิ่งที่ ถูกต้องทางธรรม มัน ครอบคลุม ไปถึง
การยอมละทิ้งความ สะดวกสบาย ในการที่จะ บรรลุ จุดมุ่งหมาย
การยอมละทิ้ง ความปรารถนา ตัณหา และ อัตตา ของตน
ตลอดจน การยอมที่จะ เสียสละ ในสิ่งที่ ตัวเองมีสิทธิ โดยชอบธรรม
เพื่อ เยียวยาจิตใจ ให้ "ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง" ไม่ต้องเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจจนเป็น ทุกข์งกาละมัง
โดยไม่ นึกเสียดายสิทธิ และ ผลประโยชน์ที่ ตนควรจะได้


สรุป สั้น ๆ ก็คือ

ถูกต้องทางโลก
= มีความยุติธรรม ( มีการรักษาสิทธิ และ ผลประโยชน์ ของตน ไว้
โดยระมัดระวังที่จะ ไม่ไป ละเมิด สิทธิ ของผู้อื่น )



ถูกต้องทางธรรม
= มีการยุติกรรม ( มีการยอมละทิ้ง ความปรารถนา ตัณหา และ อัตตา ของตน )
ตลอดจน มีการยอมที่จะ เสียสละ ในสิ่งที่ ตัวเองมีสิทธิ โดยชอบธรรม
เพื่อ เยียวยาจิตใจ ให้ "ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง" ไม่ต้องเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจจนเป็น ทุกข์
โดยไม่ นึกเสียดายสิทธิ และ ผลประโยชน์ที่ ตนควรจะได้



อืม... พูด ขนาดนี้ คงไม่ต้องยก ตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพ หรอกมั้งว่า ....

ถ้า จะให้ "ถูกต้องทางธรรม" ส. ควร ทำ อย่างไร - พ. ควรจะทำอย่างไร
และ ถ้า พ. เกิดงอแง บิดพลิ้ว ไม่ยอมทำตาม สัญญา ที่เคยให้ไว้ขึ้นมา
ส. ควรจะทำอย่างไร ใช่ แบบที่ สิทธัตถะ ปฏิบัติ กับ พิมพา
ตามที่ อิใบลาน 3 ตะกร้า มัน รจนา เอาไว้ หรือ ไม่ ?

ไอ้จะมาบอกว่า เอาน่า ตำรา บอกไว้ว่า....
สิทธัตถะ มันมีเจตนาดี "ปรารถนา" จะ แสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อช่วย สัตว์โลก
จนยอมเสียสละ ลูกเมีย อันเป็นที่รักยิ่ง และ ชีวิตที่สุขสบาย ตลอดจน ฐานันดรอันสูงส่ง
เพราะ มี พระประสงค์ จะ ไปค้นหา มรรคผลนิพพาน มา ชี้ทางสว่าง ให้ทุกคนเชียวนะ


ฟังแล้ว มันก็ ให้ รู้สึก ทะแม้ง ๆ แล ตะขิดตะขวงใจ พิลึก อ่ะ
ถึง ปากจะ บอกว่า "ปรารถนา" จะ ช่วยเหลือสัตว์โลก อย่างงั้น
ถ้า วิเคราะห์ ตามหลักจิตวิทยา โดยใช้สามัญสำนึก ( common sense ) แล้ว
มันมี วาระซ่อนเร้น ในเรื่อง ความ ปราถนา ของตัวเอง ( เกี่ยวกับที่ ตัวเอง อยากจะ พ้นทุกข์ ) เข้าไปเกี่ยว ด้วยนะ


และ ใน สภาวะ ที่ สิทธัตถะ มันเห็น เทวฑูต ทั้ง 4 เนี่ย
สิ่งที่มันต้องการมากที่สุด คือ ความกระสันอยาก ที่จะ พ้นทุกข์
( หรือ เรียก ให้ไพเราะ ก็คือ การปรารถนา จะพ้นทุกข์ ) นะ


ฉะนั้น ถ้า เรียงลำดับ ความสำคัญ ของ สิ่งที่ ต้องการ ของผู้ชายคนนี้
ณ ตอนนั้น สิ่งที่ มันต้องการ อันดับ 1 คือ อยากจะพ้นทุกข์ นี่หน่า
ส่วน ไอ้เรื่อง ความอยากที่จะสะดวกสบาย
อยากจะ อยู่กับครอบครัว และ สมบัติ ประดามี เนี่ย
หาก ณ ขณะนั้น จำเป็น ต้องตัดใจละทิ้ง ลูกเมีย และ เศวตฉัตร
คงจะกลายเป็น เรื่องขี้ประติ๋ว สำหรับสิทธัตถะ ไปแระมั้ง


เพราะ ขณะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดทีมันกระสันอยาก
ถูกโฟกัส ให้หมกมุ่น ไปที่ การหาทางพ้นทุกข์ เพียงอยากเดียว
ฉะนั้น การละทิ้ง ความต้องการที่สำคัญน้อยกว่า ( ลูกเมียสมบัติ ฯลฯ )
เพื่อ ให้ได้ โอกาสไปแสวงหา สิ่งที่ ตัวเองรู้สึกว่า ถูกใจมากกว่า มีความสำคัญ กับตนมากกว่า
มัน ก็ ไม่ใช่ ความ เสียสละ ที่ น่าประทับใจ อะไร นิ
ก็แค่ เรื่อง ธรรมดา ๆ ตาม สัญชาตญาณของ สัตว์โลก
แบบ นิทานเรื่อง หมา กับ เงาในน้ำ เท่านั้นแหล่ะ

5290
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 12 สิงหาคม 2556 เวลา:23:54:37 น.  

 
 
 
อ้าง
อิอ่อน ว่า....
------------------------------------
จะเอามาตราฐานของเราไปตัดสินให้คุณให้โทษกับคนอื่น
มันก็จะเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมแล้วแน่หรือ
+++++++++++++++++++++++

ทั่นด๊อกฯ ถาม..

ไอ้ที่บอกว่า ไปตัดสิน ให้คุณให้โทษ กับ คนอื่นนี่
ให้คุณอย่างไร/ ให้โทษ อย่างไร แล้ว คนอื่น ในที่นี้ คือใคร
ถ้าหมายถึง พระพุทธเจ้า ทั่นก็ตาย 5 เอ๊นย นิพพาน
กระเด็นออกจากสังสารวัฏ ตัดขาดจาก วงปฏิจ ไปแระ
จะไปรู้สึกรู้สา ได้รับโทษ-ประโยชน์ อะไร กับ การวิจารณ์ไปตามเนื้อผ้า ของ ทั่นด๊อกฯ ล่ะ


ที่สำคัญ มัน ไม่ชอบธรรม ตรงไหน
ก็ไม่ได้ ไปละเมิด สิทธิเสรีภาพ อะไรของใคร ซะหน่อย
แล้วเรื่องที่พูด ก็ไม่ใช่ วจีมุสา ตรงไหน


มันก็ แค่ เคส conference ที่หยิบมา ช่วยกันวิเคราะห์
ช่วยกัน โยนิโสฯ เพื่อ แสดงความคิดเห็น ในมุมมองของตนไง
ว่า การกระทำในลักษณะไหน เข้าข่ายสัมมาฯ / การกระทำ แบบไหน เข้าข่าย มิจฉา
จะได้เก็บเอาไว้เป็น อุทาหรณ์สอนใจว่า ถ้า สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับเรา
ปฏิปทาแบบไหน ที่เรา สมควร จะเอาเป็นเยี่ยง แบบไหนไม่สมควรจะเอาเป็นอย่าง


แถม เวลาที่ อธิบายเรื่องนี้ ท่านด๊อก ก็หยิบเอา เรื่อง กุศล อกุศล มา สอบเทียบ วิเคราะห์หา เหตุปัจจัย และ แฟคเตอร์ ต่าง ๆ ที่ นำมา อภิปราย
ไม่ ใช่ จู่ ๆ ก็ มา ทึกทัก นั่งเทียน เขียนเอาเอง โดย ไม่มีเหตุผลมารองรับ ซะหน่อย


อนึ่ง ในเมื่อ สิ่งที่ ทั่นด๊อก ยก มาตรฐาน ของตัวเอง มา สอบเทียบ นั้น
มัน ก็ ยก มาตรฐาน มาจาก กาลามสูตร นิหน่า

ประมาณว่า พิณา แรงขับเคลื่อนของของพฤติกรรม ต่าง ๆ ที่พบเจอ ในบุคคล
เป็น กุศล หรือ ไม่



และ ถ้าประเด็นไหน เห็นไม่ตรงกัน
ก็ยกเหตุผลของตน มา ชี้แจงแถ-ลงไข ก็ได้นิหน่า
จะได้ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ที่ทำให้ ยอมรับ ร่วมกันได้ และ เข้าใจตรงกัน
เพราะ สามัญสำนึก ของวิญญูชน นั้น ไม่ว่า จะมีมาจากเบ้าหลอมแบบไหน
เป็น ไทยพุทธ คริสต์ หรือ อิสลาม
เมื่อ ดูที่มาที่ไป ของเหตุปัจจัย ที่ เป็นแรงขับเคลื่อน ของพฤติกรรม
มันก็ต้องรู้ อยู่ดี ว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็น อกุศล


ส่วน ไอ้เรื่อง มาตรฐาน ที่ใช้ รีเชค ที่ ไม่ตรงกัน เนี่ย
ไม่ทราบ อิอ่อน มัน ใช้ ธรรมบทไหน ใน ตะกร้าสามใบ มาเป็น Ref มาตรฐาน เล่าจ๊ะ

ถ้า ใช้ กาลามสูตร แล้วไซร้ ก็ น่าจะเป็น " มาตรฐาน " เดียวกันนะ
หรือว่า บรรทัดฐาน ในเรื่อง กุศลาธรรมา-อกุศลาธรรมา นั้น มันมี ดับเบิ้ล สแตนดราด ล่ะ
พฤติกรรมเดียวกัน มีแรงขับเคลื่อนจาก มโนกรรม ( ตัณหา ) เหมือนกัน
แต่ถ้าคนทำ เป็นคนละคนกัน เช่น ส.สมชาย กับ ส.สิทธัตถะ ฯลฯ
พฤติกรรมของคนหนึ่ง จัดเป็น สัมมา แต่ อีกคน จัดเป็น มิจฉา ?


ดูคน เขาให้ดู ที่ เหตุปัจจัยของแรงขับเคลื่อน ในการกระทำ
ทั้ง กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม
ว่า พฤติกรรมของเขา มีความเป็นธรรม ( ยุติธรรม) หรือไม่
มี การ ยุติกรรม ( ปล่อยวาง กิเลสตัณหา และ อัตตา ของตน หรือไม่ )

และ ถึง เราจะไม่มี เจโต ฯ รู้ไจใคร
ถ้า พอจะมี สามัญสำนึก ( common sense ) หลงเหลืออยู่บ้าง
ก็น่า จะ พอ แยกแยะ ได้นะ ว่า อะไรคือ กุศล อะไร คือ อกุศล
คีย์ เวิร์ด มัน อยู่ที่ มีการ ยุติกรรม ( ละทิ้ง กิเลส ตัณหา และ อัตตาตัวเอง หรือเปล่า )

ไม่ใช่ดูว่า เขาเป็นใคร แล้ว ก็ หลับหูหลับตา เชื่อ ตามที่ชาดกมันเขียนไปโม๊ดดด


นี่ ๆ พูดก็พูดเหอะนะ ถ้าเปรียบเทียบ กัน กับทั่นด๊อกฯ
สมัยที่ สิทธัตถะ ยังไม่ บรรลุโพธิญาณ เป็น สมณะโคดม อะนะ
สิทธัตถะ เป็นพวก ภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย กว่า ทั่นด๊อกฯ ซะอิก
จะ ไปหน้ามืดตามัว เหมายกโหล ว่า ทุก ๆ การกระทำของ สิทธัตถะ เป็น สัมมา ได้ไง

อ้อ แล้วที่ กล้า ยกหางตัวเอง เรื่อง สารพัดภูมิ ของตัวเองเนี่ย
ก็ เพราะ พิณาได้จาก สภาวะศีลที่รักษาได้ จนเป็นปกติ
ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และ การ เคารพสิทธิของผู้อื่น มา เปรียบเทียบกับ ของ สืทธัตถะ ไง
อย่าง น้อย ๆ ทั่นด๊อก ฯ ก็มี ศีล 6 เป็น ปกติ
แถม ยัง เจริญ สติปัฏฐาน 4 ได้ ในระดับที่น่าพอใจ
โดยไม่ต้อง โง่ ไป บำเพ็ญ ทุกกริยา
หรือ แกล้งทำดราม่า หาเรื่อง หนีเมีย ไปบวช
ให้คนรอบข้างเป็นทุกข์เป็นยาก
ก็สามารถ เกิด ตถตาลงใจ ได้ ในบางครั้ง
จน สามารถ ยอมรับ ยถาสภาวะ ณ ปัจจุบันขณะ ได้ บ่อย ๆ ด้วยอ่ะจร้าา


เนี่ย แล้ว จะว่าไปอ่ะนะ ไอ้ที่ ทั่นด๊อกฯ เอามาเป็น มาตรฐาน
ในการชี้วัด เรื่อง สัมมา ไม่สัมมาฯ นั้น
มัน ก็ยัง ดู ชอบธรรม กับ ทุกฝ่าย
มากกว่า ไอ้การยัดเยียด ให้ ความไม่เชื่อ ในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็น มิจฉาฯ ซะอีก


นี่ ยังสงสัย อยู่เลย ว่า ไอ้อีคนที่มัน เขียนพระไตรปิฎก เนี่ย
มัน เอา อะไร เป็น มาตรฐาน ในการชี้วัด เรื่องนี้ วะ
เพราะ สิ่งที่มันเขียนไว้ ช่างขัดแย้ง กับ หลัก กาลามสูตร ซะจริง ๆ
จู่ ๆ ก็ ฟันธง ออกมา โต้ง ๆ ว่า การไม่เชื่อเรื่องภพภูมิ เป็นมิจฉา
แต่พอ ถามหาเหตุผล ว่า การเชื่อไม่เชื่อ ในเรื่องนี้
มัน เป้น กุศล อกุศล ที่ตรงไหน เพราะเหตุใด
ก็ยังไม่มี หมาที่ไหน มาจำแนก ยก นิยามเรื่อง กุศล อกุศล มาสอบทวน
แล้วตอบ ให้ ทั่นด๊อกได้ ชื่น สะดือเยยยยย T ^ T

++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้างถึง....
เมื่อไร ก็ตามที่ คิดเช่นนี้ แสดงว่า
คุณกำลัง ไป บังคับฝืนใจผู้อื่น ให้ ทำตาม ความต้องการของคุณ โดยไม่สมัครใจ

อิอ่อนตอบว่า แบบนี้ไม่ถือเป็นสัมมาอยู่แล้ว ถ้าสมัครใจก็ถือเป็นสัมมาได้ใช่ไหม แล้วสมัครใจมาตั้งแต่ชาติก่อนหน้านี่นับได้ไหม ถ้าไม่นับก็ถือว่าเงื่อนไขต่างกันแล้วและถ้าจะเอาแต่ชาตินี้เป็นหลัก ก็คงจะคุยกันให้เข้าใจไม่ได้

++++++++++++++++++++++++

ทั่น ด๊อก ฯ ว่า.....

อืม...ไอ้เรื่อง สมัคร ใจ ไม่สมัครใจเนี่ย
พูด ไป ใน โพส ก่อน ๆ แล้ว อ่ะนะ
ย้ำ อีกที ก็ได้ ว่า สมัครใจ ใน ชาติ ก่อน จะ นับ ด้วยก็ได้
แต่นั่น มัน นับได้เแค่ "เบื้องต้น" ไม่ใช่ ในเบื้องกลาง และ เบื้องปลาย
แล้ว ถ้า เบื้อง กลาง กับ เบื้อง ปลาย ล่ะ จะว่า ยังไง


ถ้าจะเอาแต่ชาติก่อน เป็นหลัก
โดย ไม่ มอง ใน ภาพรวม "ณ ปัจจุบันขณะ" ในชาตินี้
ก็คงจะคุยกันให้เข้าใจไม่ได้หรอกนะ
เคยอ่าน นิทานเรื่อง ตาบอดคลำช้าง ไหม
อ่าน แล้ว สำเหนียก อะไร บ้าง

แล้ว รู้ ไหม ทำไม วิถีพุทธ จึงเน้น เรื่อง ปัจจุบันขณะ
ไม่ใช่ ให้ ไป รำลึก ถึง สัญญาทาส ใน อดีตชาติ
หรือ ว่า ความคาดหวัง ใน โพธิญาณ ในอนาคต ?


ก็ อุส่า โฟกัส ประเด็น ให้ พิณา แต่ ปัจจุบัน ขณะ แล้วนะ
ว่า สถานการณ์ตอนนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ก็ยังไม่มีใครรู้ เรื่อง บุพกรรม ในอดีต
ส่วน เรื่องราวต่อจาก ตอนที่หนีไปบวช
ก็ไม่มีใคร คาดเดาได้ หรอกว่า
สิทธัตถะ จะ บรรลุโพธิญาณ หรือไม่
อนาคต ต่อจากวันนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่ง ที่แน่นอน
เพราะ ณ ตอนนั้น มัน เป็น ปัจจุบันขณะ
มันยังไม่ใช่ ประวัติศาสตร์ ที่ แน่นอน อย่างที่เรารับรู้กันในทุกวันนี้


ดังนั้น ถ้าจะลากเอา อดีตชาติ มาเป็นข้ออ้าง
ก็ควรจะทำให้มันเนียนกว่านี้ หน่อยก็ดีนะ อิอิ


ยิ่ง มาสร้างเงื่อนไข โน่นนี้ ว่า ถ้าจะ คุยกัน ให้ รู้เรื่อง
ก็ต้อง ยอมรับ เรื่อง ชาติก่อน
ห้าม เอา ชาตินี้ และ ปัจจุบัน ขณะ มา เป็นหลัก ด้วย

บอกตรง ๆ นะ

อ่าน แล้ว นึกถึง พังเพย ที่ ว่า "ทองแท้ ไม่แพ้ไฟ" จัง
แล้ว ก็ นึกถึง เรื่อง ศาสนธรรม ที่ โสเครติส คุยกับ ยูไทโฟร ด้วย
เฮ้ออ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง ศาสนธรรม
หรือว่า พฤติกรรม ที่ เป็น สัมมาฯ (อย่างแท้จริง) นั้น
สำหรับ อิฉัน มัน ก็คง เหมือน ทองเนื้อเก้า ล่ะมั้ง

จึงต้องมี คุณสมบัติ คือ ทนทาน ต่อการ พิสูจน์ "โดย ปราศจากเงื่อนไข "
เพราะ มัน มี คุณค่า โดย เนื้อแท้ของตัวมันเอง อยู่แล้วไง
โดนไฟเผาเท่าไร มันจึงไม่สะทกสะท้าน
และ ไม่ว่า จะ ใช้ มาตรฐาน อะไร มาตรวจสอบ
มัน ก็ยัง บ่ หยั่น บ่ย่าน และ มั่นใจ ใน คุณค่าของตัวเอง

อนึ่ง ทอง นั้น มี หลาย ประเภท ก็จริงอยู่
และ ใคร อยากเลือก แบบไหน ก็ได้
จะ ใส่ ทองชุบ ทองผสม หรือว่า ทองเหลือง ทองแดง
มันก็เป็นวิถีใครวิถีมัน ตาม อัตถภาพ และ กำลังทรัพย์ที่มี

ไม่มีใครผิด มีแต่ว่าใครจะเลือกไปทางไหน ใครชอบทางไหนก็ไปทางนั้น
แต่ ถ้า ใครจะ มาบอกว่า ทองยัดไส้ตะกั่ว คือ ทองเนื้อเก้า
แบบที่ พวกมิจฉาชีพ ที่ชอบเอาไปหลอกขาย ในร้านทอง
อันนี้ มันก็ ไม่ค่อยจะ แฟร์ เท่าไร นะ
เพราะ มันเข้าข่าย หลอกลวงผู้ บริโภค

ดังนั้น การเอามาตราฐานของเรา ไปเป็น "วิธีหนึ่ง"ที่ช่วย คัดกรอง
ว่า พฤติกรรม ใดเป็น สัมมาฯ พฤติกรรมใด เป็นมิจฉา
มัน ก็ เป็น ไปเพื่อ ช่วย แยกแยะ ทองยัดไส้ ตะกั่ว ออกจาก ทองเนื้อเก้า ยังไงล่ะ
เพราะไงซะ ก็๋มั่นใจว่า ตัวเองพอจะ มี สามัญสำนึก
แยกแยะ ได้ว่า สิ่งใด เป็น กุศล สิ่งใดเป็น อกุศล นะ
( ถึงแม้จะ ปฏิบัติตามไม่ค่อยได้)


และ สิ่งที่ทำนี้ ก็ไม่ใช่ เพื่อ จะให้คุณให้โทษกับคนอื่น ด้วย
แต่ มันเป็นการ นำเสนอ "วิธีการ แยกแยะ"
เพื่อดูว่า ทองเนื้อเก้า มันต่างจาก ทองยัดไส้ตะกั่ว ยังไง ตะหาก
จะได้ ไม่โง่ โดน มิจฉาชีพ ที่ไหน เอาทองยัดไส้
ไป ตกทอง หลอกลวง เอาว่า สิ่งที่เห็นนี้ คือ ทองเนื้อเก้า

แถม พอ คนซื้อ พยามให้ ตรวจสอบทอง
พวกมัน ก็จะมา ตะล่อม เสนอให้ ตรวจสอบ
ด้วย วิธีมาตรฐานที่ เอื้อประโยชน์ กับ มัน เท่านั้น


แหม๊ ? ถ้า เป็น ทองเนื้อเก้า จริง ๆ จะต้องกลัวอะไรกันน๊ออออ


2235
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ หลอกกินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 12 สิงหาคม 2556 เวลา:23:56:15 น.  

 
 
 
อ่านจนเหนื่อย มันก็มีแค่นี้แหละนะ อิอิ
เหลือแต่พิสูจน์ความคิดความเชื่อของตัวเองเท่านั้น
ที่อิอ่อนพูดๆมาก็อ้างตำรามาเท่านั้นไม่ได้รู้จริงซักเรื่อง เพราะต้นเรื่องมาจากตำรา ถ้าไม่เอาตามตำรา ก็เอาตามทิฏฐิใครทิฏฐิมัน สัญญาของใคนของมัน ที่คุยกันมาตั้งนาน เนี่ยมันก็ขจัดข้อสงสัยในใจเราไปได้เยอะ เป็นการแสดงตัวตนออกมาตามจริงให้คนอื่นและตัวเองได้รู้

ตอนแรกสงสัย ทำไมถึงต้องเอาเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะหนีบวชมาเป็นประเด็น มาถึงตอนนี้ก็เลิกสงสัยแล้ว มันก็จบ ที่เหลือก็คือความจริงของใครของมัน สิ่งใดที่เราคิดว่าเข้าใจ หรือว่าเข้าใจโดยไม่ใช้ความคิด มันคือแรงผลักดันให้เราทำกรรมไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างไรเสียศาสนาพุทธที่พระโคดมพุทธเจ้าประกาศมาก็ตั้งอยู่ไม่นาน อีกไม่นานก็จะหายไปจากโลก ถ้ามีใครคิดว่าพุทธศาสนานี้ไม่มีประโยชน์กับเขาก็ไม่ผิด เพราะทุกวันนี้ก็แทบจะไม่ใช่ศาสนาพุทธที่ประกาศไว้ในตอนแรก มีแต่ศาสนาพุทธตามประเพณี ศาสนาพุทธตามใจฉันก็ว่ากันไป ใครมีหน้าทีอะไรก็ทำไปตามหน้าที่ ก็ตามนั้น หมดสงสัยในทุกการกระทำ อิอิ

ปล.ได้รู้เรื่องของคนอื่นเยอะนะเนี่ย ตอนนี้หมดเวลาเล่นแล้ว ง่ะ แระมันก็หมดความสนใจในกิจกรรมของคนอื่นๆแล้ว อิอิ อดีตนางงามเจนเวทีผู้อำมะหิตและเลือดเย็น คงต้องลาโลงไปทำภาระกิจของตัวเองให้บรรลุในชาตินี้แระ บ๊ายบาย เจอกันเมื่อชาติต้องการแระกันนะ

9959
*.*

 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.73.127 วันที่: 13 สิงหาคม 2556 เวลา:9:09:30 น.  

 
 
 
อ้าวววววววววววววววววววววววววววววววว
สุดท้าย ทั่นด๊อกฯ เก๊าะ โดน นางงาม เจนเวที
หลอกให้อยากกินตับ แล้วกลับ เชิดมงกุฏ กะ สายสะพาย
หนีหายไปกะ สายลม ซะงั้น
( ฉายา รู้รักษาตัวรอด เป็น ยอดชะนี นี่ไม่ได้มาเพราะ โชคช่วย จิง ๆ ด้วย ว่ะ เอิ๊ก ๆ)


แหม๊ ? แต่ อ่าน โพสล่าสุด ของ นางงามเจนเวที
แล้ว ทำไม นึกถึง..."การถกเรื่อง ศาสนธรรม ของ ยูไทโฟร กับ โสเครติส " ก็มิรู้แฮะ
อืม....ตอนที่ ยูไทโฟร ชิ่งหนี โสเครติส
โดย ทิ้งให้ ประเด็น เรื่อง ศาสนธรรม ให้ ค้างคาใจ กัน อยู่นั้น
เขาก็ให้เหตุผลว่า เขากำลังรีบ
เพราะ ต้องวุ่นวาย กับการจัดการ ลากตัว ปะป๊า เข้าซังเต
ตามหน้าที่ของ ชวนป๋วยปี่แป่กอ

ส่วน สำหรับ นางงามเจนเวที นี่ก็คงมีเหตุผลที่ชิ่งหนี คล้าย ๆ กันล่ะมั้ง
เลยต้องรีบมาลนลานกล่าว สุนทรพจน์ เอ่ยคำร่ำลา
โดยทิ้ง ปริศนาธรรมมะ อะไรเอ่ย ให้ ค้างคา รอ การเฉลย อยู่ยังงั้น
เฮ้อออออออออ บางที she จะกำลังรีบ ไปทำธุระ เหมือน ยูไทโฟร ก็ได้เน๊าะ
ประมาณว่า ไม่ว่าง ต้องรีบไปเอา มงกุฏทองฝังเพชร ประจำตำแหน่ง
ไป ตกทอง เอ๊ย ไปขายกิน ที่ ห้างทอง ฮั่วเซ่งเฮงงงงงงงงงงง
ก็ได้แต่หวังนะ ว่า เถ้าแก่ร้านทองที่น่าสงสาร ..
คงไม่เจอ ทองยดไส้ตะกั่ว ในมงกุฏนางงาม กหรอกนะ


แต่ถ้า เก๋า ระดับ เถ้าแก่ร้านทอง ก็คงจะมี common sense
พอที่จะ รู้ล่ะมั้ง ว่า ทองที่เอามาหลอกขาย นั้น น่ะ
มันเป็น ทองเนื้อเก้า หรือว่า ทองยัดไส้ อิอิ


เออ...ว่าแต่ ใจเราตรงกัน จังเลยแฮะ
เพราะ นี่ ทั่นด๊อกฯ เอง ก็ ตั้งใจ ไว้ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเหมือนกันว่า
พอจิ้มดีด ตอบคำถามนู้น นี่นั่น เพื่อ "เคลียร์ ตัวเอง "
ในทุกประเด็น ที่ อิอ่อนมัน ตั้งข้อกังขา เสร็จ แล้ว
มันก็จะ ค่อย ๆ หาเรื่อง ชิ่งเข้ากะลา เหมือนกันจร้าาาาาา
อาเหล่าม่า เริ่มสะกิดยิก ๆ ชวนไปจำศีล แระ
ตามใจ ให้ ปล่อยผี มานานเกินไป แระ
แต่ ทั่นด๊อก มัน ยังอยากแร๋ด อยู๊ เลย ยั้ง ๆ ไว้ก่อน 5555

6812
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 13 สิงหาคม 2556 เวลา:21:22:37 น.  

 
 
 
อืม...ที่จริงก็ กำลังว่า จะ ถกต่อในประเด็นเรื่อง " ขอทานแขกแดร๊กหมู "
กับ เรื่อง ก๊วยเจ๋ง ควรทำเช่นไร (ใน กรณี ก๊วยพู ตัดแขนเอี้ยก้วย)
จึงจะเป็น เป็นสัมมาฯ ในสายตาของ ทั่นด๊อก
แล้วก็ ทฤษฎี ตาย5 เมื่อไร ก็เราก็จะเข้า นิพพาน เมื่อนั้น ด้วย อ่ะนะ

แต่ ในเมื่อ อิอ่อน มัน รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดชะนี
ชิ่ง หนีทั่นด๊อกฯ ไปซะแระ ก็ เอาไว้ก่อน ก็ได้
ไว้ เวรกรรมมีจริง ค่อยมา ถก กันใหม่ 55555555

เฮ้อออ แต่ไหน ๆ อิอ่อน มันก็เผ่นไปแระ
พูดทิ้งทวน ซะหน่อยก็ แระ กัน นะ

สำหรับ อิฉันแล้ว ชีวิตมันก็เหมือน การเขียน โปรแกรมคอมพ์ นั่นแหล่ะนะ
แบ่บว่า เคย เรียนเขียนโปรแกรมมาบ้าง นิดหน่อย อ่ะนะ
เลยคิดว่า น่าจะ สอนอิเข้ว่ายน้ำ ได้นิด ๆ หน่อย ๆ555

อืม....อิอ่อนมัน ก็เชี่ยว เรื่อง การเขียนโปรแกรม นี่นะ
น่าจะ รู้ดี อยู่ หรอกว่า การเขียนโปรแกรม มัน แทงกั๊ก อะลุ่มอะล่วย
เลือก เหยียบเรือ 2 แคม ได้ ซะที่ไหน กัน ล่ะ

พอมี In put เข้ามา มันก็จะ ประมวลผล
คัดกรอง และ จำแนก ข้อมูลที่รับเข้ามา
ตาม เงื่อนไข ที่ เรา set ไว้ มีแต่ Yes or No แค่ 2 ทางเท่านั้น
ไม่ใช่ มี ออปชั่น หลากหลาย ให้เรา เลือกตามได้ใจชอบ

และ เมื่อไร ตรรกะ+เงื่อนไข ที่ เรา set หรือ นิยามไว้
มัน "ขัดแย้งกันเอง" มันก็จะเกิด Error ขึ้นในระบบ
โปรแกรมก็มีอันเดี้ยง รันต่อไม่ได้

1311
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 13 สิงหาคม 2556 เวลา:21:26:15 น.  

 
 
 
ถามหน่อยเหอะ ถ้าวันหนึ่ง บริษัทที่ อิอ่อน ทำงาน อยู่
สั่งให้ อิอ่อน มัน เขียนโปรแกรม คัดกรอง ลูกค้า
ว่า ลูกค้าคนไหนเป็น มิจฉา คนไหนมีสัมมาฯ
เพื่อ ลดความเสี่ยงในการ ทำธุรกรรม ด้วย ล่ะ

อิอ่อน มันจะ มี ขั้นตอน-กระบวน
ในการ นั่งเทียน เขียนโปรแกรม ยังไง
เพื่อให้ได้ โปรแกรมช่วยคัดกรอง ตัวนี้ ขึ้นมา
โดยไม่ต้อง นั่ง สมาธิเพ่งกสิณ จนได้ เจโตปริยัติญาณ


สิ่งที่ ต้องทำ ใน อันดับต้น ๆ
ก็คือ ต้อง ไปหานิยาม และ เงื่อนไข
ของ คำว่า ทองเนื้อเก้า ทองยัดไส้
และ สัมมาฯ ในระดับสากล
ซึ่ง คนทุกคนในสังคม ยอมรับ
และ เข้าใจ ตรงกัน มาให้ได้ซะก่อน ใช่ป่ะ


เพราะ โปรแกรม เหล่านี้ ยูสเซอร์ มันมีหลากหลาย
จึงต้อง มีการสร้าง มาตรฐานกลาง ที่เป็นที่ยอมรับ ของส่วนรวม
มาเป็น บรรทัดฐาน เอาไว้ ด้วยไง
จะมา บอกว่า มาตรฐานใคร มาตรฐานมัน
คนโน้นว่าอย่าง คนนี้ว่าอย่าง
โปรแกรมเมอร์ ก็ ปวดหัว ตาย 5 สิจ๊ะ


และ ถ้ามัว ลังเล ฟันธงไม่ได้ ซะที
ว่า การกระทำเช่นไร เป็นสัมมา อะไร เป็น มิจฉาฯ
โปรแกรมมัน ก็แป๊ก รันต่อไปไม่ได้ เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
แล้ว มันจะบรรลุ เป้าหมายที่ต้องการได้ยังกันไง กันล่ะ

อ้อ แล้ว การ รีเชค ระบบ เพื่อ หา บั๊ค ใน โปรแกรม
มันก็เป็นเรื่อง สำคัญ นะ ละเลยไม่ได้หรอก เพื่อความเป็น ปกติสุข ของระบบ
เฮ้ออออ จะว่าไป แฮกเกอร์ กับ ไวรัส คอมฯ นี่ มันก็มีประโยชน์ ใน จุดนี้ เหมือนกันนะ
และ เรื่องนี้ มันก็ เหมือน การ ถกกันเพื่อ ธรรมะวิจัย
ทำ case conference และ ทำ PDCA นั่นแหล่ะ

ว่าแล้ว ก็ชักนึก ครึ้มว่ะ ไป เสวนาธรรมโม๊ะ ถกธรรม ก๊ะ เหล่า กูรู้ ที่ เวบอื่นต่อดีกว่า
ก็ ในเมื่อ ยูไทโฟร ไม่ว่าง กำลังรีบไปตกทอง แล้วนิ
งั้น ทั่นด๊อกฯ ไปแกว่งปากหาเท้า ก๊ะชาวบ้านร้านตลาด แก้เฉาปาก แทนก็แล้วกัน
เผื่อ วันดี คืนดี จะได้ออกเดท ก๊ะ เมเลตัส เหมือน โสเครติส มั่ง อ่ะ อิอิ

บ๊าย บาย แล้ว พบกันใหม่ เมื่อ ชาติ ต้องการ เช่นกันจร้าาา ^ 0 ^

ปอลิง

นี่ ๆ ฤกษ์ โพสความเห็น อันล่าสุด ของ อิอ่อนแอ๊บเนียน นี่
เหมือน ฤกษ์ จดทะเบียนสมรส ของ มาดามแอ๊บแบ๊ว เรยอ่า (เวลาดี 9:09 ซะด้วยวุ๊ย )
แหม๊ ? ใช้ ฤกษ์โพส เป็น เลขจ๋วย เหมือนกันงี้เนี่ย
สงสัย คงจะมี ความบริสุทธิ์ใจ ในระดับเดียว กัน แน่ ๆ
มิน่าล่ะ แถ-ลง เสร็จ ปุ๊บ ก็ยัง ไม่ สร้างความกระจ่างแจ้ง แก่ใจ
ยังก่อให้เกิดความสงสัยค้างคา กับ ชาวบ้านร้านตลาด อยู่เยยย อิอิ

บ๊าย บาย แล้ว พบกันใหม่ เมื่อ ชาติ ต้องการ เช่นกันจร้าาา ^ 0 ^
.
7212
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ หุหุ IP: 110.77.138.136 วันที่: 13 สิงหาคม 2556 เวลา:21:27:25 น.  

 
 
 
มาแถ-ลง อีกนิดนึง
โปรแกรมส่วนใหญ่น่ะ มี error เป็นปกติอยู่แล้ว ง่ะ
โปรแกรมเมอร์ที่เก๋าเกมส์น่ะ เขาก็รู้กันอยู่
ดังนั้นใครเขียนโปรแกรมดัก error ได้ครอบคลุมมากที่สุดเขาก็จะก้าวข้าม error นั้นไปได้เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย แล้วก็ stop run ออกจะระบบได้เรียบร้อย อิอิ ในโปรแกรมไม่ได้มีแค่ yes กับ no นี่นะ ยังมีโค้ดที่ใช้สำำหรับดัก error ด้วย ว่าถ้าเจอ error นี้ให้ทำแบบนี้ จะได้ไม่เดี้ยงก่อนที่จะถึงเป้าหมาย แล้วยังมี switch case สำหรับ ดักเงื่อนไขที่มากกว่า2 และยังมี looping until สำหรับเงื่อนไขที่ต้องทำงานจนกว่าจะบรรลุตามเงื่อนไขที่ตั้งอีก คนที่มีประสบการณ์เยอะก็เขียนโปรแกรมให้ทำงานได้บรรลุเป้าหมายได้มากกว่าคนที่มีประสบการณ์น้อย คนที่เข้าใจในเนื้องานก็จะเขียนโปรแกรมได้ตรงกับเนื้องานได้ดี งานที่ได้ก็จะมีประสิทธิภาพ

ปล. อิอ่อนมันอ่านมาถึงตรงนี้ มันยังเข้าใจหายสงสัยและไม่ค้างคาได้ใครจะบอกว่าชิ่งก็ไม่ว่ากัน อิอิ คนอื่นที่มาอ่านก็น่าจะได้คำตอบให้หายสงสัยได้เหมือนกันแหละน่า ส่วนใครที่ยังค้างคา ก็ไปวิจัยธรรมต่อเองละกัน เนาะ บาย ครั้งที่2

3872
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.168.73.127 วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:9:16:06 น.  

 
 
 
แหม๊ ?... อ่าน แถ-ลง รอบพิเศษ ของ อิอ่อน แล้ว
ก็ นึกถึง เดอะ ลิง อันนี้อ่ะ เอ้า ...เอามาฝากกกกกก จร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา

//www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=4516

//www.dhammada.net/2010/03/11/1327/

"ล้มกระดาน " วันละนิด จิตแจ่มใส อิอิ

ปอลิง 1

เอ ? แล้วไอ้ พฤติกรรม ชอบ ล้มกระดาน บ่อย ๆ จนเป็นสันด่าน นี่
มัน เข้าข่าย การกระทำที่ บริสุทธิ์ใจ แล เป็น สัมมา หรือ เปล่า ล่ะหว่า ?
แล้ว ถือเป็นการ จะก้าวข้าม error เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย
จน สามารถ stop run ออกจะระบบได้โดย สวัสดิภาพ ด้วยป่ะ

ไงว่าง ๆ อิอ่อน ก็ช่วยเขียน โปรแกมคัดกรอง ให้หน่อยน๊าาาาาา
จะได้ เอาไปให้ หลงพ่อ หลงตา ท่านใช้เป็น ออปชั่นเสริม
เวลา ทัก วาระจิต ชาวบ้าน จะได้ ดู ถูกต้องชอบธรรม
ไม่สุ่มเสียงที่จะโดนจับสึก ด้วย ข้อหา อวด อุตริ ฯ หุหุ


ปอลิง 2
ขอ อนุญาต อิอ่อน เอา เนื้อหาการเสวนาธรรม
ที่เราเม้าส์ กัน เกี่ยวกับเรื่อง สิทธัตถะถะ กะ การหนีเมียไปบวช
ไป อวดชาวบ้านช้าวช่อง โตย เน้อออออออออออออออ
ถ้าไง เดี๋ยว หลัง ออก พรรษา ปีหน้า โน้นนน
ออกจาก คุกขี้ไก่ เมื่อไร อิฉัน ก็กะว่า จะเอา เรื่องนี้
ไปเม้าส์มอยด์ ก๊ะ หนุ่ม ๆ ที่ พันติ๊ป ต่อ อ่ะจร้าาา

3567
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ อะซิก....อะซิก.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:21:13:52 น.  

 
 
 
ปอลิง 3
อ้อ จิงดิ... เห็น อิอ่อน มัน เคย เปรียบเปรย
ถึง เคส สิทธัตถะ หนีเมียไปบวช
โดย พูดเรื่องไฟ กำลังไหม้บ้าน ต้องรีบดับไฟให้ได้
ก่อน บ้านจะวอดวายไปทั้งหลัง อ่ะนะ


อิฉัน ก็เลย อยาก จะบอกว่า
ถ้า ทุกข์ มันเหมือน ไฟ ที่ กำลังไหม้บ้าน แล้วไซร้
สัมมาฯ ทั้งหลาย มัน ก็ เหมือน กับ อุปกรณ์ ที่ เราจะเอามาใช้
เพื่อช่วย ในการ ดับไฟ นั่นแหล่ะ

แต่ อันดับแรก ต้อง จำแนก แยกแยะ ให้ได้ก่อน
ว่า อะไร ที่มันมีคุณสมบัติ "ดับไฟ " ได้ อ่ะนะ


และ ถ้าอยู่ ในสถานะการณ์ ที่มันวิกฤต
มี ทรัพยากรจำกัด ติดขัดด้วย เวลาที่เหลือน้อย
ภายใต้ เงื่อนไขที่มันไม่ให้ ทางเลือก ที่มากมายนัก
จะ เออกแบบโปรแกรมชีวิต ให้ มี กระบวนการคิด และ ตัดสินใจไงดีล่ะ

อืม...จะ ลอง set สถานการณ์ สมมุติ
ที่ใช้เป็นเงื่อนไข ให้เห็นภาพ ชัดเจน ขึ้นนะ ....


เมื่อเกิด เคราะห์หามยามซรวย เราต้องติดอยู่ใน "ห้องที่ปิดตาย"
มี ไฟกำลังไหม้ ออกทางประตูก็ไม่ได้
มีทางออกทางเดียว คือ กระโดดลงมาจากหน้าต่าง
แต่ ไอ้ห้องที่ อยู่ หรือ มันก็ สูงจากพื้น เท่า ตึก 10 ชั้น แหน่ะ
ขืนโดดลงไป ความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย พอ ๆ กับ ถูกไฟครอกนั่นแหล่ะ
แถม ยังไม่สามารถจะไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านได้ อีกตะหาก

ทว่า บังเอิญ พบว่า ในห้องนั้น มี อุปกรณ์ที่ ดูแล้ว
คลับคล้ายคลับคลา ว่าน่าจะช่วยดับไฟ ได้ อยู่ 100 ถัง
แต่ มี เพียงแค่ 1 อัน เท่านั้น ที่เป็น ถังดับเพลิง
( ส่วน อีก 99 อันที่เหลือ เป็นถังแก๊ส LPG )
ถ้า คุณ เลือก ถูก คุณก็จะ รอด แต่ ถ้าเลือกผิด... บึ้มส์...!

งี้ เราจะรู้ ได้ไงล่ะ ว่า ถังไหน คือ ถังดับเพลิง ถังไหน คือ ถังแก๊ส ?น่ะ
แล้ว ถ้าขืน มัว ทดลองใช้ ทั้ง 10อย่าง ( หรือ เลือกใช้ผิดอัน )
มีหวัง โดนบอมส์ กลาย ย่าง เป็น หมูหัน แน่ ๆ เลย


อนึ่ง จาก สถานการณ์ นี้ จะเห็น ได้ว่า
ถ้า จะ ออกแบบ กระบวนการ คิด ออกมาเป็น โปรแกรม
เงื่อนไขของ การ รอดชีวิต ที่เสี่ยง น้อยที่สุด
ก็คือ เราต้อง "รู้ "ว่า ถังไหน คือ "ถังที่ ใช่" ที่ใช้ ดับไฟ ได้ อ่ะนะ
ไม่ใช่ เดาสุ่ม ด้วย การ ใช้ "ความรู้สึก" หรือ ไป โยนหัวโยนก้อย ด้นเดา
ว่า ถังไหน สามารถเอาไปดับไฟ ได้


แล้ว ในสถานะการคับขัน จำกัดด้วยเงื่อนของเวลา อย่างนี้
มัน ก็มีทางเลือก แค่ yes กับ no เท่านั้น อ่ะนะ
จะมาใช้ เทคนิก การ switch case เพื่อ ดัก error
ด้วยการ โดดหน้าต่าง จาก ตึก 10 ชั้น เพื่อ หนี ไฟที่กำลังจะมาถึงตัว
มันจะเหลือ เหรอ เธอว์ กระดูกกระเดี๊ยว คง ป่นปี้ไม่มีเหลือ อ่ะ
โอกาส รอด น้อย ตายหอง เลย มันสมควรจะเสี่ยง ไหมล่ะ ?


อืม....ที่ ยกตัวอย่าง ให้ ฟัง งี้ ก็ เพื่อจะบอกว่า

ตอนที่ สิตธัตถะ มันคิดจะหนีเมียไปบวช
มันก็เหมือน ชายที่ กำลัง จะถูกไฟครอก ในห้องที่ ปิดตาย นั่นแหล่ะ
และ " ห้องที่ปิดตาย " มันก็เหมือน พันธะผูกมัด อาทิเช่นลูกเมีย ฯลฯ
ส่วน ถังดับเพลิง มันก็เหมือน กับ สัมมาฯ อ่ะนะ

คือ อิฉัน กำลังจะ บอก ว่า
การ หนีลูกหนีเมีย ไปบวช ของ สิทธัตถะ ใน ตำนาน
มันก็เหมือนกับ การกระโดดหนีไฟครอก ออกทางหน้าต่าง
ลงมา จาก ตึก สูง 10 ชั้น นั่นแหล่ะเปอร์เซ็น รอดมันมีแค่ 0.000001 %
แต่บังเอิญ สิทธัตถะ มันโชคดี มี บารมีคุ้มกะลาหัวมั้ง
เลย ได้เป็น Survivor 0.000001 % คนนั้น ไง
ถึงรอดจากการ ถูก ย่างสดมาได้ แต่ก็สะบักสะบอมเอาการอยู่
ดูได้จาก ต้องมาเจอ วิบาก เรื่อง ทำทุกขกริยา
เจอ ตอ ซะตั้งนาน กว่าจะ ค้นพบ ทาง ออก

แถม ไอ้ห้องที่ ปิดตาย นั่น
ก็ โดนไฟไหม้ จนเสียหายไปมากมาย
กว่า เฮีย สิทธัตถะ แก จะ เยียวยาตัวเอง
แล้ว ถ่อสังขารกลับมา ช่วย ดับไฟ ในห้อง ให้ มอดได้


นี่ ถ้าเพียงแค่ สิทธัตถะ รู้เร็วกว่านี้
และ รู้จักใช้ สติปัญญา ที่มี มาโยนิโส พิณา ได้ ว่า
ถังไหนคือถังดับเพลิง ( อะไรคือ สัมมาฯ อะไร คือ มิจฉาฯ )
ก็คงอยู่รอด ปลอดภัย แบบไม่ต้อง มี ดราม่า แอคชั่น เป็น โทนี่ จา
ด้วยการโดดตึก ลงมาจาก ชั้น 7 เพื่อเพิ่มความขลัง หรอกนะ
แถม ห้องที่ปิดตาย นั้นมันก็ยังไม่ถูกไฟทำลาย
จนเสียหาย มากมาย แบบเช่นที่เป็นอยู่ ด้วยอะ เอิ๊ก ๆ


เฮ้ออ ...ที่แพล่มมาทั้งหมด นั้น
ก็เพราะอยากจะเตือน อิอ่อน ไว้ ว่า
อย่า เที่ยวไป สนับสนุน การกระทำของ ใคร สุ่มสี่สุ่มห้า
นึกว่า เก๋าทางคอมพ์ แล้วเที่ยว ด้อม ๆ มอง ๆ
ไป เชียร์ ไปยุให้ชาวบ้าน เขา switch case หนีไฟครอก
ด้วยการ โหน้าต่าง ออกมาจากตึก 10 ชั้นแบบเนี๊ยะ
มันไม่เวิร์ค นะเว้ยเฮ้ยยย

คนพวกนั้น เขา อาจจะไม่โชคดี มี บารมีคุ้มกะลาหัว
ตกลงมา จากตึกระฟ้า แล้วมี ดอกบัว ช่วยรองรับ เหมือน สิทธัตถะ ทุกเคส หรอกนะ
ฉะนั้น เอาเวลาที่คิดจะไปนั่งเชียร์
หรือ นั่งกดไลค์ เอ๊ย อนุโมทนา
เวลาที่เห็น ชาวบ้าน เขา โดดตึก หนีไฟ จน แข้งขาหัก

มา นั่งเทียน เขียนโปรแกรม
ช่วยให้ ชาวบ้าน มันจำแนกแยกแยะ ได้
ว่า อะไรคือ สัมมาฯ อะไรคือ มิจฉา
อะไร คือ ถังดับเพลิง อันไหน คือ ถังแก๊ส LPG น่าจะเวิร์คกว่านะ

และ ถึง อิอ่อน ผู้ รู้รักษาตัวรอด เป็น ยอดดี
มัน จะใจดำ อำมะหิต เช๊อะ ตรู ไม่คิด ที่จะช่วย เขียนโปรแกรม
เพื่อมา ซัพพอร์ตให้ ใคร หรอกนะยะ
เสียเวลาอัพเลเวล เข้า สู่ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง ของตัวเอง อ่ะ


ก็อยากจะ บอกว่า ไม่ต้อง นั่งเทียนเขียนโปรแกรม ไป ซัพพอร์ตคนอื่นก็ได้
แต่ อย่างน้อย ก็หัด เขียนโปรแกรม...
ช่วยจำแนกแยกแยะ มิจฉา-สัมมาฯ / ถังดับเพลิง-ถังแก๊ส
เพื่อเอาไว้ใช้ แก้ไข error ในชีวิตของตัวเอง หน่อยก็เข้าท่านะ
ถ้า ขืนชะล่าใจ คิดว่า การก้าวข้าม error ด้วยการล้มกระดาน เอ๊ย ด้วยการ switch case
มันก็คง วน looping until ไม่ได้ stop run ออกจะระบบ ซะทีหรอกน้าาา

9379
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ อะซิก....อะซิก.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:21:14:54 น.  

 
 
 
ปอลิง 4

อ้อ แล้ว เห็น อิอ่อน มัน ดูจะ พยาม ตะเกียกตะกาย
ไขว้คว้า มอง หาแต่ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง อยู่ตลอด ๆ เพื่อให้ บรรลุ เป้าหมาย
ก็อยากจะ บอกว่า บางครั้ง ถ้า "ไม่หยุดมองหา ก็คงไม่อาจมองเห็น " นะ


บางที ไอ้เรื่อง มรรคผลนิพพาน
และ การ ดับทุกข์ แบบ ถาวร ที่ อิอ่อนมันใฝ่ฝันหา นั้น
อาจจะ เป็นสิ่ง ธรรมดาสามัญ ที่ได้พบเจอ กัน ใน ทุกผู้ทุกคน
เมื่อเดินมาถึงบั้นปลาย อันเป็น ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ก็ได้


บางที " ความจริง " ที่ ปรากฏ อยู่ ตรงหน้า ในอนาคต นั้น
มันอาจจะกลายเป็นว่า ภพภูมิ ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มี
สังสารวัฏก็เป็น แค่นิทานหลอกเด็ก

เมื่อ คนทุกคน ตายแล้วก็ สูญ พ้นทุกข์ถาวรด้วยการกลายเป็นปุ๋ย
ไม่มีการ วนลูป มาเกิดใหม่ แล้ว ทุกข์ซ้ำซาก ใน สังสารวัฏ แบบที่ว่าไว้ ใน พระไตรปิฎก ก็ได้
เฮ้อออ เมื่อตายไป แล้ว อาจจะเหมือนกับ เวลาที่ เรา คลิ๊ก ชัตดาวน์
เพื่อ ปิด เครื่อง คอมพิวเตอร์ ก็ได้ อย่าคาดหวังอะไรนักเลย อ่ะ
ฝึก ทักษะ ให้ตัวเองสามารถ พ้นทุกข์ ได้ ณ ปัจจุบัน ขณะ
น่าจะเป็น ประโยชน์ กว่า การพยายาม หา วิธี พ้นทุกข์แบบถาวร
ด้วยการ ตามหา มรรคผลนิพพาน นะ ^ ^

บ๊ายบาย จร้าาาาาาาาาาาา
จะ ขอ อนุญาต หายหัว ออกจาก สุสานโบราณ
จิง ๆ แระน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ^ 0 ^


4397
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ อด กินตับ อะซิก....อะซิก.... IP: 110.77.138.136 วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:21:16:02 น.  

 
 
 
บาย จ้า

ขอไปทำภาระกิจส่วนตัวเพื่อมรรคผลนิพพาน แระจ้า
เรื่องอิ่นๆ นั้น หมดฟามสนใจแระ ก็เลยไม่มีอะไรมาแถ-ลง ต่อ
อิอิ

1294
*.*

 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.149.236 วันที่: 15 สิงหาคม 2556 เวลา:8:40:17 น.  

 
 
 
และแล้วเรื่องเจ้าชายหนีบวชก็อวสาน

จะมีภาคต่อไม้นี่
 
 

โดย: วิ. IP: 171.5.251.45 วันที่: 16 สิงหาคม 2556 เวลา:15:19:59 น.  

 
 
 
โห! สลายโต๋กันหมด
ยังกะมีใครจุดธูปเรียกแน่ะ ไหงคิดถึงกันได้พอดิบพอดีจินๆ
(จินๆเน่อ มะได้เข้าไปแอยตี้ละมุดมะนาน2นาน พอตะหงิดๆตุ่ยแว่บไปซุ่มโปง ก็เห็นทีเด็ดง่ะ)

ป้าๆฉะบายกันดีอยู่มัง เหล่าฮุมีเรื่องมาโม้ด้วยล่ะ

เคอ .. เหล่าฮูอัปเปหิตัวเองออกจากละมุดล่ะ เพราะมันเหม็น เอ๊ย มันมีแต่ฟามเห็นที่ประหลาดๆ หาคนคุยด้วยสนุกๆยากจัง คุยแล้ววงแตก เหมือนตอนไปคุยกะพวกมุสลิมเลย ทำไม๊เพื่อนๆที่นุ่นถึงเหมือนหูหนวก ตาบอดก็ไม่ฮู๊

เน่ ! บอกห้าย
เหล่าฮุแค่บอกว่า ทั่นมหาโลตัสพูดจาหยาบคาย ผรุสวาจา ไม่เชื่อไปฟังดูเส่
เท่าเนี้ย อีไล่เหล่าฮุตะเพิดเลยเว๊ยเฮ๊ย หาว่าเหล่าฮูเน่าในเว่ย

แหยะ เหล่านั้งถึงจะพอมีศรัทธาอยู่บ้าง แต่มันด่อกแด่กน่ะ เพราะพอเห็นศรัทธาอะไรมากๆทีไร ต้องมีอันพังทลายน่ะ เพราะผู้ค้าศรัทธามักจะทำหางโผล่เสมอ เลยมักมีอาการหวาดระแวง เวลาเค้าซื้อขายศรัทธากันแบบอึกมึกคึกโครม

ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ตล๊ก-ตลก พูกแล้วขำเด !

เหล่าฮุไปทิ้งระเบิดไอ้เณรคำล่ะ เมื่อ2ปีก่อนง่ะ
(//board.palungjit.org/5025071-post25.html)
มิคาดฝัน รายการทีวีตามไปเจาะอีล่วย ปรากฏว่า มีปราชิกจินๆง่ะ ถูกจับสึกมาก่อนจากธรรมยุตต์แล้วมาบวชในมหานิกาย แต่เป็นเณรคำตัวที่2น่ะ อีชื่อพระทองใบ ข่าวว่า ตอนนี้ไม่มีข่าวใดๆจากอี เพราะอีหายเงียบไปตั้งแต่เมษาแน่ะ ก่อนเณรคำตัวแรก(วีรพล)จะถูกเล่นงาน

ส่วนวิระพล กระทู้ถูกลบไป เพราะอีบอกว่า เพื่อให้เกิดฟามสงบ แต่ที่จิน เหล่าฮุว่า เพราะอีคงไปรับค่าโฆษณารึเป่าก็ไม่รู้ เพราะแปะทีไร พวกมอดชอบออกมาตอบโต้ หาว่า พระอริยะดูที่จริยาม่ายล่าย

เนี่ย ศรัทธาตาบอด เหล่าฮุว่าคนไทยพุทธแปะยิ่งซื่อบื่อ ทำไม๊เชื่ออะไรงมงายแบบน๊าน

พอครั้นไปได้ยินท่านมหาโลตัสเทศน์แปลกๆ ประกอบกะกัลยาณมิตรผู้เลื่อมใสท่านโลตัสชวนให้ไปฟังสตอรี่ เรื่องน้ำค๊งน้ำค้างบนใบบัวอะไรเนี่ยแหละ เลยชัดเลย!

ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

อั๊วะม่ายค่อยเลื่อมใสง่ะ ก็ทั่นเล่นพูกอะไรก็เข้าตัวหมดง่ะ สรรเสริญฟามเป็นอรหันต์ในตัวเอง หมดกันท่านมหาฯ

อรหันต์ที่ไหนขากถุยออกมาเป็นพระธาตุฟระ ไม่เคยเห็นในประวัติศาสนาพูกถึงซ๊ากอัน
ไหงถึงโกนผมก็เป็นไปได้ คายเศษอาหารก็เป็นพระธาตุ อะไรๆก็เป็นพระธาตุ มันตลก ง่ะ ทำไมคนถึงงมงายกะพระธาตุขนาดเน๊ และยิ่งท่านตอกย้ำดีกรีฟามเป็นอริยะส่วนตน
เหล่าฮุเลยมั่นใจว่า อีคงไม่ถึงขั้นน่ะ
(มีเรื่องเกี่ยวกะอรหันต์ท่านนี้อีก แต่ไม่ขอพูกถึงแล้วกัน เพราะเอามาเล่าให้ฟังสนุกๆดิบๆสุกๆ ถึงสาเหตุที่ถูกเพื่อนๆขับไล่ไสส่ง เพราะดันไปเบรคศรัทธาของคนอื่นไง

ฮ่ะ เดี๋ยวป้าๆบางคนก็อาจออกมาร่ายรำมวยใส่เหล่าฮุก็อาจเป็นได้ หรือไม่ก็สหายที่ไม่รู้จัก ก็อาจงงว่า จู่ๆก็รนหาที่ไปว่าพระอรหันต์ทำไมฟระ

ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ไว้จะมารอดูแล้วกันเน่อ ว่าจะมีใครออกจากรูมาแก้ต่างแทนมหาทั่นหรือเปล่าง่ะ มะเห็นเพื่อนๆที่แอนตี้จะออกมาแสดงเหตุผลเลยง่ะ อีไล่ตะเพิดเฉยๆ เหล่าฮุก็เลยไม่รู้เหตุผลน่ะเส่

แค่เน๊ก่อนนะ ด้วยฟามคิดถึ ง
ส่วนเรื่องloop ไม่loop error ไม่eror เหล่าฮุขอสงวนท่าที เพราะฟังเหตุผลของป้าบีแล้วก็น่าฟังง่ะ ส่วนของป้าอิอิ เหล่าฮุไม่แสดงฟามเห็น แต่ก็โมทนาด้วยนะที่จะกินมัง เห็นว่าจะให้นู๋2คนกิน จะดีเร๊อ

เรื่องนี้อยากขอฟามเห็นป้าปีเหมือนกันนะ ไม่เชื่อเรื่องกวนอิม แต่ชักอยากกินมังเหมือนกัน แต่เกรงจะกลายเป็นงมงายน่ะเส่ ในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นท่านสรรเสริญนี่หว่า(หรือมี ใครช่วยบอกที) เห็นมีแต่ไม่อนุญาตให้เทวทัตถือเคร่งแบบเน๊ เพราะจะเป็นเรื่องที่ทำให้อยู่ยาก-กินยาก ซึ่งกงกันข้ามกะป้าอิอิเลย เพราะป้ายกเหตุผลว่า จะได้กินง่ายอยู่ง่ายใช่บ๋อ เหตุการณ์นี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า เรื่องมั่ก มีให้กินก็กินๆๆไป มาเลือกนุ่น ไม่กินนี่ แต่จะกินนั่น ของฟรีเรื่องมากหนิ ปามาณเน๊

 
 

โดย: Lao Fu zi IP: 115.67.167.186 วันที่: 18 สิงหาคม 2556 เวลา:1:30:10 น.  

 
 
 
ป้าบีเซด
"บางที ไอ้เรื่อง มรรคผลนิพพาน
และ การ ดับทุกข์ แบบ ถาวร ที่ อิอ่อนมันใฝ่ฝันหา นั้น
อาจจะ เป็นสิ่ง ธรรมดาสามัญ ที่ได้พบเจอ กัน ใน ทุกผู้ทุกคน
เมื่อเดินมาถึงบั้นปลาย อันเป็น ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ก็ได้


บางที " ความจริง " ที่ ปรากฏ อยู่ ตรงหน้า ในอนาคต นั้น
มันอาจจะกลายเป็นว่า ภพภูมิ ไม่มี การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มี
สังสารวัฏก็เป็น แค่นิทานหลอกเด็ก
(เหล่าฮูขอแทรกนะ ภพภูมิน่ะมี แต่คือภูมิในกามาวจร รูป อรูป.. ซึ่งก็คือสภาวะที่จิตเกิดและดับในแต่ละขณะ เดี๋ยวดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย เดี๋ยววู่วาม เดี๋ยวโอบอ้อมอารี คุ้มดีคุ้มร้ายฯลฯ เนี่ยแหละมัง ที่เรียกกันว่าภพภูมิ หาใช่มิติซับซ้อนแบบสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกมุดอยู่ใต้ดินตามที่คนส่วนใหญ่ถูกบอกให้เชื่อ แต่ก็ขอแทงกั๊กนะว่า "อาจจะ"อย่างที่ป้าบีว่าไว้)

เมื่อ คนทุกคน ตายแล้วก็ สูญ พ้นทุกข์ถาวรด้วยการกลายเป็นปุ๋ย
ไม่มีการ วนลูป มาเกิดใหม่ แล้ว ทุกข์ซ้ำซาก ใน สังสารวัฏ แบบที่ว่าไว้ ใน พระไตรปิฎก ก็ได้
เฮ้อออ เมื่อตายไป แล้ว อาจจะเหมือนกับ เวลาที่ เรา คลิ๊ก ชัตดาวน์
เพื่อ ปิด เครื่อง คอมพิวเตอร์ ก็ได้ อย่าคาดหวังอะไรนักเลย อ่ะ
ฝึก ทักษะ ให้ตัวเองสามารถ พ้นทุกข์ ได้ ณ ปัจจุบัน ขณะ
น่าจะเป็น ประโยชน์ กว่า การพยายาม หา วิธี พ้นทุกข์แบบถาวร
ด้วยการ ตามหา มรรคผลนิพพาน นะ"

ว๊าว ! สาธุๆ

เพิ่งเจอตะกี้ มะอยากเชื่อเลยว่า จะพัฒนาก้าวหน้าจนถึงขั้นเน๊ ทั้งที่ตัวป้าเองก็ภาวนาอย่างเข้มงวดเสมอ แต่ก็กล้าแหวกความคิดโดยไม่แยแสว่า จะเป็นการลงทุนเสียเปล่า (ซึ่งถ้าคนส่วนใหญ่คิด หรือเชื่อดังว่า ก็คงไม่เสียเวลานั่งภาวนาน่ะ คงไปเสวยสุขซะละมาก ซึ่งก็เสร็จอีก พูกแล้วจะยาวซะเปล่าๆ)
คุ้มค่าแก่การได้สมาคมล่วย
เหมือนซื้อ1ได้ถึง10 คุ้มจินๆ !

ข้างบนแต่ละประโยค เด็ดอย่างยิ่ง
"ฝึก ทักษะ ให้ตัวเองสามารถ พ้นทุกข์ ได้ ณ ปัจจุบัน"
คมยิ่งฝ่าคม
และที่แท้ พระพุทธเจ้าก็สอนเพื่ออย่างนี้แหละ(เหล่าฮุว่า) ม่ายช่ายให้นั่งหลับตาตอนเน๊แล้วไปขึ้นสวรรค์หลังตายน่ะ หรือไปเอาดอกเบี้ยหลังเข้าโลงไปแล้ว ลางทีก็ส่งอาหารไปสวรรค์ผ่านพระ เหมือนท่านเป็นบุรุษไปรษณีย์ ลงทุนแบบนั้นมันเลื่อนลอย เหล่าฮุว่า การภาวนา มันเพื่อให้ได้ประโยชน์สำหรับที่นี่ และเดี๋ยวนี้ (เค้าเรียกแบบบาลีว่า ทิฏฐธรรมมิกรรถะ ง่ะ)
ปลื้มม่อก! ขอบอก!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 115.67.38.56 วันที่: 18 สิงหาคม 2556 เวลา:22:41:23 น.  

 
 
 
อ้อ แล้วเรื่องน้ำปานะ ก็เห็นล่วยนะ มันไว้ดื่มเพื่อปลอบใจละมากฝ่า ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องคาดหวัง ลดดีกรีฟามอยาก ถ้าจะฝึกตน ก็เห็นว่า ไม่ต้องไปรอน้ำปานะอะไรนี่ร๊อก เหมือนเร้าให้รอสนองอยากเปล่าๆ เหล่าฮุเห็นคนโวยด้วยว่า น้ำปานะไม่เห็นมีเลย หมดแล้วเหรอ อะไรเทือกเน๊

แต่ก็ไม่รู้สึกขัดใจ หากนักภาวนาจะมีรางวัลให้ตัวเองบ้าง เพียงแต่ท่าทีต่างหากที่ควรวางใจให้เป็นการฝึกตน

คนที่ฝึกตน มีน้ำปานะกิน กับที่ไม่ได้ฝึกตน กินน้ำปานะเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์การสนองอยากไม่ได้เหมือนกัน

คนฝึกตนแต่ก็รับน้ำปานะ ก็คงกินแบบเท่าทัน จะมีหรือไม่มี ก็ไม่รู้สึกแตกต่างอะไรมาก เพราะมันก็แค่ดื่มดับกระหายน้ำ อันนี้ไม่เรียกสนองตัณหา แต่เรียกว่า อินทรีย์สังวร ง่ะ (การสำรวมระวังการใช้ตา หู จมูก...เพื่อให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้มันเพื่อเป็นโทษ) หรืออาจเป็น"ปัจจยสันนิสิตศีล" ศีลคือการใช้สอยปัจจัยสี่ ให้เป็นไปตามความหมายและประโยชน์ของสิ่งนั้น คือการรู้คุณค่าแท้ๆและคุณค่าเทียมๆของมัน ถ้าบริโภคด้วยท่าทีแบบเน๊ ก็ไม่แปลกมัง

วันหลังอาจให้อมยิ้มก็ได้ถ้าใครนั่งได้ครบครึ่งชั่วโมง แหะๆๆ
 
 

โดย: อาแปะ IP: 115.67.38.56 วันที่: 18 สิงหาคม 2556 เวลา:22:55:33 น.  

 
 
 


อุ๊ยะ! ถูกใจ ใครมะรู้แปะรูปทั่นสมัครไว้ที่แอนตี้ละมุด
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โสงสัยเหล่าฮุจะไม่ทันสำเหนียกมังว่า พูดตรงทื่อๆเกินไป
ไปเรียกชื่อท่านมหาโลตัสกงๆ เลยมีคนสับสนและสงสัยว่า จะใช่ท่านปทุมหรือเปล่า
อย่ากระนั้นเลย เหล่าฮุเลี่ยงไปใช้คำว่ามหาบอนก็แล้วกัน ผุ้คนจะได้หายสับสนว่า ไปพาดพิงพระอรหมุนท่านใดเข้า เดี่ยวจะพลอยมาเขม่นผู้เฒ่าเข้า
กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆ

แต่ที่จินนะ เค้าควรไปเขม่นท่านมหาบอนนั่นตะหาก(ถ้ามีกึ๋นพอ) เพราะดันไปหลงคารมมหาเฒ่าขี้แง ร้องไห้ขี้มูกโป่ง
โคตระโม้เลยว่ะ เป็นอรหันต์เร๊อะ
จั๊กจี้สุกๆ

เหล่าฮุมิปราถนาพูกถึงมหาบอนนี่แล้วล่ะ ด้วยว่าท่านม่องเท่งไปเรียบโร้ยโรงเรียนอีสานแล้ว เดี๋ยวท่านจะลุกมาประท้วงท่านประธาน ต้องเดือดร้อนตำหนวดมาล้อมสภาให้วุ่นวาย

แต่ทว่า!

ก่อนจะสงสัยอะไร น่าจะไปดุซะก่อนว่า

พระพุทธเจ้าให้ทำอะไร ห้ามทำอะไร

เอาให้ชัดๆนะ จะได้ไม่ต้องมาถกเถียงกะเหล่าฮุว่า ไปติดเตียนพระอรหมุน เพราะพระพุทธเจ้าห้ามแม้พระอรหันต์แท้ๆไปบอกอุตริมนุสสธรรมแก่อนุสัมปัน

-ถ้าใครมีอุตริมนุสสธรรมแล้วทำอย่างนั้น ก็เป็นปาจิตตีย์

-แต่ถ้าไม่มีอุตริมนุสสธรรมแต่ดันขี้โม้เจื้อยแจ้ว ท่านว่า"ปราชิก"นา เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน
(เรื่องเน๊ เห็นเป็นที่รู้ๆกันอยู่แก่ใจกันทุกคน แต่ไฉนต่างพากันละเลยข้อห้ามข้อเน๊ ไปเห็นดีเห็นงามจนเกิดลัทธิเอาอย่างกันมากมายเป็นดอกเห็ด นี่ไม่ใช่เพราะไปแห่หอรหันต์กันเอิกเกริกแบบนี้หรอกรึ ถึงได้พากันอวดเป็นอรหันกันทั้งเมือง เห็นว่าเป็นผลเสียมากฝ่าผลดีอย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามเห็นๆ ก็ยังจะพร้อมใจกันเอออวย โสน้าน่าจินๆ)

สรุป จะมีหรือไม่มีคุณวิเศษ ท่านห้ามบอกอุตริมนุสสธรรม ง่ะ
แล้ว มหาโลตัสช่างจ้อ ดันมาบอกว่าตรูเองนี่แหละ อรหันต์

เฮ่ย โคตรโม้เลยว่ะ!



ครายสงสัยก็จงสงสัยต่อไป
แต่เหล่านั้งขอบาย ขี้เกียจยุ่งกะตาเฒ่านี่แล้ว
ยังไง๊ ยังไง ก็เป็นที่เคารพรักของเพื่อนๆตั้งมากมาย

เดี๋ยวเหมือนมหาโชว์ ที่เคยโดนมหาบอนว่า" ปากสกปรก"
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ
มหาโชว์แกปากไม่สงบเท่าไหร่ แกเลยสวนไปว่า "ปากอาตมาไม่สกปรกร๊อก เพราะไม่กินหมาก"

5555555555555555555555555555555555555

มิคาด เดิมทีก็เคยสงสัยว่า ทำไมไปว่ามหาบอนท่านอย่างนั้น
พอได้มาฟังมหาบอนจ้อเจื้อยแจ้ว ถึงบางอ้อเลย ที่แท้ ก็โม้สะบัดอย่างนี้นี่เอง

เอวัง ไปหาข้าวกินดีกั่ว แค่แวะมาบอกว่า ชอบมั่กๆ ถูกใจ๊ถูกใจรูปทั่นสมัคร เหมือนรู้ทันไปโม๊ด!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 115.67.135.37 วันที่: 20 สิงหาคม 2556 เวลา:23:08:42 น.  

 
 
 
อุ๊ย เลิม!
เอาคลิปเรื่อง"กวนอิมปริทัศน์" มาฝากเพื่อนบางคนง่ะ
//www.youtube.com/channel/UC829J2w7eh3r02ewcLm1yJw?feature=watch

คุณJaja Lala เค้าเอาของท่านหลวงพ่อสมภพมาแปะ
ใครไม่รู้จักท่าน ก็ลองไปฟังเน่อ จะได้เข้าใจเรื่องกวนอิมในด้านที่แตกต่างจากที่เคยซาบ
มี4ตอนเน่อ
แล้วที่จินอ่ะนะ ถ้าได้ลองไปอ่านสูตรชื่อปรัชญญาปรมิตตาหฤทัยสูตร ก็จะเห็นว่า
"โคตระโม้เลยว่ะ"
อี่ๆๆๆๆๆๆๆ
มีการบอกว่า ท่านอวโลกิเตศวรคุยกะท่านอานนท์ล่วย
อ่านผ่านๆก็น่าจะสำเหนียกได้น่ะ จี้เกีนจอ่านต่อเลย
 
 

โดย: คนเดียวกะคนตะกี้ IP: 115.67.135.37 วันที่: 20 สิงหาคม 2556 เวลา:23:21:11 น.  

 
 
 
อะโหล ๆๆๆ อาเหล่าแปะ เจ้าขราาาาาาาาาา
ยังอยู่แถวนี้ อ๊ะปล่าวน๊ออออออออออออออออออ
ถ้ายังอยู่ ( และ พอจะมีเวลา )
ฝาก อาเหล่าแปะ ช่วยเป็นร่างทรง
แงะ เอา เดอะลิง อันเนี๊ยะ

//www.tairomdham.net/index.php/topic,9192.0.html

ไปโพสเป็นกระทู้ แปะไว้ ที่ ห้องฟรีสไตล์
ในเวบแอนตี้ละมุดฯ ให้ทีจิคร้าาาาาาาาา
แบบว่า อิสมทรง มันโดน มอดเวบใจร้ายที่เวบนู้น
แบน ไอพี แอดเดรส แระ อ่า เข้าไปแร่ด ม่ะด้ายเยยยย อ่า
เก๊าะ เลยต้องแวะมาขออาศัยไหว้วาน สหายแถวนี้ เป็น นอมินี ให้ง่ะ แหะ....แหะ....


5270
 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 29 สิงหาคม 2556 เวลา:0:05:37 น.  

 
 
 
ใจร้าย ! ใจร้ายเห็นๆ

เหล่าฮุจะรีบทำตามประสงค์อย่างกุลีกุจอly
เพราะเดี๋ยวอีก็อาจแบนเหล่าฮู (ทั้งๆที่เหล่าฮูแบนมันก่อน)

 
 

โดย: Lao fu zi IP: 111.84.178.213 วันที่: 30 สิงหาคม 2556 เวลา:13:16:46 น.  

 
 
 
อ้อ
แล้วใครไปอ่านเจอ ช่วยๆเซฟด่วนเน่อ
กงนี้อ่ะ

//www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2105.0

เพราะเดี๋ยวอีก็คงเอาออก
(อาจรวมทั้งชื่อเหล่าฮุล่วย ซึ่งช่างแมรงมัน)
เก็บไว้เป็นเชลย เอ๊ย หลักฐานว่า
พวกนี้อีขี้อาย
หลอกด่าคนอื่นแล้วเหนียมอาย คงมะกล้าสู้ฟามจิน
เพราะคงกลัวเถียงไม่ออก เลยต้องรีบลบทิ้ง
แหะๆๆๆๆๆ

อ้อ แล้วเรื่องมหาบอนนั้นน่ะ
แปะไว้พักใหญ่แล้น มะยักมีคนมาติดต่อต่อยถาม หาหลักฐาน
ก็ช่างแมรงมัน
แปลกจิน มะยักมีคนสงกาว่า
มหาบอนร้องไห้ขี้มูกโป่งที่ไหน เมื่อไหร่
วจีทุจริตกงไหน(ครบเลย มุสา ปิสุณา ผรุสา สัมผัปปลาปะ)
ก็เป็นอันว่า หมดเวลาเฉลย ตามไปถามท่านเอาเองเน่อ
ไว้เหมาะๆเห็นควรต้องพูก ค่อยเอามาพูกก็แล้วกัน
นี่ไม่นับข้อที่ว่า อาจผิดศีลข้อ3ล่วย ฮี่ๆๆ
(มะบอกร๊อก ก็ไม่มีใครถามเอง ใครบ้องตื้นศรัทธา ก็จงเชื่อซะให้เข็ด)


จู่ๆก็นึกไม่ออกว่า จะพูกเรื่องที่ป้าบีว่าเอาไว้ข้างบน
ที่ว่า ชาติ ภพ อาจไม่ใช่อย่างที่เราๆเข้าใจกัน
อาจเป็นชาติ ภพ ที่เกิดขึ้น เป็นสภาวะที่จิตธรรมด๊า-ธรรมดาในใจเรานี่เอง
แต่ที่ต้องพูกแบบให้คนสมันนุ๊นพอเข้าใจ
เพราะขนาดไปพูกให้คนสมัยนี้ฟัง
มันก็คงไม่เก็ทอะไรง่ายๆ
ด้วยเพราะพร้อมจะโดดเข้าเชื่ออย่างงมงายในเรื่องอร่อยๆ
จำพวกสิ่งที่เหนือตาเห็น
ถ้าไปพูกธรรมดาๆ ก็คงไม่ต้องสอนใครพอดี
เพราะอาจไม่มีใครอยากฟัง

แต่เลิมไปแล้วน่ะว่า จะพูกอะไร
พักนี้เอ๋อๆชอบกล ต้องขออภัย
ไว้นึกออกค่อยมาเม้าท์-ถึ

อ้อ มีใครพอจะแนะนำอาหารมังสวิรัติอร่อยๆให้ได้บ้างอ่า
อยากกินจัง
ใครเคยไปกินที่ฮ่องกงมั่ง แถวๆหว่องไต่ซี๊น จะมีวัดอยู่
มีอาหารเจแบบโต๊ะจีน อร่อยคอดๆ

แต่ทำไม๊ ของไทยจึงแหลกม่ายลง
ทำไมไม่ทำให้อร่อยๆแบบเค้ามั่งเน๊อ!
เห็นที ต้องไปหาลอกสูตร เอามาทำขาย ท่าจะดี!
ครานี้รวยแน่แท้
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 111.84.178.213 วันที่: 30 สิงหาคม 2556 เวลา:14:19:05 น.  

 
 
 
แท้งกิ๋ว เจ้าค่ะ อาเหล่าแปะ
ที่ หลวมตัว...เอ๊ย....ใจดี ยอมมาเป็น นอมินี ให้ อิสมทรง ^ 0 ^

อืม...จิง ๆ ก็ว่าจะ มา เม้าส์ เรื่อง กินกินมังฯ แอนด์ อรหันต์เจ้าน้ำตา
ก๊ะ เรื่อง สัมมาทิฏฐิ ให้ อาแปะ ฟังเหมือนกันน้าาา
แต่ ช่วงนี้ ฤกษ์สะดวก ไม่มี เลยอ่ะคร้าาาาาาาา
ขอเป็น อาทิตย์หน้า ก็แระกันเน๊าะ ^ - ^

ปอลิง

ถ้ามีเวลา ฝาก เซฟ กระทู้ ที่โพสไว้ ใน เวบ แอนตี้
แนบไฟล์ ส่งมาให้อิฉันดูทางเมล์ หน่อยจิคร้าาาาาาา
นะนนะ แบบว่า โดน บล็อค ไอพี แอดเดรส
ใช้เนต ที่โรงพยาบาลเข้า เวบแอนตี้ บ่ ได้เยยยย T ^ T

1676


 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 30 สิงหาคม 2556 เวลา:16:33:10 น.  

 
 
 
เหล่าฮูเซฟแล้ว แต่มันมั่วๆน่ะ มะรู้ท่านป้าเปิดได้โบ๋

ถ้าไม่ได้ ทำไมไม่เข้าProxy serverล่ะ
เหล่าฮูใช้แอบเข้าเว็บต้องห้ามผ่านเว็บนี้ง่ะ ลองดูเส่
//www.freewebproxy.net/

ใส่แอดเดรสข้างล่างลองดูเน่อ คาดว่าน่าจะเข้าได้ ขนาดเว็บเปียกๆแฉะๆ หรือเว็บด่าจ้าว จาบจ้วง เขาไปดูเห็นรูปอล่างฉ่างบานเลย ไอซีทีเค้าผ่อนผันให้มัง ลองดูเน่อ

ไว้สะดวกแล้วก็ค่อยโบรรยายให้เหล่าฮูฟังแล้วกัน เหล่าฮุก็มีเรื่องอื่นจะปรึกษาง่ะ แต่ไม่เร่งด่วนอะไร ส่วนตั๊ว-ส่วนตัว
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.133 วันที่: 1 กันยายน 2556 เวลา:20:38:41 น.  

 
 
 

อืม...แท้งกิ๋ว สำหรับ เวบ //www.freewebproxy.net/
แต่ลองเข้าดูแระ เข้าไม่ได้อ่ะจร้าาาาาาาาาาาาาาาาา
อาจเป็นเพราะ โดน เวบต้นทาง มัน บล็อก ไอพี ก็ได้มั้ง
(ขนาด ลอง เปลี่ยนเครื่องคอมพ์ ใช้ทั้ง โน้ต บุ๊ค + ไอโฟน ยังเข้าไม่ได้เลยอ่ะ )
นี่ ยังบอกกับ พี่แอดมิน ที่ดูแล ระบบคอม ของ โรงบาล อย่าง ขำ ๆ ว่า
เนี่ย ตกลง สรุปแล้ว บี เลยเป็น สาเหตุ ให้ ไอ้เวบ แอนตี้ นี้
มัน จัดการ บล็อก ไม่ให้คนทั้งโรงพยาบาล เข้าไป อ่าน เวบมันได้ เลยอ่า
แต่ว่า คงไม่เป็นไร หรอกมั้ง เพราะ บีคิดว่า คนทั้งโรงบาล
ก็คงไม่มีใครสนใจจะ เข้าไปอ่าน เวบนี้ อยู่แล้ว 5555555


เฮ้อออ ก็ไม่รู้ว่า ทั่นมอด เค้า กลัว อะไร กับผู้หญิ๋งตัวเล็ก ๆ อย่างนู๋บี เน๊าะ
ถึงต้อง ขี่ช่างไล่จับตั๊กแตน ใช้แผนเผาบ้านตัวเองเพื่อกำจัดหนู อย่างนั้น อิอิ
นี่ก็ยัง สงสัย ตะหงิด ๆ อยู่เลยนะ ว่า
ที่ เวบนี้ ไม่มี ลูกศิษย์ ลพ. ป. มา แสดงความเห็นค้าน ในเวบแอนตี้ เนี่ย
เป็น เพราะ อาจารย์ตัว สั่งไม่ให้ยุ่ง หรือ เพราะโดน บล็อก ไอพี แบบอิฉัน กันแน่

แต่ก็ช่างเหอะ นะ จริง ๆ ถ้าอยากจะเข้าไปป่วน
อิฉันก็ทำได้อ่ะนะ ไม่เห็นยากเย็น อะไรหรอก แต่ ขี้เกียจแระอ่ะ
แค่เหล่าแปะ ใจดี มาเป็น นอมินี ไปโพส กระทู้ คนบ้า เมตตา พระ นั่น

อิตา มอดเวบ นั้น มันก็คงจะ แทบกระอักเลือดตาย แล้วก็ได้มั้ง หุหุ
และ ถ้า เดาไม่ผิด เหล่าฮู คงรู้ดี กว่า ใคร ๆ นะ
ว่า ทำไม อิฉัน ถึง ตั้งใจจะ โพส กระทู้ นี้ ในเวบ แอนตี้ ?อิอิ
แบบว่า เห็น อิตา โยมอุปถาก มัน โพส กระทู้

" เรื่องเล่า ความเมตตาของพระ ที่มีต่อ คนบ้า "

แล้ว รู้สึก ครึ้มอกครึ้มใจ อ่ะ เลย โพส กระทู้

" เรื่องเล่า ความเมตตาของคนบ้า ที่มีต่อ พระ "

ให้พวกมันเอาไว้อ่านเล่น เผื่อจะ สำเหนียก สำนึก อะไร ได้มั่ง อิอิ

อ้อ จริง ดิ คาดว่า ไอ้ ตัวหนังสือ ล่าสุด
ที่ อิฉัน ไปเฉ่ง อิตา Dirichlet คงโดน ลบทิ้งไปแล้วมั้ง
งั้น เอามา แปะ ให้ แควนขับ อ่านเล่น ดีกว่า

//www.tairomdham.net/index.php/topic,9231.0.html

เผื่อจาได้รู้ว่า เพราะ อะรัย มอดเวบที่เวบนู้น ถึงแค้นฝังหุ่น
ขนาดต้อง เผาบ้านเพื่อกำจัดหนู ซะ ขนาดนั้น หุหุ

 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 6 กันยายน 2556 เวลา:0:24:39 น.  

 
 
 
อ้าง อาเหล่าแปะ ว่า....

เรื่องนี้อยากขอฟามเห็นป้าปีเหมือนกันนะ ไม่เชื่อเรื่องกวนอิม แต่ชักอยากกินมังเหมือนกัน แต่เกรงจะกลายเป็นงมงายน่ะเส่ ในพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นท่านสรรเสริญนี่หว่า(หรือมี ใครช่วยบอกที) เห็นมีแต่ไม่อนุญาตให้เทวทัตถือเคร่งแบบเน๊ เพราะจะเป็นเรื่องที่ทำให้อยู่ยาก-กินยาก ซึ่งกงกันข้ามกะป้าอิอิเลย เพราะป้ายกเหตุผลว่า จะได้กินง่ายอยู่ง่ายใช่บ๋อ เหตุการณ์นี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า เรื่องมั่ก มีให้กินก็กินๆๆไป มาเลือกนุ่น ไม่กินนี่ แต่จะกินนั่น ของฟรีเรื่องมากหนิ ปามาณเน๊

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++.

นู๋บี ว่า

อืม...ที่เหล่าฮู เกิดข้อ กังขา ว่าด้วยเรื่อง การกินมังฯ
มัน เป็นเรื่อง อยู่ง่ายกินง่าย หรือ ว่า อยู่ยากกินยากนั้น
มันก็ต้องดู บริบท ด้วยมั้ง ว่า สมณะโคดม กำลังคุยกับใคร อยู่

ถ้า คุยกับ ผู้ที่อยู่ใน สถานะ ภิกษุ ( ซึ่ง แปลว่า ผู้ขอ ) นั้น
การที่ สาวกขอทานแขกแดร๊กหมู จะมา เลือกสุกเลือกดิบ สารพัด มันก็กระไรอยู่นะ
ในเมื่อไม่ใส่ใจจะ ทำมาหากิน คิดแต่จะงอมืองอเท้า
เที่ยวเดินเพ่นพ่าน ไป บิณฑบาตร เพื่อขอ ข้าวชาวบ้าน เขากิน งี้
ก็ไม่ สมควรที่จะ มีสิทธิ ในการ เลือกสุกเลือกดิบ อ่ะนะ
ต้อง เป็น ผู้ "อยู่ง่ายกินง่าย " กล่าวคือ
เขายื่นอะไรใส่บาตร เจียดมาให้กิน ก็ต้อง กินทั้งนั้น
เป็นเพียงขอทานเที่ยวขอข้าวเขากิน
แล้ว ยังจะมีหน้า เจื๋อกมาเลือกมาก ในการ ยัด5 ได้ไง กัน

เนี่ย เมื่อไม่นานมา นี้ มีพระวัดนึง
มารับกิจนิมนต์ ที่โรงพยาบาล อ่ะ
พี่ที่ ห้องยา ซึ่ง รับหน้าที่ ดูแล บอกน้องที่เป็น ลูกมือ ประมาณว่า
พระวัดนี้ เป็นพระที่จะฉันแต่มังสวิรัติ
ฉะนั้น เวลา ถวายเพล ให้ เลือก อาหารด้วย
จะ ถวาย "ตามสะดวก" แบบ เดิม ๆ
ที่เคยทำ เวลานิมนต์ พระวัดอื่น มา ก็คงจะไม่ได้ฯลฯ

ไอ้น้อง คนนั้น มันฟังแล้ว ก็ เงียบไปเลย ไม่โต้ตอบ อะไร
แต่ก็ไม่รู้นะ ว่า ในใจมันจะคิดไง อาจจะคิดเหมือน อิฉันก็ได้มั้ง อิอิ


อ้อ ส่วนในกรณีที่ สมณะโคดม กำลังคุยเรื่อง การอยู่ง่ายกินง่าย
โดย คุยกับ ผู้ที่อยู่ใน สถานะ ฆราวาสธรรดา ( ที่ยังต้อง " หุงหาอาหารกินเอง " )
การ กินมัง ฯ ก็ ย่อม เป็นสิ่งที่ทำให้ อยู่ง่ายกินง่าย ( กว่า การกิน เนื้อ )
ตามที่ อิอ่อน มัน บอกไว้ จริง ๆ นี่หว่า
เพราะ ถ้า เทียบกัน ระหว่าง การปรุงอาหารโดยใช้พืชกับ การ ปรุงอาหารโดย ใช้สัตว์
แบบไหน มัน ทำให้หุงหาอาหาร กินได้ง่าย อยู่ได้ง่าย มากกว่ากันล่ะ
ยิ่ง ถ้าเป็น สมัยก่อน ด้วยแล้ว ถ้าเงินไม่ถึง
โอากาสจะได้ กินเนื้อ นี่ มัน ทำไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ

แต่ถ้าจะกิน มังฯ ก็แค่ เดินไปเก็บผักเก็บหญ้า ข้างทาง มาต้มกิน
หรือ ถ้า ไม่มี อะไร กิน แค่ กินข้าวเปล่า ก็ได้แล้ว
ง่ายกว่าการเข้าป่า วิ่งไล่ล่า หาเนื้อสัตว์ มาประกอบอาหาร ตั้งแยะ นี่
ฉะนั้น ในฐานะ ผู้เป็น ฆราวาส อิอ่อนมันก็ พูดได้ถูกต้อง ตามเหตุปัจจัย นี่
ที่บอกว่า การ กินมังฯ ทำให้ อยู่ง่ายกินง่าย ( มากกว่า การ กินอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อ )

อ้อ แต่ถ้า อิพวกกินมัง มันเลือก สุกเลือกดิบสารพัด
ดัดจริ๊ต ร้องหาจะกินแต่ อาหารมังสวิรัติอร่อยๆ แถวๆหว่องไต่ซี๊น
หรือ ไม่ยึดหลัก "เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนคนอื่น "
ทำให้ ชาวบ้านชาวช่อง ต้องมาเดือดร้อน วุ่นวาย
ต้อง ไป ล้าง กะทะ กับ ตะหลิว แล้วมา ลำบาก กับการ กินมังฯ ไปด้วย
อันนี้ ก็ ไม่ถือว่า เป็น การกินมังฯ ในสไตล์ อยู่ง่ายกินง่าย นะ
แต่เข้าตำรา พวกสนิมสร้อย เหยียบขี้ไก่ ไม่ฝ่อ อ่ะ อิอิ


เฮ้อออ ... จริง ๆเกี่ยวกับ ไอ้เรื่อง การกินมังเนี่ย
เมื่อ หลายปีก่อนนู้น ก็เคย แทคทีม ก๊ะ ไอ้โซ๊ยตี๋
ไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ที่ เวบพังจิต อยู่เลยอ่ะ

//board.palungjit.org/f10/กินเนื้อสัตว์บาปหรือไม่-210008.html#post2541069

( ไม่อยาก บอกเลยว่า ไอ้คำว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม "
ที่ อิฉันหยิบไปใช้ ที่ เวบแอนตี้ นี่ก็ หลอยมาจาก ไอ้ โซ๊ยตี๋ นี่แหล่ะ อิอิ )

ส่วน อันนี้ เอามาฝาก อิอิ

//topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2012/10/Y12786104/Y12786104.html#18


อนึ่งเกี่ยวกับเรื่องกิน มัง ฯ โดย สรุปแล้ว อิฉัน สนับสนุน และ เห็น ว่า เป็น "สัมมา ฯ "
เฉพาะ ในกรณี ที่ ผู้กินมังฯ มีเจตนากินมัง ฯ เพื่อ ลดการเบียดเบียน ชีวิตอื่น อ่ะนะ
ไม่ใช่ กินเพื่อเอาบุญ เอาหน้า ว่า ตรูข้า ดูธรรมมะธรรโม กว่า ชาวบ้านเขา
 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 6 กันยายน 2556 เวลา:0:25:57 น.  

 
 
 
อ้าง
เหล่าแปะ ว่า...

จู่ๆก็นึกไม่ออกว่า จะพูกเรื่องที่ป้าบีว่าเอาไว้ข้างบน
ที่ว่า ชาติ ภพ อาจไม่ใช่อย่างที่เราๆเข้าใจกัน
อาจเป็นชาติ ภพ ที่เกิดขึ้น เป็นสภาวะที่จิตธรรมด๊า-ธรรมดาในใจเรานี่เอง
แต่ที่ต้องพูกแบบให้คนสมันนุ๊นพอเข้าใจ
เพราะขนาดไปพูกให้คนสมัยนี้ฟัง
มันก็คงไม่เก็ทอะไรง่ายๆ
ด้วยเพราะพร้อมจะโดดเข้าเชื่ออย่างงมงายในเรื่องอร่อยๆ
จำพวกสิ่งที่เหนือตาเห็น
ถ้าไปพูกธรรมดาๆ ก็คงไม่ต้องสอนใครพอดี
เพราะอาจไม่มีใครอยากฟัง

++++++++++++++++++++++++

นู๋บี ว่า....


อืม...ถ้าไอ้เรื่อง ภพภูมิ เป็นเรื่องของ สภาวะจิตธรรมดา ๆ
แต่ สมณะโคดม ใช้อุปมาอุปมัย เล่าให้น่าสนใจ
เพราะ เจตนาดีที่จะสอนเรื่อง ภพภูมิ -ชาติหน้า ชาตินี้ ให้ ชาวบ้านเก็ท
อย่างที่เหล่าแปะ พยามจะข้อแก้ตัว ให้ สมณะโคดม จริง ๆ


ก็แล้วทำไม ต้อง"อยากสอน" หรือ อยากให้ใครมาสนใจฟัง ด้วยล่ะ
สมณะโคดม นี่เป็น นักการตลาด หรือไง ?
ทำไม ถึงต้องพูดความจริงเพียงบางส่วน ?
ทำไม ไม่พูดจาอย่างตรงไปตรงมา ?
จะพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทำไม ?
แบบนี้ มันพูดโฆษณาชวนเชื่อ เข้าข่าย " อำความ"
ไม่มีความตรงไปตรงมาในการสนทนา เข้าข่าย วจีทุจริต นะนั้น
กลัว "เรทติ้งตก" แล้ว ไม่มีคน ให้ทานเอาข้าวมาให้กิน หรือไงกัน?
แล้ว การกระทำ เช่นนี้ มันจะเรียกว่า สัมมา ฯ ได้อย่างเต็มปาก หรือไม่


อืม...เรื่องนี้ มันก็คง คล้าย ๆ กรณี สิทธัตถะ หนีเมีย ไปบวช
ที่ ทั่นด๊อกฯ มัน เสวนา กับ อิอ่อน นั่นแหล่ะมั้ง
นี่ ทั่นด๊อกฯ มันยัง เฉาปากตะหงิด ๆ อยู่เลย ว่ะ
ที่ อิอ่อน มันเป็น นกรู้ หอบมงกุฏ กับ สายสะพาย
ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไปภาระกิจส่วนตัวเพื่อมรรคผลนิพพาน ซะก่อน
โดยที่ยัง เสวนาเรื่องนี้ กันแบบไม่เคลียร์ อ่ะนะ ( อดกินตับ อิอ่อนมันเยย หุหุ )


แต่ก็ได้เห็น ตับไตไส้พุง และ เห็น " อะไร ๆ "ที่เป็น วาระ ซ่อนเร้น
ซึ่ง หมกเม็ด อยู่ภายใต้ คำว่า "บริสุทธิ์ใจ" ของ อิอ่อน มัน เยอะแยะเลย นะแปะ อิอิ
น่าขำนะ คนที่มีความ บริสุทธิ์ใจ ที่ไหน มันจะชิ่งหนี
ทั้ง ๆ ที่ยัง ตอบคำถามได้ไม่เคลียร์ ในทุกประเด็นล่ะ



ดูอย่าง ตอน ที่ไอ้โซ๊ยตี๋ มัน มาร้องโฮ่ง ๆ แฮ่ ก่อนหน้านี้ ดิ
ถ้าสังเกตให้ ดี คำถามทุกคำถาม และทุกประเด็น ที่ มันเอามาเป็น โจทก์
แล้วแหกปากหาเรื่องจะ ถลกหนังหัว เพื่อชำแหละหาเนื้อนาบุญของ อิฉันนั้นน่ะ
อิฉันก็เก็บมาตอบแบบชัด ๆ เคลียร์ ๆ ในทุกเม็ด ก่อนที่จะ ชิ่งเข้ากะลา นะ
ไม่เคย ทำเป็น หูทวนลม อมพะนำ แบบแทงกั๊ก เลยด้วย

คิดดูดิ ขนาดยื่นหน้า ให้มัน ชำแหล่ะเล่น ซะขนาดนี้
ก็ไม่เห็น ไอ้ตี๋ปากหมา มันจะขย้ำคอหอย อิฉันได้ เลยนิ
เฮ้ออ เพราะงี้ ล่ะมั้ง ไอ้ตี๋มันถึง เรียก อิฉันว่า อิตั้วเจ้
แต่ เรียก คนบางคน ว่า อิอ่อนนนนนนน เอิ๊ก ๆ


แหม๊ ? แต่ พูด ก็พูดเหอะนะ เห็น อิอ่อน มัน บอกว่า
ขอตัว ไปภาระกิจส่วนตัวเพื่อมรรคผลนิพพาน นี่
รู้ป่ะ อิฉัน นึกถึง เรื่อง อะไร ?
อิฉัน นึกถึง เรื่อง ที่ พระรูปหนึ่ง เคย เล่า ไว้น่ะ
เรื่องของ คุณนายที่ทา ลิปสติ๊ก ปากแดงแจ๋
แต่ She พยามพร่ำเพ้อ ว่า ตนนั้น ปรารถนา จะเข้าถึง มรรคผลนิพพาน ไง


น่าขำนะ ขนาด แค่ถกธรรม กัน
ถึงเรื่อง การกระทำ ใดเป็น สัมมาฯ /
สิ่งใดเป็นกุศล- สิ่งใดเป็น อกุศล
โดย หยิบยกเอา การกระทำ ของ บุคคล
ที่เป็น ดิ ไอดอล มาเป็น เคส สตั๊ดดี้
อคติ 4 ก็ มาบังตา จนมืดบอด ซะแระ
ถ้า อีแค่ การกระทำแบบใด เป็นสัมมา- กุศล- อกุศล
ยัง ฟันเฟิร์ม แยกแยะ ไม่ได้ มันจะไปเจอ มรรคผลนิพพาน ได้ยังไง๊

เนี่ยตั้งแต่ คุยกันมา เรื่อง สัมมา กับ การหนีเมียไปบวช เนี่ย
อิอ่อนมัน ยัง ไม่สามารถ ตอบได้เลยว่า

ทำไม การกระทำอย่างเดียวกัน (โดยมีมโนกรรมเดียวกัน)
คือ กระสันอยากจะหาทางพ้นทุกข์ จนใช้ลูกเมียเป็นบันไดเหยียบ
เมื่อ ชาวบ้านทำ จึงไม่เป็น สัมมา แต่ พอ สิทธัตถะทำ จึงเป็นสัมมาฯ

ส่วน ไอ้คำ อธิบายตามตำรา ที่อิอ่อนมัน จำ ๆ ขี้ปากเขา มาแถ-ลง
ทั้งเรื่องการเสียสละความรักในลูกเมีย สละราชสมบัติ
ยอมลำบาก เพื่อไปปฏิบัติ หาทางพ้นทุกข์โปรด สรรพสัตว์
บุพกรรมแต่ชาติปางก่อน ที่ทำให้ นางสิริมหามายา ต้องถูกทิ้ง ฯลฯ

ครั้น พออิฉัน ใช้ นิยาม ของคำว่า กุศล อกุศล มาเป็น บรรทัดฐาน ในการวินิจฉัย
มีการ อธิบาย เหตุผล มา หักล้าง ได้ในทุกประเด็นที่ อิอ่อนมันกล่าวอ้าง
จนทำให้ คำตอบของ อิอ่อน ที่แก้ตัวให้ สิทธัตถะ มัน ขัดแย้งกันเอง
( ขัดแย้งกับ กับ นิยาม ของคำว่า กุศล อกุศล ที่อยู่ใน พระไตร ปิฎก
อิอ่อนมันก็ ไปไม่เป็น ตอบไม่ได้ว่า อะไรคือเหตุปัจจัย
ที่ การละทิ้งครอบครัวไปบวช ของ สิทธัตถะ นั้น เป็น สัมมาฯ

สุดท้าย ก็มาอ้างว่า ในเมื่อ ต้นเรื่องมาจากตำรา
ถ้าไม่เอาตามตำราก็เอาตามทิฏฐิใครทิฏฐิมันฟังแล้วก็ น่าขันนะ แปลกไหมล่ะ
ทิฏฐิ ในเรื่อง อะไร คือ กุศล / อะไร คือ อกุศล
ทั้ง อิฉัน กับ อิอ่อน ก็ ยอมรับ ในนิยาม เดียวกัน
( คือ ยอมรับนิยาม ของ คำว่า กุศล/ อกุศล ใน พระไตรปิฎก ) ด้วยกันทั้งคู่
แต่ พอ คนหนึ่ง ใช้นิยามที่ยอมรับเหมือนกันนี้ มาเป็น บรรทัดฐาน
ในการ วินิจฉัย การกระทำ เพื่อเป็น กรณี ศึกษา


ทั้ง ๆ ที่ใช้ บรรทัดฐาน เดียวกัน แต่ คำตอบที่ได้ กลับไม่เหมือนกัน ซะงั้น


อิฉัน บอกว่า การ หนีเมียไปบวช นั้น มันไม่เป็น สัมมา
โดย ใช้ บรรทัดฐาน เรื่อง นิยาม ของ กุศล อกุศล ตาม ใบลาน 3 ตะกร้า
แต่เมื่อ อิอ่อน บอกว่า การหนีเมียไปบวช ของ คนอื่นไม่ใช่ สัมมา
ทว่า ถ้าเป็น สิทธัตถะ ทำ กลับเป็นสัมมา เป็น กุศล
กระนั้น อิฉัน ก็ไม่เคยเห็น อิอ่อน มันจะ แยกแยะ
โดยใช้ นิยามของ กุศล อกุศล ใน พระไตรปิฎก มา แสดงให้เห็นเลยว่า

การละทิ้งครอบครัวไปบวช
โดยไม่ คำนึงถึง ความรู้สึกของผู้อื่น
นึกถึงแต่ ความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว ของ สิทธัตถะ นั้น
มัน ต่างจาก การขับเคลื่อนของ ตัณหา-วิภวตัณหา ของคนอื่นอย่างไร


อืม.. พูดแล้ว ก็ให้นึกถึง คำพูดของ คุณ ซ่อนนาม ใน เวบพันทิปนะ

++++++++++++++++++++++++++++++
ซ่อนนาม ซ่อนชื่อ
เพราะการตัดสินในคุณค่าของสิ่งที่ทำ
ไม่ใช่การตัดสินที่เขาเป็น"ใคร"
หากให้ตัดสินใน "สิ่งนั้นที่เขาได้กระทำ "
โดยไม่อิงสิ่งที่คนผู้นั้นเป็นหรือได้เคยทำเมื่อก่อนหน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เฮ้อออ สำหรับ อิฉันแล้ว คำว่า สัมมาฯ นั้น
มันไม่ใช่ มีความหมาย ตื้นเขิน แค่ว่า มีเจตนาดี เท่านั้น นะ
แต่ สิ่งที่จะเป็น สัมมาฯ ในมาตรฐานของ อิฉัน นั้น
อย่างน้อย ๆ มันต้อง มี คุณ สมบัติ ดังนี้ ด้วย

1.เมื่อ กระทำแล้ว สิ่งนั้น ต้อง ไม่ละเมิด "สิทธิโดยชอบธรรม" ของผู้อื่น ที่เขาพึงมีพึงได้

2.เมื่อ กระทำแล้ว สิ่งนั้น ต้องไม่เป็นไปในทางที่ ละทิ้งความรับผิดชอบใน หน้าที่ ทั้ง ต่อตนเอง และ ผู้อื่น

3.เมื่อ กระทำแล้ว สิ่งนั้น ต้องเป็น กุศล
และ ไม่เป็น สิ่งที่ "บัณฑิต" ทั้งหลาย ต้องติเตียน

ถ้าเป็น อาแปะ คิดว่า ทั้ง 3 ข้อนี้ เป็น มาตรฐานที่ ยอมรับได้ หรือไม่ล่ะ
และ ถ้า เอา การกระทำ" ละทิ้งครอบครัวไปบวช "
มา เทียบเคียงกับ มาตรฐานดังกล่าว มันมีการ ขัดแย้งกัน หรือไม่ ?

 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 6 กันยายน 2556 เวลา:0:26:40 น.  

 
 
 
อ่ะ เอา ตัวหนังสือ ที่ ตั้งใจจะเขียน
เป็น กระทู้ถาม ที่ พันทิป มาให้อ่าน

++++++++++++++++++++++++++++++

ข้อกังขา ในตะกร้า 3 ใบ ( ไตรปิฎก ) เกี่ยวกับเรื่อง....

สัจจะทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ ต่างกัน อย่างไร ?

สัจจะทิฏฐิ
= ความเชื่อ(ทิฏฐิ) ที่เป็น ความจริง (เป็นสัจจะ)
เช่น ความเชื่อที่ว่า น้ำ สามารถดับ ไฟ ได้ ( ในสถานการณ์ทั่วๆไป )
จัดว่า เป็น สัจจะทิฏฐิ

ซึ่งไม่ว่า คุณจะนับถือศาสนาอะไร
เป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม หรือ ไม่ นับถือ ศาสนาอะไรก็ตาม
เมื่อ คุณ ใช้น้ำดับไฟ มันก็สามารถดับ ไฟ ได้ เหมือนกันทั้งนั้น

สัมมาอาชีวะ
= อาชีพ(อาชีวะ)ที่สมควรทำ ( เป็นสัมมา)

ฉะนั้น จึงอนุมาน ได้ว่า
สัมมาทิฏฐิ
= ความเชื่อ(ทิฏฐิ) ที่สมควรเชื่อ ( เป็นสัมมา )



การปฏิเสธ ในเรื่องของภพภูมิ การเวียนว่ายตายเกิด ชาติหน้าชาตินี้
มันเป็นความเชื่อที่ไม่สมควรอย่างไร เพราะเหตุใด ?

อนึ่ง จากที่เห็นผ่านตา ทำให้รู้สึกว่า
บางสิ่งที่ตะกร้า 3 ใบ สอนไว้ (เมื่อ 2500 ปี ก่อน)
มันก็ สักแต่ว่า สอนให้ ท่องจำ เป็นนกแก้วนกขุนทอง เท่านั้น
แต่ไม่เคยสอนให้ ทำความเข้าใจ และ อธิบายให้เกิดความกระจ่าง เลย... ?

ผ่านมา 2500 ปี แล้ว ก็ยังคง สอนกรอกหูแค่ว่า
สิ่งนี้เป็น สัมมา สิ่งนั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
แต่ไม่เคยบอกลึก ถึงรายละเอียด ให้มันเคลียร์ ๆ เลยว่า
คำสอนที่ สอนๆ กันมาตามตำรานั้น
มันเป็นความเชื่อที่ไม่สมควรอย่างไร เพราะเหตุใด

และพอมี ข้อมูลมาหักล้าง ที่ขัดแย้งกับตำสอนดังกล่าว
เช่น กรณีของ แม่ชีเทเรซ่า ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล
ก็อธิบายไม่ได้ เหมือน หมกเม็ด มีวาระซ่อนเร้น


ทำไม ในพระไตรปิฎก จึง สอนประมาณ ว่า...
การปฏิเสธในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด
และ การมีอยู่ของนรก -สวรรค์ เป็น มิจฉาทิฏฐิ คะ

รบกวน ขอเหตุผลด้วยคะ
ที่บอกว่า เรื่องนี้เป็น มิจฉาทิฏฐิ นั้น

มันเป็น มิจฉาทิฏฐิอย่างไร เพราะอะไร
และ อะไรเป็น บรรทัดฐานในการพิจารณา

หรือว่า เชื่อตามตำรา ที่ท่องจำแล้วบอกต่อกันมา เท่านั้น ?
เขาว่ายังไง ก็ เชื่อกันตามนั้น

แต่พอ ใครสงสัย ก็ เอาคำว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่มา ขู่
ทั้ง ๆ ที่ ตนเอง ก็ ไม่เคยรู้ และ ให้คำตอบ กับ ผู้ถามได้เลย ว่า
อะไร คือเหตุปัจจัย ที่ทำให้ การปฏิเสธในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ เป็น มิจฉาทิฏฐิ


เคยตั้งกระทู้ถาม ว่า

การเวียนว่ายตายเกิด และ การมีอยู่ของนรก -สวรรค์ นั้น
มันเป็น อกุศล ที่ตรงไหน ? บัณฑืตทุกท่าน( รวมทั้งใน อิสลาม /คริส ฯลฯ )
กล่าวติเตียนความเชื่อนี้ หรือไม่ อย่างไร ?
ก็ไม่เห็นจะมีใครมาตอบให้มัน ตรงประเด็นเลย

 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 6 กันยายน 2556 เวลา:0:27:13 น.  

 
 
 
อ้อ ส่วน เรื่อง อรหันต์ เจ้าน้ำตา นั้นน่ะ
เคยไป เม้าส์มอย ก๊ะ ชาวบ้าน ไว้ ใน

//board.palungjit.org/f4/ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้-ร้องไห้ได้-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน-347228.html

เหมือนกัน อ่ะนะ

อิฉัน มีความเห็น คล้าย ๆ กับ คุณ รีล มาดริด นะ
ว่า พระอรหันต์ จะ น้ำตาไหลพราก ได้
ก็ เพราะ โดน คนเอานิ้วจิ้มตา หรือว่า กำลัง นั่งปอกหัวหอม เท่านั้นนะ
ส่วน ถ้า ใคร ขืนมา ใช้ คำว่า ธรรมสังเวช มาเป็นไม้กันหมา
เพื่อ ปกป้อง สถานะ อรหันต์ของตน ในเวลาที่เจ้าตัวต้องหลั่งน้ำตา
มันก็ออกจะ ทะแม้ง ๆ อยู่ว่ะ


2539

 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 6 กันยายน 2556 เวลา:0:27:55 น.  

 
 
 
อุ๊ยะ ขอโทษๆ ไม่ได้แวะมาเที่ยวเลยมะรู้ว่าได้ทิ้งคำตอบเอาไว้(ซะยาวเชีย)

แปลกจิน ทำไมเข้าProxy serverแล้วยังไปไม่ได้ เหล่าฮุก็ไม่ได้รู้เรื่องมากนักเรื่องคอมฯ แต่มีปัญหาตอนเข้าไปดูเปียกๆแฉะๆไม่ได้ ก็กระเสือกกระสนจนไปเข้าเว็บจำพวกนี้แหละ Hide my ass หรือนินจาอะไรจำพวกนี้
(ที่จิน พวกเสื้อแดงแนะนำไว้ให้อ้อมเข้าไปหาสิ่งที่เค้าประจานคนบางคนไง เลยตามไปดู โอ้โฮ เห็นแล้วสลดเลย แฉอยู่ฝ่ายเดียว ผ่ายตรงข้ามหมดสิทธิตอบโต้น่ะ จะโกหกอย่างไรก็ตอบโต้ไม่ได้ด้วยชาติวุฒิ น่าเห็นใจ)

ถ้าเข้าไม่ได้ ก็อาจต้องซื้อเน็ทซิม(หรือเอาซิมโทรศัพท์ของเรานี่แหละ)มาใส่ หรือเอาสมาร์ทโฟนมาทำHot spot แล้วจับสัญญาณwifiไปเข้า ไอพีก็เปลี่ยนไปเรื่อยได้ แต่ค่าเน็ตอาจแพงนิดหน่อย เหล่าฮุใช้แบบ70ชั่วโมง199บาท ของDtac มันใช้ได้บางที่มัง ฟามเร็ว384k ก็พอใช้งานได้ แต่หากไม่สมัครบริการเสริมพวกนี้ เค้าจะคิดเป็น1เม็ค50สตางค์มัง ยุ่งอิ๊บอ๋าย!

ป้าบีคงเล่นสมาร์ทโฟน ก็ลองใช้มันเป็นhot spotแล้วลองเข้าไปดูก็ได้ แต่มันก็จะDetect ไอพีอีก เราก็ดูเฉยๆ ไม่ต้องแปะอะไร อย่างนี้ดูได้สบาย ง่ะ!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.144 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:13:39:01 น.  

 
 
 
เรื่องยายเฒ่าโยมอุฏถากนั่นแปะ เห็นได้ชัดอยู่ว่า ได้ทีขี่แพะไล่ เหล่าฮุเห็นๆ

เลยไม่ลังเลที่จะแปะมั่ง ฮี่ๆๆๆๆๆ
(ไม่ได้แค้นอะไรนะ แต่อยากให้ซุ่ซ่าๆแก้เมโนพอสให้เค้าน่ะ เลือดลมจะได้สะดวก เค้าเจนวัดน่ะ ไหงขี้หงุดหงิดก็ไม่รู้ และใจร้ายจัง)

เรื่องกินมังฯ ขอบใจเน่อ เฉียบคมแท้ๆ

สิทธิการิยะ
ถ้าเป็นพระจะกินมังฯ ก็กลายเป็นเรื่องกินยากอยู่ยาก จะเอา เวลดัน มีเดี้ยม แรร์ คนเขาก็หมั่นไส้เอา ขอเขากินยังเรื่องมั่ก
แต่ถ้าฆราวาสกินมังฯ ก็เป็นเรื่องสะดวก กินง่ายอยู่ง่ายโดยแท้

โอ้แม้เจ้า เหล่าฮุคิดไม่ถึงเน่อ ว่ามันกลับด้านกัน จินๆล่วย!

ฮี่ๆๆๆๆ

เรื่องวัดแถวๆหวังต้าเซียน(หว่องไต่ซิ้น)เค้าทำอาหารเจอร่อย คือเหล่าฮุเคยไปกินน่ะ เค้ามีศิลปะปรุงแต่งยอดเยี่ยม เหล่าฮุว่ามันเหมือนอมยิ้มน่ะ ไว้ปลอบใจคนที่เริ่มไม่กินเนื้อสัตว์ และมันก็แค่อาหารที่ประณีตเท่านั้น ไม่เห็นต้องกินอะไรที่มันหยาบเลย มะงั้นถอนหญ้ากินก็ได้น่ะเส่ มะเอาร๊อก ขนาดอยุ่ที่วัดเน่อ เหล่าฮุเคยฝันถึงหมูสะเต๊มาแล้ว ใจไม่แข็งพอง่ะ ขนาดตอนนี้ยังนึกถึงบุหรี่ทุกบ่อย ติดแล้วติดเลย เพียงการสำรวมระวังมันมีกำลังกว่าน่ะ แต่จะให้หายอยากนั้น ไม่มีทาง

"มีพระวัดนึง มารับกิจนิมนต์ ที่โรงพยาบาล ฉันแต่มังสวิรัติ "

โคตระเรื่องมาก เหล่าฮุเห็นความวุ่นวายเลย มะรู้จะอะไรนักหนา (ข้าวของตัวเองยังไม่อาจประณีตขนาดนี้ได้เลย ไหนเลยจะเผื่อแผ่ไปให้คนอื่นได้ เนี่ย ใกล้จะต้องกินหญ้าเป็นอาหารแระ ยังมีนักบวชเรื่องมากกินแต่มังเร๊อะ! เหล่าฮุว่าน่าติเตียนมากฝ่า เพราะถ้าเหล่าฮุจะถวายทานรู้สึกไม่สะดวกเอาเลย)

แต่เหล่าฮุคงจะกินฯมังริวๆนี้มัง โสงสัยเป็นโรคบางอย่าง (ที่ว่าจะปรึกษาไง) กินเพื่อจะได้อยู่นานๆ ไม่พิกลพิการเร็วเกินไป ตอนนี้เกือบเดินไม่ไหวแล้วง่ะ อีกไม่นานก็คงไม่จิ้มคอมแล้ว นิ้วเริ่มติดนิดๆ กินมังฯน่าจะดี

นู๋บีว่า
"...ทำไม ไม่พูดจาอย่างตรงไปตรงมา ?
จะพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทำไม ?
แบบนี้ มันพูดโฆษณาชวนเชื่อ เข้าข่าย " อำความ"
ไม่มีความตรงไปตรงมาในการสนทนา เข้าข่าย วจีทุจริต นะนั้น"

เรื่องนี้ เหล่าฮูตอบไปในกระทู้เดียวกะข้างบนพอดี คือคิดว่า เป็นตัวเลือกท่าทีในการตอบ ให้เข้ากับคนยุคนั้นได้ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายนะ ขนาดคนในยุคนี้ ยังคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ประสาอะไรกับคนยุคนั้น เหล่าฮุไม่ได้แก้ตัวให้ แต่เห็นชัดอยู่ว่า แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หากนำความจริงมาสู่โลกโดยที่พวกเขารับสารนั้นๆไม่ได้

เรื่องภพ-ชาติ ในความเห็นเหล่าฮุ ไม่ใช่อุทเฉททิฏฐิ จะว่าไปเหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าก้างเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วบอก"ณ.ที่นี้ เราไม่เห็นใครเลย" (ตอนองคุลีมาลย์จะฆ่าแม่)
ที่ว่าเหมือน ก็คือไม่ตรงไปตรงมาแบบป้าบีว่า เพราะบอกไปก็เกิดผลร้าย และก็ไม่ได้โกหก แต่ฉลาดแบบศรีธนญชัย ซึ่งท่านก็ทำให้ดูนี่แหละ แต่มันดูกะล่อนเน๊อะ!

ภา-ภูมิ หากเกิดที่จิตใจ ชาติ-ภพ เกิดทุกๆขณะจิต เหล่าฮุว่ามันเข้ากันได้กับสิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดเกี่ยวกะโอปปตากิกะ เดี๋ยวเป็นเทวดา ตอนอารมณ์ดีๆมีเมตตา เดี๋ยวเป็นอสุรกาย ตอนกลัวภัยหรือหวั่นไหว เดี๋ยวเป็นเดรฉาน ตอนหลงงมงายศรัทธาอะไรมากๆ ทำนองนี้แหละ ภพ-ชาติก็เกิดและดับตลอดเป็นระยะๆ

หากท่านพูดตรงๆไม่อ้อมค้อม เหล่าฮุว่าจะไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น เพราะคนทั่วไปยอมรับไม่ได้ ท่านจึงบอก"ตถาคตไม่พูดขัดชาวโลก มีแต่ชาวโลกพูดขัดกับตถาคต"
คำพูดทำนองนี้ทำให้ฉุกคิดน่ะ ท่านอาจหมายเอาแบบนี้จริงๆ เพียงต้องให้ค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนบรรลุธรรม ก็คงหมายถึงหายสงสัยน่ะ

ถ้าเข้ากระทู้ได้ ลองไปอ่านดู กระทู้ที่เหล่าฮุแปะ ยกแม่น้ำทั้ง5มาอธิบาย พวกอีจำนนด้วยเหตุผลหรือเปล่าไม่รู้ ไม่เห็นใครออกมาแย้ง แต่ออกมาด่าดื้อๆเลย ง่ะ
(เหล่าฮุพูกเรื่องกินหมาก-ไม่กินหมาก อีคงนึกว่าไปแขวะท่านมหาเข้า ที่จริงไม่เชิงร๊อก ไม่ได้เจตนาตรงๆ แต่มันพัวพันไปถึงท่านเท่านั้น และคงมีอีกหลายอันที่พลอยทำให้คิดว่าไปหลอกด่าท่าน)

เนี่ย มันพูดยากเน่อ คนปัจจุบันยังไม่อาจยอมรับความจริงได้ ประสาอะไรกับคนยุคนั้น การจะใช้อุบายวิธีเพื่อสอน สอนยังไงคนยุคนั้นถึงได้ประโยชน์ ผลก็เป็นอย่างที่เห็น ท่านพุทธทาสเลยบอกว่า พระพุทธเจ้าโกหกชาวโลกไง ก็ดุท่านเป็นตัวอย่าง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ คนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรจากธรรมกถาของท่าน ก็คงด้วยเหตุผลดังกล่าว


 
 

โดย: LAo fu zi IP: 1.20.1.144 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:14:37:15 น.  

 
 
 
เรื่อง"สิทธัตถะ หนีเมีย ไปบวช "

ไม่เคยพิจารณา แต่เห็นว่า มันออกแปลกๆเหมือนกัน ไม่เข้าใจท่าน แต่ไม่อาจวิเคราะห์พฤติกรรมแต่ละอย่างๆได้

แต่หากว่าโดยภาพรวม

ก็เห็นเจตนาแท้ของท่านที่สงเคราะห์โลก
การออกบวชก็เพื่อหาทางกำจัดทุกข์ ถึงกับต้องสละสุขส่วนตัวทั้งมวล เหล่าฮุดูส่วนใหญ่ ไม่ได้ดูตรงส่วนน้อยๆ ภาพรวมนั้น ท่านตายแบบกระอักเลือดกลางป่า ไม่ได้สะดวกอะไรทั้งที่ไม่ต้องใช้ชีวิตลำบากแบบนั้นก็ได้ แทนที่จะมองว่าทำไมท่านทิ้งเมียแล้วหนีไปบวช .ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าฮุเห็นว่า ท่านคงขมขื่นที่รู้ว่าทุกชีวิตต้องมีชะตากรรมแบบนั้น และมิอาจทนเฉยอยุ่ได้ เพราะที่เห็นคนนอนทรมุานและตาย สิ่งเหล่านั้นจะต้องมาเยือนทุกคน
(ความรู้สึกของเหล่าาฮุตอนนี้ก็เหมือนกัน เริ่มกลัวกังวลถึงคนข้างหลังหลังเหล่าฮุบ๊ายบายน่ะ)

เหตุการณ์เฉพาะหน้าเห็นเป็นภัยขนาดนั้น คงมิอาจอยู่เฉยได้ เหล่าฮุเห็นว่า มันคงเป็นความรู้สึกกลัวแบบสยดสยองและการออกแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ ก็คล้ายๆการปวดขรี้นี่เอง!

จู่ๆปวดขรี้กระทันหัน ก็คงต้องรีบหาทางออกเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ ต้องหาโลเคชั่น น้ำท่า ทิชชู่ อะไรเทือกนี้
(ขออภัย สมองมันคิดได้แบบนี้น่ะ ไม่ทันได้ใช้วิจารณญาณอะไร)

ตอนนุ๊น ท่าทีของท่านคงเป็นประมาณนี้ ถ้าคิดว่าท่านเห็นแก่ตัว มีวาระซ่อนเร้น เห็นว่าป้าคงคิดมากไปมัง คนไม่เคยเห็นคนแก่ คนตาย ซ้ำภัยนี้ ต้องเยื้องกรายมาถึงทุกคน ใครจะเฉยอยู่ได้

ท่านก็เตลิดเข้าป่าน่ะถูกแล้ว เป็นใครก็คงแย่ เหล่าฮุเห็นแง่แบบนี้น่ะ
(คล้ายหลวงตาโลตัสน่ะแหละ หากไปจี้ทีละจุดอย่างเรื่อง กินหมาก ,หยาบคาย ,โกหก ,มีชีไปซุ่มตอนดึกๆ อะไรเทือกนี้ มันก็ผิดน่ะแหละ แต่ภาพรวมแล้ว ท่านไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่าจะเสพย์สุขจากเงินๆทองๆ หรือของใช้ หรือกิเลสหยาบๆ แต่ท่านทำให้คนรวมศูนย์เป็นเอกภาพได้ และ"ติดดีเ"ป็นอย่างน้อย ก็ต้องนับว่า ท่านทำประโยชน์มาก ชีวิตส่วนตนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แค่นี้ก็แย่แหล่ว! เหล่าฮุรู้สึกไปล่วงเกินท่านมากไป แต่มิอาจเห็นผิดเป็นถูกได้)

ย้อมมาเรื่องภพ-ชาติ ถ้ามองในแง่มุมแบบ"อุทเฉททิฏฐิแฝงรูป" เหล่าฮุเห็นว่า มันเข้ากันได้กับคำสอนของพระพุทธเจ้าท่าน ไม่เห็นขัดตรงไหน แต่หากเชื่อภพ-ชาติแบบตาย-เข้าโลง คลอดออกจากท้องแม่ใหม่เป็นจริง มันมีข้อผิดพลาดมหันต์ด้วยซ้ำ เพราะจะมีคนแบบลิงดำ เณรคำ แว่นไชโย และอีกมากมาย อาศัยความเชื่อแบบนี้ขายกิน และมันเป็นความงมงาย โงหัวไม่ขึ้นเลย

ซึ่งที่จริง เหล่าฮุเองยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรนา เพราะยังลังเลทั้ง2แบบ ก็ในเมื่อก็ประสพการณ์ทางจิตประจักษ์ด้วยตนเองมาไม่น้อย จะว่าหลงผิดก็ไม่ชัด อาการรู้สถานการณ์ต่างๆใที่เคยเล่าให้ฟัง การรู้วันตายของคน อะไรเทือกนี้ จะว่ามันเป็นเรื่องเท็จก็ใช่ที่ เหล่าฮุว่า ภพชาติแบบตายเข้าโลง-แล้วคลอดจากท้องแม่ ยังคงต้องสงวนไว้ในใจก่อน ไว้รู้ชัดจะมาบอกเน่อ
(แต่เห็นรำไรว่าไม่ใช่ร๊อก เหล่าฮุเห็นแบบท่านพุทธทาสมากขึ้นทุกวัน เพียงไม่ได้ตัดอะไรทิ้งซักอย่าง เก็บไง้ทั้ง2แบบ รอวันที่"ความรู้"มาถึง)

เรื่องอิอ่อนเหล่าฮุไม่ฮู๊เฮื่องมาก่อน ยกไปแล้วกัน ด้วยว่าเจ้าตัวคงไม่ได้อยากคุยหรือฟังฟามเห็นเหล่าฮุนัก ไม่ไปล่วงเกินเค้าดีฝ่า เพราะถ้าพูดตรงๆ ก็จะเสียน้ำใจไมตรีไปเสียเปล่า เคมีไม่เข้ากันก็ไม่ต้องสมาคม เจอกันก็ทักทายด้วยไมตรีก็พอมัง

เรื่องสัมมาหรือมิจฉา แง่มุมนี้ไม่เคยค้นเลย (น่าสนใจมั่ก)
เคยรู้มาแต่ว่า สัมมาทิฏฐิในมรรค หมายถึง การวางใจให้มองทุกอย่างเป็นเพียงรูปและนามเท่านั้น ตรงนี้รู้มาแบบนี้เท่านั้น แต่ไม่เคยค้นดู เพราะมันยุ่ง แค่อะไรคือรูป-นาม เหล่าฮุพูดจนคนเกลียดเลย เพราะไม่รรุ้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แปลไม่เหมือนกัน

รูป-ธรรมชาติที่ไม่รู้อารมณ์
นาท-ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.144 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:15:37:19 น.  

 
 
 
เหล่าฮุไปธุระ เลยตกๆหล่นๆ

รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ ผ่านอายตนะทั้ง6
นาม คือการรู้ผ่านอายตนะทั้ง6 เป็นRecepterนั่นเองกระมัง อันนี้เหล่าฮุว่าเอง เพราะเห็นแปลกันแล้ว ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
(เอาง่ายๆแบบนี้ก่อน ไว้นิยามได้เจ๋งๆค่อยมาแก้)

รูปและนาม ส่วนใหญ่ไม่รู้กัน แปลยาก ไม่เข้าเค้า แล้วเวลาเค้าภาวนา เค้าจะดูสรรพสิ่งในมุมมองของรูปนามได้ไง
แปลกจิน!


ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้
เหล่าฮูอ่านผ่านๆตาแย๊ว
กะว่าจะไปดูเม้นท์ของป้า ก็ไม่มี
แต่นายรีล แมดริดพูดถูก เหตุผลมีน้ำหนัก หักล้างเขาไม่ได้สักคน
เพียงเค้ามีท่าทียโสโอหัง ไม่ค่อยมีไมตรี หรือเมตตาต่อคู่สนทนาเท่าไหร่
น่ากลัวจัง!

ที่ตกใจไปกั่วนั้น นึกว่าเหล่าฮุรู้เงียบๆคนเดียวว่า ท่านมหาโลตัสร้องไห้โยเย แต่เหล่าฮุไม่ได้ตามไปเอามาเก็บไว้ นึกไม่ถึงว่ามีคนรู้เห็นไม่น้อย เสียดาย มีคนแปะลิ๊งค์ไว้
//board.palungjit.org/6413297-post101.html

ตอนท่านถูกรัฐบาลเอาเงินไปหรือไงเนี่ย แล้วท่านร้องไห้
แต่เข้าไปไม่ได้เสียแล้ว มันไปโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้ใช่มีคลิ๊ปหรือเปล่า

แต่แปลกใจ เดี๋ยวนี้คนศึกษากันได้แยะ รอบรู้ มากกว่าที่เคยเห็นมัง
ส่วนที่ท่านเทศน์แก้เรื่องนี้ไว้ ก็คงเพราะพลาดที่ไปร้องห่มร้องไห้มัง และมันก็มีการบันทึกเอาไว้

เรื่องที่ลึกกว่านั้น ละเอาไว้ก็ได้ เพราะท่านก็จากไปอย่างสวยงามแล้ว อีกอย่าง ท่านก็ไม่ได้เสวยสุขอะไรนัก ดูๆไปท่านก็ถือว่า เหมือนพระอริยะสมควรจะเป็น สงเคราะห์โลกแยะมั่กๆ

ว่าจะไม่พูดถึงๆ แต่พูดไม่หยุดเลยเนี่ย มะรู้เป็นโรคอะไร ที่แน่ๆ คุยกะแก๊งส์พระป่าไม่ค่อยรู้เรื่องเลยง่ะ และรำคาญมั่ก เวลาแถ โดยเฉพาะนาย"ทำมาพูด" รายนี้คิดว่าน่าจะคุยรู้เรื่อง โอ้โฮ อาการหนักเลย แถตัวปู่ โยกโย้ แฉลบแผล่บๆ เลยคิดว่าไปหาที่โม้ที่สะดวกๆดีกั่ว พวกเค้าก็คงรำคาญเหล่าฮุเหมือนกันน่ะ ตลกดี!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.155 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:20:11:58 น.  

 
 
 
อุ๊ยะ ! เจอเข้าแล้วง่ะ คลิป
หากป้าบัวสนใจ เดี๋ยวจะส่งหลังไมค์ให้เน่อ
 
 

โดย: กึ๋ย! IP: 1.20.1.155 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:20:28:11 น.  

 
 
 

อ้าง
เหล่าแปะ ว่า...
ป้าบีคงเล่นสมาร์ทโฟน ก็ลองใช้มันเป็นhot spotแล้วลองเข้าไปดูก็ได้ แต่มันก็จะDetect ไอพีอีก เราก็ดูเฉยๆ ไม่ต้องแปะอะไร อย่างนี้ดูได้สบาย ง่ะ!

+++++++++++++++++++++++++
นู๋บี ว่า

เปล่าคร้า ไม่ได้เล่น สมาร์ทโฟน หรอก
ก็ขนาด มือถือ น้องมันชวนให้ใช้ ยิก ๆ
ก็ยังขี้เกียจซื้อมาเป็นสมบัติส่วนตัว เลยนิ
แล้ว คิด หรือ ว่า อิฉันจะ เล่น สมาร์ทโฟน แต่ น้องที่ทำงาน มีไอโฟนน่ะ
เลยลองให้น้องมันใช้สัญญาณ เนตโรงบาล เข้า เวบแอนตี้ ดู เพื่อเชคสถานการณ์

และ ถึง บล็อก ไอพี ไง
ถ้า อยากเข้าไปดู จริง ๆ เด๋ว อิฉัน ก็ หาทางไป จนได้แหล่ะ
แต่ ก็อย่างที่บอก แหล่ะ การมีอยู่ของเวบนี้ +การเข้าไปอ่านหน้าเวบนี้ ได้-ไม่ได้
มันก็ไม่ได้มีความสำคัญ อะไร กับอิฉัน นัก หรอก

การแหย่ มอดเวบที่นั่น เล่น มันก็เหมือนกับ การเล่นเกมส์ วัดใจ
ด้วยการเอาน้ำหวานมา หลอกล่อ ให้ มด มันหลงเดิน ตาม รอยน้ำหวาน
ที่เราขีดเส้น เอาไว้ แล้ว แอบชักใยอยู่เบื้องหลัง ให้มันเดิน ล่ะมั้ง
ก็ หนุกดีนะ ที่ได้เห็น มอดเวบที่นั่น มันปรี๊ดแตก เต้น ตาม สคริปต์ ที่เราบงการน่ะ อิอิ

อ้อ แท้งกิ๋วเจ้าค่ะ ที่ แนะนำว่า ให้ซื้อเน็ทซิม มาใช้
แล้วให้ดูเฉยๆ ไม่ต้องแปะ ไปโพส อะไร
จะได้เข้าอ่านเวบแอนตี้ฯ ได้อย่าง ไม่ต้องกลัวโดน บล็อก
แต่ บังเอิญ เป้าหมายของอิฉัน ณ ตอนนี้
มันไม่ใช่ การเข้าไปอ่านอะไร ในเวบนั้น ซะด้วยดิ
ฉะนั้น คงไม่ต้อง ทำตาม ที่ อาแปะ แนะนำ ก็ได้มั้ง

อย่าลืมสิว่า เวบแอนตี้ฯ นั้น มี เป้าหมาย ในการก่อตั้งขึ้นมา
เพื่อเผยแพร่ ข้อมูลดิสเครดิต ลพ.ป. นะ
ยิ่ง สามารถ ทำให้ คนเข้าถึง และ ได้ เข้ามาอ่าน ข้อมูล
ที่เขาต้องการจะเผยแพร่ ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งถือว่า เขาประสบความสำเร็จ

แต่ การที่เขา โมโหจนหน้ามืด
แล้ว มา บล็อกสัญญาณเนตที่โรงพยาบาล อิฉัน
มันก็เหมือนกับว่า เขากำลัง ทำลายเป้าหมายในการจัดตั้งเวบนั้น ด้วยมือของตัวเองนะ


เพราะ ไม่เพียงแต่ อิฉันเท่านั้น
ที่ โดนบล็อก เข้าไปอ่าน เวบเขาไม่ได้
แต่ คนทั้งโรงพยาบาล ประมาณ 200 คน
ก็ ไม่สามารถเข้าไป อ่าน สิ่งที่เขาต้องการจะเผยแพร่ได้ด้วย

และ ถ้า อิฉัน นึกครึ้ม ไปใช้ สัญญาณเนต สาธารณะ ที่มีคนใช้เยอะๆ
(อาทิเช่น สัญญาณเนต ในสถานศึกษา / ห้างสรรพสินค้า )
ไปโพส ข้อความ แปะไว้ในเวบแอนตี้ จน เขาตาม บล็อก ไอพี เนต อีก
คราวนี้ล่ะ การขยายฐานทางการตลาด
ที่เขา ต้องการจะ ไปเผยแพร่ข่าวคาว เพื่อ ดิสเครดิต ลพ.ป.
มันก็จะไม่ขยายตัว +เติบโต เท่าที่ควรจะเป็นนะ


ถึงบอกไง ว่า การที่เขา บล็อกไอพี ของอิฉัน
มันก็เหมือน การ จุดไฟเผาบ้าน เพื่อ ไล่หนู นั่นแหล่ะ
( แหม๊ ! ครึ้ม ๆ ขึ้นมา เด๋วหาเรื่อง ไปโพสโน่นนี้
แหย่ อิพวกมอดขึ้มะโห ต่อ ท่าจะดี วุ้ย หุหุ)


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้าง
เหล่าแปะ ว่า...

เรื่องวัดแถวๆหวังต้าเซียน(หว่องไต่ซิ้น)เค้าทำอาหารเจอร่อย คือเหล่าฮุเคยไปกินน่ะ เค้ามีศิลปะปรุงแต่งยอดเยี่ยม เหล่าฮุว่ามันเหมือนอมยิ้มน่ะ ไว้ปลอบใจคนที่เริ่มไม่กินเนื้อสัตว์ และมันก็แค่อาหารที่ประณีตเท่านั้น ไม่เห็นต้องกินอะไรที่มันหยาบเลย มะงั้นถอนหญ้ากินก็ได้น่ะเส่ มะเอาร๊อก ขนาดอยุ่ที่วัดเน่อ เหล่าฮุเคยฝันถึงหมูสะเต๊มาแล้ว ใจไม่แข็งพอง่ะ ขนาดตอนนี้ยังนึกถึงบุหรี่ทุกบ่อย ติดแล้วติดเลย เพียงการสำรวมระวังมันมีกำลังกว่าน่ะ แต่จะให้หายอยากนั้น ไม่มีทาง

+++++++++++++++++++++++++++

นู๋บี ว่า...

ถ้า ยังงั้น ก็คงต้อง แล้วแต่ .....
สภาพของ "อินทรีย์พละ" ในตัว ของ แต่ละคน ล่ะมั้ง อิอิ
ปฏิบัติเท่าที่ พอจะทำได้ อาจต้องมี " อมยิ้ม" เอาไว้ ปลอบใจตัวเองบ้างในบางครั้ง
แต่ไงก็ต้อง สำเหนียก สำนึก ไว้ เสมอนะ


ว่า ศักยภาพของตนนั้นมัน ต่ำต้อยด้อยวาสนา และมี สภาวะจิตที่อ่อนแอ ขนาดไหน
จึงไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะ ยืนหยัดรับมือกับ ผัสสะ ที่มากระทบได้
ฉะนั้น เวลาที่ต้อง ทนทุกข์ กับกิเลสตัณหา ก็คงต้อง ทำใจอ่ะนะ
ว่า ระดับสติปัญญา และความสามารถในการบริหารจัดการความ ทุกข์ ของตน มันมีแค่นี้เอง


น่าแปลกนะ แปะ ฝึก ปฏิบัติ มาก็ดูท่า ว่าจะ นานกว่าอิฉันตั้งหลายปี อยู่
แต่ เท่าที่ อ่านดูแล้ว อินทรีย์พละ ของ แปะ นี่ โหลยโท่ย ชะมัด
อิฉันน่ะ ฝึกปฏิบัติแป๊บ ๆ ก็ สามารถ เสพสุขได้ จาก ผัสสะ เท่าที่มี
โดย ไม่ ปรุงต่อ เป็น ตัณหาและ ความ กระสันอยาก ได้แล้วนะ

ยกตัวอย่าง ง่าย ๆ เลยนะ อย่าง เวลามี อาหารปราณีต ให้กิน
อิฉัน ก็จะ เสพสุข จาก รสชาด ที่ได้รับได้แบบเต็ม ๆ
แต่ เมื่อต้องอดกิน อาหาร ปราณีต แล้วกลับมากิน อาหารหยาบ ๆ
อิฉัน ก็ ไม่ได้รู้สึก เดือดร้อน อะไร ก็กินอาหารหยาบ ๆ ได้ตามปกตินะ

ก็เหมือน เวลา ทื่ ถือศีลข้อ วิกาลโภชนาฯ นั่นแหล่ะ
ตอนนี้ อิฉัน ก็อยู่ ในขั้น กินมื้อเย็น ก็ได้ ไม่กินมื้อเย็น ก็ได้ แล้ว
คือ จะกิน หรือ ไม่กิน ข้าวเย็น วันไหนร่างกาย และ สภาวะจิต มันก็ยืดหยุ่น
ปรับสภาพ ให้เป็น ปกติได้ แบบ ชิล ๆ โดยไม่ทุกข์ ร้อน อะไร แล้วอ่ะ

บางทีวันไหนตั้งใจไม่กินมื้อเย็น แล้วเผอิญ ได้กลิ่นอาหารหอมฉุย ลอยมา กับสายลม
อิฉัน ก็อนุญาตให้จิตมัน เสพสุข จากกลิ่นอาหารเหล่านั้น
โดยที่ไม่เกิดความอยากจนทุรนทุราย ได้นะ
ไม่เห็นจำเป็น ต้อง สำรวมระวัง กับ ทุกขังกะละมัง อะไรเล๊ยยย

ศักยภาพในการ ปรับ สมดุล ของสภาวะจิต ไม่ให้เสีย เสียศูนย์ เช่นนี้
จัดว่า เป็น "กำไร" ที่ อิฉัน ได้มาจากการ ลงทุน ปฏิบัติ เลยแหล่ะ
แต่ ของแปะนี่ ยิ่งอ่านดู ยิ่งรู้สึกว่า ที่ปฏิบัติมา นั้น มัน เจ๊งบ๊งทุนหายกำไรหด ไงก็มิรู้
( ถ้าเป็น หุ้นสักตัว ก็จัดว่า ผลประกอบการ ไม่เอาไหน เลยว่ะ อิอิ )

 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:23:56:24 น.  

 
 
 
อ้าง นู๋บีว่า...
"...ทำไม ไม่พูดจาอย่างตรงไปตรงมา ?
จะพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ทำไม ?
แบบนี้ มันพูดโฆษณาชวนเชื่อ เข้าข่าย " อำความ"
ไม่มีความตรงไปตรงมาในการสนทนา เข้าข่าย วจีทุจริต นะนั้น"

+++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้าง เหล่าแปะ ว่า.....
เรื่องนี้ เหล่าฮูตอบไปในกระทู้เดียวกะข้างบนพอดี คือคิดว่า เป็นตัวเลือกท่าทีในการตอบ ให้เข้ากับคนยุคนั้นได้ ซึ่งมันไม่ได้ง่ายนะ ขนาดคนในยุคนี้ ยังคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ประสาอะไรกับคนยุคนั้น เหล่าฮุไม่ได้แก้ตัวให้ แต่เห็นชัดอยู่ว่า แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หากนำความจริงมาสู่โลกโดยที่พวกเขารับสารนั้นๆไม่ได้


เนี่ย มันพูดยากเน่อ คนปัจจุบันยังไม่อาจยอมรับความจริงได้ ประสาอะไรกับคนยุคนั้น การจะใช้อุบายวิธีเพื่อสอน สอนยังไงคนยุคนั้นถึงได้ประโยชน์ ผลก็เป็นอย่างที่เห็น ท่านพุทธทาสเลยบอกว่า พระพุทธเจ้าโกหกชาวโลกไง ก็ดุท่านเป็นตัวอย่าง คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ คนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรจากธรรมกถาของท่าน ก็คงด้วยเหตุผลดังกล่าว

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นู๋บี ว่า...

อืม...ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย เขาโค มัน ก็ น้อย กว่า ขนโค เสมอ อ่ะ
ฉะนั้น ถ้า พวก บัวใต้น้ำ มันไม่มี สติปัญญาไม่เพียงพอ
ก็ สมควรแล้ว ที่จะปล่อยให้มัน เป็น อาหารของเต่าปูปลา
เพื่อ สังเวย ความโง่เขลา ของมันนะ

และ ที่ สำคัญ กฏมณเฑียรบาล อีกข้อ
ของการ เป็น นักปฏิบัติ ก็คือ ต้องไม่เผยแพร่ข้อความ อันเป็นเท็จ
หรือ มีเจตนา พูดให้ ชาวบ้านเข้าใจผิด
ไม่ใช่ มาปัดสวะ ให้พ้นตัว ด้วยการ "โปรเจคชั่น" บอกกับ ชาวบ้าน ว่า

"ตถาคตไม่พูดขัดชาวโลก มีแต่ชาวโลกพูดขัดกับตถาคต"

อีแบบนี้ มัน ตื้นเขิน เกินไปนะจ๊ะ ตถคต

เป็นถึง ตถาคต ไยไม่เคยสำเหนียก ซะมั่งล่ะ ว่า

ถ้า ริอาจ จะเป็น "ตถาคต" ไม่เพียงแต่ ต้องไม่พูดขัดชาวโลกเท่านั้น
แต่จะต้อง ไม่พูดเอออวย ลื่นไหลไปตามน้ำ ทำให้คนเขาเข้าใจผิดด้วย
ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ก็ นิ่งเสียก็ได้ จะพ่นน้ำลายเอาใจชาวบ้าน
เพื่อขยายฐานแฟนคลับทำติ้งอะไร


อนึ่ง การพูดจา เอออวยเห็นด้วย ทำให้ ชาวบ้านเข้าใจผิดจากที่ ควรจะเป็น
อาทิเช่น การบอกว่า การเชื่อในภพ-ชาติแบบตาย-เข้าโลง คลอดออกจากท้องแม่ใหม่
นั้นมันเป็นจริง มันเป็นความเชื่อที่ สมควรจะเชื่อ

แม้มันจะทำให้เกิด ประโยชน์ กับ ผู้ฟัง มามายแค่ไหน
แต่ มันก็ เป็น แค่ ประโยชน์ ในเบื้องต้น
คือ ทำให้ ตื่นตา +น่าสนใจ+น่าเลื่อมใส เท่านั้น
ทว่า ในบั้นปลาย อาจ ทำให้ เกิด โทษ กับผู้คน และ ตนเองได้
ไม่งั้นจะเกิดคนแบบลิงดำ เณรคำ แว่นไชโย ฯลฯ
อาศัยความเชื่อแบบนี้ หากินกับ ความงมงาย ของ พวกบัวใต้น้ำ
ตามที่ แปะบ่นพึมพำ หรอกหรือ


แถม ถ้าทำการตลาด แบบนี้ อ่ะนะ
สุดท้าย ก็คงจะ เรทติ้งตก ก่อน 5000 ปี
โดน พวกบัวหนีน้ำ เอ๊ย เหนือน้ำ มัน ถอนหงอก เอาด้วยซ้ำ
อย่าลืมนะ ว่าที่ ศาสนาพุทธ ของแปะ ขาดความน่าเชื่อถือ
ก็เพราะ ไอ้เรื่อง นรก สวรรค์ การเวียว่ายตายเกิด แบบดราม่าจ๋า
ที่ สมณะโคดมถ่มน้ำลายทิ้งไว้ (แต่ หาหลักฐาน แสดง ให้คนทั้งโลก ยอมรับไม่ได้ นั่นแหล่ะ)
ขนาด พุทธทาส ยังอดไม่ได้ ที่ต้อง บอกว่า ตถาคต เอออวยไหลตามน้ำเลยนิ



อืม...อาแปะ เคย รู้จัก กาลิเลโอ ป่ะ ?
กาลิเลโอ เป็นนักดาราศาสตร์ ที่ ยอม "เอออวย" กับศาสนจักร
ยอมพูดตามน้ำ บอกว่า โลกแบน เพราะ กลัวภัยจากลัทธิล่าแม่มด น่ะ
อิฉัน คิดว่า เคสของกาลิเลโอ กับ สมณะโคดม มันก็ คล้าย ๆ กันนะ
ประมาณว่า เสแสร้งแกล้ง "เอออวย" กับผู้มีอิทธิพล เพื่อ ความอยู่รอดของตน

เอ... แต่จริง ๆ ในความเหมือนนี้ ก็มี ความแตกต่างนะ
เนื่องจาก กาลิเลโอ นั้นมัน ไร้เดียงสาเกินไป เลย กะล่อนไม่พอ
ก็เลย พลาดท่าเสียที ถูกศาสนจักร รังแกจนสะบักสะบอม ในตอนแรกไง
ส่วน ตถคตนั้น บังเอิญว่า เก๋าพอตัว เลย กลับลำ "เอออวย" ได้ทัน
จึงไร้รอยขีดข่วน ไม่โดน พวกศรัทธา อันมืดบอด มันแว้งกัดไง อิอิ


การกระทำของ ตถาคต ในเรื่องนี้
ก็เหมือนกับ พ่อแม่ที่แกล้งหลอกลูก ๆ ให้เชื่อว่า
ถ้าหมั่น ทำความดี ถือศีลปฏิบัติธรรม
ตายแล้วจะได้ ไปเกิดใหม่ ในสวรรค์
แต่ถ้า ผิดศีลมาก ๆ ตายแล้ว จะตก นรก อ่ะนะ

เจตนาดี และ มีประโยชน์ ก็จริง
แต่มัน เป็นการ "สร้างเงื่อนไข" ให้คน ติดดี และทำดีเพื่อหวังผล อ่ะนะ
ไม่ใช่ ทำความดีด้วยจิตสำนึกที่ปราศจาก เงื่อนไข ว่า
หารทำความดี ถือศีลปฏิบัติ มนเป็นสิ่งที่ สมควรจะทำ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ ช่วยส่งเสริม พัฒนาการ ในเรื่อง MQ (Moral Quotient) เลย
และ หากเมื่อไรก็ตาม ที่ เด็กน้อยคนนั้น เติบใหญ่ รู้เดียงสามากขึ้น
หากเขาพบว่า เงื่อนไขเรื่อง นรกสวรรค์ ภพภูมิ นั้น มันเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเด็กนั่น เป็นบัวปริ่มน้ำ ก็ดีไป
แต่ ถ้า พวกเขาเป็น บัวใต้น้ำ เมื่อไร อะไรจะเกิดขึ้น ?







อ้าง
เหล่าฮูว่า..
เรื่องภพ-ชาติ ในความเห็นเหล่าฮุ ไม่ใช่อุทเฉททิฏฐิ
จะว่าไปเหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าก้างเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วบอก
"ณ.ที่นี้ เราไม่เห็นใครเลย" (ตอนองคุลีมาลย์จะฆ่าแม่)
ที่ว่าเหมือน ก็คือไม่ตรงไปตรงมาแบบป้าบีว่า เพราะบอกไปก็เกิดผลร้าย และก็ไม่ได้โกหก แต่ฉลาดแบบศรีธนญชัย ซึ่งท่านก็ทำให้ดูนี่แหละ แต่มันดูกะล่อนเน๊อะ!

+++++++++++++++++++++++++++++

นู๋บี ว่า...

แล้ว อาแปะ คิดว่า ไอ้ พฤติกรรม ทำ "กะล่อน" เนี่ย
มันเป็น สัมมา ( แปลว่า สมควร ) ที่ผู้เจริญแล้ว จะประพฤติปฏิบัติ ไหมล่ะ ?

และ ตอนองคุลีมาลย์ มาถามหา เพื่อจะฆ่าแม่
การ ตอบแบบไหน เป็น สัมมา ( สมควรกระทำ ) มากกว่ากันล่ะ ระหว่าง
--------------------------------------------------------
A.ก้าวเท้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วตอบ

"ณ.ที่นี้ เราไม่เห็นใครเลย"

เพื่อทำให้ คนฟังเข้าใจผิด
มีเจตนาโกหกทางอ้อม ผิดศีลข้อวจีมุสา
(เพราะใช้วาจาเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อรักษาตัวรอด )
แต่ก็ทำให้ะ แม่องคุลีมาลย์ พ้นจากอันตราย รอดตาย ไปด้วย

กรณีนี้ องคคุลีมาลย์ ถูกเบียดเบียนทางวาจา ( ทำได้รับข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด)
ส่วน แม่ของ องค์ คุลีมาลย์ กับ สมณะโคดม ได้รับประโยชน์
คือ รอดตายจาก มีดสปาต้าร์ ของ องคุลีมาลย์


B.ยืนสงบ ก้มหน้านิ่ง สงวนสิทธ์ ไม่ขานตอบ
และ พร้อมจะ รับผิดชอบการกระทำของตน
โดย ยอมรับ ยถาสภาวะ จากผลของการกระทำ นั้น
ว่าอาจจะโดน องค์คุลีมาลย์ขย้ำคอหอย ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

กรณีนี้ องคคุลีมาลย์ ไม่ถูกเบียดเบียนทางวาจา
ส่วน แม่ของ องค์ คุลีมาลย์ก็ ได้รับประโยชน์
คือ รอดตายจาก มีดสปาต้าร์ ของ องคุลีมาร์
แต่ คนที่ สุ่มเสี่ยงที่จะเสียประโยชน์ ก็คือ สมณะโคดม
เพราะ อาจจะโดนองคุลีมาลย์ ฆ่าตายได้
--------------------------------------------------

อืม...จะว่าไปแล้ว เกี่ยวกับ ปฏิปทาในเรื่องทำนองนี้ นั้น
อิฉัน เลื่อมใส ในตัว โสเครติส มากกว่า สมณะโคดม ซะอีกนะ
เพราะ อย่างน้อย ความตรงไปตรงมาในการพูดการสอน
และ การซื่อสัตย์ต่อการกระทำ ของเขา
ที่ ยอมดื่มยาพิษตาย5 คาตะแลงแกง โดยไม่แหกคุกหนี
เพื่อ รักษาไว้ ซึ่ง กฏหมายของชาว เอเทนส์ นั้น
มันก็น่าจะเอาเยี่ยงอย่าง มากกว่า สมณะโคดม ว่ะ


ขณะที่ สมณะโคดม พยามรักษาตัวรอดจนยอม มุสาทางอ้อม
จนเป็นเหตุให้เบียดเบียนคนอื่น ทางวาจา แต่โสเครติส กลับทำในสิ่งที่ตรงข้าม
ก็พิณา เอาเองแล้วกัน ว่า ใคร เป็นผู้ที่ เจริญกว่ากัน ?



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้าง
เหล่าแปะ ว่า...

เรื่อง"สิทธัตถะ หนีเมีย ไปบวช "

ไม่เคยพิจารณา แต่เห็นว่า มันออกแปลกๆเหมือนกัน ไม่เข้าใจท่าน
แต่ไม่อาจวิเคราะห์พฤติกรรมแต่ละอย่างๆได้

แต่หากว่าโดยภาพรวมก็เห็นเจตนาแท้ของท่านที่สงเคราะห์โลก
การออกบวชก็เพื่อหาทางกำจัดทุกข์ ถึงกับต้องสละสุขส่วนตัวทั้งมวล
เหตุการณ์เฉพาะหน้าเห็นเป็นภัยขนาดนั้น คงมิอาจอยู่เฉยได้ เหล่าฮุเห็นว่า มันคงเป็นความรู้สึกกลัวแบบสยดสยองและการออกแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ ก็คล้ายๆการปวดขรี้นี่เอง!

จู่ๆปวดขรี้กระทันหัน ก็คงต้องรีบหาทางออกเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ ต้องหาโลเคชั่น น้ำท่า ทิชชู่ อะไรเทือกนี้(ขออภัย สมองมันคิดได้แบบนี้น่ะ ไม่ทันได้ใช้วิจารณญาณอะไร)

ตอนนุ๊น ท่าทีของท่านคงเป็นประมาณนี้ ถ้าคิดว่าท่านเห็นแก่ตัว มีวาระซ่อนเร้น เห็นว่าป้าคงคิดมากไปมัง คนไม่เคยเห็นคนแก่ คนตาย ซ้ำภัยนี้ ต้องเยื้องกรายมาถึงทุกคน ใครจะเฉยอยู่ได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++

นู๋บี ว่า....
อืม...คิดมาก ๆ ให้มันละเอียดถี่ถ้วน น่ะ ยังไง มันก็ เป็น สัมมา
มากกว่า พวกที่มันคิดอะไรตื้นเขิน แบบมักง่าย
เพื่อให้ได้คำตอบตามจริตของตนแหล่ะน่า
แล้ว ไอ้เหตุผลดราม่า ทั้งหลายแหล่ ในตะกร้า 3 ใบ
ที่ อาแปะ เอามาให้อ่านน่ะนะ
ก่อนหน้านี้ อิอ่อน มันก็ เอามาโพส
ให้ อิฉัน อ่านแล้วเหมือนกันคร้าาาาาา


แต่พอ อิฉัน กระทู้ ถามกลับ
เพื่อให้ วิเคราะห์ถึงรากเหง้าของการกระทำ
ทั้งไอ้เรื่อง เสียสละความสุขส่วนตน
ทั้งเรื่องปรารถนาจะสงเคราะชาวโลกให้พ้นทุกข์ น่ะ นะ
ก็เห็นเงียบกริบ ตอบคำถามไม่ได้เลย
หรือ ตอบแล้ว ก็ ขัดแย้งกันเอง เหมือน พายเรือในอ่าง ซะงั้น

ซึ่งมันก็ไม่ต่างกับ คำตอบของ อาแปะ ในตอนนี้ นั้นแหล่ะ
เพราะ แค่ คำถาม 3 ข้อ ง่าย ๆ ที่ อิฉัน กระทู้ถามไป คือ

---------------------------------------------------
การละทิ้งครอบครัวไปบวช
โดยไม่ คำนึงถึง ความรู้สึกของผู้อื่น
นึกถึงแต่ ความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว
จน ทำให้ ลูกเมียต้องทุกข์ทรมานใจ นั้น

1. ละเมิด "สิทธิโดยชอบธรรม" ของผู้อื่น ที่เขาพึงมีพึงได้ หรือไม่
( ละเมิด สิทธิ ที่ผู้เป็นเมีย พึงมีพึงได้ หรือไม่ )

2.เป็นไปในทางที่ ละทิ้งความรับผิดชอบใน หน้าที่ ทั้ง ต่อตนเอง และ ผู้อื่น หรือไม่
( ละทิ้ง หน้าที่ความรับผิดชอบของตน ในเรื่อง ทิศ 6 หรือไม่ )

3.เมื่อ กระทำแล้ว สิ่งนั้น ต้องเป็น กุศล
และ เป็น สิ่งที่ "บัณฑิต" ทั้งหลาย ต้องติเตียน หรือไม่ ?

-----------------------------------------------------

อาแปะ ยังไม่มี ความตรงไปตรงมา ในการตอบคำถามเลย
แถมยัง ไป ขุดเอาดราม่า เรื่องขรี้ ๆ มาเรียกคะแนนสงสาร
ทำให้ สิทธัตถะ กลายเป็น พระเอกนิยาย น้ำเน่า ผู้เสียสละ อีกตะหาก

จริงอยู่ที่ว่า จู่ๆปวดขรี้กระทันหัน
ก็คงต้องรีบหาทางออกเพื่อปลดเปลื้องทุกข์
ต้องหาโลเคชั่น น้ำท่า ทิชชู่ อะไรเทือกนี้

แต่ ไอ้เรื่อง ปวดขรี้ กะทันหันนั้น
ทุกคน มันก็เคย ปวดขรี้ ด้วยกัน ทั้งนั้น
เพียงแต่ สามัญสำนึกของคน มันไม่เท่ากันมั้ง
บางคน ปวดขรี้แล้ว ก็ยังพอจะ ตั้งสติได้
รู้จักใช้ สติ ปัญญา ในการหาสถานที่ปลดปล่อยให้ถูก "กาลเทศะ"
โดย ไม่ ไปละเมิดสิทธิใคร ให้ชาวบ้าน และ บุคคลรอบตัว ได้รับความเดือร้อน
จากการ พยามจะ "ปลดทุกข์" ของตน

แต่ บางคน ก็ภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย
พอ ปวดขรี้ กะทันหัน ก็ สติแตก มักง่ายไม่รู้จักคิด
นึก อยากจะขรี้ ขึ้นมา ก็ ถอดกางเกง ปีนขึ้นไปนั่งขรี้ บนหัวเมียตัวเอง ซะงั้น
คิดว่า การกระทำแบบนั้น มันเป็น สัมมาฯ หรือไม่ล่ะ

สัมมาทิฏฐิในมรรค สำหรับ อิฉัน
ไม่ใช่แค่ การวางใจให้มองทุกอย่างเป็นเพียงรูปและนามเท่านั้น
แต่ มันต้อง ครอบคลุมไปถึง การ เคารพต่อ "สมมุติบัญญัตื"
และ ปล่อยวางมัน อย่าง รู้เท่าทัน
ขณะเดียวกัน ก็ ต้องไม่ละทิ้ง หน้าที่ ความรับผิดชอบ ของตนเอง
หรือ ไป ละเมิด สิทธิ โดยชอบธรรม ของผู้อื่น ด้วย

เช่น

เมื่อเรา ไปสะดุดกับ" รูป " ของวัตถุ สิ่งหนึ่ง

ตาเรา เห็น เป็น วัตถุสีเหลือง
มือเรา สัมผัส ดูแล้ว ของนั้น นิ่ม และ เหลว
จมูกเรา ได้รับ กลิ่น ที่โชย ออกมาจากวัตถุนั้น

จากนั้น สมองก็จะมีการ ประมวลผล จาก สัญญาเก่า ๆ
แล้ว บอกเราว่า "รูป" ที่เราเจอนั้น ชาวโลก เรียกเป็น สมมุติบัญญัติ ที่มี "นาม" ว่า ขรี้


อนึ่ง ถ้าคิดแค่นี้ โดยไม่มี อุปทานขันธ์ทั้ง 5
มาปรุงแต่งต่อ เป็น พอใจ ไม่พอใจ เป็ภวตัณหา วิภวตัณหา ฯลฯ
เราก็จะ มอง วัตถุสีเหลือง นิ่ม และ เหลว มีกลิ่น เป็น แค่ "รูป" ที่ มี "นาม" ว่า ขรี้
โดยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับมัน ว่า ขรี้ เป็นสิ่งที่ เราชอบ หรือ รังเกียจ

แต่ ในขณะเดียวกัน เราก็ต้อง ตระหนักรู้ ด้วย ว่า ไอ้ วัตถุที่เรียก ว่า ขรี้ นี้
สำหรับ ชาวบ้านร้านตลาด ที่ ยังมี อุปทานขันธ์ทั้ง 5 ครบเครื่อง
ขรี้ เป็นสิ่งที่ เขาไม่พึงประสงค์ ถ้าอยู่เรี่ยราด หน้าบ้านเขา
หรือ มีใคร มาขรี้ รดหัวแม่เขา เขาก็คงไม่ชอบใจ

ฉะนั้น เมื่อ เรา ปวดขรี้ แม้เราจะ ไม่ ยึดติด และ สามารถ ปล่อยวาง
โดยไม่นึก รังเกียจ ใน วัตถุสีเหลืองมีกลิ่น นี้ ได้ แล้ว
แต่ เราก็ต้อง ปล่อยวางอย่างมีความรับผิดชอบ ด้วยการ ขรี้ให้ถูกที่ถูกทาง ด้วย
ไม่ใช่ พอปวดขรี้ นึกอยากจะขรี้ ก็ นั่งขรี้หน้าบ้านคนอื่น
เพราะ เห็นว่า มันก็แค่ รูป/นาม ก็แค่ สมมุติ ที่เกิดมาจากธาตุทั้ง 4
 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:23:57:51 น.  

 
 
 
อ้าง
อาแปะว่า ....

เรื่องอิอ่อนเหล่าฮุไม่ฮู๊เฮื่องมาก่อน ยกไปแล้วกัน
ด้วยว่าเจ้าตัวคงไม่ได้อยากคุยหรือฟังฟามเห็นเหล่าฮุนัก
ไม่ไปล่วงเกินเค้าดีฝ่า เพราะถ้าพูดตรงๆ ก็จะเสียน้ำใจไมตรีไปเสียเปล่า
เคมีไม่เข้ากันก็ไม่ต้องสมาคม เจอกันก็ทักทายด้วยไมตรีก็พอมัง
+++++++++++++++++++++++++++++

นู๋บีว่า...
อืม..เรื่อง อิอ่อน นั้นน่ะ ไม่รู้เรื่องก็ บ่ เป็นหยัง
เด๋ว ครึ้ม ๆ จะ เอามา เม้าส์มอย ให้ ฟังเล่นเป็น อุทาหรณ์ ก็ แระกัน
เพราะ ตั้งใจไว้ แล้วว่า จะลอง มานั่ง สรุป ประเด็น การสนทนา
ของ ทั่นด๊อก ก๊ะ อิอ่อน ใน เรื่อง "สิทธัตถะหนีเมีย ไปบวช"
เอาไว้ ให้ อนุชนรุ่นหลังได้อ่าน เป็นธรรมทาน อ่ะ
กะว่าจะทำแบบ เดียวกับที่ เพลโต ได้บันทึก การสนทนา ของ ยูไทโฟ กับ โสเครติส นั่นแหล่ะ

//www.baanjomyut.com/library_2/justice/index.html

ส่วนไอ้เรื่อง พูดไป 2 ไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง
ที่อาเหล่าแปะ หวังดี พยาม ชี้แนะ อิฉัน นั้นน่ะ
ก็แท้งกิ้ว เจ้าค่ะ แต่ก็ไม่รู้จะทำตาม ได้ไหม
เพราะ อิฉัน เลื่อมใสคำพูดของ บุคคล นี้ มากกว่า นะ อิอิ ^ 0 ^

//www.tairomdham.net/index.php/topic,7725.msg30678.html#msg30678


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้าง
เหล่าแปะ ว่า

ทำไมพระอรหันต์หัวเราะได้ ร้องไห้ได้
เหล่าฮูอ่านผ่านๆตาแย๊ว
กะว่าจะไปดูเม้นท์ของป้า ก็ไม่มี
แต่นายรีล แมดริดพูดถูก เหตุผลมีน้ำหนัก หักล้างเขาไม่ได้สักคน
เพียงเค้ามีท่าทียโสโอหัง ไม่ค่อยมีไมตรี หรือเมตตาต่อคู่สนทนาเท่าไหร่
น่ากลัวจัง!

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นู๋บี ว่า....

แต่ อิฉันว่า ไอ้หมอนี่ มันน่า เอ็นดูดีออกนะ
อาจเป็นเพราะอิฉัน มีอารมณ์ขันพิเรนทร์
เวลาเห็น ลูกหมาพิทบูล มันร้อง โฮ่ง ๆ แฮ่
เลยชอบ รี่เข้ามา แหย่ เล่นมั้ง
แบ่บว่า อยากรู้ อ่ะ ว่า ตรูจะหนังเหนียวพอ
ที่จะ ทนมือทนตรีน เวลาที่ มัน โดดขย้ำคอหอยไหม หุหุ


และ เท่าที่ อ่านสำนวนมัน
อิฉัน ก็คิดเหมือน ไอ้ เจ้า สับสน นะ
ว่า อิตาราชันย์ชุดขาวนี่ มันมีลีลา คล้าย ๆ ไอ้ตี๋ บุญ พิลึกว่ะ
แต่ ไปๆ มา ๆ พี่แก กับบอกว่า แกเป็น พระ ซะงั้น เอิ๊ก ๆ

//board.palungjit.org/f4/ศาสนาพุทธ-หลุดพ้นด้วยปัญญา-พวกชอบคิดมาก-มานี่เลยครับ-351044-17.html#post6475611


อ้อ ส่วนเรื่อง ตาบัว นั้นน่ะ บอกตง ๆ ว่า
ในสายตา อิฉันนั้น พระรูปนี้ ไม่ใช่ อริยะ (ตาม มาตรฐาน ISO สำหรับ อิฉันอ่ะ)
ออกจะเป็น พระบ้าน ๆ ไก่กาอาราเร่ ที่ ภูมิศีล ภูมิธรรม ค่อนข้างต่ำ ด้วยซ้ำ
เผลอ ๆ ถ้าเอามาเทียบกับอิฉันแล้ว พูดก็พูดเหอะ อิฉัน เจ๋งกว่าแยะ
เพราะอย่างน้อย อิฉันก็รับมือ กับ กามราคะ ได้ดี
ไม่เคยเอา คำว่า ธรรมสังเวชเป็นไม้กันหมา
และก็ ไม่เคยได้ ฉายา อรหันต์ เจ้าน้ำตา เหมือนคนบางคนด้วย


แต่ก็ถือว่า ตาบัว ยังมีสถานะ ที่ดูดีมีชาติตระกูล กว่า เณรคลำ ก๊ะ ธัมมี่ ว่ะ
ทว่า ถ้าเทียบกับ แม่ชีจอย...เอ๊ย... แม่ชีเทเรซ่า ตาบัวน่าจะด้อยกว่านะ
อันนี้ พูดไปตามเนื้อผ้า จาก ประจักษ์พยานหลักฐานที่ พอจะอนุมานได้ อะนะ
ตาบัวจะ สงเคราะห์ โลกมากแค่ไหน ส่วนดีมีเท่าไร ก็ ว่ากันไปตามหลักฐาน
แต่ ส่วนไหนที่เห็นแล้วมัน ทะแม้ง ๆ ถูกผิดก็ต้องว่ากันไปตาม พฤติกรรม ที่ได้กระทำ
เหมือน ๆ กับที่ อิฉัน วิจารณ์ สิทธัตถะ นั่นแหล่ะ
ไม่ใช่ว่า เคยทำประโยชน์ มีบุญคุณกัน แล้วจะ ต้อง แก้ตัวให้



อ้อ เห็น ด้วย กับ อาแปะ นะ ที่ บอกว่า ศิษย์แก๊งพระป่า "อวยกัน" จนเสีย น่ะ
แต่ก็นั้นแหล่ะนะ คนบางคน ก็ วาสนาน้อย ด้อย ปัญญา
เกินกว่า ที่จะ ใช้ อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ มาเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจ ได้อ่ะ
ฉะนั้น เมื่อ รู้สึกว่า ว่า มีพระรูปไหน ดูเข้าท่า สามารถเอามาเป็น ไอดอล ได้
ก็เลย ชาบู ๆ จนเลยเถิด เสียพระ กันมานักต่อนัก แระ
แต่ เวลาที่ คนพวกนี้ อกหัก เพราะ ไอดอล ดีแตก เนี่ย
เห็นแล้ว ก็ ครึ้ม ดีไม่หยอก อ่ะนะ ฉมน้ำหน้าอิพวกติ่งอรหันต์ ว่ะ
แหม๊ !ชอบโหนกระแส หาเกาะชายผ้าเหลือง พระอริยะ อยู่นั่นแหล่ะ อิอิ
 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:23:59:11 น.  

 
 
 
อ้อ ! จริง ดิ เด๋ว โพส ตัวหนังสือ วันนี้ เสร็จ
คงต้องขอ อนุญาต ชิ่งเข้ากะลา หายหัวเข้ากลีบเมฆ ไปแระ น้าาาาาาาาา
แบ่บว่า รู้สึกเมื่อยปาก อยาก แลนดิ้ง เพื่อพัก ต่อมน้ำลาย แระ อ่า แหะ...แหะ...

เออ แต่ก่อนไป ขอตอบ คำถามทางหลังไมค์ ให้อาเหล่าแปะ
ใน สุสานโบราณ นี้เลยก็แระกันเน๊าะ ^ ^

เกี่ยวกับเรื่องยาลดไขมัน simvastatin
กินแล้ว มันก็เกิด อาการข้างเคียง คือ ทำให้ ปวดตาม กล้ามเนื้อ ที่เป็นมัด ได้นะ
ยิ่ง ถ้า กิน เกินวันละ 20 mg ควบคู่กับยา ลดความดันอย่าง amlodipine
จะยิ่งกระตุ้น ให้เกิดอาการ นี้ง่ายขึ้น อ่ะ

แต่ ถ้ามีอาการปวดตามข้อ ร่วมด้วย อาจเป็น รูมาตอยด์ ไม่งั้น ก็ เก๊าท์
ถ้าเป็น เก๊าท์ นี่ การกิน มัง อาจขลุกขลักได้
เพราะ พวก กระถิน ชะอม ยอดผัก คือของแสลง
แต่ถ้า ปวดตามข้อนิ้วส่วนที่เล็ก ๆ น่าจะเป็น รูมาตอยด์ มากกว่านะ
อันนี้ คงต้องให้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วินิจฉัย อีกที ไม่ชัวร์

แต่ที่อยากจะเตือน แปะคือ การทะลึ่ง หยุดยาลดไขมันเอง ดื้อ ๆ
โดย ไม่มีการปรึกษาแพทย์ เพื่อหาทางหนีทีไล่
ระวัง ปุบปับ ไขมันจะจุกอกตาย ได้นะยะ
และ หากไม่ตาย เกิดไขมัน ไป อุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ขึ้นมา
เก๊าะ อาจเกิดอัมพาต ได้นะว้อยยยยยยยยยยยยย
เด๋ว อาไจ๋ มันก็ได้แปลงร่าง เป็น ชวนป๋วยปี่แป่กอ ดร็อปเรียน มาดูแลป๊ะป๋าหร็อก
แนะนำว่า ถ้าไม่อยากกิน simvastatin ก็ ไปปรึกษาหมอ ขอเปลี่ยนเป็นยาตัวอื่นดีกว่านะ
หยุดยาโดยพละการ แบบนี้ อันตรายว่ะ

อ้อ ส่วนล้างพิษตับนี่ ไม่ค่อยจะสันทัด จร้าาาาาาาาาาา
ขอ อนุญาติ ผ่าน ก็แระกันน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

เออ ขอ นุยาด สอนไอ้เข้ ว่ายน้ำ เพิมเติมว่า
ไอ้เรื่อง ปวดทั้งหลายแหล่ะ เนี่ย
ระหว่างที่ รอหมอมารักษา แปะก็น่าจะ เปลี่ยน วิกฤติ เป็นโอกาส
ลอง หัด สติปัฏฐาน ในหมวด เวทนา เล่นแก้เซ็ง ไปดิ
อิฉันเอง ตอนนี้ เวลา มีเวทนาพวกเรื่อง เจ็บปวด อาทิเช่น ปวดท้องประจำเดือน
ก็ หยิบมา เป็นเคส สตั๊ดดี้ ในการดู เวทนา เหมือนกันอ่ะ
ทำแล้ว ผลออกมา ผ่านฉลุย อิอิ

บายบ๊ายคร้าาาาาาาาาา


ปอลิง
อ้อ ดีใจ ก๊ะ อาไจ่ไจ๋ บัณฑิตใหม่ คณะวิศวะเคมี ด้วยน้าาาา
แหม๊ เก่งนะเนี่ย แต่ไง แปะก็ ระวังไว้มั่งก็ดีนะ
ไม่รู้ดิ จากโหงวเฮ้ง อาไจ๋ ที่เคยเห็น แล้ว
รู้สึกว่า อี ไม่ค่อยจะทันคนว่ะ ดูซื่อ และ โดนหลอกง่าย
ยิ่งไป เจอ สังคมดิบ ๆ เถื่อน ๆ อย่าง วิศวะ นี่ น่าจะดูดี ๆ นิดนึงนะ ^ ^


4711
 
 

โดย: อิสมทรงคนจ๋วย อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:0:00:45 น.  

 
 
 
ขอบใจเน่อที่แนะนำเรื่องยา


สมทรงว่า...

...แต่ เท่าที่ อ่านดูแล้ว อินทรีย์พละ ของ แปะ นี่ โหลยโท่ย ชะมัด
อิฉันน่ะ ฝึกปฏิบัติแป๊บ ๆ ก็ สามารถ เสพสุขได้ จาก ผัสสะ เท่าที่มี
โดย ไม่ ปรุงต่อ เป็น ตัณหาและ ความ กระสันอยาก ได้แล้วนะ
........................

อินทรีย์พละของเหล่าฮุ ก็เป็นไปตามที่มันเป็นน่ะแหละ

จะว่าโหลยโท่ยก็คงได้ เพราะที่จินยังแพ้เรื่องกามราคะอยู่มาก เรื่องนี้ต้องพูดว่า รบแพ้ตลอดไม่เคยชนะได้ เว้นตอนภาวนาเท่านั้นที่เห็นมันฟู และมีท่าทีดูเฉยๆน่ะ อันนี้เข้าใจว่าตรงตามเทคนิคแล้ว ไม่ใช่ภาวนาแล้วมันไม่ฟู ตรงกันข้ามเลย เห็นอะไรๆฟูแยะไปหมด

หน้าที่ตอนปฏิบัติการตะหาก คือดูเฉยๆไม่แฝ่งตาม เพื่อมองสถานะภาพความเป็นรูป-นามของมัน
โดยเทคนิค เค้าว่าให้กำหนดรู้ ที่จินก็คือย้ำๆมันให้ปรากกชัดน่ะแหละ เพื่อช่วยให้สติมันชัดเท่านั้น พอกำหนดชำนาญ มันจะทัน แม้ขณะเกิด-ตั้งอยู่-ดับไป ทำให้เท่าทันผัสสะทั้งหลาย
แต่ถึงไม่กำหนดและดูเฉยๆ มันก็ทนคาอยู่ไม่ได้ร๊อก ธงชาติไม่โด่เด่ตลอดเวลานะ ถึงเวลามันก็สลด แต่การกำหนดมันบริหารสติได้ดีกว่า บางคนไม่กำหนดเลยก็ได้ แต่คิดว่า บรรพชนเค้าผ่านมาก่อนแล้ว สอนแบบนี้เพราะเจอเก่งๆมาทุกรูปแบบแล้ว เลยแนะนำให้ค่อยๆก้าว อย่าอวดเก่งทำเป็นไม่กำหนดบริกรรม เสียเวล่ำเวลาเปล่า


เรื่องอาหารหยาบ-ประณีตนั้น เข้าใจว่าอาจมองไปคนละแบบ เหล่าฮุหมายถึง ถ้าจะต้องกินมังฯ ก็ไม่เห็นต้องกินง่ายๆหรือหยาบๆเลย ปรุงแต่งมันก็ได้ มันไม่ได้ทำให้เสียไปจากการสำรวมใจอะไร

-เห็นคนกินเปิบด้วยมือ เลยไปเปิบข้าวด้วยมือเหมือนกัน ปฏิเสธการใช้ช้อน อันนี้โง่น่ะ

-มีรถให้นั่งไปทำธุระ แต่เพราะความเคร่งครัดแบบถือสันโดษ ขอเดินไปไม่ใช้รถตามประโยชน์แท้ของมัน อันนี้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ

-มีอาหารประณีตได้ไม่ทำ แต่จะทำอาหารหยาบกิน อย่างนี้คือมักง่าย ไม่ใช่สันโดษ

การเท่าทันสมมุติในแบบของเหล่าฮู ไม่ใช่ต้องเสพย์แต่ของง่ายๆหยาบๆ แต่เสพย์ตามที่มันเป็นตะหาก หากจะปรุงแต่งให้ประณีตขึ้นมาก็ไม่ได้เสียศีลข้อ-ปัจจยสันิสิตศีล(เสพย์และใช้ปัจจัย ตามคุณค่าของมัน) หรือมีอะไร เอาเท่าที่มีมาทำอาหาร ก็สามารถกินได้

พูดแล้วอ๊ายอาย
นู๋บีคงไม่เคยอัตตคัตเท่าไหร่มัง เหล่าฮุอยู่ในฐานะมีสตางค์อู้ฟู่ก็เคย ขัดสนข้นแค้นก็บ่อย กินแบบหยาบมากฝ่าแบบประณีตจมหูน่ะ ไม่อยากเซด เลยไม่ได้เดือดร้อนมากเวลาต้องฝึกข่มใจน่ะ

ในทางตรงข้าม หากมีอาหารที่หยาบกว่ากิน ก็กิน ไม่ได้เดือดร้อนกระเสือกกระสนไปแถวหว่องไต่ซิ๊นอะไร ก็ถ้ามีอาหารเจประณีตให้เลือกกิน กับอาหารธรรมดาๆ ก็เลือกกินที่ชอบน่ะ เว้นจะฝึกตนเพราะยังอยากในเนื้อสัตว์ ก็เลือกฝึกตามอัธยาศัย ในเมื่อไม่ได้อยู่ในฐานะจะเลือกได้ ก็กินแกนๆกันตายได้

และที่จิน ตอนนี้กินวันละมื้อเดียวเอง ไม่อยู่กะร่องกะรอยมานานมากแล้วตามอัตตภาพ ก็ไม่ได้ทุรนทุรายไปหาหมูสะเต๊ะมารัปประทานอะไร ที่เล่าให้ฟังก็เพียงบอกเล่าสถานการณ์ที่พบขณะภาวนา เวลามันขาดเนื้อสัตว์มันก็ออกอาการอยากขึ้นมาเห็นๆ และก็ทรมาน เหมือนอดบุหรี่ เพราะเหล่าฮุเลิกบุหรี่พร้อมงดเนื้อสัตว์ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งมันต้องสู้ความอยากกว่าคนที่ไม่ได้เสพย์แบบนี้มาก่อน



การกินอาหารเจประณีต ไม่ได้เหมือนขาดความอยากเสพย์สิ่งเสพย์ติดจำพวกบุหรี่หรือหมาก เหล่านี้แม้แต่น้อยเน่อ เพียงบอกว่า การทำงานที่ประณีตมันดีกว่าหยาบ ความหมายโดยสาระมีแค่นั้นน่ะ ไม่เห็นต้องทำหยาบๆเลยถ้าทำประณีตได้
ไม่งั้นผ่าตัดเสร็จ ทายาแดงยาหม่อง แล้วจะให้คนไข้กลับบ้านเลยเร๊อะ !


เรื่องเสพย์สุขจากผัสสะนี่ เก่งจินเน่อ
ไม่ปรุงแต่งต่อเลยเร๊อะ ฮี่ๆๆๆ


--------------------------------------------------------

สมทรงว่า....

....ถ้า ริอาจ จะเป็น "ตถาคต" ไม่เพียงแต่ ต้องไม่พูดขัดชาวโลกเท่านั้น
แต่จะต้อง ไม่พูดเอออวย ลื่นไหลไปตามน้ำ ทำให้คนเขาเข้าใจผิดด้วย
ถ้าไม่รู้จะพูดอะไร ก็ นิ่งเสียก็ได้ จะพ่นน้ำลายเอาใจชาวบ้าน
เพื่อขยายฐานแฟนคลับทำติ้งอะไร
..............................................

ไปตั้งกกเกณ?็ โน้นนี้ให้พระพุทธเจ้าทำไม ว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้
ป้ามองมุ่งที่เจตนาไม่ดีฝ่าเร๊อ มันยากนาที่จะพูดให้คนยอมฟังโดยดี ไม่เหมือนไอ้ธัมมี่ พูดให้ลิงฟัง ลิงยังต้องส่งกล้วยให้มันแต่โดยดี ไม่ใช่ทุกคนจะยอมเฟังง่ายๆซะเมื่อไหร่เล่า

เหล่าฮุมองว่า เหมือนเราเลี้ยงลูกนี่เอง
ถ้าจะเลี้ยงให้ได้ดี ก็ต้องมีอุบายวิธี ไม่ใช่ตรงเป็นสากกะเบือ ไอ้แบบนั้นมันไม่ใช่ตรงไปตรงมา แต่เรียกว่า ดันทุรัง

"กฏมณเฑียรบาล อีกข้อ
ของการ เป็น นักปฏิบัติ ก็คือ ต้องไม่เผยแพร่ข้อความ อันเป็นเท็จ
หรือ มีเจตนา พูดให้ ชาวบ้านเข้าใจผิด"

นี่ก็ทื่อมะลื่อเกินน่ะ (กฏนี้ใครตั้งง่ะ)

-ถ้าลูกอยากกินขนม แต่ขณะนั้นไม่อยู่ในสถานะจะซื้อ หรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทีที่จะไม่ให้ ก็ต้องหาวิธีตะล่อมให้ลูกสนใจอย่างอื่นแทน อาจออกอุบายชวนเล่นโอว-ป๋าย-แป๊ะ ก็ได้เพื่อล่อให้ออกจากเรื่องที่เด็กคิดอยู่

-ถ้าลูกจะเอาไอโฟน แต่พ่อไม่มีตังค์ ก็คงต้องหาเหตุผลอธิบายให้พอสมแก่อุปนิสัย เพราะลูกบางคนว่าง่าย บางคนว่ายาก-แตกต่างอัธยาศัยกันออกไป โดยสรุปก็คือยังไม่ซื้อเหมือนกัน แต่แจกวิธีการหลายหลายที่ปฏิเสธได้มากมายตามความพอเหมาะพอดี

แทนที่จะบอก "ไม่ซื้อ" ดื้อๆ ก็อาจบอกว่า
ใจเย็นๆนะลูก เดี๋ยวจะออกรุ่นใหม่ไอโฟน5s
ดูแอนดรอยด์ก็ดีนะลูก
แต่สำหรับลูกบางคน ก็อาจซัดซะผัวะ2ผัวะ หากพูดไม่รู้เรื่อง อะไรแบบนี้
สำหรับบางคนก็บอกตรงๆว่า พ่อยังไม่พร้อม สตางค์ไม่มี

ไม่ใช่ลูกทุกคนจะมีท่าทีแสดงออกมาเหมือนกันนะ บางคนขอตังค์ซื้อเหล้าไม่ได้ ก็เอามีดเฉาะหน้าพ่อแม่เพื่อตอบแทนมาแล้ว

ประเด็นว่าพระพุทธเจ้าพูดเอออวย ท่านไม่ได้เอออวยแบบสมยอมเน่อ เหมือนคราที่อุรุเวลลากัสสปะพูดถึงพรหมแบบของพราหมณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ในศาสนาพุทธก็มีพระหรหม แต่พระพรหมแบบของพุทธนั้น คือการประกอบกุศลกรรมมากกว่า มีพหรมวิหารธรรมอะไรเทือกนี้

จะว่าเอออวยก็ใช่ แต่ก็ตะล่อมให้เขายอมอ่อนข้อลงมาฟังเสียก่อน แล้วค่อยตะล่อมส่งสารให้เขาค่อยๆรับ แบบนี้ เขาจะค่อยๆยอมรับทีละน้อยๆ จนที่สุดก็สำเร็จประโยชน์ทั้งหมด

พระพุทธเจ้าชั่งใจนาน กว่าจะคิดเผื่อแผ่เหมือนกัน เหตุเพราะคนก็เหมือนเด็กๆนี่มัง ดื้อบ้าง ฉลาดบ้าง ว่าง่าย-ยากบ้าง แจกออกมาเป็นแวเรี้ยนหลากหลาย ย่อมเป็ยธรรมดาที่ต้องคะเนท่าทีในการจะถ่ายคำสอน เพื่อให้คนได้ประโยชน์มากที่สุด ก็เลยมีลักษระการสอนเป็นแบบที่เห็นนี่กระมัง

แต่บอกแล้วไง เหล่าฮุเห็นเป็นเพียงความเป็นไปได้ที่ท่านพุทธทาสว่ามา ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับพระผู้ใหญ่ที่แตกฉานในคัมภีร์ที่สุด แต่ละรูปล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น ทำไมคนที่พูดสอดคล้องกัน ล้วนเป็นผู้ชาญฉลาด ไม่ได้บ้านๆเลย แต่เหล่าฮุไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องภพชาติแบบ เกิด แก่ ตายเข้าโลง แล้ววนมาคลอดออกจากท้องแม่ใหม่ ด้วยเพราะยังไม่ได้รู้จริงๆ เพียงวิเคราะห์ตามที่รู้-เห็นเท่านั้น ไม่อาจคิดแทนพระพุทธเจ้า

เวลาป้าบีบอกให้อาแปะไปเป็นนอมินีให้ ก็มิใช่ท่าทีแบบเดียวกันหรอกเร๊อะ!
...............................

"อย่าลืมนะ ว่าที่ ศาสนาพุทธ ของแปะ ขาดความน่าเชื่อถือ
ก็เพราะ ไอ้เรื่อง นรก สวรรค์ การเวียว่ายตายเกิด แบบดราม่าจ๋า
ที่ สมณะโคดมถ่มน้ำลายทิ้งไว้ (แต่ หาหลักฐาน แสดง ให้คนทั้งโลก ยอมรับไม่ได้ นั่นแหล่ะ)
ขนาด พุทธทาส ยังอดไม่ได้ ที่ต้อง บอกว่า ตถาคต เอออวยไหลตามน้ำเลยนิ"


เรื่องนี้ละไว้ก่อน เพราะยังแลดูโง่ๆกันอยุ่ เหล่าฮุไม่ได้สรุปว่า ที่จินมันเป็นอย่างไรแน่ เพียงแต่มีความเป็นไปได้มากว่า จะเป็นแบบที่ท่านพุทธทาสว่าซะละมาก
สำหรับเหล่าฮุ มีประสพการณ์ส่วนตัวแปลกๆมาไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อรู้ไม่ชัด ก็สงวนไว้ไม่ชี้ก็แล้วกัน

แต่ถ้าป้าฟิตจัดในแง่นี้ เลือกท่าทีแบบนี้ก็ไม่แปลกมัง ดูๆก็เอาจริงเอาจังมาไม่น้อยแล้ว และไอ้การเอาจริงเอาจังในการฝึก ก็เชื่อว่าจะสำเร็จประโยชน์ได้ตามที่ท่านว่าไว้จริงๆ

อาจารย์พุทธทาสก็ไม่โง่ละมัง คงลงมือทำไม่น้อยกว่าใครหรอก ท่านพระพรหมคุณรภรณ์ที่ถุกค่อนขอดว่าไม่ปฏิบัติ ฟังแล้วก็อยากดูหนังหน้าไอ้คนพูดเหมือนกัน ว่าจะสักเท่าไหร่กัน

สำหรับเหล่าฮุยังขอสงวนไว้ทั้ง2แบบน่ะแหละ

......................


สมทรงว่า.....

การกระทำของ ตถาคต ในเรื่องนี้
ก็เหมือนกับ พ่อแม่ที่แกล้งหลอกลูก ๆ ให้เชื่อว่า
ถ้าหมั่น ทำความดี ถือศีลปฏิบัติธรรม
ตายแล้วจะได้ ไปเกิดใหม่ ในสวรรค์
แต่ถ้า ผิดศีลมาก ๆ ตายแล้ว จะตก นรก อ่ะนะ

เจตนาดี และ มีประโยชน์ ก็จริง
แต่มัน เป็นการ "สร้างเงื่อนไข" ให้คน ติดดี และทำดีเพื่อหวังผล อ่ะนะ
ไม่ใช่ ทำความดีด้วยจิตสำนึกที่ปราศจาก เงื่อนไข ว่า
หารทำความดี ถือศีลปฏิบัติ มนเป็นสิ่งที่ สมควรจะทำ

สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ ช่วยส่งเสริม พัฒนาการ ในเรื่อง MQ (Moral Quotient) เลย
และ หากเมื่อไรก็ตาม ที่ เด็กน้อยคนนั้น เติบใหญ่ รู้เดียงสามากขึ้น
หากเขาพบว่า เงื่อนไขเรื่อง นรกสวรรค์ ภพภูมิ นั้น มันเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าเด็กนั่น เป็นบัวปริ่มน้ำ ก็ดีไป
แต่ ถ้า พวกเขาเป็น บัวใต้น้ำ เมื่อไร อะไรจะเกิดขึ้น ?................


"สร้างเงื่อนไข" ให้คน ติดดี และทำดีเพื่อหวังผลเร๊อะ!

จู่ๆหวังจะให้สอนแล้วสัมฤทธิ์ผลเลยเร๊อะ หวังมากไปเป่าง่ะ

เหตุผลก็คือต้องค่อยๆตะล่อม ไม่หักหาญเอา ข้อนี้เหล่าฮุไม่เหมือนป้า แต่เทคนิคต่างกัน การบรรลุวัตถุประสงค์ไม่เท่ากัน และหลายเหตุหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่เหตุเดียว ปัจจัยเดียว

พ่อ-แม่ เลี้ยงลูกเหมือนกัน ทำไมลูกๆจึงประสพผลไม่เหมือนกัน
บางคนประสพผลดี เป็นคนดี
ลูกบางคนแย่ เหลือขอ
ทั้งที่ก็พ่อ-แม่สอนเหมือนกันน่ะแหละ

การบอกว่า"ถ้าหมั่น ทำความดี ถือศีลปฏิบัติธรรม
ตายแล้วจะได้ ไปเกิดใหม่ ในสวรรค์"
ข้อนี้ ก็สอนตามที่รุ้ๆมา และพ่อ-แม่ก็ไม่เคยขึ้นสวรรค์มาก่อน อยู่ในระดับ"เชื่อ" ยังไม่ใช่ระดับ"ความจริง"
ใครเชื่อมาแบบไหน ก็สอนต่อแบบนั้นแหละ เรื่องอะไรจะไปสอนแบบที่ตนเองไม่เชื่อล่ะ เออ ถ้ารู้แล้วก็ว่าไปอย่าง!

ถ้าเชื่อว่า ทำดีแล้วไปเกิดในสวรรค์ เอามาสอนลูก
หากเขาพบว่า เงื่อนไขเรื่อง นรกสวรรค์ ภพภูมิ นั้น มันเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก เขาจะกลายเป็นคนไม่ดีอะไรนั้น คิดว่า มันผูกสมการยาวนานเกินไป ตัวแปรเยอะแยะ

เหมือนหลักสูตรการศึกษา
ต้องเรียนแบบนี้นะ วิชาต่างๆเอาใหม่ เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ซะ เป็น "กลุ่มวิชา" แต่ละกลุ่มวิชา แจกออกมา ก็มีวิชาย่อยๆอีก กลุ่มสาระต่างๆ
พอจบหลักสูตร มีคุณสมบัติอย่างนั้นๆแล้ว สามารถต่อไปศึกษาปริญญาโน้นนี้ได้นะ ก็เรียนจนจบ

ถามว่า จบหลักสูตรไหม ก็จบ
แล้วทุกคนเป็นคนเก่งหมดไหม ??
แล้วได้งานทุกคนไหม ?
แล้วเงินเดือนสูงเท่ากันไหม???????

มีตัวแปรแยะไปน่ะ

บางคนเชื่อว่า ปฏิบัติธรรมแล้วดี พอไปพบว่า นรก-สวรรค์แบบที่ว่ามา ไม่ใช่แบบที่ตนเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้น มันระบุไม่ได้เน่อ

ไม่เหมือนยาเม็ด อาจมีไม่กี่เหตุและปัจจัยให้มันเพี้ยน ถ้าปัจจัยครบ เหตุครบ ยาแต่ละเม็ดย่อมเหมือนกัน แตกต่างบ้างก็เล็กน้อย

แต่มนุษย์ไม่เหมือนยาเม็ด มีปัจจัยที่เป็นตัวแปรหลากหลายทำให้ระบุว่าผลจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งคงไม่ได้

นรก-สวรรค์แบบปัจจุบันขณะไม่ใช่สิ่งไม่ดี เหมือนที่ป้าว่า เอาตัวเองให้พ้นจากทุกข์ในปัจจุบันขณะให้ได้ เหล่าฮุว่า ป้าคงเข้าถุกเป้าหมาย เราศึกษาก็เพื่อแก้ปัญหาตอนนี้ ไม่ได้ไปกันเผื่อไว้สำหรับหลังตายไปแล้ว ถ้าไม่สามารถดับร้อนตอนนี้ จะไปเพ้อว่า ตายไปแล้วคงไม่เดือดร้อน มันก็ไกลเกินการณ์
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.189 วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:14:14:29 น.  

 
 
 
นู๋บีบอกว่า....

....และ ตอนองคุลีมาลย์ มาถามหา เพื่อจะฆ่าแม่
การ ตอบแบบไหน เป็น สัมมา ( สมควรกระทำ ) มากกว่ากันล่ะ ระหว่าง



A...มีเจตนาโกหกทางอ้อม ผิดศีลข้อวจีมุสา
(เพราะใช้วาจาเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อรักษาตัวรอด )
แต่ก็ทำให้ะ แม่องคุลีมาลย์ พ้นจากอันตราย รอดตาย ไปด้วย....
ส่วน แม่ของ องค์ คุลีมาลย์ กับ สมณะโคดม ได้รับประโยชน์
คือ รอดตายจาก มีดสปาต้าร์ ของ องคุลีมาลย์


B.ยืนสงบ ก้มหน้านิ่ง สงวนสิทธ์ ไม่ขานตอบ
และ พร้อมจะ รับผิดชอบการกระทำของตน
โดย ยอมรับ ยถาสภาวะ จากผลของการกระทำ นั้น
ว่าอาจจะโดน องค์คุลีมาลย์ขย้ำคอหอย ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

กรณีนี้ องคคุลีมาลย์ ไม่ถูกเบียดเบียนทางวาจา
ส่วน แม่ของ องค์ คุลีมาลย์ก็ ได้รับประโยชน์
คือ รอดตายจาก มีดสปาต้าร์ ของ องคุลีมาร์
แต่ คนที่ สุ่มเสี่ยงที่จะเสียประโยชน์ ก็คือ สมณะโคดม
เพราะ อาจจะโดนองคุลีมาลย์ ฆ่าตายได้

ขณะที่ สมณะโคดม พยามรักษาตัวรอดจนยอม มุสาทางอ้อม
จนเป็นเหตุให้เบียดเบียนคนอื่น ทางวาจา แต่โสเครติส กลับทำในสิ่งที่ตรงข้าม
ก็พิณา เอาเองแล้วกัน ว่า ใคร เป็นผู้ที่ เจริญกว่ากัน ?

................................................................

เหล่าฮูตอบว่า......

มันเล็งเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า องคุลีมาลย์ถือมีดมา จะขออนุญาตตัดนิ้ว
สถานการณ์แบบนั้น เหล่าฮุไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคิดอย่างไร
แต่ผลลัพธ์คือ ไม่ต้องเบียดเบียนใครเลยไม่ใช่หรือ

จะว่าองคุลีมาลย์ถูกเบียนเบียนทางวาจาก็แล้วแต่ เพราะสถานการณ์เฉพาะหน้า แล้วถ้าเป็นโสเครติสจะทำยังไง ป้าบีรู้เร๊อะ

แล้วถ้าเป็นป้า ป้าจะทำอย่างไรล่ะ !

แล้วจะให้พระพุทธเจ้าทำอย่างไร ถึงจะถูกใจนู๋บี

ใครตัดสินใจได้ถูก เฉียบแหลมกว่ากัน มันตอบยากมาก
และเหล่าฮุก็ขอสารภาพว่า ไม่ฮู๊

แต่ถ้าเป็นเหล่าฮุ ในสถานะแบบเหล่าฮุ ก็ไม่ลังเลที่จะบอก
"กรูไม่รู้ กรูไม่เห็น"น่ะ
แหะๆๆๆ

เผลอๆอาจมีเตะนะ ถ้าอีมีมีดแต่ตัวเล็ก แล้วเหล่าฮุมีปืน ตัวใหญ่กั่ว

---------------------------------------------------

นู๋บีบอกว่า....

การละทิ้งครอบครัวไปบวช
โดยไม่ คำนึงถึง ความรู้สึกของผู้อื่น
นึกถึงแต่ ความต้องการของตนเพียงฝ่ายเดียว
จน ทำให้ ลูกเมียต้องทุกข์ทรมานใจ นั้น

1. ละเมิด "สิทธิโดยชอบธรรม" ของผู้อื่น ที่เขาพึงมีพึงได้ หรือไม่
( ละเมิด สิทธิ ที่ผู้เป็นเมีย พึงมีพึงได้ หรือไม่ )

2.เป็นไปในทางที่ ละทิ้งความรับผิดชอบใน หน้าที่ ทั้ง ต่อตนเอง และ ผู้อื่น หรือไม่
( ละทิ้ง หน้าที่ความรับผิดชอบของตน ในเรื่อง ทิศ 6 หรือไม่ )

3.เมื่อ กระทำแล้ว สิ่งนั้น ต้องเป็น กุศล
และ เป็น สิ่งที่ "บัณฑิต" ทั้งหลาย ต้องติเตียน หรือไม่ ?

....

อาแปะ ยังไม่มี ความตรงไปตรงมา ในการตอบคำถามเลย
แถมยัง ไป ขุดเอาดราม่า เรื่องขรี้ ๆ มาเรียกคะแนนสงสาร
ทำให้ สิทธัตถะ กลายเป็น พระเอกนิยาย น้ำเน่า ผู้เสียสละ อีกตะหาก



เหล่าฮุตอบว่า........


เปล๊า ! อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเหล่าฮุดราม่า คิดอย่างนั้นจริงๆ

สถานการณ์สติแตก ที่มันเกิดขึ้น แต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน
นางปฏาจารีย์ ที่สูญเสียครอบครัว ทั้งสามี ลูกทั้ง2 พ่อ แม่ ไม่มีที่พึ่ง ภายในวันเดียวกันนั้นเอง สติแตกจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไม่มีความรู้สึกตัวใดๆอีก ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ ถึงขนาดเสียสติมาแล้ว

เจ้าชายสิทธัตถะก็สติแตกเหมือนปุถุชน แง่นี้นึกไม่ออกหรือ

มันน่าสติแตกเสียยิ่งกกว่ารู้ว่าพ่อแม่เราเป็นโรคร้ายเสียอีก เพราะไม่เคยมีความจริงใดๆมาผ่อนเบาให้ท่าน ไม่เคยรู้ว่า คนเรามี เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เหล่าฮุไม่แปลกใจหากท่านจะทำอะไรที่ดูเหมือนไม่ได้ถูกไปทุกเรื่องนะ ถ้าจะตอบแบบตามใจผู้ฟัง ก็ได้ทุกข้อน่แหละ

หรือจะให้ตอบแบบตามใจผู้พูดล่ะ!

ถามว่า แล้วคนทั่วไปที่มันรู้ว่า คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นเป็นธรรมดา ทำไมมันไม่สติแตก ก็เพราะมันค่อยๆรู้มาเป็นลำดับ ไม่ได้ถูกอั้นเอาไว้แบบเจ้าชายนี่

ถ้าคิดลึกๆ ท่านไม่เพียงต้องรู้สึกว่า พ่อ-แม่ ภรรยา บุตร แม้การะทั่งชีวิตของตนเอง ก็กำลังจะต้องมีจุดจบเช่นนี้
แปลว่า ทุกคนต้องสูฐเสีย ทรมาน เจ็บเหมือนกัน ลงเอยเหมือนกัน ใครจะเข้าใจอารมณ์แบบนั้นได้
แค่คิดตาม มิอาจบอกได้ว่าท่านจะมีดีกรีความสติแตกขนาดไหน

คนบ้าที่ไม่รู้ว่าตนเองบ้า คนปรกติก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นๆทำไมคนบ้าถึงได้ทำอะไรบ้าๆแบบนั้น คนเห็นเข้าอยากช่วย พยายามยกเหตุผล เพื่อเรียกสติ สัมปชัญญะให้คืนมาดีดังเดิม ก็เห็นจะเหนื่อยเปล่า เพราะต้นเหตุแห่งการเสียสติคืออะไรก็ไม่รู้ชัด จึงได้แต่ทุเลาสถานการณ์ตามที่คิดว่าเหมาะสม
บางทีก็กลายเป็นยิ่งทำให้บ้าหนักเข้าไปอีก

ถามคำถาม3ข้อ ตอบไปตรงๆแล้วจะได้อะไร?

เหมือนไก่ในเข่ง ที่เหยียบตีนกันไปมา แล้วหาเหตุผลวิวาท อ้างที่คับแคบ อ้างรำคาญ กลิ่นตัวเหม็น สารพัดจะอ้าง ไปหาเหตุผลและคำอธิบายที่ไม่เกิดประโยชน์ เพราะอีกสักครุ่ มัจจุราชก็จะคว้าคอไปสับแล้ว มิสู้มองให้เห็นภัยที่รออยู่อย่างสงบ

ตอบแบบโลกๆ ก็จะได้คำตอบจากเหล่าฮุตามที่ป้าต้องการแน่ เพราะตามจริยาก็ว่าตรงไปตรงไปตรงมา เหล่าฮุไม่แก้ตัวแทนท่าน แต่มันไมโครเกินไปหรือเปล่า สำหรับสถานการณ์ของท่านตอนนั้น

หมอวินิจฉัยว่าสัญญาป่วยหนัก
ต้องล้างไต
ต้องแก้ไขปัญหาที่ตับ
ต้องให้คีโม

การล้างไต อาจต้องบายพาส ผ่าตัดเส้นเลือดเข้าหากัน
ถามว่า ญาติๆของสัญญา ต้องวิเคราะห์ไม๊ว่า
-หมอจะบายพาส
-ทำไมต้องใช้มีด
-ทำไมต้องเอาเส้นเลือดนั้นต่อเส้นนี้
-ทำไมต้องวางยา

ก็สงสัยได้น่ะ แต่จะมุ่งรักษาก่อน หรือจะให้หมอตอบก่อน
แล้วจะคิดวิเคราะห์หมอได้หรือว่า หมอทำแบบนั้น มันผิดจรรยา ผ่าแบบนี้มันเอียงไป เหลี่ยมไม่ได้ อย่าฉีดยาแรง ไม่ต้องแรงก็ได้ ฉีดเบาๆ อะไรเทือกนี้ มันไม่ดูไมโครหยุมหยิมไปเร๊อ คนฉลาดๆก็ใฝ่รู้ก็สงสัยน่ะแหละ หากจะอยากเป็นหมอเสียเอง หรือไม่ก็เท่าทันหมอเลยอดเห็นแง่มุมเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไม่ได้

คนปลงใจเชื่อหมอแล้วว่า เก่งกว่าตรุแน่ๆ ก็เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ถามอะไรรุ่มร่ามน่ะ

ถ้าญาติสัญญา วางใจเชื่อหมอ ก็คงไม่ต้องถามนั่นนี่ เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
(แต่สัญญาดันรู้ว่า ต้องรักษาแบบทางเลือกดีดั่ว อันนั้นก็แล่วแต๊ หมอก็ตามใจไม่บังคับ)

เดี๋ยวพอไปวางยา ก็ไปถามหาจริยะรรมแพทย์ว่า วางยาแล้ว มันเสียจริยะรรมไหม
พอไปผ่าเข้า ก็ถามว่า เอามีดไปกรีดเค้าทำไม ทำไมไม่ผ่าเบากว่านี้ ทำไมไม่รอให้เขาทำใจก่อน เขาจะเสียใจแค่ไหนที่เอาเขาไปผ่า

ผ่าเสร็จพอไม่รอด ทีนี้เลยปีญหาใหญ่เลย
-รู้ว่าผ่าแล้วเจ็บ ทำไมถึงผ่า
-ผ่าแล้วก็ไม่หาย ต้องตาย ผ่าทำไม
-รู้ว่าตายแน่ๆ รักษาไปทำไมกัน
แน๊!

เนี่ย เหล่าฮุเห็นภาพแบบนี้ง่ะ
ถ้าจะตอบ ก็ไม่เห็นภาพรวม
ถ้ามองภาพรวมเห็น คำถามแบบนี้ไม่เห็นน่าจะสงสัยนี่นา
ท้ายสุด ก็ต้องพูดกงๆว่า ไม่ฮู๊ว่ะ
เพราะไม่เข้าใจท่านเท่าไหร่ สติปัญญาไม่ถึงพระพุทธเจ้าท่าน

เหล่าฮุมองท่านก็เหมือนมองคนฉลาดๆธรรมด๊า-ธรรมดานี่เอง
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ

ทำไมท่านถึงปราดเปรื่องขนาดนี้ คิดแบบจับหลักได้เกินวิสัยปรกติธรรมดาในคนทั่วไป

เทคนิคยุทธวิธีของท่าน เลิศล้ำ จัดหมวดหมู่เป็นหนึ่งข้อ สองข้อ หลายข้อ จัดได้มากมาย คนทั่วไปไม่เห็นว่าทำได้
ที่เห็นๆว่าไปคิดยุทธวิธี six hat ยุทธวิธี 7 Habbit ฯลฯ มันก็งั้นๆแหละ ยังไม่เคยเห็นว่าของใครทำได้ดีแบบเกินปุถุชนแบบของท่าน

โสเครติสเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่เคยอ่าน ขงจื่อ เม่งจื่อ เหลี่ยวฝาน เหล่าฮุว่า ของเหล่าฮุยังแยบยลกว่าด้วยซ้ำไปในหลายครั้ง

พระพุทธเจ้าเป็นเลิศจริงๆ เรื่องบางเรื่องก็เหนือความคาดหมายของสามัญชน มีเรื่องให้ทึ่งตลอด

แค่นี้ก็เพียงพอให้ค้นคว้าติดตามน่ะ ไม่ตามสงสัยอะไรหรือวิเคราะห์แบบวิจารณ์สิ่งที่ท่านทำ ด้วยอุปมาดั่งสัญญาและหมอนี่แหละ บางทีก็สงสัยเหมือนป้า แต่พระพุทธเจ้าไม่อยู่ตอบคำถามแล้ว เลยมุ่งเอาที่คิดว่า ท่านสอนให้พ้นทุกข์ได้เป็นเงื่อนไขสำคัญว่า จะทำตาม หรือไม่ทำตาม เรื่องที่ไม่มีคนตอบได้ ก็ป่วยการไปถามหาเอาจากใคร และหากจะวิเคราะห์ คงได้แต่ ผิดๆถูกๆเท่านั้นน่ะ เหล่าฮุว่ามันไม่มีราคาค่างวดอะไร

เคยฟังเรื่องท่านนาคเสนคุยกับท่านมิลินท์มัง

ครั้งหนึ่งท่านมิลินย์ถามท่านนาคเสนว่า
"คนที่ทำบาปอกุศลลงไป ทั้งๆที่รู้ว่ามันบาป
กับอีกคนหนึ่ง ทำบาปอกุศลลงไปโดยไม่รู้
อานิสงส์ของบาปจะส่งผลให้แก่ผู้ใดมากกว่า

ท่านนาคเสนตอบว่า
อสนิสงส์แห่งผลบาป ย่อมส่งผลแก่ผุ้ที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัว เหตุเพราะไม่รู้ว่านี้เป็นบาป อกุศล ทำให้เขาต้องได้รับผลมากกว่า

ข้อนี้เหล่าฮุนับว่าผิดคาด เพราะอย่างเราๆท่านๆ หากมีผู้ใดกระทำความผิดลงไป โดยไม่เท่าทัน หรือรู้ว่าไม่ควรทำ ถ้าผุ้ถูกกระทำรู้ว่า เขาทำลงไปโดยไม่รู้ตัว ก็จะอะลุ้มอล่วย บางทีก็ไม่ถือโทษ

เหมือนเด็กน้อยทำความผิด เราก็จะลงโทษ แต่หากไม่เคยทำมาก่อน อาจจะแค่ตักเตือนว่ากล่าวตามหนักเบา

สำหรับคนทำผิดคดีต่างๆ ถ้ายังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังเด็กเกิน กฏหมายยังถือว่าผิด แต่เว้นโทษให้ก็มี หรือบางกรณีก็รอลงอาญา

แต่ท่านนาคเสนกล่าวมาฟังดูขัดมาก ท่านให้เหตุผลว่า

คนที่ทำความผิด โดยที่รู้ว่าผิด ก็เหมือนไปหยิบถ่านแดงๆร้อนๆ เขาจะพึงหยิบอย่างระมัดระวัง ให้ไฟทำร้ายเขาได้น้อยที่สุด

แต่หากเด็ก ซึ่งไม่รู้ว่าถ่านไฟแดงร้อนนั้น มันจะทำร้ายมืออย่างสาหัส ไปหยิบจับเข้า ก็จะกำมือลงไปเต็มๆ ผลจากความร้อนนั้นก็เผามือไหม้เกรียมเสียยิ่งกว่าผู้ที่รู้ว่าถ่านนั้นร้อน

โอ้โฮ ! เหลือปัญญาของเหล่าฮุ
อัฉริยะบุคคลท่านให้คำตอบที่ต้องจำนน เหล่าฮุทึ่งมาก เพราะปัญญาแบบนี้ต้องยอมรับว่า มันไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย

แล้วของพระพุทธเจ้า หากมองท่านแบบเป็นมนุษย์เดินดินธรรมดานี่ ไฉนท่านจึงวางแนวทางการใช้ชีวิต ยุทธวิธี และจริยาธรรม ศีลธรรม รวมทั้งการจัดตั้งองค์กรของท่านเป็นเลิศกว่า ยากที่จะหาผุ้ใดเหมือน ท่านย่อมไม่ธรรมดาแน่

เทียบเคียงต่างศาสนา ก็เห็นจะไม่เอาแบบอื่นแน่ โดยเฉพาะโสเครติวซึ่งฟังว่า อยุ่ในช่วงใกล้กัน โสเครติสจะห้าวอย่างไรก็ตาม คงไม่ได้มียุทธวิธีแบบของท่านมัง นู๋บียุติธรรมในข้อนี้ ก็ลองว่ามาเน่อ ว่าจะชอบของใครมากกว่า

ความล้ำลึกที่เกินสติปัญญาของเหล่าฮุ ไหนเลยจะไปวิเคราะห์ชุ่ยๆ ไม่เหมือนวิเคราะห์พระอรหันต์จะร้องไห้ไหม หลวงตาทำไมต้องร้องไห้ หลวงตาทำไมกินหมากอะไรเทือกนี้ ไอ้นี่มันตื้นเขินจนคิดไม่ออกว่า ทำไมคนทั่วไปมองไม่เห็น หรือเชื่อเข้าไปได้ไงว่าท่านเป็นอรหันต์ ซ้ำไปเพิกเฉยต่อข้อวินัยว่า ท่านห้ามอวดอุตริมนุสสธรรม ละเลยกันไปเป็นจำนวนมาก ดูแต่พวกที่เออวยกัน มันมากมาย แต่ผู้เห็นจริงตามที่ว่า ไหงมันน้อยจัง

ข้อนี้ไม่เข้าใจเลย ปัญญามันถูกศรัทธาบังหรือว่าอย่างไร!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.189 วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:15:40:45 น.  

 
 
 
นู๋บีว่า....

...ตาบัวจะ สงเคราะห์ โลกมากแค่ไหน ส่วนดีมีเท่าไร ก็ ว่ากันไปตามหลักฐาน
แต่ ส่วนไหนที่เห็นแล้วมัน ทะแม้ง ๆ ถูกผิดก็ต้องว่ากันไปตาม พฤติกรรม ที่ได้กระทำ
เหมือน ๆ กับที่ อิฉัน วิจารณ์ สิทธัตถะ นั่นแหล่ะ
ไม่ใช่ว่า เคยทำประโยชน์ มีบุญคุณกัน แล้วจะ ต้อง แก้ตัวให้




เหล่าฮูตอบว่า...

คงคล้ายกันมัง
ผิดแต่เหล่าฮูไม่ได้คำนึงถึงพฤติกรรมต่างๆของพระพุทธเจ้านัก เอาแค่เท่าที่ต้องรู้ ก็เวียนเฮดแล้ว ยังมี่ที่ต้องทำความเข้าใจแยะ นี่ไม่นับว่า เรารู้กันจากอรรถกถาเป็นหลัก ทำให้ยักเยื้องไปจากของจริงไปมากจนหลุดประเด็นไปเลย

เหมือนท่านเกิดฯที่เอามาแปะว่า ไม่มีเรื่องขนิกะสมาธิ อุปปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิในพระไตรปิฎก เค้าไปเจอมากจากธรรมกถาของท่านคึกฤทธิ์ง่ะ อย่างนี้ ก็เรียนฟรี มีโชว์ไม่มีชาร์จ คนหลวงใหลไปกับสมาธิระดับต่างๆ ฟุ้งกันเป็นวรรคเป็นเวร
แต่45พรรษาของพระพุทธเจ้า ไม่มีปราฏกเรื่องเหล่านี้
อยากบอกว่า

เรียนฟรีโว๊ย เรียนฟรี!

เนี่ย สิ่งเหล่านี้ปนลงมาแยะน่ะ
ที่ป้าบีสงสัยก็ไม่ได้แปลกอะไรนะ แต่เหล่าฮูนึกบริบทเหตุการณ์ไม่ได้ชัดหรอก เห็นว่า ไม่อาจคะเนจิตใจของท่านได้ว่า ท่านทำลงไปอย่างนั้นด้วยเหตุผลอะไร ไปตอบแทนท่านไม่ได้ ซ้ำ ก็ไม่อาจวิจารณ์สิ่งที่ท่านทำได้ วิจารณ์ไปบนฐานของความไม่รู้ ก็จะได้คำตอบที่เชื่อถือไม่ได้ ป่วยการเปล่าน่ะ

----------------------------------------------------
นู๋บีว่า.......

เออ ขอ นุยาด สอนไอ้เข้ ว่ายน้ำ เพิมเติมว่า
ไอ้เรื่อง ปวดทั้งหลายแหล่ะ เนี่ย
ระหว่างที่ รอหมอมารักษา แปะก็น่าจะ เปลี่ยน วิกฤติ เป็นโอกาส
ลอง หัด สติปัฏฐาน ในหมวด เวทนา เล่นแก้เซ็ง ไปดิ
อิฉันเอง ตอนนี้ เวลา มีเวทนาพวกเรื่อง เจ็บปวด อาทิเช่น ปวดท้องประจำเดือน
ก็ หยิบมา เป็นเคส สตั๊ดดี้ ในการดู เวทนา เหมือนกันอ่ะ
ทำแล้ว ผลออกมา ผ่านฉลุย อิอิ

บายบ๊ายคร้าาาาาาาาาา


ปอลิง
อ้อ ดีใจ ก๊ะ อาไจ่ไจ๋ บัณฑิตใหม่ คณะวิศวะเคมี ด้วยน้าาาา
แหม๊ เก่งนะเนี่ย แต่ไง แปะก็ ระวังไว้มั่งก็ดีนะ
ไม่รู้ดิ จากโหงวเฮ้ง อาไจ๋ ที่เคยเห็น แล้ว
รู้สึกว่า อี ไม่ค่อยจะทันคนว่ะ ดูซื่อ และ โดนหลอกง่าย
ยิ่งไป เจอ สังคมดิบ ๆ เถื่อน ๆ อย่าง วิศวะ นี่ น่าจะดูดี ๆ นิดนึงนะ ^ ^


เหล่าฮุตอบว่า....

ขอบใจเน่อ ดีใจที่ได้สนทนาด้วย

เรื่องคำแนะนำก็ขอบใจที่เตือน
เหล่าฮูยังพอมีเวลาดิ้นสักพัก
ถึงตอนนั้นจะภาวนาหรือไม่ ก็ถึงปลายทางเหมือนกัน
คงไม่เสียโอกาสหรอกจ้า

เรื่องไจ่ไจ๋ก็ระวังอยู่จ้า เป็นแบบป้าบีว่ามา เค้าซื่อมากไปจริงๆน่ะแหละ แต่สังคมวิศวะที่นั่นก็นุ่มนวลหน่อมแน้มไปหน่อย อาจเหมาะกับเค้าก็ได้

แต่ก็เชื่อมั่นในความพยายามของเค้า
เวลาอยู่ไกลพ่อแม่ เค้าเป็นตัวของตัวเองเสมอ ไม่ต่างจากพ่อและแม่เลย แสดงภาวะผู้นำออกมาให้เห็น เบาใจได้เหมือนกัน จะมีเพียงว่าซื่อเกินไปหน่อย ตรงนี้ยังหนักใจ เพราะดูหวั่นไหว-จริงจังมาก อันนี้คงคล้ายเหล่าฮุนี่เอง หวังว่าเค้าจะเสริมภูมิคุ้มกันได้ทันต่อสถานการณ์ เพราะเค้ามีพื้นฐานอ่อนโยนมากไป จัดการตนเองเข้มงวดเกินไป รักษาดุลยภาพไม่เก่งเท่าไหร่
อันนี้คงต้องค่อยๆสะสมประสพการณ์เอามัง

เหล่าฮุก็ต้องลาไปก่อนเหมือนกันเน่อ ว่าจะไป ล้างพิษตับ ,หาโลเกชั่นเหมาะๆภาวนาเสียหน่อย และเตรียมตัวdก่อนที่ร่างกายหมดกำลัง

ขอให้มีความสุขตามควรแก่เหตุ-ปัจจัยเน่อ ที่ทำๆไปไม่ลงทุนเสียเปล่าแน่ เหล่าฮุว่าคงได้ประโยชน์ดังที่ได้เล่าให้ฟังมากขึ้นๆเรื่อยไป แสดงว่าวางใจได้ดีแล้วน่ะ

สาธุๆ
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.1.189 วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:16:11:07 น.  

 
 
 
ปล.

เหล่าฮูว่า".....

รื่องอาหารหยาบ-ประณีตนั้น เข้าใจว่า อาจมองไปคนละแบบ เหล่าฮุหมายถึง ถ้าจะต้องกินมังฯ ก็ไม่เห็นต้องกินง่ายๆหรือหยาบๆเลย ปรุงแต่งมันก็ได้ ..

-เห็นคนกินเปิบด้วยมือ เลยไปเปิบข้าวด้วยมือเหมือนกัน ปฏิเสธการใช้ช้อน อันนี้โง่น่ะ

-มีรถให้นั่งไปทำธุระ แต่เพราะความเคร่งครัดแบบถือสันโดษ ขอเดินไปไม่ใช้รถตามประโยชน์แท้ของมัน อันนี้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ

-มีอาหารประณีตได้ไม่ทำ แต่จะทำอาหารหยาบกิน อย่างนี้คือมักง่าย ไม่ใช่สันโดษ

การเท่าทันสมมุติในแบบของเหล่าฮู ไม่ใช่ต้องเสพย์แต่ของง่ายๆหยาบๆ แต่เสพย์ตามที่มันเป็นตะหาก หากจะปรุงแต่งให้ประณีตขึ้นมาก็ไม่ได้เสียศีลข้อ-ปัจจยสันิสิตศีล
(เสพย์และใช้ปัจจัย ตามคุณค่าของมัน) หรือมีอะไร เอาเท่าที่มีมาทำอาหาร ก็สามารถกินได้ ."


เหล่าฮุขอแพล่มต่อ ว่า...........

ข้อนี้เหล่าฮูย้อนมาลองคิดดูแล้ว เดี๋ยวป้าบีต้องคิดว่าเหล่าฮูแก้ตัวก็เป็นได้ เพราะไปพูดกระชับรวบรัดเกินไปอาจทำให้เข้าใจผิด ขอนุยาดแก้ตัว เอ๊ย ขยายความให้ครอบคลุมอีกสักนิด เผื่อจะมีประโยชน์ก็ล่าย

ทำไมพูกว่า"ปรุงแต่งก็ได้" ฟังแล้วระคายหูมัง เรื่องนี้ไม่ต้องไปยึดที่รูปศัพท์ ว่ามันคือการไปสร้างภพ -ชาติ ปรุงแต่งสังขารนะ เดี๋ยววุ่นวาย (มีสังขารหลายแบบ) ขอเริ่มต้นตรงที่ความอยากเน่อ

อยาก ส่วนใหญ่แปลกันว่า กามตัณหานี่เอง ตัณหา ราคะ อะไรเทือกนี้ และเราก็คิดว่า มันก็คือกิเลส ซึ่งที่จริง มันมี"อยาก"อีกแบบ ที่เราเอาไปปนกันอยู่ อยากแบบที่ว่า มันมีทั้งกุศล และ อกุศล
(แน๊ ถูกใจช่ายแม๊!)

อยากที่เป็นกุศล เรียกว่า กุศลฉันทะ หรือฉันทะเฉยๆ
อยากที่เป็นอกุศล เรียกว่า ตัณหา(หรืออกุศลฉันทะ)

ที่จิน คำว่าฉันทะเป็นคำกลางๆ จะว่ากุศลฉันทะก็มี อกุศลฉันทะก็มี แต่เค้าว่าในภาษาบาลีหากใช้ฉันทะ ก็จะมุ่งความหมายโน้มเอียงมาทางกุศลมากกว่า เหมือนคำว่า"กรรม" คนไทยมักใช้ไปในทางอกุศล เช่นว่า ชาตินี้เกิดมาเป็นคนมีกรรม หรือ กรรมของเราแท้ๆเลย....อะไรเท้อกเน๊

นี่ เอาไปใช้จนเข้าใจตรงกันแบบนี้ ฉันทะ เลยถูกเอามาใช้ในทางกุศลเป็นส่วนใหญ่

ทีนี้ คำว่าอยาก มันเป็นกุศลยังไง ก็ให้ไปดูที่โพธิปักขิยธรรม37ประการไง มันมีหมวดธรรมชุดหนึ่งที่ว่า อิทธิบาท4 มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ฉันทะ ก็คืออยากนั่นเอง(เอ คุ้นๆเคยแพล่มแถวนี้มาแล้วมัง)

อยากแบบฉันทะ มีลักษณะคือ อยากในทางเจริญ ไม่ต้องมีอามิสมาตอบสนองความอยากเนั้น อย่างเช่น

-อยากเรียนให้เก่ง เพื่อสร้างความเจริญนะ ไม่ใช่เพื่ออยากรวย อยากให้ชีวิตมีความเจริญถือเป็นฉันทะ ไม่ได้ตอบสนองกิเลส เรียกว่าตอบสนองฉันทะ

-อยากเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี อันนี้พ่อแม่มักตั้งความหวังว่า สักวัน ลูกของตนจะเป็คนที่มีจิตใจดี เป็นประโยชน์ต่อตนและต่อท่าน ไม่ได้มีอามิสใดๆมาตอบสนองฉันทะนั้นนะ ความอยากแบบนี้ แม้ตัวเองจะต้องลำบากเลือดตากระเด็น ก็ทำแบบมีความสุข โดยไม่หวังสิ่งของหรือเงินทองตอบแทนจากลูกเลย อยากแบบนี้เรียก"ฉันทะ"

-อยากเดินจงกลมพร้อมทั้งออกแรงจ๊อกกิ้งเพื่อสุขภาพไปด้วย เป็นฉันทะนะ ไม่ใช่ตัณหา

-ป้าบางคนอยากไปนิพพาน แต่นิพพานของแต่ละคนเข้าใจไม่ตรงกัน ของบางคนเป็นแก้ว เป็นดินแดนเนฟเวอร์แลนด์อะไรเทือกนี้ ถ้าอยากไปนิพพานแบบนี้ เรียกตัณหา ไม่ใช่ฉันทะ(มีเนฟเสอร์แลยด์มาตอบสนองอยาก) แต่หากนิพพานของบางคนมุ่งสู่ปัญญาแท้ หลุดพ้นการครอบงำของกำเลสอาสวะทั้งปวง อยากไปนิพพานแบบนี้เรียกฉันทะ เพราะไม่มีอามิสรองรับความอยากอันนั้นน่ะ

-อยากปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญปัญญา อันนี้ในฝ่ายสำนักพระป่าได้ยินบ่อยว่า หากอยากนั่งหลับตาขึ้นมาก็ให้หยุด ทำนอง"กรูไม่ตามใจเมิง กรูไม่สนองเมิงซะอยาง"อะไรเทือกเน๊

ที่ไปเข้าใจว่า
ถ้า"อยาก"ทำต้องหยุด เพราะ"อยาก"มันเป็นกิเลส
ข้อนี้ทำให้เป็นที่ขบขันแก่เหล่าฮุเป็นยิ่งนัก ศิษย์พระป่าทำไมทำอะไรตลกๆอย่างนี้ คิดว่าทางโน้นเค้าไม่ได้จำแนกอยากแบบฉันทะ กะแบบ ตัณหา เลยเอาไปปนเปกัน

อยากปฏิบัติธรรม ก็อิทธิบาท4ตรงๆน่ะ จู่ๆไปหยุดปฏิบัติก็แย่น่ะสิ ละเลยกติกาไปเสียหมด(โพธิปักขินธรรม)ไปเอาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ซึ่งมันตกหล่น เพราะท่านเหล่านั้นไม่เน้นปริยัติ เลยสอนผิดๆถูกๆแบบที่เห็นนี่แหละ

หง่า! คงเห็นข้อต่างแล้วมัง จะปฏิบัติธรรมต้องมีความอยากทำเสียก่อน จะมาอ้างว่า ทำไปงั้นเองเพื่อเลี่ยงคำว่าอยาก เห็นจะแก้ความเข้าใจตรงนี้หน่อย ถ้าไม่ทำความรู้จักอิทธิบาท4 ก็เสร็จเลย ส่วนใหญ่ไม่รู้จักโพธิปักขิยธรรมด้วยซ้ำ แล้วจะภาวนายังไงหว่า?

ทีนี้ หากเข้าใจตรงนี้แล้ว ป้าจะเห็นได้ว่า ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้ยากจนนะ แบบที่สันติอโศกเข้าใจไปแบบนั้น เหล่าฮุยังไม่รู้เหตุผลของเขา เป็นเอามากถึงขนาดตั้งเป็นชื่อหรือชื่อสกุล เช่น แซมดิน ขวัญดิน ก็มี ชื่อแบบติดดินๆ บางคนนามสกุลจนๆ เช่น มุ่งมาจน กล้าจน อะไรเทือกนี้ ข้อนี้เห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าไม่สอนแบบนั้น ไม่งั้นจะมีชุดคำสอนเพื่อความเจริญไว้ทำไม!

คำสอนเพื่อสร้างความเจริญ อย่างเช่น
-อิทธิบาท4 ถ้าอยากทำอะไรให้สำเร็จ ก้ใช้ชุดความคิดอันนี้เป็นหลัก คือต้อง"อยาก"เสียก่อน ต้องมีความชอบในสิ่งที่จะทำนั้น ต่อมาก็ต้องเพียรพยายาม เอาใจใส่ หมั่นทบทวนตรจสอบ นี่คือปัจจัยแห่งความสำเร็จ(ขออภัยที่พูดยึดยาวเน่อ ไหนๆก็พูดแล้ว เผื่อคนอื่นด้วย)

-อปริหานิยธรรม7 คือธรรมมะที่เป็นหลักประพฤติให้เป็นไปเพื่อความเจริญแต่ถ่ายเดียว
สังคมใดหากต้องการเจริญไม่มีเสื่อม ก็มีหลักคิดชุดนี้ รวบรวมแนวคิดไว้สำหรับพระ มีชุดหนึ่ง ของโยมก็อีกชุด คล้ายๆกันน่ะแหละ คือ

1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์

2. "พร้อมเพรียง"กันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ

3. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามวัชชีธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม

4. ท่านเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่ในชนชาววัชชี เคารพนับถือท่านเหล่านั้น เห็นถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันควรรับฟัง

5. บรรดากุลสตรีกุลกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ

6. เคารพสักการะบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่างๆ)ของวัชชี (ประจำชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้ธรรมิกพลีที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป

7. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กินความกว้าง หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป) ตั้งใจว่า ขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
//84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=289

อ๊ะแฮ่ม ! อาแท่านี้เห็นจะเพียงพอแล้ว !(คือรู้เท่านี้แหละ)

นี่คือตัวอย่างธรรมมะชุดที่เอาไว้สร้างความเจริญในฝ่ายฆราวาส
(มีเร๊อะ มุ่งไปจน พุ่งมาจน จนติดดิน ตายคาจน อดจนตาย!)

ข้อนี้เหล่าฮูว่าสันติอโศกสอนผิดเห็นๆน่ะ

หลักพุทธสอนให้ถึงที่สุดแห่งปัญญา ไม่ได้สอนให้ยากจนเน่อ แต่สอนให้เจริญในทุกกด้าน ถึงจะมีข้อสันโดษ ก็พึงเข้าใจตามเจตนารมย์ หากเข้าใจผิดไป ก็จะเป็น ศีลพรตปรามาส ซึ่งก็คงหมายถึงฟามงมงายนี่เอง! เพราะคิดว่า ชาวพุทธต้องเรียบง่าย เลยพาลไปคิดว่าต้องจนๆ ต้องติดดิน ต้องอย่าหรูหรา ซึ่งน่าจะไม่ใช่

มันน่าจะเป็น "ตามอัตตภาพ"ต่างหาก

ถ้าามีสถานะภาพเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วดันไปนุ่งโสร่งรับแขก ไอ้นี่มันเกินเหตุ ไม่สมฐานานุรูป ใส่ร้องเท้าแตะก็มี ทั้งที่ร้องเท้าแตะเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ถูก Flipflopคู่ละตั้ง5-6พัน ใส่แล้วเหมือนเดินเหนือน้ำได้หรือไงนี่! เอาแบบก็อปก็ได้3-400บาท เหมือนเกือบเป๊ะ นิ่มนวลชวนเอาแก้มแนบเหมือนกัน!

เนี่ย ตรงนี้ไม่รู้ป้าบีเข้าใจตรงกันหรือไม่ พุทธบริษัทต้องทำไปเพื่อความเจริญนะ ไม่งั้นก็เสื่อม

ในฝ่ายพระก็มีอีกชุดนะ อปริหานิธรรม7 คล้ายกันน่ะแหละ ธรรมมะเหล่านี้ก็เห็นแล้วว่า เป็นไปเพื่อสร้าง"ความเจริญ" ไม่ได้ขัดกับเรื่องสันโดษ (ยินดีที่พึงมี พึงได้ พึงเป็น) หมายความว่า ได้อย่างไรก็พอใจอย่างนั้น ในหลักการว่า ก็ต้องมีอิทธบาท4ให้เต็มที่เสียก่อน ไม่ใช่เฉื่อยๆแฉะ แล้วก็พอแค่นั้น แล้วมาบอกว่า"ฉันสันโดษ"
อันนี้เรียกว่า ปล่อยปละละเลย ขี้เกียจ อะไรเทือกนี้ตะหาก

ทีนี้ก็โยงเข้ามาสู่คำพูดเรื่องปรุงแต่ง อาหาร

ทำไม่ต้องกินอาหารเจแถวหว่องไต่ซี๊น มังสวิรัติทั่วๆไปแดรกไม่ลงหรือไงตาเฒ่า?

จะเห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจหลักการเรื่อง"อยาก"ทั้ง2รูปแบบ ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล จะเห็นว่า มันก็ปนๆอยู่ในจุดมุ่งหมายเดียวกันจนแยกได้ยาก

บางคนอยากเป็นหมอ มีเมตตา(อันนี้ก็"ปรุงแต่ง"เน่อ)เพื่อจะช่วยเผื่อแผ่รักษาคน เพราะเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก(กุศลฉันทะ) และจะได้มีเงินเดือนสูงๆ(ตัณหา) เอาไว้ไม่ลำบากในภายหน้า(ฉันทะ) จะได้ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ(ฉันทะ+ตัณหา)ไว้เลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย(ฉันทะ) ลูกๆจะได้ไม่ลำบาก(ฉันทะ) .....

การปนเปกันอยู่นี่เองทำให้เกิดปัญหาว่า อันไหนเป็นฉันทะ(ที่มุ่งหมาย )ในอิทธิบาท4
หรือเป็นตัณหาอันเป็นกิเลส

ข้อนี้อยู่ที่การวางใจล้วนๆ เพราะบางเป้าหมาย ก็ผสมปนเปกันไปอย่างที่เห็น จึงยากที่จะไปตัดสินใครจากที่เห็นด้วยตา เป็นเรื่องเฉพาะคน การเห็นเพียงภายนอก บางทีก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเขาคิดอย่างไร

(แทรกนิดนะ)
เหมือนการเตลิดเข้าป่าของเจ้าชายสิทธัถะ เหล่าฮุจากลูกไปแต่ละวันยังยากเลย จะโทรหาวันไหนก็เกรงเขาจะไม่สะดวกหรือยุ่ง ไม่ก็เกรงเขาจะไม่โตเสียที ไหนเลยเจ้าชายสิทธัตถะจะตัดใจไปจากลูกที่เพิ่งเกิดได้โดยง่าย ข้อนี้หากบริบทไม่เหมาะเจาะพอดีว่า เป็นหลานพระราชามหากษัตริย์ อาหารบริบูรณ์บาล์ม เอ๊ย บริบูรณ์เฉยๆ ความพอเหมาะพอดีแบบนี้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้นก็เป็นได้ สถานการณ์นี้หยั่งไม่ถึงจิตใจของท่าน ใครไม่มีลูกก็ยิ่งหยั่งไม่ถึงคนที่ห่วงลูก ฉันใดก็ฉันนั้น การพลัดพรากเป็นเรื่องที่ขมขื่นไม่น่าอภิรมย์ การไปวิจารณ์จากการกระทำที่เห็นเพียงผิวเผิน ย่อมหยั่งไม่ถึงความรู้สึกนึกคิดของเจ้าชายสิทธัตถะ ไปคะเนเอา ก็เหมือนไปตัดสินพิพากษาส่งเดช หากมีใจเป็นธรรมก็ต้องใคร่ครวญให้รอบ

การกำหนดท่าทีเรื่อง"อยาก" จะเห็นว่า มันจะกำหนดพฤติกรรมความเป็นไปคนละทางเลย

เพราะถ้าไปเข้าใจว่า"อยาก"ก็คือตัณหา มันจะทำให้สับสนปนเปว่า เรามีกิเลสตัณหาหรือไม่ การจะไปภาวนาทีไรก็ต้องคาใจตลอด

หนักๆเข้าก็คลุมเคลือ พร่าๆเลือนๆไปเลย ตีขลุมไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะไม่กระจ่างชัดถึงเจตนารมย์ในหลักคำสอน หรือเพราะได้ยินมาผิดๆถูกๆ

เมื่อเห็นแม้พระ(อรหันต์)พูดหยาบคาย หรือร้องห่มร้องไห้ ก็พร้อมใจกันละเลยข้อเท็จจริงตามความพร่าเลือน ที่ว่า
พระอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว ทำไมยังโกรธขนาดผรุวาทออกมา
หรือหวั่นไหวจนร้องไห้ออกมา

เพราะรู้ไม่ชัด ยังพร่าๆเลือนๆ เวลาถูกสอน ก็พร่าๆเลือนๆมาตลอด พูดคลุมเคลือ จิตรวมเป็นหนึ่งหมุนติ้วๆ สว่างไสวไปทั่ว3แดนโลกธาตุ ฟาดฟันกิเลสขาดสะบั้น ฯลฯ อย่างนี้
มันฟังไม่รู้เรื่องเน่อ

แหะๆๆๆ ไม่ตอดละ ขอนิดเดียว!

ถ้าความเข้าใจเรื่อง"อยาก" คือ มีทั้ง ฉันทะ และตัณหา อย่างนี้ ก็แก้ความคลุมเคลือนี้เสียสิ้นได้

-อยากจะไปนั่งหลับตา ก็ไม่ต้องคาใจ
-อยากเรียนให้เก่ง ก็มีหลักคิด
-อยากประสพความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ติดขัดข้อตัณหา
-อยากทำอาหารให้อร่อย ก็ไม่คาใจว่าไปปรุ่งแต่งมัน!

เนี่ย วกมาเรื่องนี้เสียที ปรุงแต่งรสชาติอาหาร

เหล่าฮุอาจห่วยแตก วางใจไม่ได้ดีมากนักเน่อ แต่ในข้อนี้ จำต้องชี้แจงแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่ากินอาหารหยาบไม่ได้ ตรงกันข้ามเลย ป้าบีเคยรู้มาว่า เหล่าฮุสะอาดสอ้านมานานมากแล้ว อาหารการกิน ก็กินหรูมาแต่เล็กแต่น้อย( พ่อแม่มีตังค์อ่า มีรัยแมะ!) พอถึงคราวขัดสนข้นแค้น ไม่มีตังค์กินข้าวเป็นอาทิตย์ก็เคยมาแล้ว อาหารแฟรงเก้นสไตน์ก็กินบ่อยไป บางทีก็ค้างเป็นอาทิตย์ ยังต้องกินเลย ไหนเลยยังสะเออะ ไม่เจียมตัว คิดจะกินเจอันประณีตแถวๆในวัดที่ฮ่องกง

ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ ก็เค้าทำอร่อยจินๆง่ะ

เหล่าฮุเองเป็นคนทำอาหารขายมาก่อน เห็นเค้าทำๆกัน มัน หยาบ สาก กระด้าง ไม่มีความพิถีพิถัน ทำไมสู้ของเค้าไม่ได้เลย พอได้ไปเห็นไปชิมจึงรู้ว่า การทำอาหารเจ มันสามารถทำให้อร่อยเป็นเลิศก็ได้

ข้อนี้จึงเป็นฉันทะ ไม่ใช่ตัณหาเน่อ!

ฉันทะ คือ อยากทำให้รสชาดอาหารดีขึ้น มีการพัฒนา เพื่อให้มันประณีต
อยากกินเพราะมันตอบสนองความอร่อย มันเป็นตัณหา
คำพูดดังกล่าว มันจึงเป็นทั้งฉันทะและตัณหา

แต่หากดูจากเจตนารมณ์ ก็จะเห็นท่าทีของเหล่าฮุว่า มันมีฉันทะเจืออยู่เป็นหลัก ไอ้อยากกินอร่อยน่ะมันก็มี แต่ดูจากบริบทชีวิตของเหล่าฮุ จะรู้ว่า มันไม่ใช่ตัณหาร๊อก จึงว่า อย่าพิพากษาเปรี้ยงลงไปจากที่ตาเห็นเท่านั้น มันจะวู่วามได้ ป้าบีจะหยั่งซึ้งถึงจิตใจของเหล่าฮุได้ยังไงน่ะ ไม่ได้เป็นแฟนกันซะโหน่ย!
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เมื่อได้อธิบายอย่างนี้แล้ว หวังว่าคงกระจ่างขึ้นอีกนิด
(หรือไม่ก็หนักเข้าไปอีก พูดมากแง่มุมปลีกย่อยให้ถกก็ยิ่งมาก)
เหล่าฮุจะไม่แก้ตัวเน่อ ว่า ยังอยากกินนุ่นนี่ ละไว้ให้อ่านเพื่อประกอบความเข้าใจ เพื่อฟามสงบสุขและศีลธรรมอันดี



ปล.2

เลิมง่ะ ตะกี้คิดได้ แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่าไว้คิดออกค่อยเอามาแปะแล้วกันเน่อ ขอบใจในไมตรี มีโอกาสเหมาะจะมาทิ้งระเบิด เอ๊ย มาเสวนาด้วยใหม่
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.0.138 วันที่: 12 กันยายน 2556 เวลา:14:33:27 น.  

 
 
 
ก่อนอื่นก็ หวัดดี เหล่าสหาย ทุ๊กกกท่าน
ที่แวะมาวันนี้ เพราะไปเจอกาทู๊เรื่อง ท่านโกเอ็นก้า ถึงแก่กรรม แล้วก็ไปเจอเรื่องประหลาดใจที่ท่านเคยพูดถึงเรื่อง การหนีเมียไปบวช ในประเด็นที่พวกเราวิจัยธรรมกันอยู่นี่แหละ ก็เลยคิดว่า ถึงเวลาที่ชาติ(ของใครก็ไม่รู้ว่ะค่ะ คิคิ) ต้องการแล้ว ก็เลยขอโผล่หัววรนุชออกมาจิ๊ดนุงนะ 555

คือเรื่องของเรื่อง อิอ่อนมันดีใจมว๊ากกกก ว่ามีคนคิดเหมือนมันด้วยวุ้ย จนอดรนทนมะได้ ต้องเอามาอวด ทั่นด๊อกฯ 555 ไม่ได้หมายฟามว่าอิอ่อนมันคิดถูก นะเว้ยเฮ้ย!!! แค่อยากมาอวดว่า บางเรื่องบางอย่างมันคิดได้เหมือนทั่นโกเอ็นก้า เท่านั้น

ก่อนอื่นก็ขอ RIP ทั่นโกเอ็นก้า มา ณ. ที่นี้

คำวิจารณ์เกี่ยวกับพระองค์อีกประการหนึ่งคือ การที่ทรงละทิ้งพระมเหสี และพระโอรสที่เพิ่งลืมตาดูโลก รวมทั้งบุพการีที่ร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า แต่ผู้วิจารณ์ลืมไปว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้แล้ว ได้กลับไปช่วยเหลือพวกเขาให้พบกับความสุขที่แท้จริงจากการหลุดพ้น ถ้าหากพระองค์ยังใช้ชีวิตอยู่ในวัง พวกเขาก็จะมีความสุขที่น้อยกว่า ซึ่งเป็นเพียงแค่ความสบายทางโลกและการได้อยู่ร่วมกันเท่านั้น แทนที่ทั้งหมดจะได้บรรลุธรรมอย่างสมบูรณ์

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-
จากหนังสือ “พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายหรือ”

4477

*.*


 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.164.116 วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:10:54:13 น.  

 
 
 
อันนี้ ก็ชอบ ที่ท่านโกเอ็นก้า กล่าวไว้
ที่อิอ่อนมันชอบมั่กๆ

มาจากกระทู้ ท่านโกเอ็นก้า ถึงแก่กรรมแล้ว
//pantip.com/topic/31045813

เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าใครผิดหรือถูก เพราะเรามีแนวโน้มที่จะชอบเปรียบเทียบการกระทำของตัวเองกับผู้อื่น แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็แสดงว่าท่านต้องมีอะไรที่ผิดพลาดจริงๆ การที่ท่านไม่อาจทนต่อคำวิจารณ์ได้ นั่นแสดงว่าธรรมะของท่านยังไม่เข้มแข็ง

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-

เป็นเวลานานนับหลายศตวรรษที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอย่างจริงจังได้ประจักษ์แจ้งด้วยประสบการณ์ของตัวเองว่า ความสุขจากการเป็นอิสระจากกิเลสนั้น เหนือกว่าความสุขทางโลกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-
จากหนังสือ “พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายหรือ”

ขอให้ยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง แล้วพยายามแก้ไขเสีย ถ้ามีคนมาชี้ข้อผิดพลาดของท่าน ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ขอให้ตรวจสอบตัวเองดูว่ามีความผิดพลาดเช่นนั้นจริงหรือไม่ ถ้ามี สิ่งแรกที่ควรทำคือ ขอบคุณคนผู้นั้น แล้วพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าว แต่ถ้าท่านมิได้มีความผิดเช่นนั้น ก็ขอให้มีเมตตาต่อคนผู้นั้น และคิดว่า “บางที เขาคงมีแต่เรื่องทุกข์ใจ ก็เลยมองอะไรในแง่ร้ายไปหมด”

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-
แปลจาก วารสาร Vipasyana Patrika กันยายน 2548


วิปัสสนาช่วยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากการถกเถียงเรื่องราวทางปรัชญาที่แห้งแล้ง และการมีศรัทธาอย่างมืดบอด รวมทั้งสอนให้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า-
แปลจาก วารสาร Vipasyana Patrika กันยายน 2548

ถาม : ลมหายใจของผมฝืดและตื้น หนังตาก็กระตุกอย่างนี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ : ไม่เป็นไร ถ้ามันตื้น ก็ตื้น ตราบใดที่ท่านยังรู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้า – ออก ก็ใช้ได้แล้ว อย่าไปสนใจว่ามันต้องลึก ไม่ใช่ตื้น บางครั้งมันก็ลึก บางครั้งก็ตื้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ ท่านจะพบว่าลมหายใจค่อยๆสั้นลง สั้นลง บางครั้งถึงกับหยุดไป ซึ่งท่านจะรับรู้ได้ จากนั้นลมหายใจก็จะลึก เพราะท่านต้องการออกซิเจน แล้วมันก็จะกลับตื้นและละเอียด จากนั้นก็ลึกอีก ถ้ามันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็จงปล่อยให้มันเกิดขึ้น ไม่มีอะไรผิด
~ เอส เอ็น โกเอ็นก้า ~ ธรรมคีรี กันยายน 2555
Photo: Aob Tarinee Harrison


ในบรรดาศีลข้อต่างๆนั้น ข้าพเจ้าหวั่นเกรงศีลข้อมุสามากกว่าเพื่อน ทั้งนี้เพราะการพูดมุสาจะทำให้พื้นฐานของศีลอ่อนลง เมื่อนั้นสมาธิก็จะอ่อนลง และทำให้ปัญญาอ่อนลงด้วย ฉะนั้น จงพูดแต่สิ่งที่เป็นจริง

~ ท่านอาจารย์อูบาขิ่น ~
จากจุลสารวิปัสสนา ฉบับ เมษายน-มิถุนายน 2545
Photo: Aob Tarinee Harrison

2760
- -"

 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.164.116 วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:11:00:47 น.  

 
 
 
มีเรื่องอยากบอก อาเหล่าฮู อ่า

ว่า กินมังฯ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ จินๆนะ
เพราะว่าไม่ได้กินด้วยความอยาก หรือไม่อยาก
ไม่ได้กินเพราะรังเกียจเนื้อสัตว์
ไม่ได้กินเพราะรักชอบว่านี่คือผักผลไม้ ไข่ นม หรือของที่ชอบ
กินเพราะมันหิวทำให้เป็นทุกข์ ก็ต้องดับทุกข์ด้วยการกินให้อิ่มท้องโดยไม่ต้องไปเบียดเบียนชีวิตอื่นๆมากเกินไป คือกินผักผลไม้ไข่นม มันก็ยังเบียดเบียนชีวิตคนอื่นอยู่ดีแหละ เพียงแต่กินแบบนี้ทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นเท่านั้น เตรียมอาหารก็ง่าย ไม่ติดในรสอาหารที่ต้องวิลิศมาหรา ทำผัดผัก ไข่ต้ม-เจียว-ดาว-พะโล้ นม ผลไม้ ฝึกอดอาหารเย็นบ้าง ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ การติดรสเนื้อก็เป็นทุกข์อยู่นะ แต่ฝึกได้ ละได้มันก็ไม่ทุกข์ อะไรๆก็กินได้ ไม่ได้เคร่งอะไรมากมาย ที่ฝึกให้ลูกกิน เพราะอยากให้เขาอยู่ง่ายกินง่าย แต่เดิม มันขอแต่ไก่ทอด เกือบทุกมื้อ แต่ตอนนี้ กินไข่เจียว ไข่ดาว ผักผลไม้ ก็กินได้อร่อยนะ ไม่เคยขอกินไก่ทอดอีกเลย เค้าอยากกินราเมงอิจิบัง ก็ให้กินนะ แต่สั่งไม่เอาหมู ไม่เอาเนื้อสัตว์ น้ำซุปก็หยวนๆไป หรืออย่างบะหมี่เย็น ก็หยวนๆ อิอิ หรือลูกชิ้นญี่ปุ่นที่เป็นแป้งมีกลิ่นปลาบ้างก็หยวนๆ ให้กิน อิอิ ไม่ได้ถือเคร่งครัด น้ำปลา น้ำซุป ขนมถุงที่มีกลิ่นเนื้อสัตว์ ก็ให้กินได้ ซื้อโจ๊กก็สั่งไม่เอาหมู ต้มหม้อเดียวกันก็กินได้ อยากฝึกให้ลูกไม่เคยชินในการกินเนื้อสัตว์ อะไรที่ไม่กินแต่เด็ก โตไปมันก็ไม่ได้อยากกินเอง แต่ถ้าโตไปแล้วเค้าหากินเอง ก็ตามใจเขาแหละ ตอนอยู่กับเรา เขาก็กินตามที่เราหาให้ ที่เราสอนเขาคือ โลกนี้มีการฆ่ากันทุกวัน มันเยอะเกินไปแล้ว เราเลิกกินเนื้อ ถึงจะไม่ได้เลิกทั้งหมดสิ้นเชิง ก็คือ เราลดการเบียดเบียนเขาบ้างเท่านั้น กินไข่ กินนม กินผัก เราก็ยังเบียดเบียนเขาอยู่ เพียงแต่เราปลอบใจตัวเองว่า เราทำได้แค่นี้ไปก่อนนะ เพราะเรายังต้องกินต้องใช้ และอาหารที่ทำได้ง่ายๆ กินง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่นจนเกินไปในความคิดของพวกเราเท่านั้น ตั้งแต่กินมังฯ นี่ ลูกสาวลูกชาย ชอบกินผักขึ้นเยอะเลย ผลไม้ก็กินเยอะขึ้น ระบบขับถ่ายก็ดีขึ้น ไม่มีเนื้อสัตว์แช่แข็งในตู้เย็นก็ลดเรื่องกลิ่นคาวเลือดลงไปได้อีก ตู้เย็นก็สะอาดไปอีกแบบ

สรุปว่า การกินมังฯ ทำให้ชีวิตของครอบครัวง่ายขึ้น การไปกินอาหารร่วมกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ขอให้เขาทำอาหารพิเศษให้ ก็เลือกกินเอา เนื้อสัตว์เราก็ไม่ตักมากินแค่นั้นเอง ในอาหารจานนึงที่มีทั้งเนื้อและไม่เนื้อ เราก็เลือกกินเอาได้ ไม่มีใครบังคับว่าต้องกินทุกอย่างถึงจะเรียกว่าอยู่ง่ายกินง่าย ก็ไม่ต้องมีดราม่าว่าอย่างไหนเรียกว่าคนเลี้ยงง่าย แต่สำหรับคนที่ติดรสเนื้อไปแล้ว การไม่ได้กินเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ก็กินเนื้อต่อไปได้เพราะยังละทุกข์ไม่ได้เนาะ ก็เอาแต่ที่พอดีกับตัวเองและเพราะการกินเนื้อไม่ได้เป็นตัวขวางกั้นการบรรลุมรรคผล คนกินเนื้อก็บรรลุมรรคผลได้ การไม่กินเนื้อไม่ได้ทำให้บรรลุมรรคผล ใช้ปัญญาพิจารณาแล้วจะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะควรกับตัวเรา อะไรคือเป้าหมายของชีวิตเรา

8257
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.164.116 วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:11:57:54 น.  

 
 
 
มาพ่นๆน้ำลายแตกฟองแบบ นางงาม อีกแระ 555

ขออภัยทั่นด๊อกฯ ด้วยนะ มันเป็นสันดาน ง่ะ
ถ้าเลี่ยน ก็ช่วยมะด้ายนะ หุหุ

8986
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.164.116 วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:11:59:33 น.  

 
 
 
ตอบ คุง วิ

และแล้วเรื่องเจ้าชายหนีบวชก็อวสาน

จะมีภาคต่อไม้นี่

เรื่องเจ้าชายเขาไปนิพพานกันทั้งครอบครัวแระ เหลือแต่คนที่ปล่อยวางเจ้าชายและครอบครัวไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมันแระค่ะ หุหุ

เจอกันเมื่อ ชาติต้องการ เนาะ

1499
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.164.116 วันที่: 30 กันยายน 2556 เวลา:12:02:38 น.  

 
 
 
ชาติคงต้องการตัวในเร็วๆนี้แหละ

ทั้งชาติบ้านเมือง ชาติการเกิดทั้งสองนัย
ยังมีชาติอะไรอีกนะ จำไม่ค่อยได้แล้ว

เออ! เลขสี่ตัวข้างล่างนี่่ใสไว้ทำไมหรือ ?
ใครรู้ช่วยตอบที

2418
ใส่มั่ง
 
 

โดย: วิ. IP: 171.5.251.104 วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:0:39:45 น.  

 
 
 
ตอบ คุงวิ
เลขสี่ตัว เอาไว้ดูกิเลสในใจเราเองแระ บ่อมีอะหยังเนาะ
เวลาเห็นตัวเลขสวยๆ แม๊...จิตใจมันฟูได้ซะงั้น
เวลาตัวเลขมันไม่สวย จิตใจมันก็เฉยเมย มองผ่านไป อิอิ
ของคนอื่นๆ ก็ไม่รู้นะ ว่าเขาใส่ไว้ทำไม
อย่างโพสต์เนี้ย เลขสวย ใจมันก็ฟูไปกะเลขสวยแระ 555
6551
*.* เลขจ๋วย ง่ะ *.*

ปล. สำนวน เจอกันเมื่อชาติต้องการ เนี่ย ไม่เกี่ยวม๊อบใดๆเน้อ แหะแหะ ของอิอ่อน เนี่ยมันหมายถึง ชาติวรนุช ที่อยู่ในใจตัวเองนี่แหละ ชอบโผล่หัวออกจากรูตล๊อดดด ไม่ยอมสงบนานๆ ซักกะที ออกแร่ดไปเรื่อย

มีของดีมาฝาก อิอิ ก๊อปมาจาก //pantip.com/topic/31051418
คุณเคยปวดหัวไหม
โจมีโรคประจำตัวคือปวดหัวเป็นประจำแต่ว่าไม่เคยไปหาหมอเลย
เนื่องจากเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่การปวดหัว
จากการเรียนหนังสืออย่างหนักเท่านั้น
ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย
10 ปีผ่านไป อาการปวดหัวก็ไม่เคยหายไป
แม้ว่าบัดนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ วัยกลางคนแล้วก็ตาม
เขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอ
เพราะคิดว่าเป็นเพียงเพราะเครียดจากการทำงาน
อีก 10 ปีต่อมา
อาการปวดหัวก็ไม่เคยหายมีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องไปหาหมอเสียที
หลังจากที่หมอทำการตรวจเรียบร้อย จึงพูดขึ้นว่า
"ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายครับ
ข่าวดีก็คือ ผมสามารถ รักษาอาการของคุณได้อย่างหายขาด"
"และข่าวร้ายหล่ะครับหมอ"
เขาถามขึ้นอย่างร้อนรน
"ข่าวร้ายก็คือว่า ผมต้องทำการตัดไข่คุณทิ้งครับ"
โจเหมือนตกอยู่ในภวังค์
"คืองี้ครับ" หมอรีบอธิบายผม
"อาการของคุณ ถือว่าเป็นเคสที่หาได้ยากมากๆ
เรียกว่า 1 ใน 100 ล้านก็ว่าได้
ไข่ทั้งสองข้างของคุณนั้น
ไปดันลำไส้ให้ไปกดทับเส้นปลายประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลัง
การกดทับนี้เองทำให้คุณต้องทรมานกับ
การปวดหัวอย่างรุนแรงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา"
ทางเดียวที่จะรักษาได้คือ
การตัดไข่ครับ" หมอสรุปสั้นๆ
แต่ทำร้ายจิตใจโจยิ่งนัก
หมอได้ให้โอกาสเขาตัดสินใจ
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกหดหู่ยิ่งนัก
เขาสู้อุตส่าห์มานะเรียน
เพื่อให้ได้ทำงานดีๆ ไม่เคยไปเที่ยวเหลวไหล
เธค ผับ ไม่รู้จัก สาวๆไม่เคยสนและเมื่อได้งานแล้ว
เขาก็ได้ทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อให้ก้าวหน้าและมีเงินเยอะๆ
จนมาวันนี้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการ
และเขาคิดว่าถ้าได้สิ่งเหล่านี้แล้ว
ผู้หญิงมากมายก็จะเข้ามาหาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ทุกสิ่งที่วาดฝันก็พังทลายจากอาการปวดหัวของเขาเอง
เขาได้นอนคิดอยู่หลายคืน ถึงแม้จะเศร้าเพียงใด
แต่เขาก็ไม่อยากทรมานเหมือนตกนรกอีกต่อไป
เขาไม่กล้าปรึกษาใคร เนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดทันที
หลังจากออกจาก ร.พ ด้วยอาการสมองปลอดโปร่งครั้งแรกในรอบ 20 ปี
แต่เขาก็รู้สึกเหมือน ขาดบางอย่างที่สำคัญไปในชีวิต
เหมือนกลายเป็นอีกคนหนึ่ง
แต่เขาก็เข้มแข็งพอและตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่
เขาจึงเดินเข้าร้านตัดสูทที่แพงที่สุดในนิวยอร์ค
เพื่อเป็นการปลอบใจและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ
โจกล่าวกับชายแก่เจ้าของร้านหลังเดินเข้ามาต้อนรับ
"เอ่อ ผมจะตัดสูทครับ"
"ได้ครับ อืมม ขนาด 44 "เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจหัวเราะ "ถูกแล้ว รู้ได้งัยเนี่ย"

"เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ"

โจลองสูท ซึ่งใส่ได้สวยและขนาดพอดี
"ไม่สนใจลองเสื้อเชิ๊ทมั้งเหรอครับ"
เจ้าของร้านถาม
"ก็ดีครับ"โจตอบ
"อืมม แขน 34 คอ 16 นิ้วครึ่ง"
เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจชักสงสัย "ถูกแล้ว รู้ได้งัยเนี่ย"

"เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ"

โจลองเสื้อ ซึ่งใส่ได้สวยและขนาดพอดี
"รองเท้าสักคู่ดีไหมครับ"
"ก็ดีครับ"
"อืมม 9นิ้วครึ่ง" เจ้าของร้านดูโดยไม่ต้องวัด
โจรู้สึกแปลกใจมาก "ถูกแล้ว รู้ได้งัยเนี่ย"
"เปิดร้านมา 60 ปี น่ะครับ"
โจใส่รองเท้าซึ่งใส่ได้สวยและขนาดพอดี
ขณะที่เขาลองเดินไปทั่วร้าน
เจ้าของร้านจึงถามว่า
"ลองกางเกงในตัวใหม่สักหน่อยไม๊ครับ"
โจชะงักและหยุดคิดสักครู่ "ก็ดีครับ"
"อืมม ขนาด 36 พอดี"
คราวนี้โจหัวเราะก้าก "ฮ่า
เสร็จผมหล่ะ คราวนี้
คุณผิดครับ ผมใส่ 34 ตั้งแต่อายุ 18"
ชายแก่ส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า
"โอ้ยอย่างคุณ 34 ไม่ได้หรอก ทรมานตายห่า
เพราะมันจะไปรั้งไข่คุณไปกดลำไส้และทำให้ไปกดทับเส้นประสาทล่างสุดของกระดูกสันหลังอีกที
คุณไม่เคยปวดหัวมั่งเลยเหรอ"
ตลกร้ายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

1. บางปัญหาวิธีแก้ง่ายๆก็มี
อย่าไปคิดอะไรให้มันยุ่งยากตามจินตนาการสำคัญกว่าความรู้

2. อย่าเลือกตัดสินใจอะไร โดยไม่เคยหาข้อมูล

อิอิ

6551
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.169.209.196 วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:13:07:19 น.  

 
 
 
อ่านเรื่องพระมหาโลตัส ของอาเหล่าฮู Lao fu zi เนี่ย
คิดว่า อาเหล่าฮูมีแต่ขาดทุน กะเสมอตัวนะ เป็นการลงทุนที่ไม่มีกำไร ไม่มีประโยชน์ใดๆตกแก่ตัวเอง พระท่านจะเป็นอรหันต์หรือไม่ได้เป็น ก็ไม่ได้ส่งผลให้เราดีขึ้นหรือแย่ลง แต่การที่เราไปทำกรรมวิพากษ์วิจารณ์ตามทิฏฐิความเห็นส่วนตนแล้วไปตัดสินท่านว่าเป็๋นงั้นเป็นงี้ นั่นแหละเราทำกรรมที่ต้องรับไปเต็มๆ ถ้าคิดถูกก็รอดตัวไปไม่ได้มีโบนัสรางวัลอะไรให้ด้วยนะเออ มีแค่เสมอตัว แต่ถ้าคิดผิดขึ้นมาขาดทุนบักโกรกไม่รู้กี่เด้งเลยแหละ แต่ก็นะ ใครมั่นใจจะทำกรรมอะไรต่อไป ก็เรื่องของคนนั้น ตัวใครตัวมัน เนอะ

พระอรหันต์ยังร้องไห้ ยังโกรธอยู่หรือ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

(ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งเป็นนักปฏิบัติได้นำกำไลหยกเลี่ยมทอง ไปถวายบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุพ่อแม่ครูอาจารย์ แล้วเกิดปีติ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างรุนแรง มีผู้ตำหนิว่า ปฏิบัติมาขนาดนี้ ทำไม ยังขาดสติ เกิดปีติรุนแรงแบบนี้ จึงมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ปฏิบัติจะเกิดปีติรุนแรงเช่นนี้)

หลวงพ่อให้คำตอบว่า

“เป็นไปได้ พระอรหันต์ก็ร้องไห้ได้ การร้องไห้มันเป็นกิริยา ของกายต่างหากเล่า ไอ้ตัวร้องไห้มันก็ร้องไป ไอ้ตัวที่นิ่งเฉยอยู่มัน ก็นิ่ง ใครไปทักอย่างนั้นแสดงว่าภาวนาไม่เป็น”

พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระปุถุชนโศกเศร้าเสียใจ พระอรหันต์ได้ธรรมสังเวช ธรรมสังเวชนี่แหละมันทำให้น้ำตาไหล ไม่ใช่ ว่าพอสำเร็จอรหันต์แล้ว มันจะไม่มีอะไร มันก็เหมือนกับปุถุชน ธรรมดานี่แหละ แต่สิ่งที่จะให้ท่านเกิดกิเลสเมื่อก่อนนี้มันหมดไป แต่ความตื้นตัน ความปีติต่างๆ นี่ มันเป็นองค์ประกอบของสมาธิ มันก็ ต้องมีอยู่เป็นเรื่องธรรมดา อาการปีตินี่เป็นอาการที่จิตได้ดื่มรสพระสัทธรรม

“หลวงปู่โกรธเป็นไหม”
“โกรธเป็น แต่ไม่เอา”

อันนี้คือคำตอบของหลวงปู่ดูลย์ คือมันแสดงความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ ว่าโกรธ แล้วท่านก็ไม่เอา

ผู้ที่เป็นพระอรหันต์จริงๆ เวลาท่านกำหนดจิตรู้อารมณ์นี่ จิตก็ปรุงแต่งเหมือนๆ กับคนธรรมดา ทีนี้ภายในสมาธินี่มันก็เกิด นิมิตขึ้นมา ถ้าท่านรู้เรื่องอดีตชาติ ท่านก็แสดงอาการร้องไห้ออกมา ร้องไห้ในสมาธิ แต่ร้องไห้น้ำตาไม่ออก

ส่วนคนที่จิตยังไม่พ้นกิเลส พอได้นิมิตว่าชาติก่อนนี่เราไป เกิดเป็นอันนั้น ได้ไปทะเลาะตบต่อยตีกันที่ตรงนั้น พอรู้สึกอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นมากระโดดโขมงโฉงเฉง

ความรู้ของพระอรหันต์นี่ ท่านรู้ว่า ชาตินั้นท่านเป็นอย่างนั้น ได้ทะเลาะเบาะแว้งกับคนนั้นคนนี้ มันก็แสดงอาการโกรธเคียดขึ้นมา แต่ความโกรธ ความเคียด กับจิตของท่าน มันแยกกันเป็นคนละส่วน เหมือนๆ กับบางครั้งที่จิตของเรามีอารมณ์เกิดขึ้นๆๆ แต่มันเป็นกลาง เฉย สิ่งรู้เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต แล้วตัวเองที่ไม่ได้ไปสวมสอดเข้าไป ในเรื่องนั้น มันแยกเป็นคนละส่วน ผู้ที่รู้ยังไม่ถึงแก่น พอรู้เข้ามาพั้บ ก็สำคัญว่าตัวเองอยู่ในปัจจุบันนั้น

เช่นอย่างพระองค์หนึ่ง เป็นหัวหน้าพระ ๓๐ รูป อุบาสิกา คนหนึ่งเป็นอุปัฏฐากอยู่ ภายหลังอุบาสิกาฟังเทศน์ฟังธรรมจาก พระเหล่านั้นแล้วได้สำเร็จพระโสดาบัน พอท่านได้สำเร็จพระโสดาบัน ท่านก็ตรวจสอบดูพระของท่านว่าท่านองค์ไหนได้บรรลุคุณธรรมหรือ เปล่า พอเสร็จแล้วก็รู้ว่ายังไม่บรรลุ ขัดข้องอะไร ขัดข้องรสอาหาร บางท่านชอบเปรี้ยว ชอบเผ็ด ชอบมันอะไร ไม่ได้ตามใจ มันก็ไป ข้องอยู่ที่ตรงนั้น เมื่อท่านรู้แล้วว่าองค์ไหนชอบอะไร ท่านก็ทำให้ ถูกใจหมด พอตอนกลางคืนนึกขึ้นมาอยากฉันอย่างนั้น ตื่นเช้า มา แล้ว หนักๆ เข้าพระอาย พากันไปกราบทูลพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “ทำไมทิ้งอุบาสิกามาเสียเล่า”

พระหัวหน้าก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า “อยู่ด้วยไม่ได้หรอก คิดอะไรก็รู้หมด... อาย”


พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า “เขาเป็นมารดาของพวกเธอมา หลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้ เขานั่นแหละจะช่วยให้พวกท่าน ได้สำเร็จพระนิพพาน กลับมาอยู่กับเขาเสีย”


พระทั้งนั้นก็กลับไปอยู่กับอุบาสิกา พอกลับมาก็สำรวมจิต สำรวมใจพิจารณาปัจจเวกขณะ ขจัดความชอบหรือไม่ชอบออก ทำ จิตให้เป็นกลาง ไม่ให้ยินดียินร้ายในรสอาหาร จึงได้สำเร็จอริยมรรค อริยผลขึ้นมา ลูกน้องได้สำเร็จพระโสดาบัน อุบาสิกาได้สำเร็จพระสกทาคามี ไปๆ มาๆ พระทั้งหลายได้สำเร็จพระอรหันต์ อาจารย์ ใหญ่สำเร็จเพียงแค่พระโสดาบัน อุบาสิกาก็พิจารณาดูว่า พระเรา สำเร็จแล้ว แต่อาจารย์ใหญ่นี่สำเร็จหรือยัง... ยังไม่สำเร็จ


อยู่มาวันหนึ่ง ภูมิจิตอาจารย์กำลังเริ่มก้าวหน้าจนได้บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า ในชาติหนึ่งภพหนึ่ง อุบาสิกา คนนี้เป็นภรรยาของท่าน แล้วไปคบกับโจร พอท่านไปรู้อย่างนั้น ท่านก็โกรธขึ้นมาอย่างแรง โกรธชนิดที่ว่าจิตกับอารมณ์แยกกันไม่ ออก อุบาสิกาก็ส่งกระแสจิตไปเตือน “ระลึกต่อไปอีกชาติหนึ่ง พระคุณเจ้า” พอระลึกไปอีกชาติหนึ่ง ไปรู้ว่า ชาตินั้นท่านผู้นี้ถูกโจรจับ มันจะฆ่า อุบาสิกานี่ก็เป็นภรรยาของโจร พอโจรมันจะฆ่า ภรรยา ก็ขอร้องว่าอย่าไปฆ่าเขาเลย เขาไม่มีความผิด ก็ถูกปลดปล่อยไป ในเมื่อรู้อย่างนั้นก็มานึกถึงบุญคุณเขา ความโกรธมันก็ระงับลง
แล้วในที่สุดก็ได้สำเร็จพระอรหันต์


เพราะฉะนั้น เราโกรธด่าตีกันธรรมดานี่ มันไม่สำคัญหรอก โกรธในสมาธินี่มันร้ายแรงที่สุด
ดีไม่ดีระงับไม่อยู่ กรรมฐานแตก

4632
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 110.169.209.196 วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:13:19:14 น.  

 
 
 
ความเห็นส่วนตัวนะ
คนที่ปฏิบัติสมถะวิปัสสนา แล้วได้ผลอะไรเกิดขึ้นมาแล้วคิดว่าตัวเองได้มรรคได้ผล เป็นอริยบุคคลจนถึงพระอรหันต์ โดยความเข้าใจตัวเองผิดไป ก็มีเยอะแยะ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะของแบบนี้มันเข้าใจผิดกันได้ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปตำหนิว่าร้ายให้โทษเขา ควรจะสงสารเห็นใจด้วยซ้ำถ้าเห็นว่าเขาหลงผิดเห็นบิดเบือนไป แต่ของพรรค์นี้เราเองก็ไม่ได้รู้จริง ตัดสินเรื่องของตัวเองก็ยังผิดๆถูกๆ แล้วจะไปตัดสินคนอื่นเนี่ย กระทำกรรมโดยประมาทแท้ๆ ส่วนลูกศิษย์เขาจะยกย่องเชิดชูอาจารย์เขา มันก็เรื่องของเขา ไปฟังแล้วเกิดไม่ชอบของขึ้น นี่ต้องโทษตัวเองว่าหาเรื่องใส่ตัวเองให้เป็นทุกขังกะลังรั่วไปอีก ไปร่วมก่อกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อตัวเองมีแต่ไปสร้างวาทะกรรมให้คนอื่นและตัวเองเผ็ดร้อนไม่จบไม่สิ้น คนอื่นเขาอ่านคำของเราแล้วเกิดร้อนขึ้นมา ร้อนที่เผาเขามันก็พุ่งมาหาเจ้าของคำพูดนั้นแหละ ร้อนกันไปร้อนกันมา ไม่จบไม่สิ้น เนอะ สิ่งที่เป็นคำพูดที่โพสต์บนที่สาธารณะในอินเตอร์เน็ตเนี่ย คนอ่านตั้งเท่าไร 1คนอ่าน ก็ 1 กรรมไปแล้ว รับกรรมกันไม่หวาดไม่ไหว หรือเขาจะชิลๆกันจนขินซะแร้ว แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องของเขา เรารู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี ดีฝ่า แหะ แหะ

4997
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 110.169.209.196 วันที่: 2 ตุลาคม 2556 เวลา:13:50:53 น.  

 
 
 
บังเอิญแท้ๆ เหมือนมีอะไรมาดลใจ!
ตั้งแต่แปะไปแล้ว ก็ไม่ได้เข้ามา และไม่ใส่ใจจะแปะ เพราะคิดว่า ไหนเลยใครจะหยั้งถึงฟามรู้สึกนึกคิดของเราได้ ปัญญามันไม่อา Copy และ Paste ใส่ให้ใครได้ มันจะต้อง"ตระหนักรู้"ด้วยตนเอง

เหมือนคนที่ตกอยู่ในความรัก คนที่จะพอเข้าใจความรับรู้แบบนี้ ก็ต้องเข้าใกล้บริบทแบบนี้มาก่อน คนที่ไม่เคยหรือไม่มีความลุ่มลึก ย่อมไม่อาจตระหนักรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นประสพอยู่ ต่อให้รู้แล้ว ก็ไม่อาจหยั่งถึงระดัยฟามความหยาบ- ประณีตของแต่ละคน จนถึงขั้นไม่อาจบรรยายหรือสรุปได้ เพราะผลที่ได้อาจเป็นคนละเรื่องไปเลย ดังกรณีฟามอยากกินเจ ของเหล่าฮู

พ่อแม่รักลูกปานใด ลุกก็หยั่งไม่ถึงเทียบเท่าที่พ่อแม่รู้สึกนั้นได้ จนเมื่อมามีลูกนั้นเอง อาการ"ตระหนักรู้"จึงเข้าใกล้การรับรู้นั้น พวกที่ไม่เคยมีลูก ก็หยั่งไม่ถึงความรักแบบเน๊!

เหล่าฮุพูกเรื่องฟามอยาก2แบบ คือ "ฉันทะ" และตัณหา ก็เพราะรู้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้แยกแบบนี้ และพอมาเรียนรู้ธรรม หากไม่ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนมาแบบเน๊ การวางท่าทีต่างๆก็จะต่างกันราวฟ้ากับเหว เหมือนกรณีการอยากกินเจที่วัดจีนแถวหวังต้าเซียน ซึ่งที่จริงมันเจือไปทั้งอยากแบบ"ฉีนทะ" และแบบ"ตัณหา"

แต่จะอยากแบบไหนก็ตามที่ มันเป็นเรื่องของเหล่าฮูล้วนๆ ซึ่งผู้ไม่รู้มาฟังเข้า ก็ย่อมมิอาจหยั่งถึง"อยาก"ของเหล่าฮุว่าเป็นกุศลฉันทะ หรืออกุศลฉันทะ นี่เองจึงเป็นเหตุให้ต้องขนานฟาม

และเมื่อรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้อยากแบบ"กุศลฉันทะ"ให้มากๆ ทีนี้ก็พอจะวางใจได้ถูก ได้ตรงมากขึ้น เพราะพอรู้แล้วว่า กุศลฉันทะ ก็คือข้อ1ในอิทธิบาท4 เป็นขุดเล็กๆในโพธิปักขิยธรรม37 (ใครไม่รู้ไปค้นเน่อ ขี้เกียจไล่) อันควรทำให้มีมาก อย่างนี้แล้ว ฟามอยากของเราๆท่านๆก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เพราะให้ไปนั่งหลับตาจนบรรลุธรรม คิดหรือว่าจะฮู๊ว่า"พระพุทธเจ้าสอนอะไร" เหมือนดั่งแก๊งส์พระป่าขอบอวยกันจนเละ เข้าป่าไปนานๆ พอออกมาก็สอนเกินรู้ สะบั้นกิเลสขาดกระจาย(นึกถึงหมูบะช่อ)อย่างช่วยม่ายล่าย) แล้วกิเลสมันเป็นแบบนั้นเร๊อะ จิตรวมกันเป็นหนึ่ง หมายฟามว่าเดิมทีจิตมันกระจัดการะจายอนู่หรือไง เหล่าฮุฟังแล้วเป็นอันขมวดคิ้วทุกที มะรู้ท่านพูกอะไรของท่าน เหมือนฟังแต่จินตนาการ น้ำล้วนไม่ค่อยมีเนื้อ ไอ้ที่พอมีหรอมแหรม ก็ไม่ได้เข้าใกล้หลักพุทธธรรมเล๊ย พูกอะไรไม่ฮู๊

เมื่อเหล่าฮุว่าง จะเปิดช่องเบิ้ลของท่าน เพราะตาเกิดฯเคยแนะนำว่า"น้ำค้างบนไปบัว"อะไรนี่ ฟังแล้วตื้นตันน้ำยายไหย เอ๊ย น้ำตาไหล เลยดอดไปหามาฟัง โอ้โฮ ตาเกิดฯนี่ชอบพรรณนาโวหารนี่หว่า ฟังเป็นตุเป็นตะ หาได้สำเหนียกไม่ว่า อันนั้นมันจินตนิยายเน่อ มันเรื่องทางความคิดของท่านล้วนๆ หาหลักธรรม คติธรรมใดๆไม่พบร๊อก มีแค่เรื่องแรวอิทธิปาฏิหารย์อะไรเทือกนี้ละมาก แต่ต้องให้โอกาสตัวเองล่วยเผื่อมองไม่คลอบคลุม ก็จึงมาฟังท่านพูกเองเนืองๆ
ตอนนี้หายสงสัยละ ว่าท่านจินตนาการล้ำเลิศ

น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 111.84.148.31 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:2:10:55 น.  

 
 
 
เดี๋ยวจะหลงเสียก่อน ว่าจะคุยอะไร เรื่องท่านโลตัสไว้ก่อน ท่านจะฟุ้งอะไรก็เรื่องของท่าน เอาเรื่องที่อยากพูกก่อน

หง่า!
เคอ จะบอกว่า การบรรลุธรรมนั้น ไม่ได้มีอยู่วิธีเดียวง่ะ เคยรู้บ๋อ?

ต่อจากตะกี้นะ
คือ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาในป่า ออกจากป่ามาแล้ว ก็จะรู้ได้นะว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

เพราะฉนั้น ก็อย่าไปคิดนะว่า นั่งหลับตา เดี๋ยวก็บรรลุธรรม ก็จะเกิดฟามรู้ยิ่งยวด ก็ไม่ต้องไปสนใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

ที่จิน ถ้าบรรลุธรรมแล้ว เกิฟามรู้ยิ่งยวด ก็เป็นเพียงฟามรู้ในการกำจัดกิเลสเท่านั้นนะ
แล้วเท่านี้ ไม่พอหรา?

ก็พอน่ะ แต่ทว่า ส่วนใหญ่ไปทึกทักเอาน่ะเส่ นังฟังไม่ได้ศัพท์ก็จับไปกระเดียดเสีนแล้ว ห้ามไท้ทันเดินหลังไวๆเข้าป่าไปโน่น เตลิด!

อย่าได้รังเกียจสุตตมยปัญญาเน่อ
เพราะเมื่อไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ก็อย่าหวังว่าจะปฏิบัติจนบรรลุธรรมได้!

แยกไม่ออกระหว่า"อยาก"แบบฮันทะ และ"อยาก"แบบตัณหา ก็ไม่เข้าใจว่าควรมีท่าทีอย่างไร พออยากปฏิบัติธรรม อยากนั่งภาวนา ก็พลอยไปนึกเสียว่า เกิดกิเลส ต้องหยุดภาวนา ไม่ตามใจกิเลส

นั่นน่ะ! ตามใจกิเลสโดยแท้ เพราะกิเลสขณะนั้นคือ จะขัดใจกิเลสน่ะแหละ โดยไม่รู้ว่า ที่จินแล้ว มันคือกุศลฉันทะ ทีต้องเพียรสร้างให้มากๆ

เมตตา อยากให้คนอื่นสุข
กรุณา อยากให้หายทุกข์
มุทิตา อยากร่วมพลอยยินดี
อุเบกขา "การดำรงไว้ซึ่งธรรม" โดยการปล่อยวาง(เฉย)

ไอ้ข้างบยทั้งหมดนั่น ไม่ใช่อยากเร๊อะ พรหมวิหารธรรมน่ะ

พระพุทธเจ้าอยากเทศนา ไม่ใช่"อยาก"เร๊อะ

เนี่ย หากแยกไม่ออก อันไหน"ฉีนทะ" อันไหน"ตัณหา" มันก็ยุ่งอินุงตุงนัง ท่าทีแบบนี้ถ้าไม่ใส่ใจในพุทธธรม จะเข้าใจได้อย่างไร!

-การสาธยายธรรม ก็ทำให้บรรลุธรรม
-การฟังธรรม ก็ทำให้บรรลุธรรม
-การใชัปัญญาใต่ตรองใครครวญธรรม ก็ทำให้บรรลุธรรม ฯลฯ

หง่า! ดูเหมือนมี5วิธีน่ะ ยังไม่ได้ค้นเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าจะบอกนู๋บี ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ ผิดกับพระส่วนใหญ่ สอนให้วิปัสสนา และรู้ว่านั่นยเป็นทางเดียว ที่จิน รู้ผิดน่ะเห็นๆอยู่ว่าพระอานนท์ใครครวญธรรม ไปบรรลุเอาในอิริยาบท4
ท่านจุลปัณฐกบรรลุธรรมตอนเอามือลูบผ้า
ท่านวักกลิถูกพระพุทธเจ้าไล่ตะเพิด ไปบรรลุเอาตอนเกือบโดหน้าผา ตอนนั้นเป็นจุดเริ่ม แต่ดูเหมือนท่านบรรลุตอนฆ่าตัวตายมัง อะไรเทือกเน๊

เนี่ย สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ใคร่ครวญ เพ้อแต่จะนั่งหลับตา
ตื่นเสียทีๆ

สนใจหน่อยว่า ที่ให้นั่งหลับตา ประโยขน์แท้เพื่ออะไร?

บอกเลยแล้วกัน ขี้เกียจรอ

เพื่อให้ตระหนักรู้เท่านั้นแหละ ว่า ที่จิน องค์ประกอบขีวิต มันแค่"รู้" กับมีตัวถูก" รู้" มันมีแค่นั้นเอง!

และเมื่อพอ"ตระหนัก"รู้ สิ่งที่เกิดตามมา ก็คือ
เห็นว่ามันน่าเบื่อ
เบื่อสุดขีด
กลัวสุดขีด
อยากสลัดทิ้งสิ่งที่กลัว
สลัดทิ้งฟามกลัว
หายกลัว
แน่วแน่ มั่นคงฯลฯ

เนี่ย อะไรเทือกเน๊แหละ
แปลอีกทีนะ
ก็คือ ให้ไปทำฟามรู้จักรูป-นาม ให้ดี มองตามที่มันเป็น เมื่อเห็นแล้วก็พิจารณา เมื่อพิจารณาจนรู้ มันก็เบื่อ -อยาก ทิ้ง ทำใจ ปล่อยวาง

จินๆก็แค่นี้แหละ ถ้าไม่ไปพูกให้ยาก เข้าไม่ถึง
เรื่องแบบเน๊เป็นเรื่องของปัญญา คนโง่ๆก็ต้องไปฝึกให้เข้าใจ คนฉลาดๆก็ไม่ไปเกาะอยู่แบบนั้น จนไม่ตระหนักว่า ที่จินพระพุทธเจ้าให้นั่งดูอะไร พอรู้อย่างนี้ ก็ไม่ทำให้มันเฟ้อ มันฟุ้ง หรือพูดให้มันอัศจรรย์ เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่อาตมาเข้าถึงผู้เดียว กิเลสสบั้น เค้ารู้ไปทั้ว3แคนโลกธาตุ เป็นลำดับลำดา

นี่ถ้าสำเหนียกเสียหน่อย ว่าท่านโลตัสอาจหลงเพ้อไปก็ได้ ก็คงไม่งมงายแบบนี้ และพลอยไปคิดว่าปรามาสพระ ซวยแน่ ศาสนาพุทธเป็นหลักเหตุผล จึงสงสัยได้ ไม่ใช่ว่าพอสงสัยก็คิดไปว่าปรามาส นี่คือผลเสียที่ลิงดำเอามาพูดกรอกหูให้คนมันโง่ๆๆๆ โง่โงหัวไม่ขึ้น!

สงสัยท่านโลตัสจะหลง ทำไมจะสงสัยไม่ได้!

มันปรามาสยังไง!




 
 

โดย: Lao fu zi IP: 111.84.148.31 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:2:38:36 น.  

 
 
 
เหล่าฮุขอบใจป้าขวัญมาก ถ้ามีโอกาสจะขอฟามรู้การวางใจ เรื่องกินเจ นำร่องไปได้เลย เหล่าฮุเสพย์ติดเนื้อสัตว์ดังว่าจินๆ แต่เวทนาสัตว์เหลือเกิน ตะกินหมูทีไร นึกถึงลูกตนเอง เคยนึกเสมอว่า ไจ่ไจ๋เคยเป้นหมูถูกเขาเชือดมาก่อน คิดแล้วสยอง สงสารลูกเหลือเกิน

ถึงแม้นี่เป็นจินตนาการปรุงแต่ง แต่ก็บอกตัวเองลึกๆว่า อาจจริงก็ได้

เรื่องนี้ไม่ได้เหยียบเรือสองแคมหรอกนะ

ไม่ใช่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าอาจอุจเฉททิฏฐิแผงรูปก็เป็นได้
แต่อีกทางหนึ่งดันบอกเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแบบที่คนทั่วไปรู้

เป็นดังว่าจินๆน่ะ ไม่ปฏิเสธ เพราะยังไม่รู้ชัด เพียงเห็นว่าเป็นไปได้มากว่าจะเป็นการแฝงรูป

ที่ว่าแฝงรูปก็คือ ตายแล้ว มันก็หมดเหตุจะเกิดน่ะแหละ
แต่ประเด็นมันมีว่า
มิจฉาทิฏฐิ2แบบ(สัสตทิฏฐิ-อุจเฉททิฏฐิ) มันไม่เป็นไปเพื่อการกระทำ ต่างจากศาสนาพุทธ!

คืออย่างเน๊
ถ้าเชื่อว่าคนเราเมื่อตายไป จะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพรามันเที่ยง
อีกอย่างว่า ตายแล้วมันก็สูญ
เมื่อเชื่อกันอย่างนี้แต่แรก มันก็เป็นต้นทาง ให้ผลที่ตามมา ก่อให้เกิดท่าทีต่อชีวิต เป็นไปแบบหลงทาง

ส่วนทางพุทธว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะทุกสิ่งเกิดและดับ ล้วนเป็นไปตามเหตุ-ปัจจัย

เมื่อพุทธเชื่อแบบเน๊ ท่าทีก็จะไปคนละเรื่องกะมิจฉาทิฏฐิเลย เพราะต้นทางต่างกันมาก

ที่ว่าแผงรูป เพราะเมื่อเรายังไมาตาย ก็จะเวียนเกิดเวียนตายในวัฏฏะ
ซึ่งก็ก่อให้เกิดพฤติกรรมดี-ชั่ว ต่างๆนานา การเชื่อเหตุ-ปัจจัย เป็นต้นทางให้เกิด"การกระทำ"

นี่เป็นต้นทางของกุศล -อกุศล ซึ่งศาสนาอื่นดูเหมือนไม่พูดถึงเท่าไหร่ เห็นแต่การเอาอกเอาใจผู้ที่เหนือกว่าเป็นหลัก จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ทำได้แบบสบาย เพราะพระเจ้าส่งให้มันมาตายเป็นอาหาร

สิ่งเหล่านี้คือศีล คือมันไม่ปรกติสุข ศาสนาพุทธมีสอนเรื่องศีล ให้เป็นไปเพื่อการอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข

หากเชื่อหลักเหตุ-ปัจจัย มันก็นำมาซึ่งท่าทีต่อชีวิต ในทางที่จะทำให้สลบสุข จึงไม่ใช่ว่า อุจเฉททิฏฐิแฝงรูปแล้ว ก็เป็นอันว่า เลิกปฏิบัติธรรม เพราะมันตื้นเกินไป การดำรงชีพในสังคมยังมีอยู่ สุขมี ทุกข์มี จึงต้องเร่งสกัดทุกข์ ไม่ใช่พอเชื่อว่าตายแล้วสูญ เลยทำชั่วเสียเลน เพราะตายแล้วก็แล้วไป ที่จริง มันไม่ตายเร็วแบบนั้น การดำรงชีวิตอยู่ เป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่างๆ เกิดชาติ ขรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ....เยอะแยะ ภพ-ชาติแบบนี้แหละที่ต้องรีบกำจัด หาใช่แบบตายเข้าโลก แล้วคลอดออกมาจากท้องแม่ใหม่

งงแล้ว!

ย้อนใหม่นะ เหล่าฮุเห็นลูกตอนเล็กๆน่ารักมาก ว่าง่าย ไม่เรียกร้องมาก สอนง่าย จิตใจดี
แต่ซื่อ ความไม่รู้ของไจ่ไจ๋ทำให้เหล่าฮูเห็นลุกหมูในกรงขัง ที่จะถูกเขาจับไปเป็นหมูหัน รู้สึกสยอง
เคยติดว่าน้องเป็นหมามาเกิด เพราะตอนเด็กเวลาฉี่ เขาจะคลานสี่เท้า ยกขาเอียงไปข้างหลักเพื่อหลบฉี่ แล้วก็ฉี่
เหล่าฮุเคยว่าพ่อตอนป่วย ว่าไม่ยอมช่วยตนเองเท่าที่ควร ต้องให้คนพยุง บอกไปว่า ถ้าเหล่าฮุต้องป่วยแบบนี้ คลานไปห้องน้ำเองก็จะทำ พ่อร้องไห้เลย เสียใจที่ไปว่าเค้า ตอนนั้นไม่รู้สึกสลดนะ
แต่รู้ไม๊ เหล่าฮุกะลังจะต้องคลานไปจินๆน่ะ ตอนนี้ออกอาการให้เห็นแย๊ว!

พล่ามมาแยะ ปนๆกัน อย่างงล่ะ คือจะบอกว่า มันไม่ชัดร๊อก ว่าภพ-ชาติ จะเป็นสิ่งที่เกิดในจิตของเราๆท่านๆแบบที่ท่านพุทธทาสอธิบาย หรือที่จริง มันก็เป็นแบบที่เราเข้าใจกันทั่วๆไปน่แหละ

เพียงจะบอกว่า
ถ้าเชื่อภพ-ชาติในแบบที่ท่านพุทธทาสอธิบายฟาม ไม่มีโอกาสผิดเลย เพราะมันละเอียดลุ่มลึกอยู่ในตัว การปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดภพ-ชาติแบบท่านพุทธทาส ก็เป็นอันไม่เกิดภพ-ชาติในแบบตาย-เข้าโลง-คลอดจากท้องแม่ใหม่แน่นอน เพราะมันดับที่นี่ เดี๋ยวนี้

ส่วนหากจะเชื่อภพชาติแบบ ตาย-เข้าโลง-คลอดจากท้องของแม่ใหม่ แบบนี้ มันจะเกิดสตอรี่พิศดารมากมาย เหมือนที่ท่านโลตัสฟุ้งไว้ตั้งมากมาย หรือสตอรี่แบบท่านลิงดำ ที่เกิดพระพุทธเจ้าบยหัวกบาล วิจิตรพิศดาร หรือเกิดธรรมกาย อะไรเทอกเน๊ มั่วไปหมด

แล้วหากท่านพุทธทาสพูดถูก ไอ้พวกที่เหลือน่ะแหละ โกหกทั้งเข่ง!

เหล่าฮูพูกไว้เผื่อจะทันสำเหนียกเน่อ ไม่ใช่จะไปติพวกที่เหลือ หรือเพ่งโทษท่านโลตัส

 
 

โดย: Lao Fi Zi IP: 111.84.98.125 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:3:11:43 น.  

 
 
 
เรื่องแพร่ข้อความเป็นอกุศล เหล่าฮุพูกแต่ที่รู้แล้ว
ที่ยังอยู่ระดัย"เชื่อ" ก็จะว่าตามนั้น
จึงไม่มีเหตุผลต้องกลัวปรามาส

เพราะเหล่าฮุเฃื่อเรื่องหลักกรรม

แต่หลักกรรมที่เหล่าฮุคิด ก็มองทางฝ่ายกุศลเหมือนกัน
ป้าขวัญอาจไม่มั่นใจ เพราะแค่"เชื่อ" ไม่ใช่"รู้"

สิ่งที่เหล่าฮุบอก เป็นสิ่งที่"รู้" จึงไม่กลัวอกุศล

เศษแก้วโยนใสตอนเผาศพ ที่ได้ยินมา ถึงไม่เห็นด้วยตา ก็พอรู้ได้ว่า ตอนท่านโลตัสอยู่ ก็มีแต่รับสมอ้าง ไม่เคยปฏิเสธ หรือสอนให้คนเลิกงมงายเรื่องเหล่านี้ นี่เองก็ชี้ชัดว่าท่านมี"สาไถย" เหล่าฮูพูดแบบนี้แหละ ท่านก็ไก๋เหมือนกัน เหมือนตอนท่านไก๋ ทำเป็นไม่รู้เรื่องเมื่อมีคนโจทย์ท่านกรณีแม่ชีบุกขึ้นกุฏิตอนดึกบ่อยๆ ท่านทำเป็นไก๋ บอกไม่รู้เรื่อง มันมีพิรุธ ข้อนี้สงสัยได้แมะ ว่าท่านอาจผิดศีล เพราะที่จินมันผิดแน่ๆ มันลับหูลับตาคน ท่านบัวเห็นผิดศีลโต้งๆตั้งหลายข้อ แต่คนทำเป็นไม่เห็น เพราะกลัวภัยแห่งการปรามาส

และนี่ก็คือ ลำเอียงเพราะกลัวภัย(ภยาคติ)

พอก่องเน่อ เหล่าฮูฟุ้งมั่วไปหมด ชักเหนื่อยแล้ว
เพราะดูเหมือนมันไร้ประโยชน์ ถ้าคนหมู่มากยังไม่พยายาม ขวนขวายเอาตัวให้รอดจากหลง ซ้ำยังมีแนวโน้มจมดิ่งสู่ความหลงงมงาย ก็เห็นทีหายนะ คงทำได้แค่นี้ เป็นเรื่องในระดับมหภาคจนไปสู่ระดับปัจเจก
ช่วยม่ายล่ายจินๆ
 
 

โดย: LFZ IP: 111.84.226.152 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:3:59:54 น.  

 
 
 
ขออภัยที่พิมพ์ผิดบานเบอะ ตอนนี้ตีสี่ และตาของเหล่าฮุแย่ลงมากแล้ว อีกหน่อยก็อาจไม่ได้คุยแบบนี้อีก แต่เอาเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน เจริญในธรรมเน่อ
 
 

โดย: LFZ IP: 111.84.226.152 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:4:14:21 น.  

 
 
 
หวัดดี อาเหล่าฮู เน้อ
บอกก่อนนะ ว่าไม่ได้เป็นแก๊งส์พระป่า อิอิ ไม่ได้ฝึกสมาธินั่งหลับตา แต่ภาวนารู้กิเลส รู้อารมณ์ พิจารณาธรรมที่เกิดตามจริงไปเรื่อยๆ รักษาศีล5 พิจารณาจิตที่ปกติ กับจิตไม่ปกติ ด้วยความรู้สึกตัวเนืองๆ เท่าที่สมาธิจะอำนวยให้ เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกขัดแย้งกับท่านโลตัส ฟังธรรมของท่านเพื่อเปิดหูเปิดตา ว่ามีคนรู้ธรรมแบบนี้ แสดงธรรมแบบนี้ เท่านั้น บางอย่างสงสัยก็รู้ว่าสงสัย แต่พอดูตัวเอง ยังเคยเคยสัมผัสธรรมแบบนั้นก็เลยยังไม่มีความรู้ไปตัดสินเขา ก็ฟังไปเฉยๆ ไม่ได้ขัดแย้ง เหมือนฟังตายายเล่านิทานให้ฟังก็สนุกดี อิอิ

ที่อาเหล่าฮู ว่า

สงสัยท่านโลตัสจะหลง ทำไมจะสงสัยไม่ได้!

มันปรามาสยังไง!

บอกตามตรงนะ สงสัยน่ะสงสัยได้ แต่อาเหล่าฮู รู้เจตนาของตัวเองรึเป่า ว่าที่ไปโพสท์เกี่ยวกับท่านโลตัสน่ะ เป็นเจตนาดีต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ต่อท่านโลตัส จริง แล้วทำไปแล้วมีผลดีจริง ยกตัวอย่างนะ ป้าขวัญน่ะ อ่านโพสท์ของอาเหล่าฮูที่เกี่ยวกับท่านโลตัส ฟามรู้สึกไม่ดีมันเกิดขึ้นมาเยอะเลยอะ เหมือนกับว่าอาเหล่าฮูก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ แล้วอาเหล่าก็มีแต่สุตมยปัญญา จินตนาการล้ำเลิศจากการอ่านพุทธธรรม แล้วก็เอาฟามรู้ที่คิดเองเออเองจากจินตนาการไปตัดสินท่านโลตัสแบบนั้น เอาความคิดของตัวเองไปตัดสินอาจารย์เขา ใส่หน้าลูกศิษย์ที่ศรัทธาเขาอีก มันก็ต้องเกิดเป็นฟามขัดแย้ง และร้อนรุ่มในใจคนฟังที่เป็นลูกศิษย์เขาอยู่แล้ว ไม่เห็นจะมีผลดีตรงไหน มีแต่ก่อศัตรูเพิ่ม เสียเพื่อน ท่านโลตัสเป็นที่พึ่งทางใจของลูกศิษย์เขา ถ้าเอาเหล่าฮูสามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้ดีกว่า ทำให้เขาเห็นเป็นประจักษ์ได้เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนสาวกให้เห็นคล้อยตามได้ สอนให้เขาเป็นพระอรหันต์ตามได้ ค่อยไปทำกรรมหักล้างศรัทธาที่เห็นว่าผิด ถึงจะเข้าท่า อะ แต่ถ้าตัวเราก็ยังไม่ได้มีรูปธรรมนามมารองรับ มีแต่จินตนาล้ำเลิศเหมือนคนที่เรากำลังวิจารณ์ มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเพราะได้แต่คำพูดว่า ฉันรู้ถูกตามพุทธธรรม พวกเธอว์แก๊งส์เธอว์รู้ผิดนะว๊อย เนี่ย พูดให้ตายกันไปข้างก็เข้าใจกันอะไรไม่ได้หรอก สมัยพุทธกาลน่ะ ขนาดเป็นอรหันต์เหมือนกัน บางเรื่องที่เห็นต่างก็ยังต้องให้พระพุทธเจ้าเป็นคนตัดสินเพื่อหาข้อยุติที่ถูกต้องเป็นสัจธรรมความจริง แล้วสมัยนี้ เราจะทำตัวเป็นพระพุทธเจ้าซะเองด้วยการอ่านพุทธธรรมแล้วตัดสินว่านั่นผิดนี่ถูกจริง ได้จริงๆหรือ เจ้าชายสิทธัตถะสมัยที่ออกบวชยังไม่ได้ตรัสรู้ท่านยังไม่ขัดแย้งกับอาจารย์ที่สอนจนท่านได้สมาบัติแปด แค่รู้ว่ามันไม่ใช่ที่สุดที่ท่านต้องการ ท่านก็ไม่ได้บอกว่าอาจารย์ผิด แต่ท่านไปทำของท่านเองจนหมดสงสัย จนตรัสรู้แล้วถึงจะย้อนไปจะแก้ไขให้อาจารย์ ที่อยากบอกอาเหล่าฮู ก็แค่นี้แหละ แต่ถ้าอาเหล่าฮูไม่เข้าใจ ก็แล้วแต่อะ ก็ทำต่อไปตามเดิมป้าขวัญก็ไม่ว่าอาเหล่าหรอก ถือว่าเสียงป้าขวัญมันก็แค่คนไม่รู้คนหนึ่ง ไม่รู้เจตนาอาหล่าฮูตามจริง ไม่รู้ธรรมชาติของอาหล่าตามจริง ไม่เข้าใจอาหล่าฮูตามจริง ก็เลยเข้าใจอาเหล่าฮูผิด ก็เท่านี้เอง ไม่ได้อยากจะขัดแย้งกับอาหล่าฮู หรอก แค่เป็นห่วงเฉยๆ ก็เลยพูดไป

2001
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:8:54:28 น.  

 
 
 
เวลามีเจอพระที่บอกว่าท่านหมดกิเลสแล้ว เราก็ฟังได้แล้วดูปฏิปทาของท่านไปเรื่อยๆ ถ้าศรัทธาในปฏิปทาเราก็ทำตามเพื่อพิสูจน์สัจธรรมที่ท่านสอน ถ้าไม่ได้ผลก็ไปหาอาจารย์อื่นๆต่อไป เพราะเราไม่มีความรู้ไปตัดสินใคร มีแต่ทำตามแล้วได้ผลอย่างที่ตั้งเป้าไว้ก็ทำต่อ ถ้าไม่ใช่ก็ไปที่อื่น ไม่ชอบก็ไม่ฟังต่อ วิจารณ์ได้แต่ต้องดูแล้วว่าวิจารณ์แล้วได้อะไร ได้ประโยชน์ ได้โทษอย่างไร วิจารณ์แล้วชีวิตเราจะดีขึ้นไหม วิจารณ์แล้วเราจะได้มรรคผลนิพพานไหม อิอิ ถ้าวิเคราะห์ผลดีผลเสียแล้วคุ้ม ก็ตัดสินใจเดินหน้าลุยไปแล้วได้ผลอย่างไรก็ถือเป็นประสบการณ์เป็นบทเรียน เป็นข้อคิด เพื่อการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมาย

9341
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:9:06:03 น.  

 
 
 
วิธีการวางใจเรื่องการกินมังฯ ของป้าขวัญนะ
ก็ดูความอยากกินเนื้อสัตว์ ไปเรื่อยๆ ง่ะ
แล้วก็พิจารณาการอิ่ม โดยกินเนื้อกับไม่กินเนื้อ ก็อิ่มเหมือนกัน ปลดทุกข์จากความหิวได้เหมือนกัน บางทีความอยากกินเนื้อบางอย่างมันเกิดขึ้นมา ก็นึกถึงรสชาติของมัน นึกถึงตอนกินว่ารู้สึกอย่างไร อิ่มแล้วรู้สึกอย่างไร พิจารณาว่าได้กินแล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้กินแล้วเป็นอย่างไร บางทีเห็นเนื้อก็นึกไปถึงตอนที่มันโดนฆ่า นึกถึงความรู้สึกของมัน ความอยากกินเนื้อมันก็หายไปเอง มันก็มีหลายๆอย่างที่ใช้ในการพิจารณาทำให้ความอยากกินเนื้อมันลดไป จนไม่เกิดเป็นทุกข์ถ้าไม่ได้กิน เหมือนเราเสียสละความสุขจากความอร่อย เราก็ได้ปิติกลับมา คล้ายๆเวลาที่เราทำบุญทำทานแล้วได้ความสบายใจความปิติสุขเห็นคนอื่นเป็นสุขในทานนั้นๆ เราก็เป็นสุขไปด้วย ประมาณนั้น แล้วธรรมชาติของเรามันก็เลือกของมันเองที่จะไม่เกิดฟามอยากที่ไม่เป็นธรรม และพอมันรู้สึกว่่าเป็นธรรมต่อสิ่งอื่นๆ มันก็สงบจากธรรมที่ไม่เป็นธรรมได้ ก็พิจารณาไปเรื่อยๆ มันก็สงบไม่อยากกินเนื้อได้ เพราะมันจะรู้สึกเองว่าไม่เป็นธรรม มันละได้ตอนมีสตินะ ถ้าขาดสติมาอีกก็พิจารณาไปอีก ทำจนเป็นความเคยชินให้เป็นอนุสัยไป มันก็เปลี่ยนธรรมชาิติในตัวเราเองได้บ้างทีละนิด วันไหนเปลี่ยนได้ถาวร ละได้ถาวรโดยไม่ต้องใช้สติพิจารณาไปช่วย ก็คงละธรรมที่ไม่เป็นธรรมได้แบบถาวร ก็ภาวนา พิจารณาในชีวิตประจำวันเรื่อยๆ เนืองๆ ตอนนี้ก็รู้แบบนี้ทำแบบนี้ วันหน้าก็อีกเรื่องหนึ่งถ้าพัฒนาความรู้ไปได้ลึกขึ้น พิจารณาธรรมได้ลึกซึ้งขึ้น ก็อาจมีวิธีอื่นๆเพิ่มขึ้นมา มันก็ต่อยอดจากประสบการณ์ความรู้ที่ตัวเองจับหลักและสัมผัสเองไปได้เรื่อยๆ ทีละขั้น ง่ะ

1632
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:9:27:28 น.  

 
 
 
เรื่องภพเรื่องชาติ ที่ฟังคนอื่นมาน่ะ รวมถึงที่อ่านจากพระไตรปิฎก อ่านแล้วเชื่อก็ผิด ไม่เชื่อก็ผิด เพราะเราไม่ได้รู้เอง ย่อมต้องมีสงสัยเกิดในจิตใจเสมอทุกครั้ง พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่าไม่ให้เชื่อจนกว่าจะพิสูจน์ได้เองรู้เองค่อยเชื่อ เป็นประโยคที่เป็นสัจธรรมที่สุดเลยนะ ดังนั้นท่านพุทธทาส ท่านโลตัส และท่านอื่นจะสอนอะไรมา ก็คือฟังไปก่อนแล้วไปพิูสูน์ให้รู้ด้วยตนเอง แล้วจะรู้เองโดยหมดสงสัยว่าควรเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เท่านั้น สิ่งที่ท่านต่างๆสอนมา ก็เพราะท่านรู้เองเห็นเอง (แต่จะเห็นจริงเป็นสัจธรรมหรือเปล่า เราก็อย่าเพิ่งไปตัดสินเขา) แล้วมาสอนเพื่อเป็นแรงบันดาลใจว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดกับเขา ถ้าเราเห็นดีเห็นงามก็ทำตามคำสอนท่านไป ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไปพิสูจน์ด้วยหนทางของตนเองจนสำเร็จเป็นรูปธรรมค่อยไปหักล้างเขา ไม่งั้นก็ไม่มีอะไรอะไรเป็นรูปธรรมมีแต่ความเห็นต่างที่แห้งแล้งว่า ฉันอ่านมาแล้วรู้แบบนี้ ไม่มีเรื่องที่รู้จริงสัมผัสจริงด้วยตัวเองซักเรื่อง

7219
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:9:38:52 น.  

 
 
 
สิ่งที่เหล่าฮุบอก เป็นสิ่งที่"รู้" จึงไม่กลัวอกุศล

ป้าขวัญว่า มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้น ที่ไม่กลัวอกุศล เพราะไม่ต้องรับวิบากของอกุศลนั้นๆแล้ว และไม่มีความกลัว แล้ว หรือพระอริยะเป็นต้นไป คือปิดอบายภูมิได้แล้วถึงไม่กลัวอกุศล และรู้ว่าอกุศลจึงไม่ทำ เพราะทำไม่ลง

มีอีกอย่าง
มีแต่ปุถุชน คนที่ไม่รู้จักอกุศลและผลของอกุศล ไม่รู้ว่าต้องรับวิบากของอกุศล คือคนทำอกุศลไม่รู้ว่าเป็นอกุศล ก็ไม่กลัว ไม่รู้ว่ามีวิบากของอกุศลรออยู่ก็ไม่ต้องกลัวอกุศล สรุปคือเพราะไม่รู้จึงไม่กลัว เหมือนตอนที่อาเหล่าฮูพูดถึงพ่อตอนนั้น ทำไปก็เพราะไม่รู้ มารู้เมื่อต้องรับวิบากผลของการกระทำนั้นแล้วระลึกได้ว่าเคยทำกรรมแบบนี้ ผลก็เลยออกมาแบบนี้ มันยาวนานกี่ปี พ่อก็ไม่อยู่แล้ว พ่อก็เสียใจไปแล้ว เรารู้ตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เพราะกรรมสำเร็จแล้ว วิบากสำเร็จแล้ว รู้เมื่อสาย ตอนทำกรรมนั้นไม่รู้ ปุถุชนคนเราก็เป็นแบบนี้ตลอด และทุกเรื่อง ที่กล้าทำกรรมไปเพราะไม่รู้ทั้งนั้น ถึงบอกให้พิจารณาให้รอบคอบถึงผลดีผลเสียแล้วค่อยทำ แต่ถ้าอาเหล่าฮูพิจารณาดีแล้ว ก็ทำต่อไปแระกัน อิอิ ป้่าขวัญเลิกห่วงคนอื่นแล้ว (เลิกห่วงตอนมีสตินะ ถ้าหลงก็เหมือนเดิม อิอิ)

6771
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:9:55:23 น.  

 
 
 
ทุกเรื่อง นะอาเหล่าฮู
รู้จริงเห็นจริงเป็นจริง พูดไปไม่ผิดหรอก
แต่คนตายไปแล้ว จะไปพิสูจน์อะไรได้ ก็ต้องยกประโยชน์ให้จำเลยไป เราไม่ศรัทธา เราสงสัย เราก็ไม่ต้องไปร่วมสังฆกรรมกับเขา อาเหล่าฮูพูดได้เฉพาะที่โดนกับตัวเอง เช่น อยู่บนกุฏิตอนนั้น เป็นพยานรู้เห็นการกระทำนั้น ถึงพูดได้ไม่ติดกรรมเพราะพูดความจริงเป็นสัจจะเป็นจริงประสบเอง แต่ถ้าฟังมา เขาเล่ามา แล้วบอกต่อ ถ้ามันเกิดไม่ใช่ เราก็ต้องรับกรรมไปด้วยเพราะไปร่วมสังฆกรรมแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่โจกท์ใครนะ ใครดีใครเลว ท่านก็ปล่อยวาง แต่ถ้าต้องการให้ท่านช่วยท่านถึงช่วย เป็นธุระเท่าที่จำเป็น และเป็นธุระเฉพาะเรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อคนนั้น อะไรจะเกิดโทษท่านนิ่งเฉยไม่เอาเป็นธุระ ป้าขวัญเข้าใจกิจของพระพุทธเจ้าแบบนี้นะ ก็ไม่รู้จะเข้าใจถูกหรือเปล่า แหะ แหะ เราเลือกจะเป็นสาวกท่าน ก็ต้องดูท่านเป็นตัวอย่าง

1558
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:10:06:52 น.  

 
 
 
ตอบไปเยอะ แระ
ก็ไม่มีอะไรหรอก เตือนกันด้วยความเป็นห่วงนะแหละ
แต่สุดท้าย แต่ละคนก็เลือกทำตามที่ตนเอง "รู้" นั่นแหละ
ทีนี้ ถ้ายังไม่ถึงสภาวะรู้แจ้ง ก็รู้ใครรู้มันแหละ เอารู้ ทำกรรม เอารู้ละกรรม แต่วิบากมันมาแบบไม่เลือกว่า รู้ หรือไม่รู้ ทำกรรมอะไรก็รับกรรมตามนั้น ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์ ก็ยังต้องก้มรับกรรมไปแหละ เนอะ

อ้อ ลืมไป อาเหล่าฮู ไม่กลัวอกุศล อิอิ
ล้อกันเล่นน่ะ จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถูกผิดรู้อยู่แก่ตัว วิบากมาถึงก็รู้เองว่าที่ทำไปน่ะ ถูกหรือผิด กุศลหรือกุศล เนอะ รู้ของใครของมัน

รู้อะไรก็ไม่สู้ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี อิอิ

7770
*.* *.* *.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:10:14:23 น.  

 
 
 
ไปเจอคำคมมา

เขาคิดว่าเขารู้

แต่ไม่คิดว่ารู้ผิดๆ

ปล. อ่านแล้วรู้สึกเงิบเล็กน้อยถึงปานกลาง อิอิ
เรื่องของการรู้ มีเยอะแยะ เนอะ
อ่านแล้วรู้-คิดว่ารู้-จินตนาการว่ารู้-รู้จากประสบการณ์จริง เราทุกคนก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับ รู้ จากสิ่งเหล่านี้ แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า รู้จริงตามสัจธรรม คือรู้จริงๆ รู้แบบไม่มีข้อสงสัย รู้แบบมั่นใจว่ามันเป็นสัจธรรมไม่มีทางผิด รู้ว่าไม่รู้ รู้แล้วยิ้มเล็กๆแบบว่ารู้ด้วยตัวเอง รู้แบบชิมมะนาวแล้วรู้ว่ารสเปรี้ยวเป็นยังไงใครเคยชิมแล้วก็รู้ตรงกันว่ารสเปรี้ยวเป็นยังไง มองหน้ากันก็รู้รสแล้วเข้าใจตรงกัน อิอิ แต่ถ้า รู้ด้วยความคิดด้วยจินตนาการการ มันไม่มีทางตรงกันแบบ สองคนยลตามช่องเดียวกันแต่เห็นไม่เหมือนกัน รู้ไม่เหมือนกัน ก็เถียงกันจนตายก็ไม่รู้ความจริง เพราะไม่เห็นความจริงทั้งสองคน ไม่รู้จริงทั้งสอง มีแต่รู้จากความคิดของใครของมัน แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้อะไร โดนความคิดและทิฏฐิบังความจริงมิดเลย ขนาดตายแล้วยังติดรู้ผิดๆติดตัวไปเกิดๆตายๆอีกนับไม่ถ้วน จนมาเป็นเราในวันนี้ก็ยังรู้ผิดๆอยู่นั่นเอง อิอิ ถ้ารู้จริงตามสัจธรรมก็ได้บรรลุธรรมไปแระเนอะ ตอนนี้ก็ได้แค่รู้ว่ายังไม่รู้ แหะๆๆ

5207
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.96.24 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:12:58:00 น.  

 
 
 
มีเรื่องแปลกมาเล่าให้อาเหล่าฮูฟัง
พี่ผู้หญิงที่ออฟฟิส เพิ่งตายด้วยโรคมะเร็ง ประมาณเดือน กค.56 ที่ผ่านมา ในงานวันเผาศพ คุงสามีก็ไปด้วยเพราะรู้จักพี่เขาตอนไปบวชถือศีล8 ที่วัดมาด้วยกัน ตอนเดือน พค.56 ทีนี้ตอนนั่งรอจะเผาศพ เขาอธิษฐานจิตขอเห็นพี่เขา แล้วก็ดันเห็นจริงๆ!!! เห็นเหมือนคนเดิมใส่ชุดขาวหน้าตาเฉยเมยไร้ความสึก ยืนนิ่งอยู่ในฟามมืด คุงสามีก็กลัวว่าจะเป็นนิมิตคิดไปเอง เขาก็เลยเอาลิ้นดุนเพดานปาก ให้รู้สึกตัวตลอดเวลา เป็นอุบายไม่ให้้กิดอาการหลงคิดน่ะ พอแน่ใจระดับหนึ่งว่าสติรู้สึกตัวอยู่ครบแล้ว ก็ลองพูดในใจกับพี่เขาว่าพี่จำผมได้ไหม ที่เราไปเจอกันที่วัด บวชถือศีล8กันไง จำได้ไหมพี่ พี่นึกถึงตอนที่เราบวชถือศีลที่วัดได้ไหม ... ประมาณนี้ คือพยามยามพูดให้พี่เขานึกถึงเรื่องบวชถือศีลที่วัดให้ได้ ซักพัก เขารู้สึกเหมือนก็เหมือนภาพที่เห็นดับวูบมืดไม่เห็นอะไรเลย พอสว่างปั๊บก็เห็นพี่เขาเป็นนางฟ้าใส่ชุดสีทองสไบทองชฎาทอง ความรู้สึกที่รับได้คือร่าเริงสดใส ไม่หดหู่เหมือนแรก แต่พี่เขาไม่หันหน้ามาให้เห็น ซักพักก็หายไป ไม่มีการพูดหรือการสื่อสารติดต่อใดๆ แค่เห็นเฉยๆ และเขายืนยันว่ารู้สึกตัวตลอดเพราะเอาลิ้นดุนเพดานปากรู้สึกตัวตลอด เขาก็ไม่ได้แน่ใจว่ามันคืออะไร แน่นอนว่าตอนนั้นอยู่ในงานไม่ได้เล่าใครฟัง เขาแค่สะกิดว่าออกจากวัดแล้วมีเรื่องแปลกจะเล่าให้ฟัง เราเองก็นั่งอยู่ข้างๆเขาก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไร แต่เขาเห็นแบบนั้น เขาก็ไม่ได้มั่นใจว่ามันจะเป็นเรื่องจริง มันก็เหมือนว่าเขาเห็นจริงแต่จะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่แน่ มันก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกรู้ได้เฉพาะตน ไปเล่าให้คนอื่นฟังเขาอาจจะว่าโกหกก็ได้อีก แบบนี้ เราก็ได้แต่ฟังไว้เป็นความรู้ใช่ไหมว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มีคนรู้เห็นแบบนี้มาเล่าให้ฟัง แต่ถ้าเราไปตัดสินว่าเขาโกหกมันก็จะกลายเป็นว่าเราเพ่งโทษเขาเพราะเราไม่มีความรู้จริงจะไปตัดสินใครได้ ขนาดว่าเขาเห็นแบบนี้ถามว่าเขาเชื่อเรื่องภพชาติ เรื่องโอปาติกะไหม เขาก็ยังสองจิตสองใจ ยังไม่เชื่อแบบเต็มตีน ก็คงเหมือนอาเหล่าฮูแหละ ปฏิบัติมารู้เห็นอะไรมาก็เยอะสัมผัสมาก็เยอะ ก็ยังไม่ฟันธงยังกำกึ่งเอาทั้ง2ทางไว้พิจารณา ใช่ไหม เพราะว่าเรายังไม่รู้แจ้งไงเราถึงยังไม่โช๊ะๆ ไป ยังต้องพิจารณาวิจัยธรรมไปจนกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริง ที่เล่านี่ก็อยากจะบอกว่าเราฟังเรื่องคนอื่นเราก็ได้แต่ฟัง ถ้ายังไม่รู้จริงก็ิย่าเพิ่งไปตัดสินเขาหรือเพ่งโทษเขา เพราะความไม่รู้ บางทีสิ่งที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริงแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ และการไม่เชื่อหรือสงสัย ไม่ใช่การปรามาสเขา แต่การเพ่งโทษเขาว่าโกหกเพ้อเจ้อถึงจะเข้าข่ายปรามาส กับพระก็เหมือนกัน และคนเรามักจะเพ่งโทษคนอื่นแต่ไม่รู้ว่ามันคือการเพ่งโทษ เรียกว่าทำกรรมเพ่งโทษจนเป็นนิสัยโดยไม่รู้ตัวไง ก็อยากบอกอาเหล่าฮูไว้แค่นี้แหละ ไม่รู้อาเหล่าฮูจะเข้าใจไหม แหะ แหะ

4685
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.213.149 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:16:56:24 น.  

 
 
 
ถึง ทั่นผู้อ่านทุกท่าน

อืม...อ่านตัวหนังสือ ของหลายท่าน แล้ว
ไง๋ ไพล่ ไปนึกถึง สำนวนที่ว่า

"แก่เพราะกินข้าว-เฒ่าเพราะอยู่นาน "

และ

" การ เอา มะพร้าวห้าว มาขายสวน "

ไปซะได้น้อออออออออออออออออออออ


เออ ส่วน ใครจะเป็น คนเฒ่าที่เอามะพร้าวห้าวมาขาย
และ ใครจะเป็น เจ้าของสวน ....
อันนี้ ก็ให้ พิณาจาก ภูมิกึ๋น ที่มีในตัวเอง ก็แล้วกันนะ
ใครที่ รู้สึกว่า ภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย กว่า
ก็ จงเอาตำแหน่ง ท่านผู้เฒ่าขายมะพร้าวห้าว ไป ก็แระกันเนอะ อิอิ

เฮ้อออ นี่แหล่ะน้าาาาา ในแวดวงนักปฏิบัติ จึงมัก สอนเอาไว้ เสมอว่า

ปฏิบัติไปแล้ว ก็ต้อง สำเหนียก ใน สารพัดภูมิ ของตัวเอง ให้จงหนัก
และ หากรู้ว่า ตนนั้น ภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย กว่าผู้อื่น
ก็อย่า สะแอ๋ง ไป สั่งสอน บุคคลที่ มีภูมิสูง กว่า ตัวเอง
เพราะ การกระทำเช่นนั้น รังแต่จะ ทำให้ตนกลายเป็น ตัวตลกที่น่าเวทนา
เฉกเช่น เด็กอนุบาล ที่พยาม โชว์พาว อวด เด็ก มหาวิทยาลัย
ว่า ตรูข้านั้น เจ๋ง เพราะ ท่อง แม่สูตรคูณแม่ 2 ได้เสียงดังฟังชัดกว่ามรึง

อ้อ แต่ ถ้า ใครมั่นใจว่า ตรูนั้น เจ๋งพอ แล้วล่ะก้อ..
เมื่อ คุณ กล้า ที่จะ อวดดี คุณก็ต้องมี ดี มาให้อวด
และต้อง สามารถ "ก้มหน้า ไม่อายฟ้า- เงยหน้า ไม่อายดิน " ได้ อย่างชิลๆ ด้วยอ่ะ


ปอลิง 1

เด๋ว ไว้ ฤกษ์งามยามดี จะมา ถก เรื่อง สิทธัตถะ หนีเมียไปบวช
กับ เรื่อง ฉันทะ กะ ตัณหา ตลอดจนเรื่อง อื่น ๆ ให้ฟัง ต่อ ก็แระกันนะ
สคริปต์ที่จะเขียน น่ะ มีอยู่ในหัวหมดแระ แต่ดูท่าจะต้องใช้เวลา
แถม ยังหาโอกาสเหมาะ ๆ มาเขียนไม่ได้ซ้าทีเลยอ่ะ
เพราะว่ามี อีกหลายโปรเจค ที่ตั้งใจจะ เคลียร์ ให้เสร็จก่อนน่ะ

ทั้ง เรื่อง จัดระเบียบ ไฟล์เอกสาร ต่าง ๆ ในคอมพ์ ที่เซฟ สะสมไว้ เป็นคอลเลคชั่น
แล้วก็ยัง โปรเจคสารพัดกระทู้ ที่ คิดจะ เขียน อีก
ไม่ว่าจะเป็น โปรเจค หาเรื่องเหยียบ ตาปลา ของ อิพวกสาวกขอทานแขกแดร๊กหมู
โปรเจคตั้งกระทู้ หาเรื่องสึกสมเด็จพระสังฆราช ด้วยข้อหา อาบัติปราชิก
แล้ว ก็ โปรเจคตั้งกระทู้ " เมื่อฉันเริ่มเห็น ความงดงามตามวิถีอิสลาม เมื่อเปลี่ยนใจ หันมาปฏิบัติธรรม " ฯลฯ ด้วย


ฉะนั้น คงต้อง ขอ อนุญาติ ดองเค็ม
ประเด็นเรื่อง สิทธัตถะหนีเมียไปบวช ไปสักพักหญ่าย ๆ อ่ะคร้าาา
คงอีกนานเลย กว่าจะได้ เอาประเด็น นี้มาชำแหละ ต่อ
อาจจะเป็น ปีหน้าฟ้าใหม่ หลัง ออกพรรษา
( ตอนที่สามารถไปแร่ดที่ พันทิป ได้ โน่น ล่ะมั้ง)

เลย แวะมาบอกไว้ก่อน เพราะ เกรง ว่า
เดี๋ยวทุกท่าน จะเสียเวลามา เชคบล็อก เปล่า ๆ ปลี้ ๆ
เพราะหลังโพสครั้งนี้ อาจจะหายหัวไปจาก สุสานโบราณนานมากกกก

 
 

โดย: ทายซิ...ครายเอ่ย ? IP: 110.77.138.136 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:18:51:43 น.  

 
 
 
ปอลิง 2

อ้อ แล้วแนะนำ ทุกทั่น ว่า ก่อนจะมาถก อะไร กับ อิฉันน่ะ
รบกวน ทุกท่าน ไป อ่านและทำความเข้าใจ
กับ "วงปฏิจสมุปบาท" และ "หลัก อิทัปปัจจยตา" ซะมั่งก็ดีนะ
จะได้ ไม่มา สำรอกความรู้สไตล์มะพร้าวห้าว ให้ชาวบ้านเขารับรู้

ยิ่งไปเอา น้ำลาย ของ พระรูปโน้น รูปนี้ มาเป็นไม้กันหมา อ่ะนะ
บอก ตรง ๆ เลย ว่า สงสารพระท่านว่ะ
ที่จะต้องมาเป็นเหยื่อ โดน อิฉัน ชำแหล่ะโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
อย่าลืมสิ ว่า พรนรก ของ อิฉัน น่ะ ก็คือ...

การ สามารถ มองเห็น จุดด่างกลางผ้าขาว อ่ะนะ
ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเห็น รอยด่าง ของคนที่ตัวเองเคารพและศรัทธา ให้เสียความรู้สึก
ก็ อย่า นึกถึงแต่ ความยินดีในประโยชน์ ที่ตัวเองพึงจะได้
แล้ว ไปดึง พวกท่าน มาข้องแวะ เป็น ไม้กันหมา เพื่อ อวดชาวบ้าน ในการเสวนา จะดีกว่านะ
ขนาด สมณะโคดม ยังโดน อิฉัน ลากไส้เอามา เตะเล่น เป็นตะกร้ออยู่บ่อย ๆ
ไฉนเลย สาวกขอทานแขกแดร๊กหมู มันจะ รอด ไปได้ล่ะ ?

ปอลิง 3


อ่ะ เอา อะรัย มาฝากจร้าาาา

//f.ptcdn.info/320/010/000/1380463093-Copyofleve-o.png

แล้ว ถ้ามีเวลาว่าง ก็ลอง พิณา ดูแระกัน ว่า เวลาที่หลาย ๆ ท่านในนี้ ถกกันนั้น
แต่ละทั่น ถกกับ อิฉัน ในสไตล์ใด / อยู่ ส่วนไหน ของ ปิรามิด
และ มีคุณสมบัติ ของ ความเป็น Refutation อยู่บ้างหรือไม่ ?

อ้อ แล้วถ้า ใคร ไปแวะ ในกระทู้นี้

//pantip.com/topic/31060213

ฝาก บอก จขกท. นู้น ให้ที นะจ๊ะ
ว่า เด๋วครึ้ม ๆ ออกจากคุกขี้ไก่ เมื่อไร
นู๋บี จะไป ชำแหล่ะ หาเนื้อนาบุญ
ของอิพวกสาวกขอทานแขกแดร๊กหมูให้จร้าา

อยากจะรู้เหมือนกันว่า ไอ้ประเด็น สมณะ กะ ขอทาน นั้นน่ะ
อิฉัน จะ สามารถตอกกลับ อิพวกคนยพุทธ ให้หน้าหงาย ได้ไหม
แหม๊ ? อยากจะ พิสูจน์ คุณภาพปาก
ระดับ สั่งได้แบ่บก๋วยเตี๋ยว เร็ว ๆ จังวุ้ย
เฮ้ออออ ชัก คันปาก ยัก ๆ ซะแระเหอ...เหอ..

อ้อ อันนี้ ก็เอามาฝาก อ่ะเธอว์

//pantip.com/topic/30987440/comment91

//pantip.com/topic/30987440/comment158

นี่ ๆ รู้แล้ว เหยียบไว้เลยน้าาา อิฉันแอบปลื้ม อิตาแครอท ชะมัด
เพราะ นาน ๆ ที ถึงจะ เจอะเจอ คนที่ สนทนาถกกระทู้ ในสไตล์ Refutation
เฮ้อออ น่าเสียดายนะ ที่ อิฉันยัง ชอบกิน ลูกชิ้นหมูอยู๊
ไม่งั้นจะ ครึ้ม ๆ อาจจะ ไปเข้ารับอิสลาม เป็น มุสลิมมะ
แล้ว ตามจีบ ไอ้หมอนี่ ดูสักตั้ง อิอิ


ปอลิง 4

เออ จิงดิ เห็น คุณป๋า วิ ถาม เรื่อง เลขท้าย 4 ตัว ท้ายข้อความที่โพส
ก็เลย แวะมาตอบให้ว่า ไอ้ เลขรหัสส่งข้อความ นั้นน่ะ
อิฉัน โพสไว้ ให้ เป็น " ทาน" อ่ะคร้าาาา อิอิ
บางทีเห็นเลขสวย ๆ แล้วก็แค่นึกครึ้ม ว่า เออเลขมัน สวยดีวุ้ย
แต่ก็ไม่ได้โพสเอาไว้ ดูจิต ว่ามัน ฟู ๆ แฟบ ๆ แบบ อิอ่อน มันหร็อก


นี่ ๆ รู้แล้ว เหยียบไว้เลยน้าาาาาาาาาาา
จริง ๆ บางครั้ง ทั่นด๊อกฯ มันก็ ขี้เกียจแปะไอ้เลขท้าย 4 ตัว เหมือนกันนะ
เพราะ มันไม่ได้ ประโยชน์ อะไร จาก เรื่องนี้เล๊ยยยย พับเผื่อย
แต่ ทำไปทำมา มันก็เหมือน พิธีกรรม ทางศาสนา เพื่อขัดเกลาจิตใจตัวเองมั้ง
ก็ คล้าย ๆ การสวดมนต์ ไหว้พระ ที่เป็น การละเล่นของพวกคนพุทธ นั้นแหล่ะ

เวลาขี้เกียจแปะเลขท้าย 4 ตัว ทีไร
ก็ต้อง ฝืนความความขี้เกียจ ในตัวเอง
กระเตงตัวเลข มาโพส แปะไว้ ทุกทีสิน่า
เพราะ คิดว่า ถึง ตัวเลขที่โพส จะไม่มีประโยชน์ อะไรกับเรา
แต่ บางที ข้อมูล ตัวเลขพวกนี้ ก็อาจจะมี ประโยชน์ กับคนอื่น บ้างมั้ง
อาทิเช่น เอาไปเป็นข้อมูลในการ แทงหวย ...เอ๊ยยยยย ...หมายถึง เอาไป ศึกษา สถิติการสุ่มเลือกตัวเลข ของโปรแกรมคอมพ์ น่ะ
( เผื่อ โปรแกรมเมอร์บางคนจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ อะไรได้มั่ง อิอิ )

ดังนั้น ไหน ๆ เราพอจะ ช่วยเหลือในเรื่องการเก็บสถิติ พวกนี้ได้
ก็เลย ช่วย ๆ กันไป น่ะ แต่ ไม่ยักกะรู้ เลยว่า ..
มีโปรแกรมเมอร์บางคน เอา ตัวเลขพวกนี้ไปดู จิต ซะงั้น เอิ๊ก ๆ

อืม...แล้วรู้ป่ะ นอกจากนี้ ไอ้เลขท้าย 4 ตัวนี่
ยังเป็น สัญญาณ คล้าย ๆ ดาร์วินชีส์ โค้ด
ที่ซ่อน deep meanning บางอย่าง สำหรับ อิฉันด้วยน้าาา


เฮ้อออ ไม่รู้สินะ บางที อิฉันก็ รู้สึกไปเอง ว่า
ในบางอารมณ์ อิอ่อน มัน คล้าย ไอ้โซ๊ยตี๋บุญพิลึก นะ
พวก แข็งนอก อ่อนใน น่ะ มีชนักติดหลังบางอย่าง
เหมือนจะแข็งแกร่ง แต่ ลึก ๆ แล้วบางที ก็อ่อนไหวง่าย


พอ ต้องมา ปะทะคารม กับ ทั่นด๊อกฯ แรง ๆ แบบนันสต๊อป บ่อย ๆ เข้างั้น
แล้วถ้า อิฉันดันนึกขี้เกียจ ทำตัวเปลี่ยนไป
ไม่โพสแปะ ไอ้เลขท้าย 4 ตัว ให้อิอ่อนมันเอาไปแทงหวย เหมือนเช่นปกติ
ก็กลัว คนบางคนจะ ใจแป้ว คิดเตลิดเปิดเปิง นึก ไปว่า มีการกระทบกระทั่ง
จน เสียเพื่อน ไป เพราะ เกิดความบาดหมางขัดหูขัดใจ กันในเรื่องที่ ถก กับมัน น่ะ


อืม...จะว่าไปแล้ว เหตุที่โพส แปะ อิเลขท้าย 4 ตัว นี่
ก็คงคล้าย ๆ กับ เหตุผลที่ ดึกดื่นเที่ยงคืน อิฉันก็ยังแหกขี้ตาฝืนความง่วง
ไปโพสข้อความ โต้ตอบกับ ไอ้โซ๊ยตี๋ ตอนที่ มันเห่าโฮ่ง ๆ แฮ่
ทำท่าจะ กระโดด ขย้ำคอหอย อิฉันเมื่อ 2-3ปีก่อน ล่ะมั้ง อิอิ

เอาล่ะ ฝอยมาแยะแระ ขอ อนุญาต หายหัวเข้ากะลา อีกแระจร้าาาาา

บ๊ายบายยยย น้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ^ 0 ^
 
 

โดย: ทายซิ...ครายเอ่ย ? IP: 110.77.138.136 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:18:53:36 น.  

 
 
 
อ้อ ลืมไป

9435

( ถ้าไม่แปะ เด๋วจะมี คนร้องไห้ขี้มูกโป่ง อิอิ :P )
 
 

โดย: ทายซิ...ครายเอ่ย ? IP: 110.77.138.136 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:18:55:55 น.  

 
 
 
วิปัสสนาช่วยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากการถกเถียงเรื่องราวทางปรัชญาที่แห้งแล้ง และการมีศรัทธาอย่างมืดบอด รวมทั้งสอนให้ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

-เอส เอ็น โกเอ็นก้า- แปลจาก วารสาร Vipasyana Patrika
กันยายน 2548


ถาม : ลมหายใจของผมฝืดและตื้น หนังตาก็กระตุกอย่างนี้เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ท่านอาจารย์ : ไม่เป็นไร ถ้ามันตื้น ก็ตื้น ตราบใดที่ท่านยังรู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้า – ออก ก็ใช้ได้แล้ว อย่าไปสนใจว่ามันต้องลึก ไม่ใช่ตื้น บางครั้งมันก็ลึก บางครั้งก็ตื้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ ท่านจะพบว่าลมหายใจค่อยๆสั้นลง สั้นลง บางครั้งถึงกับหยุดไป ซึ่งท่านจะรับรู้ได้ จากนั้นลมหายใจก็จะลึก เพราะท่านต้องการออกซิเจน แล้วมันก็จะกลับตื้นและละเอียด จากนั้นก็ลึกอีก ถ้ามันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็จงปล่อยให้มันเกิดขึ้น ไม่มีอะไรผิด
~ เอส เอ็น โกเอ็นก้า ~ ธรรมคีรี กันยายน 2555



ในบรรดาศีลข้อต่างๆนั้น ข้าพเจ้าหวั่นเกรงศีลข้อมุสามากกว่าเพื่อน ทั้งนี้เพราะการพูดมุสาจะทำให้พื้นฐานของศีลอ่อนลง เมื่อนั้นสมาธิก็จะอ่อนลง และทำให้ปัญญาอ่อนลงด้วย ฉะนั้น จงพูดแต่สิ่งที่เป็นจริง ~ ท่านอาจารย์อูบาขิ่น ~ จากจุลสารวิปัสสนา ฉบับ เมษายน-มิถุนายน 2545





ข้อความข้างบน ดูเหมือนป้าขวัญจะดื่มด่ำ ซาบซึ้ง จนถึงกับเอามาฝากเพื่อนๆ เหล่าฮุอ่านแล้ว มันก็ธรรมด๊า-ธรรมดา งั้นๆแหละ


แต่พอเห็นชื่อว่าเป็นท่านโกเอ็นก้าเข้า ก็อาจพลอยตาหูเหลือก คิดว่า เป็นบุญหูเสียเต็มประดา ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พูดกงๆนะ สู้ป้าบีของเหล่าฮุม่ายล่ายอ่ะ อย่าว่าอวยกันเลยนะ ที่จิน ป้าบีปราดเปรื่องหลักแหลม ชี้แง่มุมให้ผู้เฒ่าวัยเหล่าฮุตื่นตาตื่นใจเสมอ ทั้งที่เป็นแค่สาวแสบชนิดพันทิปส่ายหัวดิ๊กๆ (เห็นจะเป็นเพราะไล่ไม่ทันลูกเล่นซะละมาก) แต่เหล่าฮุเห็นแง่มุมของป้าบี หลายครั้งหลายหนมีลักษณะเฉพาะ จึงนิยมชมชอบในฟามเจ้าปัญญา

ส่วนคนโง่ๆ เห็นแล้วเซ็งจิต

เหมือนเหล่าสาวกแก๊งส์พระป่า ที่แม้จะยกหลักธรรมแท้ๆให้พินา ก็หานำพาใดๆไม่ ซ้ำร้ายกลับเนรคุณต่อผู้กล่าว"คำขนาบ"(ท่านโกเอ็นก้าก็ได้กล่าวไว้ข้างบนน่ะแหละ ) เนรคุณต่อผู้ชี้ทางสว่าง

อย่างท่านคึกฤทธิ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ในพระไตรปิฏก ไม่มี-ขนิกะสมาธิ -อุปจาระ -อัปปนาสมาธิ

เมื่อได้รู้อย่างนี้ว่า ในหลักฐานจินๆนั้นไม่มีเรื่องแบบนี้ ซาแดงว่า ที่ผ่านๆมา ไปตั้งตนอยู่ในฟามฟุ้ง เพราะหลงไปฟังอาจารย์กล่อมจนอยู่หมัด แต่แท้จินแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยพูกถึง

รู้อย่างนี้แล้ว แทนที่จะโมทนาบุญกับผู้ชี้ทางสว่าง
แต่กลับไปค่อนขอด ด่าว่า กล่าวร้าย....

นี่แหละ ภัยแห่งฟามไม่รู้ มึดบอด

ท่านโลตัสทรงกล่าวผรุสวาจา เหล่าฮูชี้ให้เห็นโต้งๆว่าผิดศีลข้อวจีทุจริต ที่จินผิดหมดทั้งศีลข้อ4 โกหกหลายครั้งให้จับได้ จนถูกพลตรีทองขาวฟ้องร้องมาแล้ว เรื่องเหล่านี้จินตนาการตรงไหน หรือ คิดไปเองตรงไหน

ป้าขวัญอยากฟังท่านหยาบคายแมะ เหล่าฮูเกิดมายังไม่เคยผรุสวาจาถึงขนาดนี้

แล้วนี่อ้างตนเป็นอรหันต์ แท้ๆ แต่กลับผรุสวาทไม่เกรงใจศีล ว่าจะวิบัติ ไ
ม่เกรงข้อวินัย ยกอวดอุตริซ้ำซากเป็นอาจินต์ ทั้งที่ใครๆก็รู้ว่าเป็นข้อห้ามของพระพุทธเจ้า

แต่แล้วคนก็ไปอวย องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ องค์หลวงตาอย่างนั้นอย่างนี้ ฟังแล้วคลื่นเหียน ไม่คิดว่ามันจะหลงไหลกันไปได้ถึงขนาดนี้

เมื่อมีผุ้ชี้ให้ทราบ แทนที่จะโมทนาบุญกับผู้บอกข่าว หรืออย่างน้อยต้องถือเสียว่าท่านนำหลักพุทธธรรมมาสอน แต่กาลกลับเป็นว่า
"ท่านคึกฤทธิ์หากจะพูกสอนธรรม ไปหัดเรียนหนังสือให้จบเปรียญธรรม9ประโยค แล้วค่อยมาคุยกัน"

ไอ้อย่างนี้มันโง่บรัดซบ ไม่รู้จะว่ายังไง
//www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2098.msg35913#msg35913

ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โง่ได้ถ้วยแบบเน๊ คิหรือว่าเหล่าฮุสนใจน่ะ ไม่ได้โกรธกันนา เหล่าฮุให้เกียรติซาโต้มาตลอด แต่ซาโต้มันซี๊ปังโต้วเอง หัวสี่เหลี่ยม คิว่าเป็นคนดี

แต่เหล่าฮุไม่สมาคมกะคน2แบบ โง่กะเลว

เพื่อนชั่ว กะเพื่อนโง่ ไม่เอา
มันจะดียังไงก็ไม่สมาคมล่วย

ป้าขวัญไม่เห้นประโยชน์จากการชี้เป้าท่านโลตัส คงเป็นเพราะรู้ว่าเหล่าฮุพูกนั่นเอง แล้วถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพูกเอง น้ำหนักก็ต่างออกไปแยะ ทั้งที่พูกคำเดียวกันน่ะแหละ!

เพราะท่าทีของผู้คนในสังคมมันวิปริตผิดเพี้ยน เหล่าฮุเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่ชี้ให้ดู ก็เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็เหมือนการให้ข่าวสาร เล่าข่าว แต่ก็ได้ยกหลักการแท้ให้ฟังว่า หลักแท้ว่าไว้อย่างไร

เหมือนกรณี"อยาก"2แบบ ไม่ยักโมทนาสาธุการในสิ่งที่ไม่เคยรุ้
เพราะมนุษย์ยากที่จะละสักกายทิฏฐิ ถือตนเสมอท่าน และมานะมากมายก่ายกอง สิ่งเหล่านี้แคะออกได้ยาก พระพุทธเจ้าคงทราบฟามนัยข้อนี้ดี จึงได้ว่า ไ"ม่พูดขัดชาวโลก" อยากเชื่อว่าพรหมมีจิน ทางพุทธก็มีเหมือนกัน แต่ต่างกันนิดหน่อย อะไรเทือกนี้ ท่านกล่าวอ้อมๆเสมอ เพราะตระหนักได้ว่า มีคนโง่งมโข่ง ขุดไม่ทะลุเต็มไปหมด

ดังกรณีตัวอย่างการไม่รู้จักโมทนาบุญท่านคึกฤทธิ์ เดี๋ยวจะนึกว่าโกรธกัน หรือพลอยไปโกรธท่านโลตัส เปล่าเลย เฉยๆ ไม่ได้อยากฮู๊จักใคร ไม่ได้อยากสอนใคร ไม่ได้อยากตั้งสำนักอย่างที่ถูกยัดข้อหาให้ เหล่าฮุเพียงมีฉันทะ ให้คนในสังคมศึกษาให้ดีเท่านั้น ว่าที่แท้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนั้นๆไว้อย่างไร

แต่นี่ไม่ฟังเลย เห็นโต้งๆว่ามันอาบัติ อย่างต่ำสุดก็ปาจิตตีย์ซ้ำซาก

เมื่อเผลอร้องไห้ แทนที่จะตระหนกว่า ที่แท้ตนเองยังหวั่นไหวต่ออารมณ์ ยังก้าวไม่พ้นกิเลส ต้องรีบแก้ไข แต่ก็เปล่า!

ทีนี้เลยแก้ลำโดยการบอก"พระอรหันต์ร้องไห้ได้ "เลยยิ่งเข้ารกเข้าพง ตัวเองแทนที่จะตระหนักว่า ที่จินแล้ว ยังห่างไกลจากคำว่าอริยะ ต้องรีบแก้ไขแล้ว แต่ก็เปล่า กลับไปแก้หลักธรรม โดยการบอกว่า เป้นปีติ เป็นธรรมอุทัจ อรหันต์ก็ร้องไห้เหมือนคนทั่วไป

นี่มันจะบ้าบอคอแตกไปถึงไหน ขืนชาวพุทธเป็นกันแบบนี้ คงย่อยยับในอีกไม่นาน เพราะต่างก็พากันคิดว่า ปรามาสจะเป็นบาป มีแต่โทษไม่มีคุณ

ป้าขวัญไม่เห็นประโยชน์ในส่วนที่ว่า ได้ชี้ให้เห็นตรงตามธรรมหรือเปล่า หรือไปทึกทักเอา หรือจินตนาการเอา

ที่ยกมาให้แยกไม่ออกหรือว่า อะไรจินตนาการ อะไรคือช้อวินัย

พระพูดมุสาได้หรือ เป็รพระกล่าวผรุสวาจา ศีลเศร้าหมอง
เป็นพระปล่อยให้ชีบุกกุฏิตอนดึกๆ ไม่เคารพวินัย

สิ่งเหล่านี้ป้าขวัญเห็นว่าเหล่าฮุจินตนาการหรือ!

อันนี้ไม่เป็นปัญหากะเหล่าฮุร๊อก แต่อาจเป็นปัญหาของป้าขวัญเองน่ะ(ขออภัย ไม่ได้ค่อนขอดนา) เพราะในคำพุทธ มีลักษณะของกัลยาณมิตร เรื่อง"คนกล่าวคำขนาบ" ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ไปค้นเน่อ อย่าเผลอแบบนายซาโต้คนดัง แต่ท่าที แสดงให้เห็นว่าตื้นเขินขนาดไหน อีบอกว่า

"สุดท้าย ก็มาบางอ้อว่า มันอยากเป็นผู้ที่มีคนนับน่าถือตา ก็เท่านั้น วินาทีนี้นะครับ ร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าๆๆๆๆ ไอ้ที่มันสอนพิศดาร แบบว่าลัดสั้นและไม่เคยปรากฎมีมาก่อนนั้น ของปลอมครับ"
//www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2098.msg35988#msg35988

สอนพิศดาร ลัดสั้น !
หลักการเหล่านั้นที่ยกมา เป็นข้อปฏิบัติแท้ๆในอรรถกถา กลับเห็นเป็นของปลอม

ทีหลวงตาด่าว่าหยาบคาย ก็ทำเป็นไม่เห็น

ไอ้แบบนี้ เสียเวลากู้ อธิบายใดๆไปก็สูญเปล่า ธรรมแท้ไม่รู้จัก รู้จักแต่องค์หลวงตา! ถึงขั้นปฏิเสธหลักธรรมแท้กันแล้ว

เหล่าฮุไม่เสียเวลาตอแย เพราะตระหนักชัดแล้วว่า ไอ้พวกนี้เสียท่าพ.ปราโมทย์มา ถูกค้าหลอก(ขออภัยเน่อ เหล่าฮุเหลี่ยมจัดไม่แพ้ปราโมทย์ ย่อมไม่เชื่อมันอยู่แล้ว เหม็นขี้ฟัน)

ก็ต๊ำไบ่แปะยิ้งแบบนี้ ทำไมจะไม่ถูกหลอก

พอมีคนมาชี้เป้าให้ ขัดใจหน่อยก็ยัดข้อหา "อยากให้คนนับถือ"บ้าง "ของเก๊"บ้าง
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขำดีน่ะ แต่เหล่าฮุไม่ชี้แจงอะไร และตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่เสียเวลา ไม่ปราถนาพบคนพาล ถ้าจะต้องอยู่โลกนี้คนเดียวโดยไม่ต้องพูกกะใครเลย ก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้อยากมีเพื่อน ไม่ได้เหงา

อีกอย่าง ไม่ได้คิดว่าท่านโลตัสเป็นคนไม่ดีนา

เพียงบอกว่า ท่านขี้โม้ อวดเป็นอรหันต์
ทำไมแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าได้ห้ามไว้ มันผิดร้ายแรง อย่าซี๊ซั้วพูกว่าเป็นอรหันต์ เพราะมีหลายข้อบกพร่องชัดๆ ข้ออวดอ้างอุตริข้อเดียว ก็ไม่ผ่านแล้ว

สมัยอีมีข่าวแพลมมาว่าเป็นอรหันต์ อายุอานามน่าจะน้อยฝ่าเหล่าฮุคตอนนี้ด้วยซ้ำ!

(หง่า แล้วป้าขวัญรู้ได้ไงอ่ะว่า เหล่าฮุยังไม่บรรลุธรรม ทำไมเชื่อแบบนั้น หรือมั่นใจแบบนั้น ไม่กลัวเผลอปรามาสพระริยะเข้าเร๊อะ! ถ้าจับท่านโลตัสมาใส่เสื้อกางเกง ก็คือตาแก่ขี้โม้ดีๆนี่เอง เหล่าฮุเองไม่อยากอวดหรอกนะว่า จริยาของเหล่าฮูหลายช้อเหนือกว่าท่าน จะว่าโม้ก็ตามใจ เพราะไม่ได้เปิดตัวสอนใคร เลยขอพูดทื่อๆแบบนี้แหละ เชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหาของเหล่าฮู แต่อาจเป็นปัญหาแก่ผู้ปรามาสน่ะ เหอๆๆๆ)

แต่ที่จิน เดี๋ยวจะว่าโม้ เหล่าฮุเพียงมีใจสงเคราะห์เพื่อนร่วมโลกเท่านั้น อะไรที่รู้ก็เอามาแชร์ให้ เท่านั้นเอง ไม่ได้อยากพบ คบหาใคร หรือทะเยอทะยานตั้งสำนักสอนใคร ตรงกันข้าม คร้านจะสมาคมกะใคร จะเชื่อหรือเปล่า เหล่าฮุไม่พูดเลยเป็นหลายๆวันประจำน่ะ เป็นปรกติธรรมดาของเหล่าฮุเอง

ป้าขวัญว่า.....

แต่อาเหล่าฮู รู้เจตนาของตัวเองรึเป่า ว่าที่ไปโพสท์เกี่ยวกับท่านโลตัสน่ะ เป็นเจตนาดีต่อตัวเอง ต่อคนอื่น ต่อท่านโลตัส จริง แล้วทำไปแล้วมีผลดีจริง ยกตัวอย่างนะ ป้าขวัญน่ะ อ่านโพสท์ของอาเหล่าฮูที่เกี่ยวกับท่านโลตัส ฟามรู้สึกไม่ดีมันเกิดขึ้นมาเยอะเลยอะ เหมือนกับว่าอาเหล่าฮูก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ แล้วอาเหล่าก็มีแต่สุตมยปัญญา จินตนาการล้ำเลิศจากการอ่านพุทธธรรม แล้วก็เอาฟามรู้ที่คิดเองเออเองจากจินตนาการไปตัดสินท่านโลตัสแบบนั้น ..................................................................



ตอนเล่นงามเณรคำก็โดนด่าแบบนี้แหละ แล้วตอนนี้เป็นงาย!

- ป้าขวัญน่ะ อ่านโพสท์ของอาเหล่าฮูที่เกี่ยวกับท่านโลตัส ฟามรู้สึกไม่ดีมันเกิดขึ้นมาเยอะเลยอะ .....


ต้องขออภัย เพราะสิ่งที่พูกออกมา ไม่มีอะไรดีงาม

มันไม่ดีงามที่ท่านโลตัสเห็นๆ
(ใครไม่รู้ว่าไม่ดีงามอย่างไรก็ไปอ่านในกระทู้เน่อ)

แต่เชื่อเลยว่า ที่ป้าขวัญรู้สึกไม่ดี ไม่ใช่รู้สักกะท่านโลตัส แต่รู้สึกไม่ดีกะเหล่าฮุ ข้อที่ว่าไปล่วงเกินพระอริยะ
ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

บอกห้าย ตอนเหล่าฮุเอารูปไอ้เณรคำชู2นิ้วไปแปะ และถูกขยายผลมาเรื่อยๆ กลายเป็นถูกเอารูปนอนกะผู้หญิงมาแปะ จุดแรกเริ่ม หากเหล่าฮุไม่กล้าทำ ป้าขวัญคิหรือเปล่าว่า คนชั่วแบบเณรคำจะหลอกผู้คนได้มากขนาดซื้อเครื่องบินเจ็ตได้ นี่ต้องถือว่าเป็นงานชิ้นโบว์แดงของเหล่าฮุ โดยตาเกิดฯอีชี้เป้าให้แท้ๆ

ตอนนั้น คนอ่านเขาก็มีความรู้สึกไม่ดีต่อเหล่าฮุ ผู้คนเข้ามาอ่าน พากันด่าทอต่อว่า พากันสงสัย จนถึงถูกขู่มาแล้ว แต่เหล่าฮุยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่กลัวภัยซี๊ซั้ว
ศิษย์พระพุทธเจ้าแท้ ต้องรักษาธรรม

ถ้าเป็นพุทธบริษัทไม่ช่วยกันสอดส่องดูแล ศาสนาจะเหลือเร๊อะ
(ไปดูหลักธรรมป้องกันความพินาศย่อยยับในอปริหานิธรรม)

กรณีท่านโลตัส ท่านพูกเรื่องจิตรวมลงเป็นหนึ่ง ฟังไม่ฮู๊เฮื่อง จิตมันกระจายเมื่อไหร่ จิตมันอยู่ในที่ต่างๆเร๊อะ ถึงว่ารวมเข้าไว้เป็นหนึ่ง

สว่างทั่วแดนโลกธาตุ แปลว่าอะไร ลางทีก็3แดนโลกธาตุ
มันจะบ้าไปใหญ่ 3แดนอะไร รู้ไปทั้ง3แดนโลกธาตุอะไร !

ให้ใครแปลให้ฟัง ไม่เห็นมันจะแปลได้ซ๊ากคน

สรุปว่า ท่านโลตัสน่ะแหละที่จินตนาการ แต่ป้าขวัญกลัยเอาคำนี้มาใช้กะเหล่าฮุ
หาว่าเหล่าฮุจินตนาการ
ฮี่ๆๆๆ

เหล่าฮุตะหาก ที่ชี้ให้เห็นว่า จิตมันไม่ได้อยู่เกะะกะ กระจัดกระจาย หรือถูกตบกระจายลงพื้น

จิต มันมีนิยามของมัน ไปดูเสียหน่อยว่า หลักพุทธพูกถึงจิตว่ากระไร

ไม่ใช่ไปฟังพระเฒ่าฟุ้งไปเรื่อย แปลไม่ออก แต่ดันดื่มด่ำซาบซึ้ง หรือหัวเราะ ขำที่โดนคนอื่นเขกกะโหลก

เนี่ย ก็เพราะเป็นกันซะอย่างนี้ จิต ในศาสนาพุทธเลยกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผิดๆถูกๆ

ที่ถูกเป็นผิดไปด้วยซ้ำ

จากกระทู้ เหล่าฮุยกหลักคิดหรือแนวทางภาวนามาให้เพื่อนๆรู้ว่า อรรถกถาจารย์แต่โบราณกาล ท่านกำหนดไว้อย่างไร ในพระสูตรว่าเรื่องเหล่านี้ไว้อย่างไร

เหล่าฮุว่า ถ้าตามที่อรรถกถาจารย์แนะนำไว้ ปามาณเน๊
-ตัดปลิโธิ
-เข้าหากัลยาณมิตร
-ไปหาที่สัปปายะ(สบาย)
-สมาทานกรรมฐาน
-สมาทานศีล
-ไปทำความรู้จักกับกรรมฐาน ความหมายของวิปัสสนา
-รู้จักอารมณ์ของวิปัสสนา
-รู้จักวิปัสสนาภูมิ ๖
-รู้จักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
-วิสุทธิ ๗
-วิปัสสนาญาณ ๙
-ญาณ ๑๖
-รู้จักตัวอุปสรรคในกระบวนการปฏิบัติ(วิปัลลาส๔ วิปัสสนูปกิเลส๑๐)
-รู้จัก หลักการทั่วไปของสติปัฏฐาน
-รู้จัก อารมณ์ของสติปัฏฐานโดยย่อ
-รู้จักวิธีการกำหนดและวางใจ
-รู้จักกระบวนวิธีปฏิบัติและเทคนิค


เนี่ย ตามเนี้ย เคยรู้มาก่อนบ๋อ?
//www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2098.msg35988#msg35988



เนี่ย ไม่ยักได้ยินใครอนุโมทนาสาธุการ มีแต่ค่อนขอด

ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ พระมหาเถระ(ที่ยิ่งใหญ่ซะกว่าพระเฒ่าผุ้นี้ )ได้สอนเอาไว้เป็นแนวทาง

หรืออย่างกรณีเรื่องวิสุทธิ เป็นกรณีที่ท่านสารีบุตรคุยกะท่านปุณณมันตนีบุตรติสสเถระ อธิบายความเรื่องวิสุทธิ ซึ่งก็เป็นที่มาของญาณปัญญา9 ต่อมาก็ขยายไปเป็นญาณ16 (แท้ๆมีแค่9)

เรื่องที่ไม่เคยรู้แบบนี้ บัณฑิตเมื่อได้ยินได้ฟังก็จะหูฝึ่ง รีบเงี่ยหูฟัง

จะมีก็แต่พวกบัวเต่าถุยเท่านั้นแหละ ที่ไม่โมทนาสาธุ แต่กลับค่อนขอดว่าร้าย

เหล่าฮุครั้นเห็นท่าทีที่แสดงออกของผู้คน ก็เห็นเป็นที่ขบขัน มิพักต้องเสียเวลาพิจารณาว่า ผุ้ใดเป็นพาล ผุ้ใดเป็นบัณฑิต แต่ไม่ว่าจะพาลชนหรือบัณฑิต ก็ล้วนไม่ปราถนาจะสมาคมมาก เว้นไว้แต่กัลยาณมิตรเท่านั้น เพราะเหล่าฮูเข้าสู่ปัจฉิมวัย-ไวเกิน คงไม่มีเวลาอยู่ทะเลาะกะใคร หรือต้องมัวคอยชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อ ช่างแมร่ง มิได้สนหรืออนาทรอะไร เพียงชำเลืองแว่บเดียว ก็ไม่ต้องวุ่นวายกะหมู่เหล่า

เหลือเวลาไม่มาก หากยึกอยากส งเคราะห์ก็ยอมเหนื่อย
หากเห็นว่าป่วยการ ก็ไม่อยากเสียเวลา

แต่ก็เชื่อแน่ว่า หลักกรรมทำงาน ไม่มีการเสียเปล่า สิ่งที่ได้แปะๆไว้ ก็จะเป็นปัจจัยแก่ผู้ได้เคยผ่านตา วันนึงเมื่อถึงพร้อมก็จะเข้าใจได้เอง และก็เกิดประโยช์ในภายหน้า เหมือนกรณีเณรคำ ที่ตอนนี้มีแต่เสียงแซ่ซร้องสาธุการ ที่เหล่าฮุไม่ได้ยินด้วยหู แต่รู้ด้วยใจ หากวันนั้นมัวแต่กลัวปรามาส หรือคิดเสียว่ามีแต่ขาดทุน วันนี้เณรคำจะต่อเวลาไม่รุ้อีกนานเท่าใด มีบางท่านPMมาโมทนากะเหล่าฮุเงียบๆ แม้ก่อนนี้เขาก็ไม่เคยระแคะระคาย เพียงรู้ว่าเหล่าฮุบอกอะไร แล้วรอมันแสดงผล ไม่ผลีผลามคิดว่า เหล่าฮุยังไม่อริยะ ยังไม่บรรลุะรรม บังอาจไม่ติเตียนพระอริยะ หรือว่า พระอริยะดุที่จริยาไม่ได้ ตอนนี้ยังมีคนโง่งมโข่งอยู่ เพราะมันไม่ช่วยแก้อะไรได้เลย คนเหล่านี้ก็คือพวกบัวเต้าแหวะ เต่าถุย ซึ่งถ้ามันมีมากไป สังคมก็จะมิคสัญญีอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้!
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 1.20.0.176 วันที่: 3 ตุลาคม 2556 เวลา:21:31:44 น.  

 
 
 
มาบอกว่า อ่านจบแล้วน้า อิอิ
เรื่องท่านโลตัสเทศน์อย่างที่อาเหล่าฮูเอามาบอกว่าหยาบๆคายๆน่ะ ก็ฟังมาแล้ว แต่ไม่ได้เพ่งโทษท่าน เพราะเราก็ฟังไว้เฉยๆ ภูมิรู้ไม่ถึง ส่วนอันไหนฟังแล้วชอบก็เอามาโยนิโสไป อันไหนไม่ชอบก็ผ่านๆไป เอาแต่เรื่องที่เราใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น ป้าขวัญน่ะ ฟังพระเทศน์ได้ทุกองค์ เพราะแต่ละท่านก็มีประสบการณ์มาเล่าที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ ส่วนในตำราในพระไตรปิฎก ก็อ่านอยู่อันไหนเข้าใจน้อมมาได้ก็ปฎิบัติไป อันไหนไม่เข้าใจก็วางไป มีให้อ่านย่อมดีกว่าไม่มี และเป้าหมายชีวิตต่างกัน ก็มองโลกต่างกัน พูดไปก็ตั้งเยอะ ถ้าอาเหล่าฮูไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ

เอิ่ม....ถ้าเผลอไปทำให้อาเหล่าฮูรู้สึกว่าป้าขวัญเพ่งโทษอาเหล่าฮู ก็ขออภัยด้วยแล้วกัน แฮ่ๆๆๆ มะได้มีเจตนาจะปรามาส อาเหล่าฮูเน้อ อิอิ

ป้าขวัญน่ะ ภูมิรู้ด้อย ภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมจากการปฏบัติก็ไม่มี คุณธรรมก็ไม่มี อิอิ ดังนั้นจึงแสดงความชอบในธรรมะแบบ เด็กๆไง อย่างที่มาแปะ อะ อ่านแล้วมีฟามสุข อ่านแล้วเกิดปิติ ก็เลยยกมาแสดงความชอบตามตัวตนของเรามาให้เพื่อนๆรู้ จะได้เข้าใจถูกว่า อินี่มันรู้แค่นี้ มากกว่านี้อ่านไปแล้วก็ งง มึน ไม่เก็ท อ่านแล้วไม่เข้าใจ อิอิ ไม่มีปัญญาไปถกเถียงกะใคร นะคร้า

ทีนี้พอเข้าใจว่านู๋บี และอาเหล่าฮู มีท่าทียังไง ก็รู้ว่าควรจะพูดอะไรแค่ไหน เพราะความเห็นมันไปคนละทาง สนทนากันไปก็ไม่เกิดมรรคผล ปฎิปทามันต่างกัน ป้าขวัญ ขออยู่แบบคนไร้ปัญญาในแบบของตัวเองนี้ดีฝ่า ฮี่ฮี่

และถึงนู๋บี
เรื่องตัวเลขที่เครื่องมันสุ่มออกนี่ ก็รู้อยู่แล้วง่ะ มันเป็นเรื่องตื้นๆ อิอิ ไม่ได้ประหลาดอัศจรรย์อะไร แค่เอามาใช้ประโยชน์ในการดูจิตเฉยๆ อิอิ บางเว็บมีเด็ดกว่านี่อีก สุ่มออกมาเป็นคำพูดก็มี ก็ได้อารมณ์เหมือนกัน ว่าแค่คำพูดเล็กๆที่มาแบบไม่รู้ตัว มันทำให้จิตเกิดอาการเตลิดไปต่างๆนาๆได้ 555

และมีข่าวร้ายจะบอกนู๋บี ง่ะ คืออิอ่อนมันหมดฟามสนใจในปัญญาของนู๋บีแล้วง่ะ ที่บอกว่าจะเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ อะ แต่ละหัวข้อที่บอกว่าจะเขียนก็คิดว่าไม่กระตือรือร้นที่จะติดตามอ่านและ พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าจะมาแนวไหน มีทิฏฐิแบบไหน อิอ่อนมันประเมินแล้วว่า อ่านไปแล้วมันก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ไม่เหมือนอาเหล่าฮู ที่เขาติดใจปัญญาของนู๋บี ก็คงจะอยากอ่านสิ่งที่นู๋บีกลั่นออกมาโพสท์ อิอิ ส่วนของอาเหล่าฮูก็เหมือนกัน เข้าใจเป้าหมายของอาเหล่าฮูแล้วว่าโพสท์เรื่องท่านโลตัส ลพ.ปราโมช และท่านอื่นๆ ไปเพื่ออะไร มันก็หมดฟามสนใจแล้ว มันก็อ่านผ่านๆ แค่รู้ว่า อืม...มีมุมมองแบบนี้ มีฟามคิดแบบนี้ มีทิฏฐิแบบนี้ มันก็เลิกสนใจแระ

อีกอย่างโดยสันดาน อิอ่อนมันชอบอ่านเรื่องของคนอื่นๆ ที่เขาเล่าประสบการณ์จากการปฎิบัติ หรือเรื่องจริงของเขามาเล่าให้ฟัง เหมือนเราดูหนังสารคดีที่เป็นเรื่องธรรมชาติของเขา ส่วนใครจะโกหก เล่าเรื่องเท็จให้เราฟัง นั่นเป็นเรื่องของเขาไม่อยากไปเพ่งโทษเขา เพราะเขาก็ต้องรับกรรมเรื่องพูดโกหกอยู่แล้ว เราก็ใช้วิจารณญานพิจารณาเอา แต่ไม่ชอบการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หรือการไปตัดสินคนอื่นๆ โดยเขามาแก้ต่างไม่ได้ ยกเว้นพวกนักการเมือง บุคคลสาธารณะที่อาสามาทำงานให้เรา นี่วิจารณ์การทำงานของเขาได้ ก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องเณรคำนั้นภาพมันเป็นความจริง โพสท์ไปก็ตามนั้นถือว่าคนเห็นได้ประโยชน์ อิอิ แต่ละเรื่องมันคนอย่างกรรมมมันก็ละเอียนดอ่อนแหละ กรณีเณรคำกับท่านโลตัส เหล่าฮูทำกรรมต่างกัน ก็รอดูผลงานแล้วกันเนอะ ว่าจะออกมาแบบไหน (บอกก่อนนะว่า มะได้ปรามาสอาเหล่าฮู จินๆเน้อ แค่แสดงความคิดในใจเฉยๆ แฮ่ๆ)

มีฟามในใจอีกนะ ยังไม่หมด อิอิ
เหมือนๆกับว่าเราตัดสินใจไปแล้วว่าคนนี้เป็นคนแบบนี้ เราก็เลิกสนใจเขาไง เหมือนที่อาเหล่าฮู กะนู๋บี ตัดสินว่า ป้าขวัญ อิอ่อน มันมีปัญญาแค่นี้ ก็ไม่สนใจมันแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดด้วย อิอิ เหมือนบัวเต่าแหวะ หลงงมงายไปหลงเชื่อแต่ของปลอมๆ ของแท้ๆ มองไม่เห็น อิอิ เห็นธาตุแท้มันแล้วก็หมดฟามสนใจ ก็แค่นั้นเอง เนอะ

ปล.แต่คุยกันมาตั้งเยอะ เสียน้ำลายไปหลายตุ่ม ก็ได้ประโยชน์เยอะอยู่นา เพราะเราพูดแต่สิ่งที่เป็นจริงในใจเราไง ก็เลยได้เห็นธาตุแท้ซึ่งกันแระกัน ถึงจะรู้ในมุมมองของตัวเองก็เถอะ ยังไงก็มีประโยชน์ ได้รู้ว่าคนอื่นเขามองเรายังไง ได้รู้ว่าเรามองคนอื่นยังไง แสดงความจริงในใจกันแบบหมดเปลือกไม่ต้องกั๊ก นี่แหละข้อดีที่เห็นได้ในมุมมองของอิอ่อนในที่นี้

สรุป รู้อะไรไม่สู้รู้งี้ อะไม่ใช่แระ ต้อง รู้อะไรไม่สู้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดชะนี อิอิ พอรู้ว่าไม่ใช่สเป๊คที่ชอบ ก็หมดฟามสนใจ ไม่กระตือรือร้น ขี้เกียจอ่าน ซะงั้น แต่ยังไงก็อยากบอกอาเหล่าฮูนะ ว่าพระไตรปิฎก อิอ่อนมันก็ชอบอ่าน แต่พระคึกฤทธินี่ ไม่ได้สนใจง่ะ ความเห็นบางอย่างของท่านไม่เข้าสเป็คอิอ่อน ชอบความเห็นของท่านเษม ณ.สามแยก ในเรื่องการศึกษาพระวินัยมากฝ่า ฟังแล้วเอ็นจอยอีทติ้งหลาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้ยืนยันว่าใครถูกใครผิดนะ แค่ชอบที่จะฟังใึครเทศน์มากฝ่า มันกระตุ้นต่อมความคิดได้สนุกดี เป็นธรรมดาที่จะเห็นต่างๆกันเนาะ

3676
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.213.149 วันที่: 4 ตุลาคม 2556 เวลา:9:53:53 น.  

 
 
 
อ้างถึง
ป้าขวัญว่า มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้น ที่ไม่กลัวอกุศล เพราะไม่ต้องรับวิบากของอกุศลนั้นๆแล้ว และไม่มีความกลัว แล้ว หรือพระอริยะเป็นต้นไป คือปิดอบายภูมิได้แล้วถึงไม่กลัวอกุศล และรู้ว่าอกุศลจึงไม่ทำ เพราะทำไม่ลง

ผมเข้าใจต่างออกไปดังนี้ครับ
มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้น ที่ไม่กลัวอกุศล .. คงใช่เพราะไม่ทำอกุศลไดๆอีกแล้ว
ไม่ต้องรับวิบากของอกุศลนั้นๆแล้ว .. พระอรหันตืยังต้องรับวิบากของอกุศลที่เคยทำไว้ก่อนนั้นอยู่
แม้พระพุทธองค์ก็ยังต้องรับวิบากจากกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตเลย

4896
 
 

โดย: วิ. IP: 171.5.250.55 วันที่: 5 ตุลาคม 2556 เวลา:23:31:00 น.  

 
 
 
ขอนิดเดียวเน่อ

ป้าขวัญอย่าถือโทษเหล่าฮุเลย เหล่าฮุพูดหลักเกณฑ์หรือท่าทีของเหล่าฮุเท่านั้น ไม่แบ่งหญิงชาย เด็ก-ผู้ใหญ่ ถ้าโอภาปราศัยด้วยเมตตาต่อกัน ก็ย่อมรักษาไมตรีเอาไว้ได้ จะผิดจะถูก จะเชื่อต่างกัน ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะมีไมตรีต่อกันเป็นพื้น

แต่หากไม่มีเมตตาต่อกัน แต่สนุกกะการเอาชนะคะคานแล้วล่ะก้อ เหล่าฮุไม่สนุกล่วย ถึงขนาดจะกะเกณฑ์หักล้างข้อด้อยแบบที่นู๋บียกมา เหล่าฮุก็เห็นว่า ไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรก มิสู้ดูอยู่อย่างสงบ หรือมองให้รอบดีฝ่า การสนทนาด้วยขาดเมตตาหรือไมตรีต่อกัน ถึงจะหักล้างกันจนได้ชัยชนะ ก็บาดหมางกันเปล่าๆ ไม่มีเจตนารมย์แบบนั้น แม้ลางทีจะเห็นว่าเหล่าฮูเกรี้ยวกราดกะบางคน นั่นเพราะเหล่าฮุไม่ใช่คนเรียบร้อยซะทีเดียว โดยเฉพาะรังเกียจคนเกเรอย่างมาก เมื่อเจอแบบนั้น ก็จะไม่ไว้ไมตรี เว้นไว้เฉพาะสุภาพชนเท่านั้น ที่จะผ่อนปรน ถ้อยทีถ้อยอาศัย เหมือนในเว็บนั่น แม้เหล่าฮุล้อเลียนคำพูดตาบัวท่านบ่อย แต่ก็อธิบายความด้วยเหตุผล จู่ๆท้าตีท้าต่อย ทั้งไม่เคยสนทนากัน ไม่รู้จะรักษาไมตรียังไงกะมัน

แม้ป้าขวัญจะเคยก้าวล่วงเหล่าฮุให้สะดุ้งหลายครั้ง เหล่าฮุก็แค่ยุติการสนทนา เพราะไม่ได้คิดจะก้าวเกินแลกเปลี่ยนการสนทนา ทั้งไม่คิดจะมีกิจกรรมอะไรที่ต้องพึ่งพาอาศัย ก็ไม่ไหว้วานอะไร หลักๆ ก็แลกความรู้ หนักนิดเบาหน่อย มันก็ธรรมดา เว้นไว้แต่ว่าล่วงเกินกันหรือล้ำเส้น อันนี้ก็คงสงวนท่าทีระวังมากขึ้นเท่านั้น เหมือนที่ขณะนี้นู๋บีส่งสัญญาณบางอย่างที่เหล่าฮุรู้สึกว่า ไม่ได้เมตตาต่อกันแล้ว อย่างนี้เหล่าฮุก็ขออภัย เพราะไม่รู้ไปล่วงเกินอะไรแรงๆเข้าตรงไหน ข้อนี้ต้องขออภัยล่วงหน้า เพราะเป็นฝ่ายเข้ามาคุยเล่นเอง

(อาจเป็นกรณีท่านบัว)
กรณีท่านบัว ไม่ได้แปลกใจใดๆที่ท่านไม่เป็นอรหันต์ ยังคงเคารพในส่วนที่ท่านครองสมณะเพศนานมาก ทำประโยชน์ไม่น้อย โทษก็มาก จะเป็นคนไม่ดีก็ไม่ใช่ เพียงชี้ที่เห็นให้เท่านั้น แต่ที่ประหลาดใจ และทึ่ง ก็คือท่าทีของผู้ที่เหล่าฮุชี้ให้ดูตะหาก ตาบัวท่านจะอริยะหรือไม่ ไม่อยู่ในความสนใจ แต่สิ่งที่ทำให้สนใจ ก็คือ ทำไมคนเหล่านั้น ทั้งที่ได้ยินกับหู แต่ไม่ฟัง เห็นกับตาว่าท่านร้องไห้ ก็แสร้งไม่เห็น ซ้ำเบี่ยงเรื่องปกป้องท่านบัว และกลับกล่าวโทษเหล่าฮู แม้จะโกรธที่ไปแตะครูเขา ก็ไม่ได้ไปหลอกด่า หรือใส่ความ ท่านบัวโกหก(กรณีกล่าวว่าเจ้าคุณประยุตต์ไปรอเพื่อขอโทษท่าน และกรณีผ้าป่าช่วยชาติซ้ำซาก ทั้งที่แต่แรกว่าจะเลิก แต่ก็มาต่อ จนท่านพลตรีทองขาวฟ้องกล่าวโทษเอา) ก็เห็นชัดอยู่ว่าโกหก ก็ตรงไปตรงมา ไม่โกหกอย่างไรก็ให้แก้ มันก็เท่านั้น ท่านร้องห่มร้องไห้ มันก็เห็นชัดอยู่ว่าท่านเสวยอารมณ์อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ร้องไห้โฮ นายดังตฤณไปเลี่ยงว่า ก็ไม่เห็นท่านจะเสียใจอะไร ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวเลย ประเด็นคือ อ้างเป็นอรหันต์ แต่ยังมีกิเลส สาระมันก็อยู่ตรงนี้เท่านั้น และเกรี้ยวกราดหยาบคายชนิดเหล่าฮุอาย แม้จะไม่เบาตอนวัยรุ่น ก็ไม่เคยด่าพ่อแม่ใครแบบท่าน หรือหยาบคายขนาดนี้ ขอจบเรื่องท่านบัว ที่ติดพันก็ชี้ให้รู้ว่า ไม่ได้ติดใจท่านบัว แต่ติดใจท่าทีของผู้รับสาร รวมทั้งสงสัยว่านู๋บีคงไม่ชอบ ซึ่งตาบัว ไม่ใช่สาระที่เหล่าฮูสนใจ เท่ากับ
"ท่าที"ของผู้ที่รับรู้ข่าวนี้สะท้อนออกมาให้เห็นตะหาก!

นี่เองอาจทำให้ป้าบีขุ่นมัวที่เอาแต่เรื่องขัดแย้งผู้อื่นมาใส่บล็อค
(เหล่าฮุไม่อยู่ในฐานะทะเลาะกะใคร ไม่สนที่จะชี้แจงหากเห็นว่ามันไม่เก็ท)
ก็ถ้าเป็นดังว่า ลบได้เลย พร้อมขออภัยหากไม่ยินดีให้พูดเรื่องแบบนี้

เหล่าฮูเพียงเห็นเป็นข่าวที่น่าแปลกใจและน่าสนใจ
เห็นตาบัวร้องไห้โฮ มีเพื่อนบางคนได้ยิน ท่านด่า"ไอ้หมา" ปาดน้ำตาร้องไห้เหมือนเด็กๆ ไม่รู้ไปโกรธใครเข้า

นี่มันคือการโกรธ อย่างนี้จะว่ากิเลสสะบั้น 3แดนโลกธาตุสว่างโร่ มันฟังดูน่าขัน มันก็เท่านั้น

นี่เพียงแค่ข่าวสารอย่างหนึ่งเท่านั้นในสายตาของเหล่าฮุ ไม่ได้ให้ความสำคัญชนิดคอขาดบาดตาย เพราะไม่เคยเชื่อใครที่อ้างตัวแบบนั้น มันผิดวินัยแต่แรก แต่ที่สนใจ เพราะมันกระพือไปมากจนสงสัยว่า ชาวพุทธไม่รู้หรือว่านี่มันข้อห้ามอวดอุตริ!

เหมือนกรณีท่านมิตสุโอะ เหล่าฮูโมทนาสาธุท่าน ซึ่งต่างกะท่านอื่นๆ ฟูมฟาย โกรธ แต่เหล่าฮุกลับเห็นต่าง และเห็นใจที่ท่านแพ้ แต่เลื่อมใสความกล้าของท่าน มันน่าอาย ยิ่งกว่าตอนโดนพวกหมออินเทิร์นผลัดกันมารุมดูอาจารย์ผ่าฮิวเมอรอยด์พร้อมๆกันสัก10-20คนเสียอีก

สำหรับป้าบี เหล่าฮุขอถนอมไมตรีไว้ ด้วยมีฟามรู้สึกดี
ทั้งป้าขวัญก็เช่นกัน
แม้ตัวเองก็ไม่พร้อมเข้ามาสนทนา
ก็ขออภัยหากไปล่วงเกินใครให้ขุ่นมัว
หากมีโอกาสก็ยังสนใจวิถีการกินมังฯของป้า ว่าพัฒนาไปยังไง
ย่าเหล่าฮูกินเจตลอดตั้งแต่เหล่าฮุเห็นท่าน ตลอดชีวิต
เหล่าฮุกะลังจะดำเนินรอยตามท่าน
แต่ดูเหมือนยากกว่าเลิกบุหรี่
ไม่ใช่เพราะติดแค่รสร่อย (ซึ่งยอมรับว่ามีนิดหน่อย) แต่เหมือนขาดอาหารเลยทีเดียว หากไม่ได้กินเนื้อ เพราะเหล่าฮุเลิกบุหรี่พร้อมกินมังฯ บุหรี่เลิกขาด แต่กินมังฯเป็นปัญหาใหญ่ ไม่เฉพาะติดรสอาหาร ซึ่งไม่ได้กินที่ชอบกินก็ยังไม่กระไร แต่เหมือนไม่ได้กินอาหารเลย ลองมาหลายครั้งแล้ว (แต่จะไม่เลิกฝึก) มันมีฟามรู้สึกเหมือนบังคัยให้สัตว์กินพืชไปกินเนื้อ หรือให้สัตว์กินเนื้อไปกินพืช ความรู้สึกเป็นอย่างนั้น
หากยังเมตตาและมีไมตรีต่อกัน ว่างๆจะขอความเห็นและคำแนะนำ ดูเหมือนป้าขวัญไปได้สวย ข้อนี้ขออนุโมทนาด้วยใจจริง ห่วงแต่เด็กน้อยเรื่องขาดสารอาหาร แต่ถ้าผ่อนปรน เอาแค่ฝึกฝน เหล่าฮูเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพื่อนคนหนึ่งของเหล่าฮูไม่กินเนื้อมานานราว40ปีแล้วมัง กินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวใจบุญสุนทานมาก ไม่รู้เค้าอยู่ได้ยังไง

ด้วยความเกรงใจทุกๆท่าน และขออภัยอีกครั้งหากไปทำให้ขุ่นมัวใดๆเข้าเน่อ
 
 

โดย: Lao fu zi IP: 115.67.36.26 วันที่: 6 ตุลาคม 2556 เวลา:2:19:23 น.  

 
 
 
ตอบ คุงวิ
คือมองคนละมุมกัน อะ
ป้าขวัญว่า มีแต่พระอรหันต์ เท่านั้น ที่ไม่กลัวอกุศล เพราะไม่ต้องรับวิบากของอกุศลนั้นๆแล้ว คือกายมันรับกรรมไป แต่ใจไม่ได้รับกรรม ง่ะ ไม่มีใจที่เป็นตัวตนมารับวิบากไปต่อภพต่อชาติอีก
หมายถึงไม่มีชาติต่อไปแล้ว ไม่ต้องเกิดอีก วิบากในชาติต่อไปไม่มี แต่ชาติสุดท้ายก็ยอมรับวิบากไปตามกรรมอย่างที่ีคุงวิบอกน่ะ ก็ถูกแล้ว และไม่กลัวอกุศลกรรมจากอดีตที่ส่งผลในชาติสุดท้ายคือไม่หนีไม่กลัวแต่เต็มใจยอมรับวิบากกรรมนั้นอีกด้วย ถามว่าท่านที่เป็นอรหันต์เหล่านั้นเลือกไม่รับวิบากกรรมทางกายที่เป็นอกุศลนั้นได้ไหม ในความเห็นป้าขวัญนะ คิดว่าท่านทำได้แต่ท่านเลือกไม่หนีกรรม ไม่เลือกให้กายสังขารท่านอยู่เหนือกรรม เพื่อสงเคราะห์คนเหล่านั้นหรือสงเคราะห์โลกว่าท่านยอมรับความจริงได้ทุกอย่างยอมเจ็บ ยอมทุกข์ทรมานทางกายไม่แสดงการอยู่เหนือกรรม

ปล.เป็นความเห็นส่วนตัวนะ ป้าขวัญอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ เพราะยังไม่รู้สัจธรรมที่เป็นจริงไง ได้แต่คิดเองเออเอง ว่าน่าจะเป็นแบบนี้ อิอิ

3361
*.*

 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.128.97 วันที่: 7 ตุลาคม 2556 เวลา:8:40:16 น.  

 
 
 
ขอบอกอาเหล่าฮูนะ ว่าเพราะป้าขวัญกินไข่ ก็เลยไม่ค่อยหิว ไข่ช่วยได้เยอะ ทำให้อยู่ท้องเหมือนกินเนื้อสัตว์แหละ ส่วนนมกินไม่ได้ทำให้อักเสบใต้ผิวหนัง ก็เลยไม่ได้กินนม ตอนเริ่มแรกก็ทำไปแค่นี้ก่อน อนาคตอาจเลิกกินไข่ก็ได้ อิอิ แล้วฝึกอดอาหารเย็นในวันขึ้น 15 ค่ำ (แต่กินน้ำผลไม้ 1ถ้วยเป็นอาหารเย็นนะ แหะ ๆ) ตอนแรกไม่คิดว่าจะทำได้ แต่ร่างกายมันยอมรับได้เฉยเลย ก็งงอยู่เหมือนกัน เทียบกับสมัยก่อนนะ เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้กินแล้วจะเป็นทุกข์มว๊ากกก ต้องกินตรงเวลา เวลาหิวจะหน้ามืดเป็นทุกข์มาก แต่ตอนนี้อาการแบบนั้นมันไม่เกิดแล้ว มันสงบ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นได้ไง อาจจะมาจากการฝึกถือศีล5 ดูจิต ดูสภาวะธรรม ดูอารมณ์ต่างๆ ของตัวเองมาเป็นเวลานานหลายปี มั้ง อ้อมีบริกรรมพุทธโธฝึกสติร่วมด้วยวันละนิดหน่อย ไม่ได้เยอะแต่ทำทุกวันให้เป็นนิสัย ตอนนี้เพิ่มการสวดมนต์เข้ามาในกิจวัตรประจำวันเพื่อเสริมการฝึกสติน่ะ

เรื่อง ตาบัว น่ะ ป้าขวัญไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าท่านจะเป็นอรหันต์หรือเปล่า ก็เลยไม่ได้เดือดร้อนว่าท่านจะเป็นหรือไม่ ท่านจะอวด หรือท่านไม่ได้อวด เราก็ไม่รู้ รู้แต่สิ่งที่ท่านแสดง ท่านเข้าใจแบบนั้นท่านก็แสดงออกแบบนั้น แบบว่าไม่ต้องเสแสร้งแสดงออกตรงปไตรงมา ท่านก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งให้เราได้อ่าน และประสบการณ์ของท่าน เป็นประโยชน์ทุกเรื่องทั้งที่เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เรายังทำไม่ได้อย่างท่านเลย ก็นับถือในประสบการณ์นั้นๆ เชื่อว่าท่านไม่โกหกไง แต่ท่านจะเข้าใจสภาวะธรรมถูกไหมอันนี้ไม่ขอตัดสิน เพราะมีปัญญาน้อยกว่าท่านแน่นอน เรื่องคำหยาบนั้นก็เป็นคำพูดของท่านที่เราคิดว่าหยาบ แต่คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เป็นตัวบอกสภาวะธรรมของท่านในความเห็นป้าขวัญนะ แต่บางคนอาจติดใจตรงนี้ก็ไม่ว่ากัน ป้าขวัญไม่ติดใจคำหยาบและการร้องไห้ของหลวงตา แต่สนใจธรรมอื่นๆที่หลวงตาแสดงมากกว่า และเราอยู่อย่างคนนอก ไม่เคยสัมผัสตัวตนของท่าน เราตัดสินท่านไม่ได้หรอก คนเราจะฟังแต่คำพูดและคำบอกเล่าของคนอื่นแล้วตัดสินเลย มันไม่ใช่อะ มันจะผิดมากกว่าถูก แต่ว่าอยู่วงนอกก็ดีกว่า สงบดี ไม่ต้องมีเรื่องราวขัดแย้งกับใคร เอาแต่เรื่องดีๆของเขามาเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเราพัฒนาขึ้น ถึงจะเรียกว่ารู้แล้วมีประโยชน์ อะไรที่ไม่ดีของเขาก็วางๆไว้ก่อน ไปยึดเขามากก็เป็นโทษกับตัวเรา จะกลายเป็นคนพุทธตีกันเอง ให้คนนอกศาสนาเขาหัวเราะเยาะเอา อิอิ เป้าหมายของคนพุทธอย่างป้าขวัญคือปฏิบัติภาวนาตามคำสอนของพระพุทธะให้ได้มรรคผลนิพพาน ให้ได้พบสัจจธรรมความจริงเพื่อพิสูจน์คำสอนของพุทธะ ให้ได้ตามจริงเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆที่เราผ่านมาเจอ คือประสบการณ์ที่เราตักตวงจากเขาได้เพื่อใช้พิจารณาประกอบไปกับการปฏิบัติ อย่างหลวงตาก็คือประสบการณ์ที่เราใช้เป็นอุทาหรณ์ได้ว่าท่านเจอแบบนี้ สอนแบบนี้ ความจริงของท่านก็มีอยู่ ถึงจะยังมีคนไม่เห็นด้วย ทำให้เกิดวิวาทะ ขัดแย้งกันได้ไม่สิ้นสุดก็ไม่เป็นไร อิอิ มันเป็นเรื่องยากที่สัจจธรรมจะคงอยู่ได้นาน ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้คนอื่นๆ เข้าใจ อย่างเรื่อง ลพ.ปราโมช ท่านจะเป็นอย่างไรเราไม่รู้ แต่ป้าขวัญมีแรงบันดาลใจเรื่องศีลและตั้งใจรักษาศีล5ให้ได้จากท่าน ดังนั้นใครจะกล่าหาท่านอย่างไรป้าขวัญก็เฉยๆ เพราะทุกวันนี้คนด่าก็ด่าไป หลวงพ่อก็ทำงานเผยแพร่ศาสนาของท่านไป เดี๋ยวนี้คนก็เต็มวัดอีกแระ เรื่องคนเต็มวัดก็ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าท่านถูกไร้มลทินนะ แต่มันเป็นตัวบอกว่ายังมีคนที่ต้องการให้ท่านเป็นที่พึ่ง ท่านก็ทำงานของท่านไป เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์สัจจธรรมเอง ทั้งหมดที่จะบอกคือทั้งหลวงตาและหลวงพ่อ ท่านก็ทำงานของท่านไป เพราะมีคนต้องการท่าน ท่านก็สงเคราะห์ไปจนกว่า่จะตายกันไปข้างหนึ่ง เท่านั้นเอง แล้วงานของเราคืออะไร คือไปตัดสินท่านเหล่านั้น หรือตัดสินตัวเอง ป้าขวัญเลือกตัดสินตัวเองนะ ปล่อยวางท่านเหล่านั้น จนกว่าเราจะเจอสัจธรรมด้วยตัวเอง แล้วถ้ามีเวลาว่างเหลือๆค่อยไปสงเคราะห์โลก อิอิ พระพุทธะท่านสอนให้สันโดษ ให้วิเวก เพื่อทำความจริงให้ปรากฏกับตัวเองก่อนไง ยึดติดแต่เรื่องของคนอื่นมีแต่ทำให้ตัวเองล่าช้า เสียเวลาเปล่าๆ ชีวิตเราก็เหลือเวลาอีกไม่กี่ปี ไหนจะสังขารไม่อำนวยเพราะโรคภัยรบกวน ควรใช้เวลาให้กับตัวเราเองเพื่อประโยชน์สุขของตัวเองดีฝ่า เวลามีน้อยใช้น้อยใช้สอยให้คุ้มค่า สงเคราะห์ตัวเองให้มาก แบบว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน นะอาเหล่าฮู อิอิ อาเหล่าฮูก็มีสุตมยปัญญามากมายแล้ว คงไม่ยากที่จะได้พบสัจธรรมในชาตินี้ เนาะ

1275
- -"
 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.128.97 วันที่: 7 ตุลาคม 2556 เวลา:9:48:13 น.  

 
 
 
ใครจะเป็นอะไรก็ตามแต่แรงปรารถนา ตามที่กิเลสของใครจะพาไปสู่จุดไหนแล้วกัน

ส่วนวงจรอันน่าขันของคุณที่เอามายกหางตนเองนะ ผมอ่านจากที่ผ่านๆมามันยังห่างไกลนัก นี้ไม่นับไปสิงร่างคนนั้นคนนี้อีก แล้วเอาวงจรอะไรนั้นมาอวด

ความซื่อสัตย์ต่อตนเองยังน้อยอยู่เลย ที่ผ่านๆมาคุณก็เอาความคิดตัวเองมาหลอกตัวเอง

สัมมปทานที่คุณว่าเทียบเคียงตัวเองอยู่เสมอ คุณก็หลอกตัวเองอีก ผมจะชี้ให้นะ ก็ไอ้ที่คุณ ถามจากคนอื่นนั้นแหละ ความยอมรับจากสากล

คุณไปเว็ปไหน เขาก็อัปเปหิลงหลุมทุกที่ แล้วก็ไม่ต้องมาหลอกตัวเองว่าเขาไม่เก็ตนะ มันน่าสมเพศ สิ่งที่คุณถามนั้นแหละที่คุณทำไม่ได้

ความยอมรับสนระดับสากล นี้ยังไม่เข้าธรรมเลยนะ ถ้าเป็นธรรมนะไม่จำกัดกาล

สิ่งที่สมควรก็เขียนให้อ่านแล้ว ส่วนคุณจะแถ ยังไงก็เรื่องของคุณเองนะ
 
 

โดย: เเค่รูป IP: 223.206.251.238 วันที่: 23 ตุลาคม 2556 เวลา:22:38:57 น.  

 
 
 
“เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การลุกขึ้นต่อต้านจึงเป็นหน้าที่”
โธมัส เจฟเฟอร์สัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ

“หนึ่งในการถูกลงโทษเพราะเราปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมือง คือการถูกปกครองโดยคนชั้นเลว”
Plato

สัจธรรมกำลังปรากฏ นึกถึงกลอนอันนี้ำ ไม่อยากจะเชื่อนะ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันเข้าเค้าเกินไปรึป่าวเนี่ย - -"

๐ คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า

พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร

ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น

จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า

คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้

เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ

เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น

ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม

คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ

แถมยังมีของ หมอดูอีทีอีกหนึ่งดอกส์
ในเดือนสิงหาคมนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ และเกิดขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงเดือนตุลาคม อาจกินเวลายาวประมาณ 6-9 เดือนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง โดยในปี 2557 สถานการณ์จึงจะเริ่มคงที่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดทั้งปี จากนั้นในปี 2558 จะกลายเป็นปีแห่งความหวังใหม่ของไทย เพราะผู้มีอำนาจในรัฐบาลปัจจุบันจะสูญหายไม่เหลือซาก

ปล.ก็ได้แต่รอดูกันต่อไป

5067
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.192.87 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:12:27 น.  

 
 
 
ระบบประชาธิปไตย มันเป็นระบบครองโลกหรือเกี่ยวถึงกันไปหมดทั้งโลก ถ้าว่าระบบนี้มันมืดมิดแล้วก็ ทั้งโลกมันจะมืดมิด แล้วมันก็กำลังมืดมิดเพราะว่าความเป็นประชาธิปไตยมันไม่ค่อยจะมี
ทางประชาธิปไตยนั่นฟ้าสางอย่างไร พูดสั้น ๆ ก็ว่า คือการทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นรากฐานของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยนี้มันดีต่อเมื่อมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ถ้าไม่มีศีลธรรมเป็นรากฐานมันก็เป็นประชาธิปไตยโกง
ประชาธิปไตยโกงนั่นมันร้ายกาจอย่างไร คือประชาชนทั้งหลายไม่มีศีลธรรม แต่ถือระบบประชาธิปไตย มันก็มีโอกาสที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเสรี แต่ละคน ๆ มีเสรีภาพที่จะใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่ แล้วจะทนไหวหรือ ในเมื่อทุกคนใช้กิเลสของตนอย่างเต็มที่
เมื่อประชาชนทุกคนมันไม่มีศีลธรรม มันโกง มันก็เลือกผู้แทนโกง
ระวังให้ดี อย่าเป็นประชาชนโกง เลือกผู้แทนโกง มันจะเป็นการทำลายเกินไป
เมื่อประชาชนเลือกผู้แทนโกง ก็ได้ผู้แทนโกง ผู้แทนโกงทั้งหลายไปประกอบกันเป็นรัฐสภา ก็เป็นรัฐสภาโกง รัฐสภาโกงไปตั้งคณะรัฐบาล ก็เป็นคณะรัฐบาลโกง เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เป็นคนโกง โกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง จนกระทั่งพระเจ้าพระสงฆ์ก็ไม่เว้น หรือจะโกงขึ้นไปถึงเทวดา เพราะว่าคนโกงมันทำบุญทำกุศลไปเกิดเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาโกง โกงกันหมดทั้งจักรวาล แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร
ประชาธิปไตยต้องมีศีลธรรมเป็นรากฐาน ไม่อย่างนั้นจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ที่พูดกันว่า ประชาธิปไตยดีกว่าระบบใดนั้น หลับตาพูด คนไทยนับถือฝรั่งเป็นอาจารย์ เมื่อฝรั่งเขาว่าอย่างไร ก็พูดตามกันไปอย่างนั้น ว่าประชาธิปไตยนี้เพื่อประชาชน ของประชาชน โดยประชาชน แต่ลืมพูดไปว่าที่นี่มีศีลธรรม
เมื่อไม่มีศีลธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว ระบบประชาธิปไตยนั่นแหละ จะเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุด

คัดมาจากหนังสือ วาทะธรรมทางการเมือง ของพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเรียบเรียงโดย ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร จัดพิมพ์โดย บ้านลานธรรม

*.*

//www.oknation.net/blog/print.php?id=180932

8792
- -"
 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.120.192.87 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:11:51 น.  

 
 
 
ถ้าคนมีศีล ธรรม จะปกครองระบบอะไร บ้านเมืองก็สงบสุขอยู่ได้

แต่ถ้ามีคนไร้ศีลธรรมมากๆบ้านเมืองก็เดือนร้อน ลุกเป็นไฟ

เพราะระบบคนเป็นผู้กำหนด แล้วคนก็ละเมิดกฏทำรายระบบเอง

ถ้าคนดีมีศีล ธรรม แม้ไม่มีระบบ คนเหล่านั้นก็คุมตัวเองได้

และยังสร้างระบบมาคุมคนที่ไม่ดีที่ยังมีเหลืออยู่ด้วย บ้านเมืองจึงสงบสุข

9754
 
 

โดย: วิ. IP: 171.5.250.124 วันที่: 6 พฤศจิกายน 2556 เวลา:21:15:28 น.  

 
 
 
เห็นด้วย กะคุง วิ ทุกประการนะคร้า

5742
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.120.191.227 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2556 เวลา:9:43:28 น.  

 
 
 
สามก๊ก ตอน สงครามลิ้น

เตียวเจียว : อาจารย์ขงเบ้ง
ขงเบ้ง : อาจารย์เตียวเจียว มีอะไรก็เชิญ

เตียวเจียว : ตัวข้า เตียวเจียว บัณฑิตโง่งม
ยินว่าเมื่อท่านยังอยู่โงลังกั๋ง เปรียบตัวเหมือนขวันต๋ง และงักเย
ท่านพูดอย่างนี้ จริงหรือเปล่า

ขงเบ้ง : จริง นั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบง่ายๆ เท่านั้น
แท้จริงแล้วยังเหนือกว่านั้น

เตียวเจียว : ยินว่า เล่าปี่ต้องไปถึงสามครั้ง
ครั้นได้ท่านมา ก็เปรียบเหมือนปลาได้น้ำ
จึงคิดการ จะครอบครองดินแดนเกงจิ๋ว
แต่ว่า มาถึงบัดนี้ เกงจิ๋ว กลับตกเป็นของโจโฉ
ไม่ทราบว่า ท่านอาจารย์ขงเบ้ง จะอธิบายยังไง

ขงเบ้ง : ในสายตาของข้า การยึดดินแดนเกงจิ๋ว ง่ายเหมือนพลิกมือ
แต่ท่านเล่าปี่ ยึดมั่นคุณธรรม ไม่คิดแย่งเมืองของแซ่เดียวกัน จึงปฏิเสธ
เล่าจ๋องเยาว์วัย หลงเชื่อคำสอพลอยอมจำนน โจโฉจึงยึดได้
ตอนนี้นายข้าอยู่ที่กังแฮ มีแผนล้ำลึก
พวกปัญญาต่ำทราม คิดไม่ถึงหรอก

เตียวเจียว : วาจากับการกระทำของท่าน มันยัดแย้งกันเอง
ท่านเปรียบตนเทียบกับนักปราชญ์
แต่ท่านขวันต๋ง ช่วยจ้าวชี่ฮ่วงกงให้เป็นใหญ่
งักเย ช่วยให้แคว้นเอี้ยนที่อ่อนแอ ตีแคว้นฉีได้ถึงเจ็ดสิบเมือง
สองท่านนี้ เป็นถึงอัจฉริยะของโลกเลยทีเดียว
แต่เล่าปี่ ก่อนที่จะได้ท่านมา ยังได้ครองบ้านครองเมือง เป็นใหญ่ไม่น้อย
แต่ครั้นภายหลัง ท่านไปเป็นกุนซือช่วยเล่าปี่
แค่โจโฉมา ก็ต้องกระเซอะกระเซิง หนีกันมา
ทิ้งซินเอี๋ย เสียห้วนเสีย ยับเยินหนีไปแฮเค้า ที่ซุกหัวนอน ก็แทบจะไม่มีเลย
เห็นไหม หลังจากเล่าปี่ช่วงใช้ท่าน ทุกอย่าง กลับเลวลง
หรือว่า ขวันต๋งและงักเย ท่านโง่อย่างนี้
ข้าเป็นคนโง่ พูดตรงๆ หวังว่าท่าน คงจะไม่โกรธข้า

ขงเบ้ง : ความคิดของครุฑ กระจอก ย่อมไม่รู้
เมื่อครั้งที่ข้ายังทำนาที่หลงตง ทุกครั้งที่ได้เห็นคนไข้หนักเกือบจะตาย
ข้าบอกให้ญาติเขา ป้อนน้ำข้าวจางๆ ให้ก่อน และกินยาขนานที่ไม่แรง
รอจนกว่าอวัยวะ ปรับตัวดีขึ้น จึงให้กินเนื้อบำรุง แล้วค่อยๆ ใช้ยาแรง โรคจึงหาย
ไม่เช่นนั้น ไม่รอร่างกายปรับตัว แต่กลับใช้ยาขนานแรงไป
หวังจะช่วยเหลือ แต่กลับก่อภัย
พระเจ้าอาเล่าปี่ พ่ายแพ้โจโฉ มาจากลิหลำ มาอาศัยกับเล่าเปียว
มีพลหนึ่งพัน ขุนพลก็มีเพียงสามคนเท่านั้น นี่ ก็เฉกเช่นเดียวกับคนป่วยใกล้ตาย
ซินเอี๋ยเล็กจ้อย เสบียงก็น้อย คูเมืองก็แคบ
กำลังทหารน้อยเช่นนั้น ทั้งอยู่เมืองเล็กจ้อยอย่างนั้น
ทหารไม่เคยฝึก เสบียงก็พอเลี้ยงได้ไม่กี่เดือน
แต่ว่า เพลิงเผาพกบ๋อง น้ำท่วมแปะโห
ทำให้ขุนพลใหญ่เช่นแฮหัวตุ้น และโจหยิน ขวัญหนีดีฝ่อ
ข้าว่า ขวันต๋งงักเย ทำศึก ก็ไม่เกินนี้
ส่วนการแตกทัพตงหยง เพราะมีชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงหลายสิบหมื่น
ท่านเล่าปี่ไม่ยอมทิ้งชาวบ้าน ดังนั้น จึงเดินทางช้า
ไม่เร่งไปยึดกังเหลง ไม่ทิ้งมวลชน นับเป็น ผู้ทรงคุณธรรม
น้อยย่อมแพ้มาก แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา
ครั้งฮั่นโกโจ ก็แพ้ฮั่นอี๋หลายครั้ง แต่สุดท้าย ได้ครองแผ่นดิน
นั่นมิใช่เพราะใช้กลยุทธของฮั่นสินรึ
เรื่องชาติบ้านเมือง เรื่องราชวงศ์ ล้วนจำเป็นต้องอาศัยผู้ปราชญ์เปรื่อง
จะมามัวอาศัย พวกที่คุยโวโอ้อวด พวกเล่นลิ้นโต้คารม
หรือพวกสรรเสริญตัวเอง เหยียดหยามผู้อื่น
พวกดีแต่นั่งโม้คุยโตว่าไม่มีใครเทียบ แต่ต่อเรื่องคับขัน กลับไร้แผนจะแก้ไข
ถ้าหากว่า ใช้พวกนี้ โลกคงเยาะเย้ย

ยีหวน : โจโฉตั้งกองทัพร้อยหมื่น ประชิดคุกคามกังแฮอยู่
เรียนถามอาจารย์ขงเบ้ง ต่อเรื่องอนาคตของตัวเอง มีแผนอย่างไร

ขงเบ้ง : กองทัพโจโฉ เป็นเพียง พวกเชลยจากทัพอ้วนเสี้ยว และเล่าเปียว
แม้มีร้อยหมื่น แต่ไม่น่ากลัว

ยีหวน : แตกทัพที่ตงหยง คุดคู้อยู่แฮเค้า แม้ที่ซุกหัว ยังแทบจะไม่มีอาศัย
ทั้งที่มานี่ก็คงจะมาขอให้ช่วย แต่กลับว่าไม่กลัว นี่มันโกหกคำโตแล้ว

ขงเบ้ง : นี่คงเป็นยีหวน ยีตงฝานแน่ ท่านหัวร่อเร็วเกินไปแล้ว
จริงอยู่ กองทัพพันของพระเจ้าอามีน้อยนิด ไม่อาจต้านทานโจรร้อยหมื่นได้
แต่กองทัพของเรา นายไพร่พร้อมใจกันต่อต้านศัตรู
แม้จะผ่านการพ่ายแพ้ แต่ก็ยังห้าวหาญ
แต่ฝ่ายกังตั๋ง กองทัพเข้มแข็ง ทั้งมีแม่น้ำขวางกั้น
แต่กลับมี คนคิดเกลี้ยกล่อมเจ้านายไปยอมแพ้ ไม่อายผู้คนทั่วหล้า
เทียบกันแล้ว ก็นับว่า พระเจ้าอา เป็นคนไม่กลัวโจโฉแท้จริง
ครั้งก่อนท่านยีหวน เป็นข้าอองลองเจ้าเมืองห้วยแค ก็เคยยุนายยอมแพ้ซุนเซ็ก
ไม่คิดว่ามาอยู่กังตั๋งแล้ว ยังยุให้นายยอมแพ้ สงสัยโรคเก่า คงจะกำเริบซะกระมัง

โปเจ๋า : นี่ ขงเบ้ง ท่านคิดจะเลียนแบบโซจิ๋น กับเตียวยี่
เที่ยวใช้ลิ้นมาเจรจายุแหย่ฝ่ายกังตั๋งอย่างนั้นหรืออย่างไร

ขงเบ้ง : ท่านโปเจ๋านึกว่า โซจิ๋น เตียวยี่ เป็นเพียงนักปาถกหรือ
ท่านไม่รู้หรือว่า สองท่านนั้นเก่งกาจมาก
โซจิ๋นเป็นเสิงเซียงหกก๊ก เตียวยี่เป็นเสิงเซียงก๊กจิ๋นสองยุค
สองท่านนั้นมีความเก่งกล้าสามารถ อุ้มชูชาติบ้านเมือง
สูงส่งกว่าไอ้พวกตาขาว ขี้ขลาด หลบเร้นหลีกภัย
พวกท่าน ยังไม่ทันได้เห็นกองทัพโจโฉ เพียงได้ข่าว ก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
เช่นนี้ ยังกล้าเหยียดหยามโซจิ๋น เตียวยี่อีกหรือ ท่านโปเจ๋า

ซีหอง : ขอถาม ท่านเห็นว่าโจโฉ เป็นคนยังไง
ขงเบ้ง : คือโจรราชสมบัติ ต้องถามทำไม

ซีหอง : ท่านพูดผิดแล้ว ราชวงศ์ฮั่นสิ้นอายุไปแล้ว
ตอนนี้ โจโฉได้ครองแผ่นดินสองในสาม ผู้คนศรัทธา
เล่าปี่ ฝืนชะตาฟ้าดิน เอาไข่ไปต่อยหิน ต้องแพ้แน่นอน

ขงเบ้ง : ซีหอง ทำไมพูดเหมือนคนไร้พ่อไร้เจ้า
คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ต้องจงรักภักดีกตัญญู
ตระกูลโจโฉเป็นอำมาตย์ กินเบี้ยหวัดหลวง
แต่ลูกหลานไม่จงรัก กลับคิดคดเป็นกบฏ คิดเป็นโจรชิงราชสมบัติ
ต่อทรราชย์ คนทั่วหล้า ควรร่วมกันปราบ ร่วมกันกำจัดมัน
แต่พวกท่าน ซึ่งเป็นอำมาตย์ กลับเป็นกระบอกเสียงให้โจรชั่ว
ทำตัวเหมือน เป็นคนไร้พ่อไร้เจ้า คนอย่างนี้ไม่คู่ควร อย่ามาพูดเลย

ลกเจ๊ก : แม้โจโฉจะอ้างโองการ บีบเจ้าเมือง แต่ก็เป็นสมุหนายก
ส่วนเล่าปี่ อ้างเป็นเชื้อสายจงซานจิ้งอ๋อง แต่ไม่มีหลักฐาน
ผู้คนก็ได้แต่รู้ว่า เล่าปี่นั้นทอเสื่อขาย จะแข่งกับโจโฉได้อย่างไร

ขงเบ้ง : ท่านนี้หรือ ที่ชื่อว่าลกเจ๊ก
ตอนเป็นเด็ก ขโมยส้ม จากงานเลี้ยงของอ้วนสุด
...นั่งลงเถอะ ใจเย็นๆ จงฟังข้าก่อน
โจโฉ เป็นเชื้อสมุหนายก อำมาตย์ราชวงศ์ฮั่น
แต่โจโฉ กลับแย่งยึดอำนาจ ข่มเหงฮ่องเต้
ไม่เพียงขบฏต่อเจ้า ยังขบฏสกุลด้วย
ไม่เพียงเป็นขุนนางกังฉิน แต่ยังเป็นกังฉินในตระกูลด้วย
ส่วน พระเจ้าอาเล่าปี่นั้นเล่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรวจพงศาวลี
จึงเรียกว่า พระเจ้าอา จะว่าไม่มีหลักฐานได้อย่างไร
ดูพระเจ้าฮั่นโกโจสิ ท่านตระกูลต่ำต้อย แต่ได้สร้างชาติ
เรื่องทอเสื่อขายจะน่าอายหรือ
ท่านคิดเหมือนเด็กอมมือ ไม่น่ามาพูดในที่นี้เลย

เหยียมจุ้น : ที่ท่านพูดมานั่น เอาสีข้างเข้าถู ไม่มีหลักการใดๆ
ทุกท่าน ไม่ต้องไปโต้เถียงด้วยหรอก
...ขอถามหน่อยว่าท่านได้เขียนคัมภีร์ เขียนเล่มใดไว้บ้าง

ขงเบ้ง : ข้าไม่ใช่หนอนตำรา นักวิชาการ ที่ท่องคัมภีร์เอามาพูด
พวกลอกตำรา จำแต่คำพูดจากคัมภีร์ จะมาสร้างบ้านสร้างเมืองไม่ได้หรอก
นับแต่โบราณ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนคัมภีร์
อิอิ๋นเสิงเซียงแห่งราชวงศ์ซาง ตอนแรก ก็เป็นเพียงทาสติดที่นาเท่านั้น
เจียงไท่กง ผู้บุกเบิกราชวงศ์จิว เป็นเพียงคนตกปลา
ส่วนปราชญ์รุ่นหลังเช่น เตียวเหลียง ตันเป๋งนั้น
เก่งกล้าสามารถมากขนาดไหน ก็ไม่เห็นว่าท่านต้องเขียนคัมภีร์อะไรเลย
น่าเสียดายที่พวกบัณฑิต อ้าปากปิดปาก อ้างแต่คัมภีร์
ทั้งวันวุ่นวายกับหมึกพู่กัน ข้าเห็นว่าพวกนี้
น่ากลัวทำได้เพียงเล่นขายของ อยู่กับกระดาษเท่านั้น

เทียตก : ฟังคำพูดของท่าน
รู้สึกว่าคุยโวโอ้อวด ไม่มี ความรู้ที่แท้จริง
บัณฑิตหยูจะเยาะเย้ยเอา

ขงเบ้ง : เมื่อท่านอ้างถึงปราชญ์หยู
คงรู้ว่า มีหยูของผู้ดี และหยูของคนถ่อย
หยูของผู้ดี จงรักภักดี ยุติธรรม เกลียดความเลว
จึงยิ่งใหญ่อยู่ในโลกได้ และยืนยงคงอยู่นิรันดร์
ส่วนหยูคนถ่อยนั้น ต่างออกไป
คือมั่วแต่หมึกพู่กัน ประดิษฐ์ประดอยเรื่องเล็ก
ตอนหนุ่มเขียนกวี ตอนแก่ก็เขียนคัมภีร์ เขียนได้ทุกอย่าง
แต่ในอกกลับว่าง ไร้ยุทธศาสตร์
จงดูหยางสงเป็นตัวอย่าง เชี่ยวชาญคัมภีร์ เขียนบทกวีมีชื่อเสียงมาก
แต่เมื่ออองมังล้มราชวงศ์ เขากลับไม่อับอาย ขายตัวรับใช้
สุดท้ายต้องพบจุดจบ โดยการกระโดดหอตาย ...นี่คือหยูของคนถ่อย
แม้จะเขียนกวีได้ดี แต่มีอะไรน่าเอาเป็นแบบอย่าง
ข้ารู้ว่า พี่เป็นปราชญ์ใหญ่ฝ่ายหยู
ข้าก็เคยอ่านตำราวิเคราะห์อี้จิงของท่านพี่
แต่ทว่า ขอให้ท่านเป็นหยูผู้ดี จงรักภักดี
อย่าเอาแบบอย่างหยางสง ใช้หยูของคนถ่อย
ต้องถูกก่นด่าไปชั่วนิจนิรันดร

แกะตัวหนังสือเก็บมาจากคุณ : TaTao //topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2009/01/A7415386/A7415386.html

4641
*.*
 
 

โดย: อิิอิ IP: 58.11.148.136 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:38:13 น.  

 
 
 
ขอบคุณที่เอามาให้อ่าน

7584
 
 

โดย: วิ. IP: 171.5.251.129 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา:22:25:48 น.  

 
 
 
“A politician thinks of the next election; a statesman, of the next generation.- นักการเมืองคำนึงถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป รัฐบุรุษคำนึงถึงประชาชนรุ่นต่อไป...”.

เครดิต ท่านขุนน้อย 28 November 2556 - 00:00

6735
- -"
 
 

โดย: อิิอิ IP: 124.122.106.158 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา:11:37:55 น.  

 
 
 
เติ้ง เสี่ยวผิง รัฐบุรุษผู้พลิกเปลี่ยนประเทศจีนจากยากจนมาเป็นมหาอำนาจของโลกในปัจจุบันนี้ ได้เปิดเผยเรื่องของตนเองต่อไปนี้ว่า

ขณะที่ตนถูกแก๊งอ้อฟโฟร์ซึ่งนำโดยภรรยาเหมานางเจียงจิงกล่าวโทษและตามล่า เป็นครั้งที่สองนั้น เขาได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกรมทหารทางใต้ของจีนซึ่งเจ้ากรมทหารนั้นเป็นเพื่อน กันให้การปกป้องเขาอยู่.

ครั้นเขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง เจ้ากรมทหารเพื่อนกันคนนั้นก็เอ่ยปากขอตำแหน่งให้ตนในฐานะมีบุญคุณ ส่วนตัว เติ้งได้กล่าวต่อเพื่อนว่า

"อันบุญคุณของท่านที่ช่วยข้าพเจัาส่วนตัวนั้น ข้าๆก็เห็นแจ้งอยู่ หากท่านตัองการอะไรจากข้าๆเป็นส่วนตัวแล้วไซร้. ข้าๆก็ยินดีตอบสนองคุณท่าน มิได้ลืม แต่ประเทศชาติหาได้เป็นหนี้บุญคุณต่อท่านไม่ ข้าๆมิอาจตอบแทนบุญคุณส่วนตัวดัวยผลประโยชน์ของชาติได้ "

อุธาหรณ์จากเรื่องดังกล่าว ถ้าเพื่อนพิจารณาจากสิ่งที่เกิดในประเทศไทยปัจจุบันนี้ คงเห็นได้ว่าความล้าหลังไร้ประสิทธิภาพและการโกงกินของนักการเมืองอย่าง โจ๋งครึ่มปัจจุบันน้ี เป็นผลจากการ

" ตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ"

มากมาย. นับจากการเอานักเลงหัวไม้มาเป็นรัฐมนตรีจนถึงการซื้อเสียงของประชากรราก หญ้า. การที่นักการเมืองขี้โกงของบทำความเจริญให้แก่หมู่บ้านแล้วชาวบ้านแห่กันลง คะแนนเสียงให้ ก็เข้าข่ายเรื่องนี้เช่นกัน....
เพื่อนๆหากเห็นด้วยกับผมในบทความนี้ กรุณาส่งต่อให้มากที่สุดเผื่อไม่แน่เราอาจทำดีเล็กๆน้อยๆตอบแทนบุญคุณประเทศชาติได้บ้าง...
อ.ทวี สุรฤทธิ์กุล

2042
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 115.87.65.131 วันที่: 4 ธันวาคม 2556 เวลา:12:14:34 น.  

 
 
 
8384
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 115.87.65.131 วันที่: 4 ธันวาคม 2556 เวลา:12:16:59 น.  

 
 
 
สยามบู๊ พักยก เหมือนแบ็ตหมด จนโลกตะลึง
-----------------------------------------------
บรรดาเพื่อนฝูงผู้จัดการกองทุนในต่างประเทศ ต่างถามมากันสนั่น ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังจะฆ่ากันตายแท้ๆ ทำไมกลายเป็นผู้ชุมนุมกอดกันร้องไห้กับตำรวจ (ที่เพิ่งใจร้ายยิงแก๊ซน้ำตาถล่มไม่ยั้ง) ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ตำรวจก็ให้ดอกไม้ผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมก็ให้ดอกไม้ตำรวจ แถมยังมี Big Cleaning day ด้วย ทำไมคนไทยแปลกประหลาดอย่างนี้ แล้วพวกเขาจะเที่ยวเมืองไทยช่วงคริสมาสนี้ได้ไหม

พี่ตอบไปว่า Thailand Only และนี่ละเสน่ห์ของคนไทย หากไม่อยากพลาดที่จะได้รู้จักมนุษย์พันธุ์มหัศจรรย์ที่น่ารักที่สุดในโลก ก็จงมาเหอะ

เขาถามต่อว่า แล้วต่อไปจะเป็นยังไง

พี่ตอบไปว่า มันเป็นฟามลับทางราชการ หากจะให้ตอบ พี่ต้องไปขออนุญาตให้สภาลงมติก่อน

เขาเชื่อด้วยแฮะ 5555+ แล้วถามอีกว่า แล้วจะจบยังไงล่ะ

พี่ตอบไปว่า ตอนจบ อาจมีร้อยตำรวจเอก ปลอมตัวมาเป็นสบู่ แบบในหนังก็ได้ ถามจังเว้ย !!

พวกเราหลายคนก็คงยังระแวง ยังสงสัย พี่ไม่มีคำตอบอื่นให้ นอกจากบอกว่า ถ้าผู้คนยังมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีอย่างสุจริต ขยายผลไปยังคนที่ไม่รู้ คนที่ยังหลง เลิกยึดดียึดชั่วที่ตัวบุคคล ให้หันมามองภาพใหญ่ ตัดคนที่เป้นปัญหาออกไปก่อน แล้วผลดีจะบังเกิด

เรื่องใหญ่ พลิกฟ้าคว่ำดิน มันไม่สามารถเห็นผลได้ในชั่วไม่กี่วัน แต่มันจะสะสมพลังต่อเนื่องถ้าใช้โมเมนตั้มให้เป็น และไม่ถอดใจ

เพื่อนคนนึง บอกว่า จะมีรัฐบาลแห่งชาติไปช่วงหนึ่งเพื่อบริหารในช่วงเปลี่ยนผ่าน แล้วแก้ไขกฏกติกาให้รองรับความต้องการของประชาน ไม่ใช่แค่รองรับผลประโยชน์ของคนๆ เดียวกับพวกพ้อง

บางคนอาจจะเถียงว่า รัฐบาลแห่งชาติเรอะ ชาติหน้าสิ ไม่เอาอีกแล้วนักการเมืองหน้าเดิมๆ รวมทั้งพวกที่เพิ่งเดินออกมาจากที่กักขัง 5 ปีด้วย

ก็ว่ากันไปตามแต่อารมณ์ ซึ่งช่วงนี้จะมีข่าวว่อนส่งมาให้พี่แบบว่า อันนี้ข่าวจริงจากพ่อของสามีป้าที่เป็นญาติข้างน้าบุญธรรมคนที่มาแต่งงานกับหลานสาวข้างน้องแม่....

คือต่างคนต่างบอกว่า ฉันน่ะวงในของแท้ ชิดทหาร หลานตำรวจ ผู้ตรวจวัง ฯลฯ กันทั้งนั้น

อ่ะ ไม่เป็นไร เชิญเข้าไปอยู่วงในกันให้หมด พี่ขออยู่วงนอกที่สบายๆ ไม่แน่นเอี้ยดในวงด้วย แบบนี้ก็หายใจคล่อง สมองโปร่ง

นอกจากนี้ ต่อไปก็จะมีข่าวปล่อยบ้าๆ บอๆ ไม่มีมงคลจากพวกที่หวังดีแต่ประสงค์ร้าย จะมีภาพตัดต่อกันให้ว่อนอีก

แต่ไม่ว่าจะยังไง สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมใช้เตือนใจชนชั้นปกครองถึงพลังบริสุทธิ์ของประชาชนได้ หากพวกเขาไม่หลอกตัวเอง และไม่ฝืนความจริง

เสียดายอย่างเดียว ที่ไม่ได้เห็นอาวุธชีวภาพปลิวว่อน เพราะถ้าไปถึงขนาดนั้น มันต้องเป็นมหัศจรรย์เมืองไทยที่โลกต้องอ้าปากค้าง

วรวรรณ ธาราภูมิ
3 ธันวาคม 2556

8749
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 115.87.65.131 วันที่: 4 ธันวาคม 2556 เวลา:12:18:58 น.  

 
 
 
คนต่างชาติเขามองการเมืองไทยวันนี้อย่างไร

วันนี้ เพื่อนชาวสิงคโปร์ที่อยู่ในธุรกิจจัดการกองทุนและประสบการณ์ลงทุนทั่วโลก ได้มาเยี่ยมเยือนพวกเรา และพูดคุยเรื่องการเมืองในไทยไว้น่าสนใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเสมอๆ และมาไทยปีละ 4-6 ครั้ง

เขาบอกว่ามองจากมุมมองของคนต่างชาติ รัฐบาลมีภาษีดีกว่า เพราะข่าวจากสำนักข่าวใหญ่ๆ ล้วนรายงานในเชิงบวกต่อรัฐบาล คือมองว่าผู้ประท้วงไม่มีเหตุผลเพียงพอในการไม่เอารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

อย่าไปโกรธเขา เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาได้รับจากสื่อ แสดงว่ารัฐบาลทำงานได้ดีในเรื่องนี้ (อย่าลืมตกรางวัลคนทำงานนี้ด้วยนะรัฐบาล) ส่วนลุงกำนันกับทีมงานยังด้อยในเรื่องสื่อต่างประเทศ

เขาเล่าต่อว่า คนต่างชาติหลายคน หลายเชื้อชาติ ที่มาเมืองไทยช่วงนี้ กลับบอกกับเขาว่า “ข่าวกับความจริงมันคนละม้วนเลย เพราะม็อบเรียบร้อย น่ารัก และไม่ใช่ม็อบดูถูกเหยียดหยามคนจนตามข่าวที่บอกว่าเป็นสงครามระหว่างชนชั้น คือเขาพบว่า ไม่ใช่ว่าคน กทม.รวยแล้วรังเกียจคนชนบทที่ยากจน ไม่ใช่ Class warfare” แถมยังถ่ายรูปกับม็อบสนุกสนาน ได้ทานฟรีด้วย ชอบใจกันใหญ่”

เพื่อนคนนี้บอกว่า ได้พบกับคนไทยหลายๆ กลุ่มในตลาดทุน ต่างคนต่างสนับสนุนลุงกำนัน และรับรัฐบาลกับสภาฯ ไม่ได้ในหลายเรื่อง

เขาบอกว่า “อย่าโจมตีบุคคลหรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เพราะปัญหาที่แท้จริงที่คนไทยอยากแก้ไขคือระบบ ให้มุ่งไปที่เรื่องคอร์รัปชั่น เรื่องการสอดบัตรแทนกัน เรื่องความไม่โปร่งใส กับผด็จการรัฐสภา แบบนั้นจะชัดเจนและเป็นที่เข้าใจได้มากกว่าในมุมมองของคนต่างประเทศ กับนักธุรกิจไทยรายใหญ่ที่รังเกียจเรื่องพวกนี้ อย่าไปเน้นเรื่องบุคคล”

จบข่าว

วรวรรณ ธาราภูมิ
12 ธันวาคม 2556

คนต่างชาติเขามองการเมืองไทยวันนี้อย่างไร (2/2)
-----------------------------------------------------

เมื่อวานได้เล่าไปครึ่งหนึ่งแล้วว่า คนต่างชาติเขามองการเมืองไทยวันนี้อย่างไร วันนี้ก็ได้รับการยืนยันจากเพื่อนฝูงร่วมวงการว่าคนต่างชาติที่เขาได้พบ ก็คิดแบบที่พี่ตู่เล่าไปเมื่อวาน เลยขอเล่าต่อแนวคิดของเพื่อนชาวอเมริกันอีกคนที่อยู่ในเมืองไทยมากว่าสิบปีแล้ว

เขาบอกว่า จุดอ่อนของบ้านเราสำหรับเรื่องการเมืองในวันนี้ คือองค์กรอิสระต่างๆ ทำตัวป็นอิสระจากความรับผิดชอบของตน อย่างเรื่องปัญหาการเลือกตั้งสกปรก ก็เป็นความรับผิดชอบของ กกต. แล้วทำไม กกต. ไม่ทำหน้าที่ให้ดี

อย่างเรื่องปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นข้าราชการและนักการเมือง ก็เป็นความรับผิดชอบของ ปปช. แล้วทำไม ปปช. ไม่ทำหน้าที่ให้กระฉับกระเฉง ทำไมลากยาว ล่าช้า โดยเฉพาะเรื่องข้าว

นอกจากนี้เขายังย้ำว่า ปัญหาของบ้านเราไม่ใช่เรื่องคุณทักษิณหรอก แต่เป็นเรื่องขององค์กรที่ให้ความยุติธรรม ตั้งแต่ต้นน้ำ (ตำรวจ) กลางน้ำ (อัยการ) ไปจนถึงปลายน้ำ (ผู้พิพากษา) ที่รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมแล้วรู้สึกว่าทำหน้าที่ได้ขัดตาคนต่างประเทศอย่างเขามาก หากองค์กรเหล่านี้เข้มแข็งทำหน้าที่จริงจัง ต่อให้มีนักการเมืองพรรคไหน หรือข้าราชการที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หากทำผิด คิดมิชอบ ก็จะถูกลงโทษโดยเร็ว ไม่ล่าช้า ดังนั้น คุณทักษิณจึงไม่ใช่ปัญหา

ฟังมาถึงตรงนี้ก็นึกไปถึง เสธ.แดง ที่เคยพูดกันบ่อยๆ ว่า ตำรวจบ้านเราดีแต่ “จับแพะ ซ็อตไข่ ไล่จับน้องแอนซีดีโป๊” และศาลก็พิจารณาตามสำนวน ตามคำฟ้อง ทุกอย่างเลยขึ้นกับ “คนชงเรื่อง” จากต้นน้ำและกลางน้ำ ส่วนปลายน้ำอย่างผู้พิพากษาก็ไม่ได้ทำอย่างเปาบุ้นจิ้นที่มีหวังเฉา หม่าฮั่น ไปสืบเสาะข้อมูลจริงมา

ยังจำได้ว่าตอบ เสธ.แดง ไปว่า เปาบุ้นจิ้น มีหวังเฉา หม่าฮั่น ก็เหมือนที่ผู้จัดการกองทุนทำ Company Visit และเยี่ยมเยียน Supplier ของกิจการนั้นๆ สืบเสาะจากลูกค้าของเขา เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ฯลฯ คือเราจะยึดแต่ข้อมูลจากงบการเงินและการวิเคราะห์ของโบรกเกอร์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องไปสืบเสาะเอง ไปดูเอง ให้รู้ของจริง

เพื่อนชาวอเมริกันคนนี้ให้แนวคิดว่า เรื่องปัญหาการเมืองเราในวันนี้น่ะ เขาเข้าใจหมดเลย เพราะเขาอยู่เมืองไทยมาเป็นสิบปี แต่เขาแนะนำว่า ....

“แทนที่จะไปพุ่งประเด็นที่การโจมตีนายกฯ และวงศ์วาร ควรจะพุ่งเป้าไปที่ 6 ข้อที่ลุงกำนันนำเสนอ เพราะทั้ง 6 ข้อนี้ ไม่น่าจะมีคนดีๆ ที่ไหนปฏิเสธได้ รวมทั้งพรรคการเมืองทุกพรรค”

6 ข้อที่ว่า
----------

1.ทำการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม

2.แก้กฎหมายคดีคอร์รัปชั่นให้ไม่มีอายุความ

3.ทำให้ประชาชนถอดถอนนักการเมืองอย่างเห็นผลได้จริง และให้เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง

4. ปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ ให้อยู่ใต้ผู้ว่าราชการจังหวัด

5. ออกกฎหมายให้ข้าราชการอยู่ในระบบคุณธรรม ไม่ใช่เล่นพรรคเล่นพวก แก้ปัญหาเรื่องการวิ่งเต้นขอตำแหน่ง (ข้อนี้เพื่อนอเมริกันเขาขอเพิ่มว่ามีกฏหมายอะไรที่คุ้มครองผู้ว่า ธปท. ไว้ได้ ก็น่าจะมีอย่างนั้นให้ข้าราชการคนอื่นๆ ด้วย ไม่งั้นโดนย้ายเพราะไม่สนองนโยบาย และทำให้ระบบข้าราชการอ่อนแอ พิกลพิการ ต้องวิ่งเต้นจ่ายเงินเพื่อขอตำแหน่ง ทำให้เกิดคอร์รัปชั่นได้ง่ายขึ้น คนดีๆ ที่ขวางทางคอร์รัปชั่นก็โดนกลั่นแกล้ง)

6.แก้ไขปัญหาความตกต่ำของการศึกษา การปรับปรุงระบบคมนาคมขนส่ง ให้เป็นวาระแห่งชาติที่ผูกพันรัฐบาลทุกรัฐบาล และเลิกประชานิยม (เรื่องประชานิยมนี้ เพื่อนอเมริกันบอกว่าต้อง Handle with care หากแสดงออกแรง ผลลบตามมาทันทีเพราะจะเป็นเป้าให้ปลุกเร้ารากหญ้าให้มาถล่มคนขอให้เลิกประชานิยมได้ แต่จะปล่อยไปอย่างนี้ประเทศไทยก็จะเดินตามรอยกรีซในเวลาอันรวดเร็วกว่า)

ก็หวังว่าผู้ที่อยู่วงในของการปฏิรูป จะได้อ่านกัน และเอาไปแอพพลายให้เหมาะสม อาจจะได้ข้อสรุปร่มกันในทุกภาคส่วน ที่เป็นไปได้ ไม่ฆ่ากันตายไปเสียก่อน หากเริ่มตัดชื่อบุคคลและคำว่าระบอบทักษิณออกไปซะ เหลือแต่ 6 ข้อที่ใครๆ ก็น่าจะอยากได้ อาจจะยกเว้นตำรวจ 55555+

กลับไปที่เพื่อนชาวสิงคโปร์ที่เล่าให้ฟังเมื่อวานกัน สายตาเขาเวลาเล่า มองมาที่เราด้วยแววตาเห็นใจ สงสาร และเสียดายในโอกาสที่เรามี

เขาบอกว่า แม้สิงคโปร์จะเป็นบ้านเกิด แต่เขาคาดหวังมาก ว่าเมืองไทยจะเป็นเรือนตายของเขา

เขาเล่าว่า เคยไปพักร้อนที่หัวหินเมื่อเกือบสองปีก่อน โดยพักอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง เดินออกมาหน้าคอนโดก็มีแผงขายผัดไทยจานละ 20 บาท (ป่านนี้คง 30 บาทเป็นอย่างต่ำ) เข้าไปในเมืองก็มีตลาดขายอาหารการกินอร่อยๆ ในราคาถูก ผู้คนสงบ เมตตาอารี เป็นมิตร มีโรงพยาบาล เดินทางไม่ลำบาก มีความสะดวกทุกอย่างตามฟื้นฐานของการดำรงชีวิต และมี “เวลา” ที่ไม่ต้องกังวลกับการหาสัญญาณคลื่นอินเตอร์เนตหากไม่ต้องการทำลายเวลาอันสงบสุข

ที่สำคัญที่สุดคือ มี “Life”

เขาถามว่าทำไมคนไทยวิ่งหนี “Life” ดีๆ ไปสู่อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่มีสี ไม่มี่กลิ่น ไม่มีรส มีแต่ฝุ่นควันและความสกปรกโสโครกของสิ่งที่เรียกกันว่าความเจริญตามโลกตะวันตก ทั้งๆ ที่คนใน Developed Market ที่เรากำลังวิ่งตามอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ต่างกำลังกระเสือกกระสนที่จะแสวงหา “Life” ดีๆ อย่างที่คนไทยมี

เขาจบท้ายด้วยประโยคที่ว่า ...

“คิดดูนะ สิงคโปร์ไม่มีอะไรเลย เพื่อนบ้านอื่นๆ ถึงจะมีอะไรดี ก็ดีไม่เท่าที่คนไทยเคยมี ถ้าคนไทยจบปัญหาที่กัดกร่อนบ้านเมืองและจิตใจผู้คนที่เกิดมากว่า 10 ปีนี้ลงไปได้ เมืองไทยจะเจริญรุ่งเรืองที่สุดในภูมิภาคเอเชียเลยทีเดียว เขาย้ำว่าทวีปเอเชียเลยนะ ไม่ใช่แค่อาเซี่ยน”

นั่นสินะ ทำไม

วรวรรณ ธาราภูมิ
13 ธันวาคม 2556

2580
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.121.246.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2556 เวลา:10:52:37 น.  

 
 
 
'ประมนต์'จี้เด็ดขาด ขจัดทุจริตคอร์รัปชัน
ภาคีต้านคอร์รัปชัน ชี้การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ต้องตรากฎหมาย การทุจริตเป็นอาชญากรรมแห่งชาติต้องมีโทษรุนแรง การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันนับเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกหน่วยในสังคมให้ความสนใจ โดยเฉพาะองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และเอกชน เครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงต่อแนวคิดปฏิรูปประเทศไทยนับจากนี้ กรุงเทพธุรกิจทีวี สัมภาษณ์พิเศษ "นายประมนต์ สุธีวงศ์" ประธานองค์กรภาคีต่อต้านคอร์รัปชัน ถึงแนวคิดการแก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชันเพื่อมุ่งหน้าสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

นายประมนต์ กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องทำในหลายมิติ ทั้งมิติด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่จุดร่วมที่คาดว่า ต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังร่วมกัน คือ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะใน 3 ส่วนพูดถึงนั้นมีเรื่องทุจริตคอร์รัปชันรวมอยู่ด้วย เช่น ถ้าเป็นเรื่องของการเมือง ก็จะมีเรื่องของการซื้อสิทธิขายเสียงก็มีรากฐานมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน ส่วนของเศรษฐกิจจะแย่หรือไม่แย่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า การทุจริตระหว่างหน่วยงานรัฐ และเอกชนจะมีมากน้อยแค่ไหน ส่วนในด้านสังคม การทุจริตคอร์รัปชัน จะไปบั่นทอนบริการสาธารณะที่ประชาชนควรจะได้ ก็จะสะเทือนไปทั้งหมด บริการสาธารณะ สาธารณูปโภคก็แย่ลง กระทบกันไปทุกภาคส่วน

"เราเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ออกมาต่อต้านทันที เมื่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ออกมา จากนั้นก็มีหน่วยงานอื่นออกมาคัดค้าน ผมมองว่า มันเป็นบรรยากาศการที่ดี เพราะอย่างน้อยทำให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ทราบว่า จะแสดงออกอย่างไร ก็มีการเคลื่อนตัวออกมา เป็นคลื่นของประชาชนออกมาคัดค้านการทุจริต และบางส่วนก็ไม่พอใจในระบบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบันของรัฐบาล ต้องเรียกว่าเป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นมา ผมเรียกว่า ไทยสู้ แต่ก็ต้องระวัง เพราะถ้ามากไปก็อาจมีการบาดเจ็บ เราต้องสู้แบบมีกลยุทธ์"

คอร์รัปชันหนัก-นักธุรกิจทนไม่ไหว

ประมนต์ กล่าวว่า นักธุรกิจที่ออกมามาก เพราะเห็นว่าครั้งนี้ทุจริตหนักขึ้น คอร์รัปชันกันมากขึ้น ต่างชาติก็มองประเทศไทยไม่ดี ภาพพจน์ประเทศตกต่ำมาก ไม่มีใครกล้ามาลงทุน ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้การร่วมกันแก้ปัญหาคอร์รัปชันมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น

"ผมเชื่อว่า ที่นักธุรกิจออกมา เพราะเขามีความไม่พอใจในเรื่องของการทุจริต ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก โดยเฉพาะความไม่พอใจในการใช้อำนาจ ของรัฐบาลในบางเรื่อง ยกตัวอย่าง เช่น ช่วงที่มีการผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยใช้เสียงข้างมากแล้วก็ออกมาตอนตี 4 เขาไม่ชอบกระบวนการอันนี้ ก็เลยผสมผสานกัน เลยเกิดการตื่นตัวครั้งใหญ่ ดึงให้คนออกมา คนที่ไม่เคยประท้วงก็ออกมา"

ขณะที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ จัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชันในปี 2556 พบว่า ไทยได้อันดับ 102 ซึ่งนับว่าไทยสอบตกแบบที่เรียกว่า แย่มากๆ ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีประวัติในเรื่องของการโปร่งใสน้อยมาก ยกตัวอย่าง การเปิดเผยเรื่องทุจริตโครงการจำนำข้าว โครงการรถดับเพลิง พอโครงการเหล่านี้ถูกเปิดเผยออกมา ก็สะท้อนคะแนนให้เห็นทันทีว่าไทยไม่โปร่งใส

"ในฮ่องกง สิงคโปร์ อันดับความโปร่งใสเขาดีมาก ถ้าในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ประเทศไทยถือว่าอยู่ในกลุ่มบ๊วยที่สุดแล้ว หมายความว่า เรามีการทุจริต คอร์รัปชัน มากกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งถ้าเปิดเออีซี จะกระทบกับการแข่งขัน เพราะหากต้นทุนเราสูงขึ้นจากการทุจริตคอร์รัปชัน แค่สัก 10 20 หรือ 30% เท่ากับว่าเงินถูกดึงออกไปเป็นแสนล้าน ต่างชาติก็ไม่อยากเข้ามาลงทุน"

ปฏิรูป3ภาคส่วนให้เป็นรูปธรรม

เขากล่าวด้วยว่า ต้องการสร้างความตื่นตัว อยากเห็นการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม การกำจัดทุจริตคอร์รัปชัน จะแบ่งเป็น 3 ส่วน อย่างแรกต้องปฏิรูปเรื่องของการปราบปราม เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ เพราะคนจะได้มีความหวาดกลัวในการกระทำความผิด ประการที่ 2 คือเรื่องการป้องกัน เมื่อปราบปรามแล้วก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก และสุดท้าย คือ การปลูกฝังทัศนคติให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ว่าทุจริตคอร์รัปชันเป็นสิ่งไม่ดี

"ปัจจุบันกฎหมายที่มีอยู่ในหลายจุดต้องเปลี่ยนแปลง บางส่วนก็ล้าสมัย ไม่ทันกาล กระบวนการยุติธรรมล่าช้า ใช้เวลา 20-30 ปี คนที่ถูกกล่าวหาอาจตายไปแล้วด้วย คนทุจริตโอกาสติดคุกน้อยมาก แถมบางทีติดคุกแล้วยังสามารถหนีออกไปต่างประเทศได้อีก สิ่งที่อยากเห็น คือ ต้องดูว่ากฎหมายไหนต้องแก้ กระบวนการยุติธรรมจะให้มันเร็วขึ้นได้ไหม มีคนเสนอว่า การทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ควรมีอายุความ นี่เป็นข้อเสนอ เพราะถือว่าเมื่อไหร่ก็นำมาตัดสินใจได้ จะหลบหนีไปกี่ปีกี่ชาติ ถ้ากลับมาคุณก็โดนทันที"

ในต่างประเทศ จะมีศาลพิเศษ หรือศาลคอร์รัปชัน คดีคอร์รัปชันต้องมาขึ้นศาลนี้ การตัดสินคดีความจะรวดเร็วเพราะไม่ต้องไปรอเข้าคิว เป็นตัวอย่างให้คนทำผิดตระหนักว่า ถ้าถูกจับได้การดำเนินคดีการตัดสินจะเร็ว

"ในส่วนของกฎหมาย เราอยากเสนอให้ตราไว้ว่า การทุจริตเป็นอาชญากรรมแห่งชาติ เป็นการทุจริตที่ต้องมีโทษรุนแรง ต้องไม่มีรอลงอาญา ติดคุกรวดเร็ว ส่วนการปราบปราม กระบวนการที่ต้องใช้กฎหมายต้องมีหน่วยงานมาดูเรื่องนี้ ปัจจุบันมีแต่ ป.ป.ช. แต่ผมต้องตำหนิว่า ทำงานล่าช้า ทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุก องค์กรกรเหล่านี้ต้องให้เขาสามารถเข้าไปล้วงลูกเพื่อดำเนินคดีได้ ผมเคยได้ยิน มีกรรมการ ป.ป.ช. บอกว่า การตรวจจำนำข้าว ขอเอกสาร ธ.ก.ส. ไป 3-4 เดือนยังไม่ได้ ผมคิดว่า แบบนี้ไม่ได้ องค์กรต้องมีอำนาจเรียกเอกสาร ถ้าไม่ส่งมาให้ถือว่ามีความผิด ขณะที่ คณะกรรมการป.ป.ช. ก็มักถูกฟ้องบ่อย เป็นการฟ้องกลับ เราต้องทำให้เขาได้รับการคุ้มครอง"

ดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

สำหรับแนวทางป้องกันนั้น นายประมนต์ กล่าวว่า อยากให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม มีผู้แทนจากประชาชนเข้ามา มีความรู้ ความสามารถในเรื่องนั้นๆ มาตรวจสอบในกระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง ในส่วนของ ป.ป.ช. ก็อาจต้องใช้กำลังเสริมเข้ามาช่วยอาจเป็นหน่วยงานกลาง เพราะป.ป.ช. เองก็มีข้อจำกัดในหลายด้าน

"กระบวนการป้องกันนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ นับเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งรัฐมีพ.ร.บ.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ ไม่เป็นไปตาม เจตนารมณ์ งานสำคัญของภาครัฐต้องมีข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ กระบวนการเปิดเผยข้อมูลและให้ประชาชนมีส่วนร่วมจะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้"

อย่างไรก็ตาม นายประมนต์ กล่าวว่า ในมุมมองส่วนตัว ต้องการเห็นการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง

"บางคนบอกว่า วันที่ 2 ก.พ.ก็จำเป็นต้องเลือกตั้ง บางท่านบอกว่าเลื่อนได้ ผมเองอยากให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่ถ้าทำไม่ได้ทั้งหมด ก็อยากเห็นการลงสัตยาบรรณของพรรคการเมืองต่างๆ เช่นถ้าได้รับเลือกตั้งแล้ว จะทำอย่างไร ทำสัญญาประชาคมให้ทุกคนได้รับรู้ ถ้าคุณเบี้ยวมีสิทธิโดนประชาชนออกมาคัดค้าน ที่สำคัญต้องปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่ ทำเป็นโครงการประชาสัมพันธ์ ออกสื่อให้คนรู้ว่า การทุจริตคอร์รัปชันไม่ดีต้องประณาม"

2819
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.121.246.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2556 เวลา:11:04:25 น.  

 
 
 
//www.khaosod.c...EEzTURFMU5BPT0=

ประชาธิปไตย ไม่ยากถ้าอยากได้ (36)

คอลัมน์ พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

ขอย้ำว่า เสียงข้างมากตัดสินความจริงไม่ได้ อันนี้เป็นหลักธรรมดา เราตัดสินใจ ไม่ใช่ตัดสินความจริง

ถ้า เอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริง ก็เป็นไปไม่ได้ หากย้อนหลังไปประมาณสัก 200 ปี ตอนนั้นถ้าไปถามคนทั้งหลายว่าโลกมีรูปร่างอย่างไร เขาจะบอกว่าโลกแบน คนตั้งล้าน หรือ 50-100-1,000 ล้าน บอกว่าโลกแบน แต่คนที่รู้และบอกความจริงได้ อาจมีคนเดียว และคนเดียวนั่นแหละถูกต้อง

เพราะ ฉะนั้น เราไม่สามารถเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความจริงได้ ถ้าอย่างนั้นเราเอาเสียงข้างมากมาตัดสินอะไร เราเอาเสียงข้างมากมาตัดสินความต้องการ คือบอกว่าจะเอาอย่างไร ในแง่นี้เราบอกได้ว่า ประชาชนมีความต้องการอะไร จะเอาอย่างไร แล้วก็มีมติเป็นที่ตกลงกันว่า จะเอาอย่างนี้

วางเป็นหลักไว้เลยว่า : เสียงข้างมากตัดสินความต้องการได้ แต่ตัดสินความจริงไม่ได้

ประชาชนจะตัดสินใจถูกดี ประชาชนต้องมีการศึกษา

อย่าง ไรก็ตาม ความต้องการนั้น จะถูกต้องได้ผลดีหรือไม่ ในที่สุดก็ต้องมาบรรจบกับความจริงตรงที่ว่า จะต้องเป็นความต้องการที่เกิดจากเจตนาที่ดีและมีความรู้ความเข้าใจว่าอะไร ดี-จริง-ถูกต้อง-เป็นประโยชน์ที่แท้

มีกรณีไม่น้อย ที่คนตัดสินใจไม่เอาความจริง และมีกรณีมากมายที่คนตัดสินใจเลือกไม่ได้สิ่งที่ถูกต้องเป็นจริง

ดัง นั้น เราจะต้องมีกระบวนการที่จะทำให้คนตัดสินใจเลือกให้ตรงและให้ได้สิ่งที่ถูก ต้องเป็นจริง ถ้าอยากจะมีประชาธิปไตย ก็ต้องถือภารกิจนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่จะต้องทำให้สำเร็จ

รวมความปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจะให้ความต้องการที่ว่าจะเอาอย่างไรนั้น ไปบรรจบกับความมุ่งหมายที่ดี โดยมีสติปัญญาที่รู้เข้าใจว่าอะไรเป็นความจริงความถูกต้องคือ ต้องให้ความต้องการนั้น ไปตรงกับความเป็นประโยชน์ที่แท้จริง มิฉะนั้นความต้องการนั้นก็ผิด

เมื่อคนตัดสินใจด้วยความต้องการที่ผิด การตัดสินใจนั้นก็จะผิด จะเลือกผิด เอาผิด และก่อให้เกิดผลร้าย เพราะฉะนั้น จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องทำให้คนมีความรู้ มีสติปัญญา เราจึงต้องเน้นกันว่าคนจะต้องมีวิจารณญาณ (หรือจะใช้คำศัพท์ให้ลึกลงไปกว่านั้น ก็คือ ต้องมีโยนิโสมนสิการ)...

ดัง นั้น คนจะต้องมีการศึกษา เพื่อให้เกิดสติปัญญา ที่จะมาประสานความต้องการให้ตรงกับความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม และประ โยชน์สุขที่แท้ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเอาสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ตัดสินใจเอาสิ่งที่ตนชอบใจ

กับทั้งเพื่อให้ประชาชนมีความรู้เท่าทัน ที่จะไม่เอาอำนาจตัดสินใจของตนไปยกให้แก่พ่อมดสังคม

ด้วยเหตุนี้ การใช้เสียงข้างมากตัดสิน จึงต้องให้เป็นเสียงแห่งสติปัญญา ที่แสดงถึงความต้องการอันฉลาด เป็นประโยชน์แท้จริง

สรุปว่า การศึกษาจำเป็นต่อประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประชาชนให้ทำหน้าที่หรือใช้อำนาจตัดสินใจอย่างได้ผลดีใน 2 ประการ คือ

1.ให้ เสียงข้างมากที่จะใช้วินิจฉัย เกิดจากการตัดสินใจของคนที่เป็นบัณฑิต คือคนดีมีปัญญา ที่เข้าถึงความจริง และอยู่กับความดีงามถูกต้อง

2.ให้การตัดสินใจของคน เกิดจากความต้อง การที่มาประสานกับปัญญาที่รู้ และให้เลือกเอาสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์แท้จริง

ถึงตรงนี้ ก็มองเห็นแล้วถึงเหตุผลที่ประชา ธิปไตยต้องเอาการศึกษามาพัฒนาคน

วาง ได้อีกหลักหนึ่งว่า : เสียงข้างมากตัดสินความจริงไม่ได้ แต่เสียงข้างมากนั้น เราใช้ตัดสินใจเลือกเอาความต้องการที่ถูกต้องตามความจริง

หนึ่งบัณฑิต ดีกว่าพันพาล

แต่ประชาธิปไตยต้องการให้ทั้งพันเป็นบัณฑิต

หน้า 31

ตรรกะสาด - Freak Logic

9298
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.121.246.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2556 เวลา:11:08:46 น.  

 
 
 
ได้อ่าน "พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของในหลวง" เห็นว่ามีประโยชน์มากเลยอยากให้เพื่อนทุกคนได้อ่านด้วยครับ ^^
ผู้เขียน: ประวิทย์
1. ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
พระบรมราโชวาทในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี 11 ธันวาคม 2512

2. วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและของประชาชนทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเนื่องมาจากความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและอื่นๆของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้นโดยเฉพะเรื่องการเป็นอยู่โดยประหยัด เพื่อที่จะอยู่ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปโดยสวัสดี
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย
โอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2522

3. ข้าราชการทุกฝ่ายมีหน้าที่เหมือนกัน ที่จะต้องตั้งใจขวนขวายปฏิบัติงานด้วยความฉลาดรอบคอบ ให้สำเร็จลุล่วงตรงตามเป้าหมายโดยไม่ชักช้า และที่จะต้องร่วมกับชาวไทยทุกคนในอันที่จะอุ้มชูรักษาความดีในชาติให้ยืนยง มั่นคงอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทย. ยิ่งเป็นผู้ใหญ่มีตำแหน่งสำคัญ ยิ่งจะต้องปฏิบัติให้ดี ให้หนักแน่น ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลงานที่สำเร็จขึ้นจากความร่วมมือและจากความบริสุทธิ์ใจ จักได้แผ่ไพศาลสูงขึ้น ผลงานที่สำเร็จขึ้นจากความร่วมมือและจากความบริสุทธิ์ใจ จักได้แผ่ไพศาลไปตลอดทั่วทุกหนแห่ง ยังความสุขความเจริญที่แท้จริงให้บังเกิดขึ้นได้ตามที่ปรารภปรารถนา
พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน
วันที่ 30 มีนาคม พุทธศักราช 2524

4. คุณธรรมข้อหนึ่งที่ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทยก็คือ การให้ การให้นี้ไม่ว่าจะให้สิ่งใด แก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม เป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญระหว่างบุคคลกับบุคคลและให้สังคมมี ความมั่นคงเป็นปึกแผ่นด้วยสามัคคีธรรม
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2545

5. การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเองและครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้ จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้นยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2502

6. ชาติบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวง ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตร่างกาย ชีวิตร่างกายดำรงอยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อยทำงานเป็นปรกติพร้อมกันอย่างไร ชาติบ้านเมืองก็ดำรงอยู่ได้ เพราะสถาบันต่างๆตั้งมั่นและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยพร้อมมูลอย่างนั้น
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และ อาสาสมัครพลเรือนในพิธีตรวจพลสวนสนาม
เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก 8 มิ.ย.2514

7. ความสามัคคีและความถือตัวว่าเป็นไทยนี้ เป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด เพราะเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารวมกันอยู่ได้ ให้เราดำรงชาติประเทศและเอกราชสืบมาได้ ทุกคนควรจะได้พยายามรักษาความเป็นไทยและความสามัคคีนี้ไว้ให้มั่นคงในที่ทุก แห่ง อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำลายได้
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในงานชุมนุมประจำปี ของสมาคมนักเรียนไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน 1 ก.ย.2526

8. วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและประชาชนโดยทั่วไป มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเนื่องจากความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่น ๆ ของโลก ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่ โดยประหยัดเพื่อที่จะอยู่ให้รอดและก้าวหน้าต่อไปได้โดยสวัสดี
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2521

9. ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากประพฤติชอบและการหาเลี้ยงชีพชอบ เป็นหลักสำคัญ ผู้ที่จะสามารถประพฤติชอบและหาเลี้ยงชีพชอบได้ด้วยนั้น ย่อมจะมีทั้งวิชาความรู้ ทั้งหลักธรรมทางศาสนา เพราะสิ่งแรกเป็นปัจจัยสำหรับใช้กระทำการทำงาน สิ่งหลังเป็นปัจจัยสำหรับส่งเสริมความประพฤติ และการปฏิบัติงานให้ชอบ คือให้ถูกต้องและเป็นธรรม
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แก่ครูโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม 4 จังหวัดภาคใต้ จ. ปัตตานี 24 ส.ค. 19

10. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มซะด้วยซ้ำไป
พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จากวารสารชัยพัฒนา ประจำเดือนสิงหาคม 2542

ขอบคุณที่มาจาก : //board.sipa.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=72&Itemid=471

เพิ่มเติม
พระราชดำรัสของในหลวง เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ ประจำปี 2556
วันนี้ วันที่ 5 ธันวาคม 2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จออกท้องพระโรง ศาลาราชประชาสมาคม วังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบรอบ 86 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการ ทหารและประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความว่า

ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พร รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอแสดงสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราเป็นสุขสืบมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผนในชาติ และต่างบำเพ็ญกรณียกิจตามหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกัน เพื่อประโยชน์ของชาติ คนไทยทุกคนจึงควรตระหนักในข้อนี้ให้มาก และตั้งใจประพฤติตัวปฏิบัติงานให้สมฐานะและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมคือความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

_/\\_
3790
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.121.246.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2556 เวลา:11:14:46 น.  

 
 
 
2312
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.121.246.42 วันที่: 18 ธันวาคม 2556 เวลา:11:20:13 น.  

 
 
 
บัวเหล่าที่5 ดังแร้ววุ้ย!!! อิอิ
อ.จักร ณ.ราชดำเนิน พูดถึงคำว่า บัวเหล่าที่5 บัวเหล่าเต่าถุย ด้วย

ไม่ว่า อ.จักรจะหมายถึงใครก็ตาม แต่คำนี้ได้มีโอกาสเอ่ยขึ้นบนเวที ราชดำเนินวันนี้ ก็ต้องถือว่า เจ้าตำรับบัวเหล่าที่ 5 อย่างนู๋บี น่าจะมียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ไม่น้อย เพราะได้ไปอยู่กลางใจ อ.จักร ณ.ราชดำเนิน ด้วย อิดฉาวุ้ย อิอิ

ปล.คิดถึงบัวเหล่าที่5 โว้ย อิหม่ามิ๊ คิดตึ๋งลูกไป๊ นะเจ๊า ว่างๆ ก็มาเว้า มาว๊อยกันมั่งเด๊อ พรุ่งนี้ อิหม่ามิ๊ จะไปทัวร์ BTS รอบกรุงง่ะ นัดเพื่อนไว้แร้ว อยู่บ้านไม่ได้แร้ว ต้องไปทดสอบทฤษฏีส้นตรีนแห่งชาติ กะเค้ามั่ง ไม่งั้นจะตกรถเอาได้ อิอิ

ปล.ไม่รู้ ธูปดอกนี้ อิหม่ามิ๊ จุดแล้วจะลอยไปถึง นู๋บี ณ.บัวเหล่าที่5 ได้รึป่าวน้า หุหุ

5832
 
 

โดย: อิอิ IP: 58.9.105.191 วันที่: 22 ธันวาคม 2556 เวลา:0:29:21 น.  

 
 
 
วาทะวันนี้ จาก H. Jackson Brown Jr.... “You can get by charm for about 15 minutes. After that, you’d better know something. - คุณอาจใช้เสน่ห์เอาตัวรอดได้ราวๆ 15 นาที แต่หลังจากนั้น คุณคงต้องแสดงภูมิรู้อะไรออกมาบ้าง...”

เครดิต ท่านขุนน้อย
4760
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.173.223 วันที่: 23 ธันวาคม 2556 เวลา:10:06:48 น.  

 
 
 
"ปูมะพร้าว" สิ่งมีชีวิตที่"ดูดกินอาหาร"จากต้นมะพร้าว กำลังจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย

(ขอบคุณภาพจาก FB สืบ นาคเสถียร)

.......

Kleptocracy

ทุกครั้งที่ถูกคนต่างชาติถามอย่างเหยียดๆว่า “ทำไมคนไทยไม่สนับสนุนประชาธิปไตย(democracy)?”เจ้าของบลอกมักจะตอบใส่หน้าพวกเขาว่า “พวก เราส่วนใหญ่สนับสนุนประชาธิปไตย(democracy) แต่ไม่สนับสนุนพวกที่ใช้ “กฎโจร”(Kletpcracy) ในการริหารประเทศ"

และถามต่อไปว่า “ยูรู้ไหมว่า ‘กฎโจร’ หรือ ‘Kleptocracy’ แปลว่าอะไร ถ้าไม่รู้ก็ไปถามกูเกิ้ลดู ..(และเผื่อใครไม่รู้ก็ลองอ่านดูข้างล่างนี้นะคะ)

kleptocracy, cleptocracy หรือ kleptarchy, (มาจากภาษากรีก: κλέπτης - kleptēs แปลว่า "ขโมย" [1] และκράτος - kratos “อำนาจการปกครอง”[2]โดย . “กฎโจร”—มันเป็นรูปแบบของการเมืองและการทุจริตของรัฐบาล หรือบาลที่มีอยู่เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งส่วนบุคคล และอำนาจทางการเมืองของเจ้าหน้าที่และชนชั้นปกครองที่ปล้นภาษีของประชากรและประเทศชาติ ผ่านช่องโหวของกฎหมาย หรือใช้การโหวตจากเสียงข้างมากในสภาออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กันตนเองและพวก แต่มักจะมีข้ออ้างในการให้บริการที่ซื่อสัตย์ ประเภทของการทุจริตของรัฐบาลแบบนี้มักจะทำได้โดยการยักยอกเงินและทรัพยากรของชาติ (วิกิพีเดีย)

ประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศโลกที่ 3 จำนวนมาก ได้รับความเดือดร้อนภายใต้การปกครองของโจร “kleptocrats” เหล่านี้ที่ดำเนินการตามนโยบาย ทางเศรษฐกิจมีที่ประสิทธิภาพสูง เพื่อกอบโกยความมั่งคั่งของประชาชนไปเป็นของพวกเขา และใช้เงินภาษีของประชากรอย่างฟุ่มเฟือย ด้วยการทุ่มนโยบายประชานิยมอย่างบ้าคลั่ง มีโครงการแพงๆใช้เงินมหาศาลเกิดขึ้นมากมายโดยไม่คำนึงถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน

//www.oknation.net/blog/illusions2324/2013/12/23/entry-1

6410
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.173.223 วันที่: 23 ธันวาคม 2556 เวลา:15:30:45 น.  

 
 
 
ไม่รู้จักความกลัว
ไม่รู้จักอันตราย
ไม่รู้จักความตาย

เธอไม่รู้อะไรเลย...

เครดิต Sazabi Neozeon
ปล.เป็นคำคมบาดลึกลงใจอิฮั๊นมว๊ากกกกก เฮือๆๆๆๆ
7891
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.173.223 วันที่: 23 ธันวาคม 2556 เวลา:15:46:03 น.  

 
 
 
วาทะวันนี้ จาก Euripides ... The god of war hates those who hesitate. - เทพเจ้าแห่งสงคราม ทรงรังเกียจทหารที่ใจโลเล...

เครดิต ท่านขุนน้อย
6777
*.* O.O *.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 171.96.17.245 วันที่: 24 ธันวาคม 2556 เวลา:9:55:44 น.  

 
 
 
วาทะวันนี้ จาก Larry Mcmurtry...“Incompetents invariably make trouble for people other than themselves. - ผู้ซึ่งไร้ความสามารถ มักสร้างปัญหาให้กับประชาชนเป็นนิจศีล ยกเว้นตนเอง...”

เครดิต ท่านขุนน้อย
7309
- -"
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.250 วันที่: 25 ธันวาคม 2556 เวลา:11:09:10 น.  

 
 
 
คนรู้มีมาก ธาตุรู้มีน้อย

การอยู่กับ...ลาภ ยศ เกียรติ สรรเสริญ ได้ นั่นเป็นเรื่องธรรมดา
การอยู่กับ...ความสิ้นลาภ สิ้นยศ สิ้นเกียรติ สิ้นสรรเสริญ อีกทั้งมีคำตำหนินินทาได้อย่างปกติ นั่นคือธรรม

แปลกแต่จริง

ทางโลก ผู้ใดยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง จะกลายเป็นเป้าให้ลูกกระสุนยิงถูกอย่างจัง

ทางธรรม จิตใดยืนอยู่ตรงกลาง จิตนั้นจะไม่ถูกลูกกระสุนเลย มันรอดได้เพราะจิตยืนอยู่ตรงกลางเท่านั้น แปลกไหม

ทางโลก เครื่องจักรต่างๆ เมื่อใช้เกียร์ว่าง มันจะหยุดทำงานทันที

ทางธรรม ขณะใดที่ใช้จิตว่างทำงาน งานนั้นจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

หลวงพ่อบุญวัฒโนดม
เจ้าอาวาสวัดสารอด
เจ้าคณะแขวงบางปะกอก
_/\\_
5451
*.*
 
 

โดย: อิอิ IP: 124.122.67.250 วันที่: 25 ธันวาคม 2556 เวลา:15:58:38 น.  

 
 
 
อืม...หน้าบล็อก ยาวเกิน 100 เม้นท์ แล้ว
ขึ้นหน้าใหม่ ก็แระกัน เน๊าะ ^ ^

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=bsonjb&month=09-2010&date=22&group=3&gblog=2

4831
 
 

โดย: ทั่นด๊อกฯ ไม่ค่อย อยากจะออก จาก กะลา อิอิ IP: 110.77.138.136 วันที่: 27 ธันวาคม 2556 เวลา:22:03:48 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นู๋บี
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add นู๋บี's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com