หน้าพระอุโบสถ หน้าบัน แกะกลัก ปิดทองประดับกระจกเป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ซุ้มประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ มีลักษณะแบบกบช้าง หรือ ซุ้มหน้านาง ประดับด้วยกระเบื้อง ใบเสมาสลักด้วยศิลาประดับกระจกสีข้อมูลเหล่านี้ผมไม่ได้เก่งอะไรหรอกยืนอ่านมาจากหน้าวัดทั้งนั้น อิอิ
ภายในพระอุโบสถ
ด้านหน้า
ถัดจากพระอุโบสถ เดินลอดประตูไปก็จะเจอพระวิหารอัฎฐารส นอกจากเป็นที่ประดิษฐานของพระอัฎฐารสและหลวงพ่อดุสิตแล้วยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหาสมัยสูตรเพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ในช่วงสงกรานต์เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนด้วย
หลวงพ่อดุสิต มีประวัติว่าเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถวัดดุสิตมาก่อน วัดดุสิตเดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชวังสวนดุสิตอยู่ใกล้กับวัดแหลมที่มีชื่อเรียกว่าวัดเบญจมบพิตร เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังดุสิตและสวนดุสิตต้องการขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดเบญจมบพิตรและวัดดุสิตทั้ง2 วัด จึงพระราชปรารภสร้างชดใช้วัดทั้งสองขึ้นวัดหนึ่ง คือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแล้วจึงได้โปรดเกล้าอัญเชิญพระประธานในอุโบสถวัดดุสิตไปประดิฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฎฐารสซึ่งว่างอยู่ในภายหลังเรียกกันว่า หลวงพ่อดุสิต
พระอัฎฐารส
มีพระนามเต็มว่าพระอัฎฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น อายุ 700 ปีเป็นพระพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุดใน กทม.หล่อด้วยสัมฤทธิ์ทั้งองค์โดยไม่มีการเชื่อมต่อนับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสร์ชาติไทยเดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก วัดประจำราชวังจันทร์ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบามสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญมาประดิษฐ์ฐานไว้ที่พระวิหารแห่งนี้
น้ำพระพุทธมนต์นี้ทำสืบเนื่องมาแต่สมัย ร.3จนปัจจุบัน นับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 170 ปีสามารถมาร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์บทมหามัยสูตรณ พระวิหาร ในวันที่ 15 เมษษ เวลา 16.00น.ของทุกปีได้
เดินออกจากทางด้านหลังพระวิหารจะเป็นศาลาการเปรียญตอนนี้ใช้จัดงานศพของสมเด็จเกี่ยวพอดีก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปเคารพศพของท่าน(ใช้ศัพท์ไม่ถูกจริงๆ )
ด้านตรงข้ามจัดที่สำหรับให้ลงชื่อในผ้าแดงที่จะนำไปพันรอบพระเจดีย์
เขียนชื่อกันใหญ่
ถัดจากศาลาการเปรียญเป็นหอไตร น่าเสียดายไม่ได้เห็นภายใน แต่เฉพาะภายนอกนี่ก็สวยมากแล้วนะ
เดินขึ้นภูเขาทองดีกว่า บรรยากาสเปลี่ยนไปเยอะทาสี จัดไฟ มีร้านกาแฟบริการ สมัยก่อนทึมๆ ดูน่ากลัว
จนท.กำลังเตรียมงาน จัดไฟ เพื่อวัดตายเป็นตายจริง ๆ n>สมัยก่อนทึมๆ ดูน่ากลัว
ด้านบนเป็นห้องสามารถเดินได้โดยรอบมีของที่ระลึกจำหน่าย หรือ ดอกไม้ธูปเทียนถ้าใครอยากสักการะพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมบรรพต(ภูเขาทอง) สร้างในสมัยรัชการที่3โดยสร้างเป็นพระปรางค์มีฐานย่อมุมไม้สิบสองแต่สร้างไม่สำเร็จต่อมาในรัชการที่4ทรงโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนจากพระปรางค์เป็นภูเขาแทน ก่อพระเจดีย์ไว้บนยอดมีพระระเบียงโดยรอย พระราชทานนามว่า พระบรมบรรพต โดยแล้วเสร็จในสมัย ร.5ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุได้มาจากประเทศอินเดีย
เดิน ไปรอบ ๆ พบทางขึ้นสวรรค์ซะงั้น เออบทจะสวรรค์กก็ง่ายแท้!!
นอกจากเจดีย์ขนาดใหญ่แล้ว บริเวณด้านบนสามารถชมวิวโดยรอบสวยมาก ดูกรุงเทพเพลินเชียว
ได้เวลาพอสมควร ก็ลงมาเดินรอบ ๆวัดด้านล่าง จะมีร้านขายของที่ระลึกของวัด ขายพวกโปร์ดการ์ด หนังสือต่าง ๆอันนี้บ้านผี ผีก็มีบ้านด้วยนะเออ
ออกจากวัดเดินไปทางสะพานผ่านฟ้าจะพบกับสะพานเล็ก ๆมีชื่อชาวบ้านเรียกว่าสะพานคนร้องไห้
ประวัติสะพานคนร้องไห้ หรือ ชื่อจริงคือ สะพานมหาดไทยอุทิศ เป็นสะพานข้ามคลองมหานาค สร้างในสมัย ร.6 โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงค์ราชานุภาพร่วมกับข้าราชการกระทรวงมหาไทยได้พร้อมใจกันบริจาคเงินสร้างเพื่อเป็นอนุสาวรีย์อันเป็นสาธารณสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติไว้แล้ว
สิ่งที่ชอบ ...ทริปนี้ผมได้เดินทางไปช่วงเย็นอากาศดี บรรยากาศวัดดูสะอาด มีป้ายบอกประวัติต่าง ๆจนสามารถเอาความรู้มาเขียนบันทึกได้มากมายถูกใจครับ
สิ่งที่ไม่ชอบ....มีป้ายแล้วแต่ดันไม่ทำภาษาอังกฤษในระหว่างที่ผมเดินเที่ยวผมเจอฝรั่งต่างชาติมากกว่าคนไทยเสียอีกนะ