|
AVATAR: The Repetition of the Pocahontas's Story คิดว่าหลายๆ คนคงได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันไปแล้วเนอะ เรื่องอวตารถูกยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี กระบวนการผลิตที่ล้ำยุคแบบสามมิติบวกกับเนื้อเรื่องและบทที่น่าสนใจนั้นเรียกกระแสตอบรับด้านบวกจากผู้ชมทุกเพศทุกวัยได้เป็นอย่างดี ล่าสุดก็กวาดรางวัลไปแล้วตามความคาดหมาย ส่วนตัวแล้วก็ชอบนะคะ คิดว่าเป็นหนังที่ทำออกมาได้มีองค์ประกอบหลายด้านได้ดีค่อนข้างเสมอกันเลย ทั้งบท ฉาก คาแรคเตอร์ตัวละคร การพัฒนาของตัวละคร คอสตูม เอฟเฟค ดนตรี คือดูแล้วไม่รู้สึกสะดุดที่ด้านใดด้านหนึ่งน่ะค่ะ ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังนั้นก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เช่น ในสมัยที่ชาวยุโรปเริ่มออกเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่และล่าอาณานิคม ถ้าใครยังจำเรื่องราวของโพคาฮอนทัส (ที่เราเคยดูกันสมัยผิวหน้ายังเรียบตึง) ได้ ก็จะนึกออกว่ามันแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันเลย ชายหนุ่มจากโลกที่มีวิทยาการมากมายมาพบกับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจากใช้เวลาร่วมกันแล้วชายหนุ่มก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติด้วยความเคารพทีละเล็กทีละน้อย (ถึงในกรณีคุณจอห์น สมิธในวอล์ท ดิสนีย์เวลาจะน้อยไปหน่อยก็เถอะ) เนื้อเพลง Colors of the Wind จากเรื่องโพคาฮอนทัสก็ยังมีความหมายร่วมสมัยใช้ได้อยู่จนทุกวันนี้ และบางท่อนของเพลง เช่น... You think you own whatever land you land on The Earth is just a dead thing you can claim ก็ยังไปพ้องกับคำพูดของคุณเจค ซัลลี่อีกด้วยที่ว่า "พอเราเจอของที่เราต้องการและบังเอิญมีคนนั่งทับอยู่ เราก็หาว่าเขาเป็นศัตรูและต้องขับไล่เขาไปเสีย" (อะไรประมาณนั้น) นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันหรือนาคต นิสัยของคนบางกลุ่มไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ความโลภอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตนจนนำไปสู่การรบพุ่งนั้นมีอยู่เสมอ และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับเราไม่เคยเรียนรู้จากอดีตหรือรับรู้ว่ามันเคยเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้มาก่อน ในโพคาฮอนทัสนั้น ชาวอังกฤษที่ไปขึ้นฝั่งที่เวอร์จิเนียเรียกตัวเองว่าผู้มีอารยธรรม และเรียกชาวอินเดียนแดงท้องถิ่นว่าเป็นพวก 'Savages' หรือพวกป่าเถื่อน ส่วนในอวตาร ชาวโลกกลุ่มหนึ่งเรียกชาวนาวีว่าเป็นพวกอนารยชนหรือพวกไร้อารยธรรม เพราะไม่สวมเสื้อผ้า (แบบที่ตัวเองสวม) ไม่ใส่รองเท้า (แบบที่ตัวเองใส่) ไม่พูดภาษาเดียวกับที่ตัวเองพูด (ถึงแม้จะส่งคนไปสอนภาษาอังกฤษและสามารถเรียนรู้ได้ แต่เขาก็อาจจะพึงใจที่จะพูดภาษาเขาเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของเขา สำหรับนักรบ(หรือแม้จะคนทั่วไปอีกหลายคน) การถูกบังคับยัดเยียดให้รับอารยธรรมของฝ่ายตรงข้ามนั้นต้องเป็นเรื่องที่น่าขมขื่นใจอยู่แล้ว) ตลกเหลือเกินที่ตัวเองมาบุกรุกบ้านคนอื่นพร้อมอาวุธครบมือ (พร้อมเจรจาจริงๆนะ) แถมยังคิดจะขโมยของเขาแท้ๆ ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นไร้อารยธรรมป่าเถื่อนอีก อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เพื่อนเพิ่งเพิ่มให้ก็คือตอนที่อเมริกาไปหาแร่ธาตุอะไรสักอย่างที่แอฟริกาเพื่อที่จะมาทำ touch screen อะไรเทือกนั้น ประเทศไทยเองก็เฉี่ยวกับการใช้กำลังเข้าปกครองมาแล้วหลายครั้ง ถึงเราจะเคยรบพุ่งกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่บ่อยครั้งในอดีต แต่ชนชาติต่างๆ ในบริเวณนี้ก็รับรู้ว่าเราเป็นใครและเราแชร์รากฐานทางวัฒนธรรมร่วมกัน การดูถูกที่เกิดจากความต่างทางวัฒนธรรมเลยไม่โดดเด่นนัก และถึงชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกได้เข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินนี้ตั้งแต่ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ก็ผิดกับการเข้ามาครั้งใหญ่ของชาวตะวันตกในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่ร่วมสมัยกับยุคล่าอาณานิคม ตอนนั้นแค่เห็นคนไทยไม่สวมเสื้อก็หาว่าไม่มีวัฒนธรรมแล้ว สิ่งที่เหมือนกันระหว่างชาวอินเดียนแดงกับชาวนาวีคือความเคารพในธรรมชาติในฐานะที่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดชีวิตต่างๆ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติในฐานะผู้อาศัย ไม่ใช่ผู้ครอบครอง เนื่องจากธรรมชาตินั้นเกิดมาก่อนมนุษย์นานนัก เมื่อใจเปิดกว้าง โสตต่างๆ ก็เปิดตามไปด้วยจึงเข้าถึงธรรมชาติได้มากขึ้นเหมือนคุณจอห์น สมิธ (ถึงจะเห็นแค่แวบเดียว) และคุณเจค ซัลลีเป็นต้น พูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิด อันนี้เพื่อนก็พูดขึ้นมาและเราก็เลยเห็นด้วยว่าจริง นั่นคือการนำเสนอแนวคิดเชิง Feminist ในหนังเรื่องนี้ จะสังเกตเห็นได้ว่าตัวละครที่มีความสามารถมากๆ ในเรื่องนี้ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เช่น คุณนักวิทยาศาสตร์ที่ส่งเจคเป็นตัวอวตาร (คุณเกรซใช่มะ) นางเอก หรือแม้กระทั่งคุณนักบินหญิงคนนั้น (เราช๊อบชอบ) ทั้งสามคนนี้เป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นมากที่ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในสังคมที่ผู้ชายมีบทบาทเป็นใหญ่ เช่น ทหาร นักธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเพศหญิงเข้ากับธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าความเชื่อเกือบจะทั่วโลก (น่าจะทั่วโลก) เรียกธรรมชาติเป็น "มารดา" ผู้ให้กำเนิด Mother Earth มาตุภูมิ แม่พระธรณี แม่คงคา ฯลฯ แม้กระทั่งชื่อนางเอก Eva ก็โยงไปถึง Eve ผู้หญิงผู้ให้กำเนิดมนุษยชาติตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ได้ด้วย จุดนี้ในหนังยังพยายามทำให้เห็นว่าผู้หญิงในเรื่องสามารถสื่อสารและเข้าถึงธรรมชาติได้ดีกว่าผู้ชาย ตรงนี้เพื่อนบอกว่าเป็น Reinforcement of Gender Stereotype คือมายาคติเกี่ยวกับเพศที่ว่าผู้หญิงมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่า เนื่องจากผู้หญิงมีธรรมชาติที่ต้องให้กำเนิด ต้องตั้งครรภ์ การให้กำเนิดจึงถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ในขณะที่ผู้ชายถูกมองว่าเป็นผู้ทำลาย เช่น ออกไปล่าสัตว์ ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่น ทำสงคราม ฯลฯ พอเกิดพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำๆ Stereotype เลยกลายเป็น Myth เป็นความเชื่อที่ฝังกับความคิดไป อันนี้จะไปคาบเกี่ยวกับเรื่องบทบาทของเพศหรือ Gender Roles ด้วย (โอ๊ย ชั้นเขียนถูกมั้ยเนี่ยแก๊) สำหรับในเรื่องอวตารนี้ ผู้หญิงชาวนาวีได้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณด้วย ซึ่งผู้นำทางจิตวิญญาณจะอยู่เหนือนักรบ ผู้หญิงในเผ่านาวีนี้จึงได้รับการเคารพและให้เกียรติเป็นอย่างดี สำหรับตัวอย่างในกรณีผู้นำทางจิตวิญญาณที่อยู่เหนือนักรบก็เช่น นักรบของไทยในสมัยก่อน จะไปรบต้องไปหาพระ อาบว่านพรมน้ำมนต์ สักยันต์ ฯลฯ ในสังคมตะวันตกที่เห็นได้ชัดมากคือสงครามครูเสด ที่รบกันอยู่เป็นนานด้วยไปรบตามคำสั่งของพระสันตะปาปาซึ่งถือเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดของศาสนาคริสต์ เป็นต้น ส่วนชื่อแพนดอร่า (Pandora) คงจะมาจากตำนานเทพปกรณัมกรีก เรื่องของนางสาวแพนดอร่าที่เทพซีอุสเนรมิตให้เป็นนางสาวคนแรกของโลกเพื่อแก้แค้นโพรมิธิอุส (Prometheus) ที่รักมนุษย์และคอยช่วยเหลือมนุษย์มากกว่า (เรื่องมันยาว เดี๋ยวเม้าตอนต่อไปแล้วกันนะคะ) ชื่อแพนดอร่านี้ มีความหมายว่า The Gift of All สำหรับในอวตารนี้ แพนดอร่าคงแค่หมายถึงว่าน่าจะเป็นดินแดนที่เป็นสวรรค์สำหรับทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง (ชั้นก็ไปมันเรื่อยเลย) ... ยาวไปไหมคะนี่ (ชักจะเกรงใจ) งั้นก็ .. จบเท่านี้แล้วกันนะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันเสมอค่ะ -/- ปล. ขอลงเนื้อเพลงไว้นะคะ Colors of the Wind You think I'm an ignorant savage And you've been so many places I guess it must be so But still I cannot see If the savage one is me How can there be so much that you don't know? You don't know ... You think you own whatever land you land on The Earth is just a dead thing you can claim But I know every rock and tree and creature Has a life, has a spirit, has a name You think the only people who are people Are the people who look and think like you But if you walk the footsteps of a stranger You'll learn things you never knew you never knew Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon Or asked the grinning bobcat why he grinned? Can you sing with all the voices of the mountains? Can you paint with all the colors of the wind? Can you paint with all the colors of the wind? Come run the hidden pine trails of the forest Come taste the sunsweet berries of the Earth Come roll in all the riches all around you And for once, never wonder what they're worth The rainstorm and the river are my brothers The heron and the otter are my friends And we are all connected to each other In a circle, in a hoop that never ends How high will the sycamore grow? If you cut it down, then you'll never know And you'll never hear the wolf cry to the blue corn moon For whether we are white or copper skinned We need to sing with all the voices of the mountains We need to paint with all the colors of the wind You can own the Earth and still All you'll own is Earth until You can paint with all the colors of the wind https://www.youtube.com/watch?v=TkV-of_eN2w ปล ๒. เพลงประกอบ AVATAR ก็เพราะทุกเพลงนะคะ (www.avatarmovie.com) ทักทายยามค่ำคืนจ้า^^
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:22:36:14 น.
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will find out what is the truth love in Your life as he does for me! GOD always forgive your mistake the one that you cant even forget, he always does it and always being with us to help and blesss us for us whose heart is full of him โดย: da IP: 203.144.144.164 วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:22:38:21 น.
|
Friends Blog |