อย่ารอรุ่งรางสว่างเลย จะชวดเชยดอกไม้รักภิรมย์สม หวานตาหลับตาหวานหว่านอารมณ์ ให้พี่พรมเพลงหวานห่มหวานใจ
 
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
11 พฤษภาคม 2556

ขี่จักรยาน หนึ่งชั่วโมง ให้ อะไร กับ ตัวเองบ้าง

ขี่จักรยาน1 ชม แล้วได้อะไรบ้าง 

ขี่จักรยานบางคนถามว่าไม่เห็นจะได้อะไรเลย เหนื่อยก็เหนื่อย แดดก็ร้อน จักรยานก็แพง ชุดก็แพง เสียเวลา เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ทำงานเหนี่อยก็ได้ออกกำลังเหมือนกัน บางคนสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ชวนให้ขี่จักรยาน กลับบอกว่าไม่มีเวลาอ้างสารพัดเหตุผลที่จะไม่ทำ ทั้งที่ทุกอย่างที่ว่ามาทำเพื่อตัวเอง เวลาไปหาหมอ หมอนัด 9 โมงเช้าไปตั้งแต่ 7โมง ตรวจเสร้จกว่าจะได้กลับบ้านก็หมดไปเกือบวัน แบบนี้มีเวลาครับ คนอะไรไม่รักตัวเอง คอยจะพึ่งแต่คนอื่น เราต้องพึ่งตัวเองก่อน ช่วยเหลีอตัวเอง ก่อนถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยพึ่งหมอ พึ่งโรงพยาบาล แต่ต้องสำนึกว่าต้องพึ่งพาตนเองก่อนครับ

ลองมาดูขี่จักรยานแค่1 ชม เราได้อะไรบ้าง มาดูครับ ว่าคุ้มไหมกับการเสียเวลา1ชม
ถ้าไม่คุ้มจะได้ตัดใจไม่ขี่เสียเลยครับ เริ่มต้นพิจารณาเลยครับ
-เมื่อนั่งอยู๋บนอาน กล้ามเนื้อขาทุกส่วนได้ออกกำลัง และได้สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อครับ แขนจับที่แฮนด์กล้ามเนื้อแขนและไหล่ รวมทั้งกล้ามเนื้อที่ยึดสันหลังได้ทำงานเคลื่อนไหวตลอดเวลาครับ คอและตาได้เคลื่อนไหวร่วมกันได้บริหารทั้งสองส่วน ระบบการทรงตัวต้องทำงานตลอดเวลาจึงได้ บริหารระบบการทรงตัวไปโดยอัตโนมัตครับ ถ้าระบบการทรงตัวไม่ดีขี่จักรยานไม่ได้ครับ เท่ากับ เราได้ตรวจสอบระบบการทรงตัวของเราครับ
- ปอดทำงานมาก ปอดก็แข็งแรง เมื่อหายใจมาก การแลกเปลี่ยนออกซิเจนกับเลือดมากขึ้น ทำให้ร่างกายไม่เป็นกรด เพราะเมื่อเลือดเป็นกรดเราจะป่วยครับ
-หัวใจทำงานมากขึ้น เท่ากับเราได้บริหารหัวใจให้แข็งแรงครับ แล้วยังได้สูบฉีดเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงครับ
-การสูญเสียพลังงาน ในรูปของไกลโครเจน ทำให้เราได้เผาผลาญไขมันครับ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ไขมันในหลอดเลือดลดน้อยลงครับ และยังสูญเสียคาร์โบไฮเดรตในรูปของน้ำตาล ก็เลยทำให้น้ำตาลในเส้นเลือดน้อยลงครับ ถ้าท่านป่วยเป็นเบาหวานการกินยาก็ลดน้อยลงหรือบางท่านแทบไม่ต้องกินยาเลยครับ
-เมื่อเราสูญเสียพลังงาน ร่างกายก็ต้องผลิตขึ้นมาทดแทน โดยผ่านการดูดซึมจากกระเพาะอาหารและลำใส้เล็ก เพราะฉะนั้นกระเพาะอาหาร และลำไส้ก็แข็งแรงขึ้นครับ
-เมื่อขี่จักรยานแล้วเกิดการระบายความร้อนผ่านทางเหงื่อ ทำให้ได้ขับของเสียผ่านรูขุมขนทำให้ภายในร่างกายเราสะอาตขึ้นครับ
-การขี่จักรยานทำให้ข้อต่อ กระดูก เส้นเอ็นได้เคลื่อนไหวครับ
-การขี่จักรยานต้องนั่งอยู่บนอานทำให้ กระดูก ข้อเท้า ข้อเข่า ไม่ต้องรับน้ำหนักตัวเองครับ
-ขี่จักรยาน ไม่เกินโซน2 ก็คีอประมาณวิ่งมาราธอน เกิน 50 นาที ทำให้เกิดการหลั่งของ แอนโดฟินชึ่งช่วยซ่อมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และทำให้สดชื่นครับ
-ได้รับแสงแดดในตอนเช้า และ ได้บริหารระบบหายใจ ทำให้นักขี่จักรยานไม่เป็นหวัดหรือถ้าเป็นหวัดก็หายเลยครับ ภูมิแพ้ก็หายเช่นเดียวกันครับ
-ขี่จักรยานทำให้สมาธิดีครับ
-ขี่จักรยานทำให้รู้สึกคำว่า พอเพียง เพราะขณะปั่นจักรยานเราต้องบริหารแรงที่มีอยู่พอรู้สึกหิว ก็มองหาของกิน ปั่นไป่เรื่อยๆ ไม่เจอร้านของกินสักที หิวก็หิว ปั่นต่อไปอีก ก็ยิ่งหิว แรงก็หมด สิ่งที่อยากได้เวลานั้นมีอย่างเดียว คีออาหารครับ ความพอเพียงเกิดเลยครับ เพราะคนเราที่จริงมันก็แค่นี้จริงๆครับ

ยังมีต่ออีกเยอะครับ

แต่ต้องขี่ภายใต้กฎเกณฑ์ นี้เท่านั้นครับ

ผมขอเตือนนักขี่จักรยานทางไกลทั้งต่อเนื่องติดด่อกันหลายวันหรือวันเดียวก็ตามหรือเพื่อออกกำลังกายเพื่อสุขภาพครับ

-ข้อแรกสำคัญที่สุด อย่าผลักดันตัวเอง ตามคนที่มีความสามารถสูงกว่าโดยเด็ดขาด
-ข้อสองเดินทางเป็นกลุ่มเอาคนที่มีความสามารถน้อยสุดมาเป็นตัวตั้ง คือเป็นตัวมาตรฐานการเดินทางครั
-ข้อสามประชุมหารือกันก่อนออกเดินทาง ให้ทุกคนยอมรับวิธีการตามข้อสองให้ได้
-ข้อสี่ควบคุมการขี่ให้อยู่ไม่ให้เกินโซน2ของการออกกำลังกายคือประมาณ65-75%ของความสามารถสูงสุดของคนที่มีความสามารถน้อยที่สุดขณะนั้นครับ
-ข้อห้าห้ามขี่แบบบ้าพลังอัดแข่งกันไปเหนื่อยแล้วพัก หายเหนื่อยแล้วขี่ต่อครับ ซึ่งมีข้อเสียอย่างมากมาย
วิธีนี้ไม่สามารถนำมาขี่ทางไกลได้ครับ แม้แต่ แล้มป์ แชมป์3 สมัยก็ไม่ใช้วิธีขี่แบบนี้ครับ
-ถ้าใช้วิธีตามข้อห้า ผลเสียคือ
1. การหลั่งของกรดแลคติคอย่างรวดเร็วเพราะเข้าสู่โซนอแนโรบิค กรดนี้มีผลทำลายกล้ามเนื้อ มีอาการดังนี้คือหลังจากหยุดพักแล้วขี่ต่อ จะปวดล้ากล้ามเนื้อทั้งๆที่มีแรงขี่ต่อ กรดนี้ร่างกายสร้างเป็นอัตโนมัตืเพื่อหยุดให้เราทรมานร่างกายอีกต่อไป คือคูณต้องหยุดขี่นั่นเอง
2.กรดนี้จะสะสมอยู่ในร่างกายอีก 2-3 วันซึ่งจะมีผลกับการขี่วันต่อไป ถ้ายังใช้การขี่แบบนี้อยู่กรดก็จะหลั่งสะสมเพื่มอีก ถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการขี่ ท่านก็จะมีอาการจมกรดในที่สุดครับ
3. เสี่ยงต่อการทำงานของหัวใจอยู่ใน MAX HR บ่อยเกินไป หัวใจก็โต ผลเสียเฉียบพลัน ต่อหัวใจอีกมากมาย
4. การใช้พลังงานไม่สมดุล เพราะโซนนี้เป็นโซนอแนโรบิคซึ่งใช้พลังงานจากคารโบไฮเดรต80-90% ที่เหลือเป็นไขมัน เมี่อเชื้อเพลิงจากคาร์โบไฮเดรตหมดเราก็ล้าและหมดแรงในที่สุด ทำให้ขาดความทนทาน ระยะทางการขี่ต่อวันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าใช้การขี่โซน2ซึ่งเป็นโซนแอโรบิคร่างกายจะใช้พลังงาน ไขมัน/คาร์โบไฮเดรต 50/50 โดยประมาณ ซึ่งทำให้การเผาผลาญหมดจด และสมดุล ทำให้ขี่ได้ทนทานและได้ระยะทางต่อวันมาก และร่างกายไม่เสียหายครับ
5. การหลั่งอะดีนาลีน ทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่ หง่อม
6. เกิดการสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง และสูญเสียเกลือแร่มากับเหงื่อซึ่งเหงื่อมีหน้าที่ระบายความร้อ
- ข้อหก ก่อนออกเดินทางดื่มน้ำให้เพียงพอ แล้วดื่มน้ำแบบจิบทุกๆ20นาที อย่ารอจนกระหายน้ำ ถ้ามีอาการกระหายน้ำแสดงว่าร่างกายเราขาดน้ำแล้วครับ ข้อระวังการขาดน้ำอย่างรุนแรง จะมีอาการ ดังนี้คือเมื่อหยุดพักเหงื่อจะออกอย่างมาก จนโชกตัว ตัวจะเย็นอาจเกิดการช์อคหมคสติได้ครับ วัธีแก้ไขคือ นอนราบ สักพักแล้วดื่มน้ำ
อีกสักพักค่อยดื่มเกลือแร่ตาม นอนจนดีชึ้น แล้วไปพักผ่อนต่อ โดยหยุดขี่ต่อทันทีครับ
อาการที่ว่านี้ภาษาออกกำลังกายเรียกว่า เกิดอาการ BONK ครับ ขี่แล้ววูบ ขี่แล้วหน้ามืด เป็นลม สาเหตุส่วนมากเกิดจากอาการนี้ทั้งนั้นครับ
@ ถ้าขาดน้ำแต่ไม่มากจะปวดหัวครับแล้วปวดมากด้วย แบบนี้เรียกว่า BURN ครับ บางท่าน เข้าใจผิดนึกว่าความดันขึ้น ตกใจไปกันใหญ่ครับ

การขี่จักรยานแล้วใช้พฤติกรรมแบบที่กล่าวถึงข้อห้าข้างบนนี้ มีค่าเท่ากับ คุณกำลังทำร้ายตัวเอง หรือ คุณกำลังพยายามฆ่าตัวตายนั่นเองครับ

หนึ่งในความรู้ที่นักจักรยานควรรู้ จากชมรมจักรยานทางไกลนครปฐม

เมี่อรู้ว่ามีข้อดี ขนาดนี้แล้วทำไม ไม่ทำครับ
-บางท่านบอกว่าไม่มีเวลา คุณคิดนะครับสัปดาห์หนึ่งมี 168 ชม คุณขี่จักรยาน สัปดาห์ละ 3วันๆละ ประมาณ 1ชม แต่งตัวอีก 20 นาที รวม3วันก็ เท่ากับ4 ชมคุณเหลือเวลาทำงาน ประกอบภาระกิจอีก 164 ชม ที่บอกว่าไม่มีเวลา นั่นก็คือ ขี้เกียจออกกำลังกาย เอาเวลาไปนอนตากแอร์เสียมากกว่าครับ
-บางท่านบอกว่า ชุดแพง จักรยานก็แพง ที่จริงไม่แพงครับ ถ้าเรารู้จักซื้อ รู้จักใช้ เช่น จักรยานก็เอาราคาสักไม่เกินหมื่นบาทใช้ได้สัก 10 ปี ตกปีละ พันบาท ถูกกว่าค่ายาของบางท่านแค่ 1เดือนครับหมวกก็ 7-8 ร้อยบาทของผมใช้มาอายุเท่ากับท่านที่ออกกำลังกายสัก10ปีครับ ก็ยังใช้งานได้ดีอยู๋ กางเกงก็ 500บาท เสื้อจักรยานแบบตัวที่ผมใส่ตามรูปที่ขี่ทริปจักรยานทางไกล ผมซื้อมาตัวละ290 บาท ใช้งานแบบโชกโชน ยังไม่ขาดครับ
- บางท่าน บอกว่าตอนนี้ยังเดินได้ ยังสุขภาพดีอยู่ พูดง่ายๆ ใว้รอเดินไม่ได้ค่อยขึ่ ถ้าคิดเช่นนั้น ขี่ไม่ได้ แล้วครับเพราะอะไรๆ ของร่างกายมันเสื่อมหมดแล้วครับ
-บางท่าน บอกว่า กลัวรถยนต์ชน ไม่ต้องกลัวครับ แต่งตัวให้รัดกุม ใส่หมวกให้พร้อม คนขับรถยนต์เขาเห็น เราออกกำลังกาย เขาจะระวังเราครับ

ที่จริงการออกกำลังกายมีหลายอย่างครับ แต่หลังจากอายุ 30 ปี ขึ้นไป ดีที่สุดมีสองอย่าง คือ ว่ายน้ำ กับ ขี่จักรยาน
แต่ว่ายน้ำ ยังมีข้อเสีย คือ ต้องรอสระว่ายน้ำ จักรยานไม่ต้องรอ ถ้าพร้อม คนเดียวก็ขี่ได้ ว่ายน้ำเสียค่าใช้จ่าย ทุกครั้งที่ว่าย
จักรยานไม่เสียเงินครับ เป็นหวัด เป็นไข้ ว่ายน้ำไม่ได้ครับ ยิ่งว่าย ยิ่งป่วย ถึงจะสุขภาพดี ก็ว่ายน้ำไม่ได้นานครับ ยิ่งบางคนสุขภาพไม่พร้อม ว่ายน้ำไม่ได้ เพราะ การว่ายน้ำเราต้องสูญเสียพลังงานไปกับ การรักษาอุณภูมิของร่างกายเอาใว้ที่ 37 องศา ยิ่งน้ำเย็นยิ่งสูญเสียพลังงานในการที่ร่างกายต้องรักษาใว้ที่ 37 องศามาก ตะคริวในน้ำก็เกิดจากการรักษาอุณภูมิของร่างกายใว้ที่ 37 องศาครับแต่ร่างกายสูญเสียพลังงานไปเกินกว่าที่ ร่างกายจะสร้างได้ ตะคริวจึงเกิดครับ แต่ที่พูดมาทั้งหมด ขี่จักรยานทำได้หมดครับ เป็นหวัด เป็นไข้ หายเลยครับ ร่างกายไม่สมบูรณ์ก็ยังขี่ได้ แล้วให้ประโยชน์ครับ ว่ายน้ำนั้นเหมาะกับคนที่มีสุขภาพแข็งแรงแต่ต้องการออกกำลัง
กายครับ แล้วเงินก็ต้องพร้อมจ่าย เริ่มตั้งแต่ขับรถไปสระว่ายน้ำไปจนถึงลงสระว่ายน้ำครับ

การขี่จักรยานไม่ใช่ทำเลียนแบบนักแข่งทีมชาติหรือพวกแชมป์ ตรู เดอร์ ฟรองต์ ครับ เพราะไม่มืเหตุผลอะไรที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะพถติกรรมต่างๆก็ไม่เหมือนกัน ผมถามจริงๆครับ ว่า มีอะไรบ้างที่ทำแล้วเป็นประโยชน์แก่เรา ขี่แบบนั้นทำแบบนั้นแล้วเราจะได้เป็นแชมป์ ตรู เดอร์ ฟรองต์หรีอครับ รวมทั้งพวกที่ชอบแข่งในสนามและนอกสนาม ต้วยครับ มันภูมิใจนักหรือที่เราได้ชนะคนอื่นๆแค่ไม่กี่คนแค่คิดก็แพ้แล้วครับ เราทำได้ก็แค่เลียนแบบครับ แต่ความเสียหายที่เกิดกับเรา ลองคิดดูนะ นักจักรยานที่ชอบแข่งขันทั้งหลาย คุณรู้ไหมขี่อัดๆ 40-50 นะกดบันไดที ท่องไว้เลยครับ แลคติค แอนดีนาลีน ครับ นี่ยังไม่รวม หัวใจโต และความไม่สมดุล ของการใช้พลังงานก็คือ ไขมัน กับ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งก่อให้เกิดโรคครับ ยิ่งทำทุกวัน ยิ่งเปรียบเสมือน การพยายามฆ่าตัวตายครับ ไม่เห็นมันจะน่าสนใจอะไรเลยครับกับการขี่แบบนั้น ถ้าเป็นเครื่องยนต์มันพังก็ยังพอเปลี่ยนได้ แต่นี่ตัวเรานะ พังแล้วจะโยนทิ้งก็ไม่ได้ อะไหล่ก็ไม่มีครับ เราต้องพยายามรักษาเครื่องยนต์ตัวนี้ให้ทนทานและอยู่ได้นานที่สุดครับ อย่าทำกันเลยครับผมไม่เห็นจะมีความสุขตรงไหน เพราะความสุขที่เราทำสนองใจเรา แต่มันไปทำร้ายร่างกายเราอย่างมหันต์ครับ ตอนขี่นะเหนื่อยก็เหนื่อยแสนจะทรมานถ้าเป็นทำงานนะเราหยุดแล้ว แต่นียังทนขี่กันอยู่ได้ คนอะไรไม่รู้หาวิธีทรมานร่างกายได้ดีเหลือเกินครับ มีสิ่งดีๆที่เราต้องทำกับจักรยานอีกเยอะครับ อย่างเช่น วิธีที่ผมแนะนำ ขี่ก็สนุก มีความสุขกับมัน ร่างกายก็แข็งแรง สมาธิก็ดี ได้ฝึกจิตใจที่จะไม่ทำอะไรตามใจตัวเอง ได้รับแอนโดฟินทุกวันเพราะหลังการขี่แล้วเราจะรู้สึกสดชื่น เท่ากับเราทำให้ร่างกายแข็งแรงครับ เพราะเราขี่ในขอบเขตของแอโรบิคร่างกายก้ไม่ขาดออกซิเจน เลือดก็ไม่เป็นกรด ยิ่งขี่ยิ่งแข็งแรง เมื่อขี่ต่อไปเรื่อยๆการขยายขอบเขตทางแอโรบิค ก็จะสูงมากขึ้นเรื่อยๆครับ ถ้าเรานำทักษะนี้ไปใช้ขี่จักรยานทางไกลแบบความเป็นเลิศเราจะขี่ได้อย่างแข็งแกร่งครับ ไม่ภูมิใจหรือครับ
ถ้าเราขี่จักรยานทางไกล200กม/วัน แต่นักแข่งที่ชอบขี่40-50 เมื่อไปกับเรา ไม่สามารถขี่ได้ดีเท่าเรา หรืออาจทำไม่ได้เลย เพราะร่างกาย เขาได้เสียหายไปแล้วจากการที่เขาทำร้ายร่างกายตัวเองทุกวันครับ สำหรับผมภูมิใจครับที่ผมจะก้าวไปสูนักจักรยานทางไกลที่มีความสามารถในการพัฒนาการขี่จักรยานทางไกลได้มากที่สุดคนหนึ่ง นักจักรยานหลายทีม ที่ได้สัมผัสกับผมในการขี่จักรยานทางไกล ยอมรับในวิธีการขี่จักรยานทางไกลแบบที่ผมพัฒนาขึ้นมาครับ

การชักชวนคนอื่น ทั้งที่ใกล้ชิด และไม่ใกล้ชิด หรือ เราไม่ได้รู้จักเขาคนนั้นเลยให้เขามาออกกำลังกาย จะเป็น เล่นกีฬาอะไรก็ตาม หรือมาขี่จักรยาน เท่ากับเราได้
ทำกุศล และประโยชน์ต่อสังคมอันยิ่งใหญ่แม้จะเพืยงแค่ หนึ่งคนก็ตาม ลองดูตัวอย่าง สมมุติว่าเราเห็นคนๆหนึ่ง เขาไม่ออกกำลังกาย สุขภาพดูไม่ค่อยดี
ตอนนี้เขาอายุ 50 ปี ถ้าเป็นแบบนี้เขาอยู่อายุ60ปีแล้วตาย แต่ถ้าเราชวนเขามาขี่
จักรยาน สุขภาพเขาแข็งแรงขึ้น เขาอยู่ 70 ปีแล้วตาย การที่เราช่วยเขาให้มีอายุ
ยืนยาวมาอีก10ปี ทำให้เขาสามารถทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัว ลูกหลานของเขา
อย่างหาค่าเป็นต้วเงินไม่ได้ครับ แล้วถ้าเราทำได้สัก 1 ล้านคนหรือ 1.6% ของคนไทยทั้ง
หมด เราจะทำประโยชน์แก่สังคมมากขนาดไหนครับ

เราลองมาคิดดูนะครับ ถ้าคนออกกำลังกายโดยการขี่จักรยานแล้วทำให้เขาไม่เป็นโรคไม่ต้องไปหาหมอ ทำให้เขาประหยัดเงิน ค่ายา ค่าห้อง ปีละ15000 บาทถ้า 10ปีก็ เท่ากับ 150000 บาท เมื่อเขาไม่ป่วยทำให้เขาเอาเวลาไปทำมาหากินได้เงินเพิ่มอีกปีละ20000บาท 10 ปีก็ 200000 บาท เมื่อไม่ป่วย ลูก หลาน ไม่ต้อง มาดูแล
เฝ้าไข้ ทำให้ลูกหลานเอาเวลาไปทำมาหากินได้เงินเพิ่มอีกปีละ20000บาท10ป
ก็ 200000 บาท รวม 500000 บาท ถ้า 1 ล้านคน ก็ 500000 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมค่า ไฟฟ้าที่อยู่บ้านแล้วเปิดแอร์ หรือ เอารถยนต์ออกไปเที่ยวเพราะไม่ได
ไปขี่จักรยานอีกไม่ต่ำกว่า ปีละ2-3 หมื่นบาทต่อคน ต่อปี เอา10ปี คูณ เอา 1ล้านคน
คูณ เป็นเงินอีก 2-3 แสนล้านต่อ10 ปี เราจะช่วยชาติ ช่วยคัวเอง ได้มากขนาดไหน

นี่ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน ถ้าทุกคนทำได้จริง ทุกอย่างเป็นจริงแบบนี้ ครับ
ที่บ้านผมแต่ก่อนไม่ได้ขี่จักรยาน วันอาทิตย์เอารถยนต์ออกไปขับเที่ยว
ปีหนึ่งเสียเงินเป็นแสนบาท สุขภาพไม่ค่อยดี เสียค่ายาอีกมากทีเดียว
เพราะที่บ้านมี5คน จะมีกระเป๋ายาติดตัวตลอด รวมยา แก้ไข้ แก้อักเสบ
แก้ปวดท้อง ท้องร่วง แก้หวัด ลดน้ำมูก แก้ภูมิแพ้ เบ็ดเตล็ด ปัจจุบัน
โยนทิ้งไปนานแล้วครับ

นี่แหละคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผม พยายามรณรงค์ให้ทุกๆคนมาขี่จักรยานครับ

ที่มา

//www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=57&t=190269
จากทีมจักรยานทางไกล เอ็ม เจ ไบค์ นครปฐม




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2556
0 comments
Last Update : 11 พฤษภาคม 2556 8:31:46 น.
Counter : 1613 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


otto
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Historia De Un Amor - Shoji Yokoughi
[Add otto's blog to your web]