Group Blog
 
 
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
2 เมษายน 2554
 
All Blogs
 

สะปอยละเอียดยิบ พระนเรศวรภาคประกาศอิสรภาพ

ก่อนอื่นต้องขอประทานโทษานุโทษ กับประดาท่านทั้งหลายอันติดตามอักขระพยัญชนะของข้าพเจ้ามาตั้งแต่กระทู้
สะปอยละเอียดยิบภาคแรก [ใครยังไม่ได้อ่านจุ่งรีบไปอ่านเสียบัดเดี๋ยวนี้]
//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5070762/A5070762.html

ด้วยช่วงก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ามิได้ว่างราชการงานเศิกเลย ด้วยติดสอบปากเปล่าบาลีสนามหลวง อันประดุจชนักติดหลังขื่อคา หรือประดุจผียายเนตรในเรื่องชัตเตอร์คอยขี่คอขย่ม มิได้ให้กระหยับไปไหนฉะนี้ จนกระทั่งวันอังคารที่ผ่านมาก็ได้ผ่านลุล่วงไปได้ดังมโนหนึก ให้ปลอดโปร่งโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ครั้นวันนี้จึ่งได้มีเพลาไปเที่ยวชมภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาคประกาศอิสรภาพ อันเปนภาคสองต่อเนื่องจากภาคปฐมวัย
อันที่จริงข้าพเจ้าไปดูมาแล้วรอบหนึ่ง เมื่อครั้งเขาฉายให้สื่อมวลชนทั้งปวงดูชม ด้วยบารมีแห่งเจ้านางเลอขิ่นอินทิรา มอบบัตรฟรีมาให้ แต่ยังไม่สาแก่ใจนัก ด้วยดูยังมิละเอียดถี่ถ้วน ประการหนึ่ง แลหนังที่จะหาจุดจับผิดมิได้ประการหนึ่ง แต่ด้วยมิอาจทัดทานเสียงแห่งมหาชนทั้งปวง ที่ปรารถนาจักให้ข้าพเจ้าสะปอยไว้ได้ ครั้นได้ฤกษ์อันอุดมแล้วก็รัดเครื่องตามประเพณี นั่งสีวิกา ปอ.79 ไปยังโรงมหรสพ เอสเอฟ เซนทรั่นเวิน มิช้าที

มาถึงโรงมหรสพ เอาเพลาบ่าย ก็ให้ปลอดโปร่งผู้คนปราศจากผีร้ายอันมีผีเด็ก ผีนักพากย์ นักประวัติศาสตร์ ผีขายาว ผีหัวฟู ตีนเหม็นทั้งปวง ทั้งโรงดูเหมือนจะดูกันไม่ถึงสิบ แม้จะวังเวงเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่ามีผีร้ายมารบกวน มาติดใจเอาก็แต่โฆษณาขายยาอยู่มิรู้แล้ว ไอ้ที่โฆษณารถนั่นก็ฉายแล้วฉายอีกประดุจจะสะกดจิตให้ซื้อ แต่อย่าหวังเอาเสียเลย รถเล็กๆอย่างนั้นข้าพเจ้าไม่พึงหมาย ทุกวันนี้นั่งรถ ๒๐ ที่นั่งเปนอย่างต่ำ จนข่าววอแล้ว ยังมาขายของอยู่ได้น่ารำคาญ เขาว่ากันว่าถ้าไม่มีโฆษณาขายยาแล้วโรงหนังทั้งปวงจักอยู่มิได้ แลค่าตั๋วเข้าดูชมนั้นก็จะแพงเหลือประมาณ ฟังดูน่าเห็นใจซึ่งก็ได้แต่ปลง ด้วยคนไทยนี้มีวิสัยอะลุ้มอล่วย เขาทำมาก็ต้องดูไป ใครอยากให้เกิดมาไม่มีโรงเป็นของตนเองเล่า ที่จะมีก็เห็นจะเปนโลงจำปา ซึ่งเปนของคนละประเภทกัน เอาเถิดอย่าบ่นมากปากเปนหอยไปก็เท่านั้น


จับความตามท้องเรื่อง มาที่เมืองพิษณุโลกสองแคว ซึ่งก็คงร้อนไม่แพ้หงสาวดีอริโซน่า ด้วยสีออกส้มๆเหลืองๆแลดูร้อนระอุมีตลาด มีร้านค้าริมทาง พ่อค้าแม่ค้าสัญจรไปมาออกคึ่กๆ เปิดฉากมาก็ผิดหวังอีกแล้ว ที่จะได้ดูเมืองมุมสูงหรือภาพรวมเมืองพิษณุโลกที่ว่าเปนเมืองอกแตกนั้นเป็นกระไรก็อดกัน
ต้องมาดูตลาด กะเรือนเครื่องผูกหยอมแหยมตามเคย ติดกะตลาดนั้นก็เปนวัดหรือวังมิรู้ด้วยภาคนี้มิได้มีเสียงบรรยายเหมือนภาคก่อน เสียงหวานๆเหมือนสาวประชาสัมพันธ์ห้างมาบุญครองบัดนี้ภาคก็ล้มหายตายจากไป เสียงแม่สุชาวดี กระจกหกด้าน หรือพ่ออำรุง สารคดีเฉลิมพระเกียรติก็มิได้ปรากฏมาแทนที่แม้แต่น้อย ค่าที่วิจารณ์ไว้มากสงสัยเลยตัดทิ้งเสียจะได้ไม่ต้องวิจารณ์กัน

ในวัดนั้น พระองค์ดำซึ่งบัดนี้เติบใหญ่แลมีพระพักตร์เฮือกไม่ผิดที่ทำนายไว้ ค่าที่ได้ดีเอนเอ ฝั่งพระอัยยิกาศรันยูเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม กะลังประลองดาบกับคุณพระปีเตอร์ หรืออ้ายบุญทิ้งจากภาคก่อน จะฝึกซ้อมกระเกรียมการรบทบทวนการบ้านพิไชยสงครามอันใดมิได้แจ้ง แต่ประดาขุนนางข้าเจ้าบ่าวนายในนั้นล้วนนุ่งขัดเตี่ยวสำแดงเนื้อหนังล่อนจ้อนตากแดดเหงื่อโซมกันซ่กๆ
เหมือนกันหมด ตัวพระองค์ดำก็พอดูได้อยู่ดอกแม้ออกจะกล้ามคล้อยไปนิด แต่ตัวคุณพระปีเตอร์นี้ซี ซี่โครงเปนตับ ดูอกใหญ่เอวเล็กเหมือนไก่ซีพีอย่างไรไม่รู้ทั้งผมเผ้าก็รุงรังสังคะตังยุ่งอยู่ไม่รู้แล้ว ขนาดเปนคุณพระออกปานนั้นยังรู้จักตัดให้ดีงามตามอย่างพระราชนิยม

ฟันดาบกันป้งเป้งๆไม่เท่าไร คุณพระเจ้าเมืองสองคนก็จู่ลู่มาขอเฝ้า คนหนึ่งเปนเปนคุณพระศรีถมอฯ เมืองศรีเทพ ไว้หนวดเขี้ยว อีกคนเปนคุณพระชัยบุรีเมืองไชยบุรีไว้ผมรองทรง นี่ก็ไม่ยักกะตัดให้เหมือนพระราชนิยมอย่างพระองค์ดำเล่า เถียงกันมาตั้งแต่หน้าประดูเสียงดังสมเปนขุนนางบ้านนอกไม่รู้ทำเนียมวัง
ทั้งยังมาเป่ายิ้งฉุบ ประดุจเด็กเล็กเล่นกัน ครั้นมาเฝ้าก็ยังเปิ่นเทิ่นไปกราบคุณพระแขกเงาะตัวดำหมิดหมียังกะเนลสันแมนเดลล่า
เปนมมุขก้านพอได้หวัวกันบ้าง

ครั้นแล้วก็ได้ถวายตัว มีการประลองกันเล็กน้อย ภาคนี้พระองค์ดำไม่ยักกะสำแดงฝ่าเท้าไร้เงาอันฝึกมาแต่อารามเส้าหลินสาขาหน้าประตูโยเดีย
อย่างภาคก่อน อนึ่งพวกจุกช่องล้อมวงนี้ก็กระไร พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ในกำแพงวัดเตี้ยๆ พวกข้างนอกก็เดินกันอยู่คึกๆ ไม่ยักกะห้ามปราบ ยังขี่ช้างขี่ม้าขายของกันเฉยอยู่ ถือว่าสอบตกการอารักขาถวายความปลอดภัย

พระเจ้าสมภพหนวดงาม มางวดนี้เปิดฉากมาปุ้ป ก็พะงาบๆ ทำปากซีดๆ ตาปรอยๆเหมือนยายซอมบี้แสงดาวไม่มีผิด เลยไพล่คิดไปว่าคงจะสวรรคตด้วยพระโรคเดียวเปนแม่นมั่น นี้หากมีใครริจะซื้อ"ปาติหาน" ถวายก็ชอบอยู่ แต่สมัยกระโน้นคงยังไม่มีจึงต้องสวรรคตไปตามท้องเรื่อง

พอพระเจ้าสมภพสวรรคต เจ้าประเทศราชทั้งปวงก็ต้องไปเฝ้าถวายพระเพลิงตามประเพณี พระองค์ดำเลยอาสาพระเจ้าฉัตรชัยลงไปแทน อันพระเจ้าฉัตรชัยนี้ชอบที่ชนรุ่นหลังทั้งหลายควรยกย่องให้เปนพระบิดาแห่งการบำรุงรักษาผิวหน้า
ด้วยพระพักตร์นี้ยังเต่งตึงประดุจทำโบท๊อกซ์แลศัลยกรรมปลาสติกจากโรงพยาบาลยันฮีเอาไว้อย่างแม่นมั่น
ผิดกับฝ่ายพระราชโอรสอย่างองค์ดำที่พระพักตร์เฮือกเกินไว้ แลมีพระขนง(คิ้ว) ขมวดชนกันตลอดเพลา ไม่รู้กลุ้มอะไรนักหนา อันที่จริงเพลาหน้าปรกติก็พอดูได้ดอก แต่เพลายิ้มนี่สิ ดูแสยะแยกเขี้ยวน่ากลัวพิลึก ผิดกะพระองค์ขาว นี้ก็หน้าตลกเหลือเกิน เวลายิ้มเหมือนแป๊ะยิ้ม เชิดสิงโตในเทศกาลกรุษจีนที่ผ่านมา แลท่าทางก็ก๊องแก๊ง ไม่เปล่งรังสีเฮ้ากวงความเปนพระราชโอรสกะเขาเลย แต่ช่างเถิดภาคนี้ออกฉากสองฉากยังไม่ได้สำแดงฝีมือรบอันใด ภาคหน้าคร้านจะมาชมกันไม่เลิก

มองท้องพระโรงอันเสนาอำมาตย์มุขมนตรีเข้าเฝ้าทั้งปวงไม่ยักกะเห็นพระนางปวีนา ชะรอยคงเสด็จไปรักษาพระอาการยังพระศรีธัญญาอโรคยาศาล ด้วยพระโรควิปลาสครั้งก่อน หมีดีหมีร้ายมาออกขุนนางครั้งนี้เกิดกรี้สสส!!! ขึ้นกลางวงจะขายหน้าไปห้าเบี้ยอีก

กล่าวฝ่ายหงสามาภาคนี้ดีหน่อยด้วยเปิดฉากเห็นเมืองหงสาวดีมุมกว้างแว้บหนึ่ง แลดูยิ่งใหญ่อลังการท้องพระโรงอันประดาหัวเมืองประเทศราชเข้าเฝ้าก็แลดูอลังการขึ้นจากภาคก่อน แม้เครื่องประดับเรซิ่นทั้งปวงจะมีบ้างที่ออกสีเหลืองอย่างกระป๋องสังฆทาน บ้างแต่ก็ให้อภัย เปิดฉากขึ้นก็เอาแล้วมีเสียงพากย์พม่า "โหย่ว โหงว หนั่นหยู มะแขวะ ซวนหยั่น" อะไรจำเทือกนี้ ประกอบเสียงประโคมแตรสังข์กระทั่งมโหรทึก มิรู้แปลว่ากระไร สักพักถึงพากย์ไทย ประกาศชื่อเมืองประเทศราช ที่ขึ้นกับหงสาสวามิภักดิ์พระเจ้านนเตียะบาเยงซึ่งฟังดูไม่คุ้นหู กลับบ้านมาเปิดตำราถึงรู้ว่าอ่อ "นันทะบุเรง" ซึ่งมิใช่ใครที่ไหนก็ พระอุปราชต้นจักกฤษณ์ อดีตพระเอกเก่าซึ่งบัดนี้ อ้วนฉุบวมน้ำขึ้นครองหงสาแทน พระเจ้าสมภพ ภาคที่แล้วเห็นแต่หน้าโผล่มากัดฟันกรอดๆ ไม่ยักกะพูดอะไรจนนึกว่าพูดมิได้ มาภาคนี้พอได้พูดเอาเสียใหญ่ เพลาพูดเหมือนตะคอกคำราม เหมือนน้ำลายจะกระเด็นออกเปนฟองฟอด พูดช่วงแรกๆก็ดีอยู่หรอก หลังๆเสียงเริ่มแผ่วด้วยบทยาวนักหนา มิได้พักหายใจหายคอ อนึ่งลางทีพูดๆอยู่เสียงเดี๋ยวดังบ้าง เบาบ้าง เหมือนพวกละคอนรำใช้ไมค์ลอยติดพอเจรจาเสียงหายบ้างด้วยแบตตารีหมด

ภาคนี้เจ้าฝ่ายพม่าชื่อตะละล้วนออกภาษาอย่างพม่าแท้ ออกหน่องๆ หม่องๆ นนเตียะ โบเมียะ ขิ่นยุ้น อองซานสุขะยี ฟังดูจั๊กกะจี้พิลึก จริงอยู่อาจารย์ผู้เขียนบทคงต้องการให้ชื่ออกอย่างพม่าแท้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าชื่อพม่าตามปากไทยที่เราคุ้นในพระราชพงศาวดารนั่นก็ดีอยู่
อย่าง นันทะบุเรง มังกระยอชวา หรือจะยึดเอาตามตำแหน่งเรียกแทนชื่ออย่างพระเจ้าหงสาวดี พระมหาอุปราชา ก็ชอบด้วยพระเพณี เหตุว่าคนสมัยก่อนนั้นถือทำเนียมว่าจะไม่ออกชื่อเจ้านายตรงๆ แต่จะออกเลี่ยงๆ หรือพระนามาภิไธยลำลอง ไหนๆแล้วก็ขอพูดหน่อย คือ ชื่อเรียกในเรื่องนี้หลายชื่อเสียเหลือเกิน อย่างพระนเรศวรนี้ เดี๋ยวพระองค์ดำ เดี๋ยวพระนเรศ เดี๋ยวพระนเรศวร เดี๋ยวตองเจ เดี๋ยวเจ้าฟ้าสองแคว ธรรมดาข้าไพร่ก็ควรจะเรียกว่าพระองค์ดำ หรือพระบวรราชเจ้า หรืออะไรที่เปนยศเปนตำแหน่งของท่านไป มิควรอาจเอื้อมเรียก พระนเรศวร หรือพระนเรศ อย่างเจ้านายเรียกกัน หรืออย่างฝ่ายพม่าก็ชอบจะเรียกว่าตองเจ เจ้าฟ้าสองแควก็เรียกไปเสีย อย่ามาเรียกปะปนว่าพระนเรศบ้าง เจ้าฟ้าสองแควบ้าง พระนเรศวรบ้าง ด้วยธรรมดาคนเรียกขานชื่อกันก็เรียกตามคุ้นปากคุ้นลิ้น เคยเรียกตองเจๆมาตั้งแต่น้อย จะมาสับสนเรียกอย่างไทยกะไรอีกเล่า

อนึ่งบัดเดี๋ยวเจรจาภาษามอญ เดี๋ยวเจรจาภาษาพม่า เดี๋ยวไทย อะไรต่อไรยุ่งขิงไปหมด เหตุไฉนมิเจรจาพากย์ไทย พากย์มอญ พม่าให้เด็ดขาดไปเสียข้างหนึ่ง
ยิ่งพูดพม่ามอญด้วยแล้วฟังดูเหมือนตะคอก ขากเสลดใส่กันพิลึก หรือจะเอาอย่างละคอนรำเวลาออกเพลงหางเครื่องสำเนียงพม่า อย่างพม่าเขว หรือพม่าทุงเล

"ซวนยาหยั่นบ่เล อะเกิงพวะหย่าซวย
หนั่นยูยวยหย่วยยูยัน เหย็ดหยับยิก
มะมังเลเปปาหยิบย้อ นะบาบิเล
เขว่เขวละแหวะ ยัดเติ๊งแม่ประแดีะ
ยัดเติ๊งแม่ประแด๊ะ นะบาบิเล"

ร้องพร้อมๆกันก็คงสนุกดี แต่นี้มันหนังมิใช่ละคอนรำ หรือละคอนดึกดำบรรพ์คณะเจ้าพระยามหินทร์ที่ไหนเล่า
จะมาเล่นออกสิบสองภาษาให้คนงง เดี๋ยวก็พากย์มอญ เดี๋ยวก็พากย์ไทย
เดี๋ยวก็ม่านมุ้ยเชียงตา ทุงยาบ่าเล มองเล่ยะ ดูสับสนอลหม่าน
ข้าพเจ้าเสนอดังนี้ ถ้ารักจะพูดออกภาษาจริงๆให้เล่นอย่างดนตรีไทย
คือเอาสำเนียงก็พอ มิต้องถึงกะลงทุนเจรจาอย่างเจ้าของภาษาได้โทเฟล-ไอเอลให้ยุ่งขิง
เอาอย่างลาล่าลูลู่นั่นประไร ที่พูดมะชัด ออกสำเนียงพม่าไปเลยสิ้นเรื่องราว

หรือไม่ก็เจรจาภาษาไทยนี่แล จะได้ไม่ต้องมีซับอันใดให้อ่านปวดหัว
สมมตินามตามท้องเรื่องว่าได้กินหมากฝรั่งแปลภาษาของโดเรม่อนแล้วก็สิ้นเรื่อง

หาไม่เช่นนั้นแล้วเพลาพระองค์ดำเจรจากะนันทบุเรงหรือพระมหาอุปราชาก็เจรจาเปนภาษาพม่าประเทศเสีย
ค่าที่เปนนายกสมาคมนักเรียนเก่าพม่าพระองค์แรกตามประวัติศาสตร์เป๊ะๆ

พระองค์ดำเสด็จมาหงสาครานี้คงจะห่างร้างไปนาน ค่าที่เปนเด็กวัดเก่ามาถึงก็จับไม้กวาด กวาดตาดอย่างเคย คุณพระปีเตอร์ก็ประจำตำแหน่งล้างบาตร เปนเด็กวัดโข่ง ฝ่ายเด็กมณีจันทร์บัดนี้ก็ได้โตเปนสาวสวยสะ เสียแต่หน้าใจยังมิได้โตตามให้เต็มที่ ครั้นรู้ข่าวก็รี่มาเฝ้าองค์ดำ อารามดีใจร้องโหวกเหวก ว่าองค์ดำๆ มาแต่ไกล ค่าที่เด็กวัดเก่าเหมือนกันเคยเล่นหัวกันมาแต่น้อย ต่อหน้าพระพักตร์ไม่ยักกะถวายบังคมเอาหัวโขกพื้นสามครั้งตามประเพณี ยังมีกะใจตะกองกอดกันกลางลานวัดไม่อายผีสางเทวดา พระเถรเณรตู้ทั้งปวง จนขรัวตาสรพงษ์ต้องเอาน้ำสาด เอ้ย!! มิใช่ ต้องมาห้ามปรามแยกทัพ เรียกให้มาคุยกันบนศาลา ฉากคุยกันกะขรัวตามหาเถรนี้ก็ขอติหน่อยเถิด ด้วยบทเจรจานี้เอาแน่เอานอนมิได้ บัดเดี๋ยวแทนตัวว่า ข้า ว่าเจ้า เดี๋ยว อาตมา มหาบพิตร เดี๋ยว รูปท่าน เดี๋ยวโยม อันที่จริงเลือกเอาสักอย่างเถิด ขรัวตาก็แทนตัวว่าอาตมา เรียกพระองค์ดำว่ามหาบพิตร ตามอย่างประเพณี ส่วนองค์ดำก็เรียกตัวเองว่า โยม เรียกขรัวตาว่าพระคุณท่าน หรือพระคุณเจ้า หรืออะไรสักอย่าง ให้พอเพียงเถิด อย่าโลภมากสร้างความหลากหลายทางภาษาให้สับสนอลหม่านเลย

แต่เอาเถอะ ข้อติติงที่ข้าพเจ้าเห็นก็แค่บทสนทนาเท่านั้น ขอดีเด่นของหนังเรื่องนี้ยังมีอีกหลาย อย่างตอนแต่งทัพไปปราบเมืองคังนั่นปะไร ทำออกมาน่าดูไม่หยอกเปนเมืองบนเขาสูง มิรู้ว่ามีหิมะด้วยหรือไม่ ท่าจะเปนเมืองตากอากาศ แข่งสกีกันเปนประเพณีคงสนุกชอบกล

ครั้นมีชัยเหนือเมืองคังพระองค์ดำก็ทรงระนาด พักผ่อนอิริยาบท ฟังดูไม่รู้ว่าเพลงอะไร ดูดังโป๊กๆเหมือนกะตอกตะปูเสียมากกว่า ชอบที่พระมหาอุปราชาจะรำคาญ ลุกขึ้นมาตวาดแว้ดเปนภาษาพม่าประเทศว่า "หนกขู!!!" ทางที่ดีควรเปลี่ยนใหม่ให้พระองค์ดำทรงกลองยาว มีประดาขุนทหารทั้งปวงพร้อมกันโห่ฮิ้ว มงเท่งมง ใครมีมะกรูดมาแลกมะนาว ใครมีลูกสาวมาแลกลูกเขย เอาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว เอ้าโห่.................ฮิ้วววว (รับพร้อมกัน) ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ว่ากลองยาวมรดกไทยนี้มีพระองค์ดำเปนผู้นำเข้ามาแต่เมืองพม่าประเทศขะโน้น

พูดเรื่องนักแสดงนี้นับว่ากินขาดกว่าภาคแรก ด้วยตะละคนล้วนตีบทแตกกระจุยกระจาย กล่าวฝ่ายตัวนางนี้เห็นจะหนีไม่พ้นเจ้านางเลอขิ่นอินทิรา ธิดาเจ้าฟ้าเมืองคังหิมาลัยประเทศ อดีตนางเอกหนังผีร้อยล้านเรื่องแม่นากที่หลอกพระเณรเถรตู้วัดมหาบุศย์อันลือลั่นนั่น บัดนี้พลิกบทบาทมาเปนราชินีนักบู๊เต็มตัว มิแพ้ราชินีนักบู๊รุ่นพี่อันมี หม่อมหลวงสุรีวัลย์ สุริยงแลจารุณี สุขสวัสดิ์ เปนปฐมวงศ์ เที่ยวยืนบนเชิงเทินป้อมเมืองสะพายกระบอกใส่ลูกศรยิงพม่าข้าศึกทะมัดทะแมง ชะรอยศรในกระบอกจะเปนศรพรหมมาสตร์อย่างโขนตอนศึกอินทรชิต ยิงกี่ทีๆไม่ยักกะพร่อง แลนุ่งชุดหนังแขนมีขนเฟอร์ประดับแปลกตา เจ้านางเลอขิ่นอินทิรานำพาทะแกล้วทหารรักษาเมืองไว้เปนสามารถ มาเสียทีเอาก็ตอนพระองค์ดำรู้ทางขึ้นเมืองเหตุว่าเมืองอยู่สูงย่อมแล้งน้ำ ไพร่ฟ้าบนนั้นจึ่งไม่ใคร่ได้อาบน้ำลงสรง ชะรอยจะพากันเปนโรคยอดฮิตประจำถิ่นคือ "สังคัง" กันถ้วนทั่ว ต่อมาคงได้กร่อนเสียงเหลือแต่ "คัง" อันเปนที่มาของเมืองหิมะนี้แน่

เจ้านางเลอขิ่นอินทิรานี้เก่งไปเสียทุกอย่าง ทั้งยิงธนู ขี่ม้า ฟันดาบ มาแพ้ทางประดุจงูแพ้เชือกกล้วยก็อีตอนโดนคุณพระบุญทิ้ง ปีเตอร์จูบเอา ก็จะตอนไหนเสีย ต่อฉากรักตบจูบๆสกุลช่างอาพิศาล นั่นปะไร พากันขี่ม้าไล่กวดมาถึงโตรกธาร ก็ได้กอดรัดฟัดเหวี่ยง เอาไม้ทุบหัวจิกลาก เอาหินทุบกบาลประดุจมนุษย์หินฟลิ้นสโตนบอกรักกันฉะนี้ แต่อย่างว่าล่ะนับถือฝีมือท่านผู้กำกับจริงๆ ผู้หญิงโดนจูบนั้นจะไปไหนเสียไปๆมาๆที่ชังๆกันก็เคลิ้มซะแล้ว จะหนีก็ไม่หนี อ่อนระทวยตรงริมธารนั้น ไม่ยักกะหาผ้ามาปูเสียก่อนด้วยหญ้าทั้งปวงก็แยงอยู่นัก

ครั้นแล้วก็เดินตัวปลิวเบาหวิวกลับที่พัก ปล่อยให้หมู่เพื่อนแลบิดาหัวฟูประดุจสิงโตอยู่ในกรงนั่นแล้ว อันว่าบทจูบนี้ก็สมจริงดูอยู่ดอก แต่ก็เอาพอประมาณนี้หลุดจากคุกอมขี้ฟันมาเปนเดือน หัวหูก็ยุ่งเห็บเหายุ่บยั่บ ยังมีกะใจมาจูบกัน พิศดูคงเหม็นฉมอรอวลสังเกตได้จากสีหน้าคุณพระปีเตอร์ที่ผงะเล็กน้อย แต่เอาเถิดค่าที่คุณพระบุญทิ้ง ปีเตอร์เองก็ซกมกพอกัน ดูแต่ทรงผมนั้นปะไร จะตัดก็มิตัดปล่อยไว้ยุ่งเหยิงเหนียวหนึบน่าแขยงนัก

แต่พูดถึงบทบาทของสองพระนางนี้แล้วก็นับว่ามาช่วยเติมสีสันรสชาดให้กะภาคนี้เปนขนาด
โดยเฉพาะบทรักที่จะให้พระองค์ดำกะนางมณีจันทร์มาตบจูบๆ สะใจแม่ค้าอย่างสองพระนางนี้ได้อย่างไรเล่า

อนึ่งที่จะอดชมมิได้คือ นางหมอกมู อภิรดี ด้วยเล่นได้ดีเด่นมิเสียชื่อนางเอกเก่า จะบทบู๊ขี้ม้ายิงธนู ซัดมีดบินก็ทำได้ดีไม่เคอะเขิน แต่สงสัยอย่างเดียวว่าพออีตอนโดนจับไปชำระโทษที่หงสา เขาเอาเจ้าฟ้าราชสีห์ขนทอง ชุมพร กะเจ้านางเลอขิ่นอินทิรา ขึ้นกองฟืนเตรียมย่างสด ซึ่งก็ชอบแล้วด้วยเปนเจ้าฟ้าแลเจ้านาง แต่ไฉนนางหมอกมู อภิรดี นี้ถึงได้พลอยฟ้าพลอยฝนต้องมาขึ้นกะเขาด้วย หรือนอกจากจะเปนนางพี่เลี้ยงแล้วยังเปนเมียน้อยเจ้าฟ้าด้วยล่ะหรือ แต่เอาเถิดสงสัยไปก็เท่านั้นภาคต่อไปคงไม่ได้เห็นแล้ว ด้วยเธอกระทำอัตวิบากกรรมเชือดคอตัวเองด้วยฝีมือชั้นยอด ไม่ยักกะสำลักเลือดหรือชักกระตุกทรมานก่อนตายให้แยบคายสมจริง หรือทำเทคนิคเลือดพุ่งใส่หน้าเจ้านางให้น่าสยด นี้ปาดแล้วก็ซบนิ่งไปเฉยๆไม่สาใจคอซาดีสม์เลยแม้แต่น้อย

ตัวละคอนที่สร้างสีสันให้กะหนังภาคนี้ มิพูดถึงมิได้ก็เห็นจะเปนสองคุณพระเป่ายิ้งฉุบหั้นแล โผล่ออกมาฉากแรกก็ขโมยซีนเขาเสียแล้ว ทั้งยังเจรจาพาที ใต้เท้า เกล้ากระผม ขอรับๆ รับส่งบทกันสนุกสนาน

อันว่าพระศรีถมอฯนี้ออกจะเจ้ายศเจ้าอย่างอยู่ไม่น้อย ไปไหนมาไหนต้องมีไพร่ข้าบริวารถือเครื่องยศ พานหมาก กั้นสัปทน เข้ากระบวน กลัวเขามิรู้ว่าเปนคุณพระหรือกะไร นี้ถ้าเปนสมัยนี้คงเข้าจำพวกบ้าเครื่องแบบ ประดับเหรียญตราเหรียญติ่งออกล้อมเอว ออกสนามรบแนวหน้ายังมีกะใจเกณฑ์ไพร่ข้าตามแห่ ระเบิดลงอยู่ตูมๆยังรัดเครื่องอยู่ไม่แล้ว พอรัดเครื่องแล้วยังมารำพร้ารำขออยู่ จนเขารบกันเสร็จไปยกหนึ่งมิได้ฟันพม่าข้าศึกเก้อไป

ส่วนคุณพระชัยบุรีนี้ออกแนวสยองขวัญเล็กน้อย ด้วยเมื่อคราวศึกเมืองคังเปนฝ่ายวางระเบิด ค่าที่ยังไม่รู้จักระเบิดแสวงเครื่อง หรือระเบิดซีโฟว์ มาเสียทีเอาโดนระเบิดเสียเองเพราะเอาตัวเข้าบังคุณพระศรีหนวดเขี้ยว ชะรอยคงจะซึ้งอกซึ้งใจกันมาแต่ปางนั้น

สะเก็ดระเบิดโดนตาคุณพระชัย ร้อนถึงคุณพระโกวิทย์อดีตพระเอกไอ้เสมาจากเรื่องขุนศึก ซึ่งบัดนี้กลายมาเปนหมอสนาม ต้องเอาเหล็กเผาไฟแดง แยงตามีควันฉ่าเหมือนย่างหมูกระทะน่าสะพรึง คุณพระชัยเราจึงหมดสภาพนอนแผ่พะงาบๆมีผ้าปิดตาไว้ ครั้นคุณพระศรีหนวดเขี้ยวมาเยี่ยม ก็กุมมือกัน ให้คนเขาคิดเลยเถิดว่าได้กลิ่นวายคละคลุ้ง ข้างคุณพระชัยยังมีกะใจเย้าว่า จำกลิ่นเขมรเหม็นฉมนี้ได้ ทำให้คุณพระศรีถมอหนวดเขี้ยวต้องสะบัดมือทิ้ง แลกล่าวแก้เกี้ยวว่า

"เรานี้มาดูว่าตัวนี้ตายหรือยัง ตะหาก จักได้เปนธุระทำกงเต็กให้"

แล้วก็สะบัดหน้าพรืดหนีไปด้วยความขวยเขิน มิรู้ว่าไปจำกลิ่นกันได้แต่เมื่อไร ชะรอยจะเมื่อครั้งขึ้นเมืองคังเมาเท่น หุบเขาเร้นรักครั้งกระโน้นแน่แท้

แต่นั้นมาคุณพระชัยเลยเหลือตาเดียวมีผ้าปิดตาประดุจกัปปิตันฮุก เพลาว่างก็เล่นสะกาหมากรุกกะคู่ขา เอ้ย!! หมู่เพื่อนร่วมรบอย่างคุณพระศรีถมอเอาเปนเอาตาย ฝ่ายทหารบริวารครั้นจับตัวอุปนิขิตพม่ารามัญ ซีไอเอ เคจีบี เอฟบีไอ ดีเอสไอ ได้ทั้งปวงนำมาให้ชำระ ก็มัวแต่เล่นสกาหมากรุกเพลิน โบกมือให้เอาไปแขวนคอไว้กะประตูค่าย ลิ้นจุกปากน่ากลัว แต่ชะรอยเมืองพม่านี้จะแดดแรง ด้วยศพทั้งปวงไม่ยักกะขึ้นอืดมีแมลงวันตอมแลหนอนไช น้ำเหลืองไหลย้อยมาเปนน้ำพระพุทธมนต์ประพรมเวลาทะแกล้วทหารผ่านประตู
กลับแห้งแก๋ ประดุจเนื้อแดดเดียว จนมหาเถรสรพงษ์เดินมาเห็นเข้าต้องปลงอสุภะ อนิจจัง บังสุกุล

เด็กมณีจันทร์ภาคที่แล้ว มาภาคนี้กลับโตขึ้นเปนสาวสะน่ารัก ปากคอคิ้วคางทิ้งมิเหลือคราบเด็กแก่นกะโหลก รัดเครื่องอย่างมอญก็สวยขึ้นเครื่อง เสียแต่ประเคนมาสคาร่าที่ขนตาจนหนาเปรอะ เปนตาสิงโตกรุษจีนเพลากระหยับเปนแผงๆเท่านั้น อยู่วังไม่เท่าไรก็ตั้งตัวเปนคุณท้าวเจ้านางเสียแล้วมาตลาดยังต้องนั่งเสลี่ยงนั่งวอ มีจ่าโขลนคอยไล่ตีผู้คน พลางประกาศว่า "หลีกไป นี้คือขบวนเสด็จของเจ้านางมณีจันทร์ นางสนองพระโอษฐ์ในพระนางอะเมี้ยวโย่วว!!!!"
ชะรอยพระเจ้าสมภพก่อนเท่งทึงคงกระซิบบอกพระนางเกรซว่านี้เปนลูกลับๆ
พระนางถึงได้ส่งเสริมเสียนอกหน้าผิดขนบประเพณีเยี่ยงนั้น

ใช่ว่าในวิทยาลัยนาฏศิลป์ตำหนักพระนางเกรซ จะสอนรำสอนฟ้อนแต่ถ่ายเดียวเสียที่ไหน ยังได้สอนกระบี่กระบองหอกดาบปืนไฟด้วย ก็เมื่อแอ๊บ มณีจันทร์ โดยเสด็จพระองค์ดำ ก็เปนหญิงมอญสามารถขับม้าไล่ข้าเศิก ยิงปืนไฟใส่พวกนาคาไม่ประหวั่นพรั่นเกรง ครั้นข้ามแม่น้ำสะโตงก็ตั้งกองกาชาด ปฐมพยาบาลประดุจนางฟอเรนไนติงเกลฉะนั้น น่าชื่นชม

เสียแต่ไปอยู่วังตั้งนานขนบประเวณีก็มาลืมสิ้น ว่าหญิงชาววังจะไปกอดกะชายได้เยี่ยงไร คงอารามดีใจไปกอดกะคุณพระบุญทิ้ง ปีเตอร์ จนเจ้านางเลอขิ่นอินทิรา ตาเขียวใส่ นี้ภาคสามรอดูเถิดจะได้มีฉากขึ้นหึงส์ตบตีอย่างไทยแท้ อย่างละคอนรำให้เปนขวัญตา


ไปๆมาๆกระทู้นี้กลายเปนตลาดโยเดียไปเสียแล้ว แลดูคึกครื้นบันเทิงยิ่ง แลแม่ค้าแม่ขายทั้งปวงมากันเปนอัตรา ตะละล้วนคนกันเองทั้งสิ้น เอาเถิดจะใคร่ค้าอันใดก็ค้าไป ตามอัชฌาสัย แต่อย่าเถิงกะตบตีแย่งลูกค้า ประเดี๋ยวเทศกิจจักมากุมตัวกันให้วุ่น ส่วนข้าพเจ้ามีหน้าที่สะปอยก็จะทำถวายพระเดชพระคุณกันต่อ

กล่าวฝ่ายตัวละคอนเอกเมื่อภาคโน้นอีกตัวคือ พระมหาเถรตั๊กม้อสรพงษ์ ซึ่งภาคก่อนสำแดงพลังเคียวพิฆาต แลไม้เท้าประกาสิต จนเปนที่เลื่องลือกระฉ่อน มาภาคนี้ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์นัก ด้วยว่าชราชแรแก่พรรษา เลยมาเปนกองหนุน เป่าน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก เคาะกะโหลกโป๊กๆ กริยาท่าจะขลังไม่น้อย ขนาดคุณพระปีเตอร์บุญทิ้งยังต้องขอชานหมากไว้บูชา แต่เอาเข้าจริงพอถึงคราวคับขันโดนพม่าข้าศึกไล่กวดควบม้า ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องปืนวิลาสโปรตุเกส เข้ากลางหลัง ชะรอยขรัวตาท่านคงแอบโดดลงตั้งแต่ ๘๐ กิโลแล้ว ค่าที่กลัวความเร็ว แต่ก็ยังดีรูปท่านมีญาณสมาบัติสูง ถึงได้เดินลิ่วๆจีวรปลิวข้ามสะพานซึ่งมิใช่ใกล้ มาบอกพระองค์ดำให้ไปช่วยแก้ไขได้ทันที ไม่ยักกะขึ้นเสลี่ยงคานหามนี้ถ้าสมาบัติไม่ดีพอคงมาหอบแฮกๆหน้าพระพักตร์
ไม่ทันได้แจ้งข่าวสารการใดเปนลมหน้ามืด คุณพระปีเตอร์มีหวังตายอนาทไม่ต้องรอถึงภาคสามเปนแน่แท้

นี้ก็อย่างคุณปลาทองสยองเมืองว่า รูปท่านมาอยู่กลางศึกนี้มิต้องอาบัติแย่หรือ ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ได้แต่คาดเดาว่า ท่านคงถือตามอย่างสำนักเส้าหลิน คือออกรบต้านอธรรม ต่อสู้กะพรรคมารไม่ถือเปนการบาปอันใด ไม่แสดงพลังหมัดมวย อย่างอิดเต็งไต้ซือก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าสงสัยอันใดเลย


ฉากดีเด่นที่จะต้องสรรเสริญเถิงก็คือ ฉากที่กองทัพพระองค์ดำมายั้งอยู่ที่เมืองแครง อันเปนที่เราท่านรู้ว่าเปนเมืองที่ พระองค์ดำทรงประกาศอิสรภาพที่นี่ อันเมืองแครง นี้พาลทำให้คิดไปถึงหอยแครงลวก แลน้ำจิ้มเผ็ด ซึ่งที่อร่อยขึ้นชื่อนั้นก็แถบถนนดินสอทางไปโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า ชะรอยเมืองนี้ประชากรคงนิยมรับประทานหอยแครงเปนพื้น หรืออาจจะมีสินค้าส่งออก-นำเข้าอันเลื่องชื่อเปนหอยแครง แลคงเพี้ยนกร่อนเสียงเหลือแต่เมืองแครง ครือๆกะเมืองคังนั่นแหละ ข้อนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รับรอง แต่เอาเปนว่าทัพพระองค์ดำก็มาตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองแครงนี้แหละ ด้วยเจ้าเมืองอ้วนตุ๊ต๊ะ ค่าที่กินแต่หอยแครงมากไปบอกให้ทัพยั้งอยู่นอกเมืองใกล้ๆกะวัดมหาเถรสรพงษ์ ด้วยรูปท่านหลังจากพระเจ้าสมภพ สิ้นพระชนม์ก็ได้ย้ายสาขามาตั้งวัดอยู่ ณ เมืองนี้แทน

้เรื่องมาเข้มข้นเอาตอนที่พระมหาอุปราชา ซึ่งแค้นกันมาแต่ภาคโน้น มาบัดนี้ทาหน้าขาว ปากแดง แลถมขอบตาสีดำปื้ด อย่างกะแพนด้าช่วงช่วง แลมีมังจาปะโร ทส.คนสนิท ซึ่งก็แต่งหน้าไม่แพ้กัน เปนหลินฮุ่ย ส่งพระยาเกียรติ์ แลพระยาราม อดีตเด็กวัดร่วมสำนักองค์ดำ ซึ่งดูเผินๆนึกว่ารุ่นพ่อ ด้วยหน้าแก่ง้ำ องค์ดำว่าแก่แล้วมาเจอพระยาเกรียน พระยารามนี้สู้มิได้เลย

อันพระมหาอุปราชาวังหน้าหงสานี้ ฉายภาพมาทีไรก็ต้องรัดเครื่องโพกหัวเต็มยศทุกที ไม่ยักกะปล่อยสยายให้ผมได้หายใจบ้าง คงจะเหม็นอับเหม็นฉมน่าดู แลเครื่องทรงหนักๆคันๆนั่นก็มิรู้จักเปลื้อง หรือว่าท่านผู้กำกับต้องการสื่อว่าท้าวเธอเปนคนรักสวยรักงามหรือกระไร
แต่ที่เห็นๆคือเธอนิยมสุงสิงกะฝ่ายหน้ามากกว่าฝ่ายใน ผิดกะพระอัยยิกาสมภพ เปิดฉากมาทีไรต้องเห็นภาพตาแก่ช่างกิน กินโน่นนี่จุบจิบ มีสาวสนมนางในป้อนอยู่เต็มอัตรา แต่เถิงจะแสดงภาพอย่างไรก็สู้สองคุณพระเป่ายิ้งฉุบจับมือซึ้งกันฉากเดียวมิได้ วายกว่ากันเยอะ!!

ครั้นแล้วพระยาเกรียนพระยารามบ้อซื่อ เกิดสำนึกย้อนหวนไปถึงความหลังครั้งเปนเณรร่วมสำนักขรัวตาสรพงษ์มิได้ เลยไปสารภาพบาปกะขรัวตาสรพงษ์ แลต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ดำ พอพระองค์ดำทราบความก็ตรัสออกมาเปนภาษาเขียนตามที่ท่องมาจาก
พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเป๊ะๆ น่าให้A วิชาประวัติศาสตร์ยิ่งนั้ก

"เราหาความผิดมิได้ ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีคิดร้ายต่อเราก่อนนั้น อันแผ่นดินพระมหานครศรีอยุธยา กับแผ่นดินหงสาวดีขาดจากทางพระราชไมตรีกัน เพราะเปนอกุศลกรรมนิยม สำหรับที่จะให้สมณพรามหมณาประชาราษฏรได้ความเดือดร้อน..."

อันที่จริงก็ดีอยู่ดอกที่จะให้ได้ความอย่างพระราชพงศาวดารแท้ๆ แต่นี้เปนภาษาเขียนอย่างวรรณกรรม พอเอามาพูดเลยดูพิพักพิพ่วนชอบกล นี้หากปรับปรุงให้เปนภาษาพูดเหมาะปากแล้วน่าจักได้ความซึ้งตื้นตันใจขึ้นเปนสองกองสามกอง
ด้วยขนาดท่องปานนี้แล้ว ข้าพเจ้าดูยังอดกลั้นสะกดน้ำตาไว้มิได้ แลราวมีก้อนปีติมาจุกที่คอ ให้ชื่นชมผู้พันเบิร์ดมิได้ ว่าเล่นดีเหลือขนาด ทั้งๆที่ตัวนั้นก็เปนทหารอาชีพ มิได้เปนดาราเจ้าบทบาทมาแต่ไหน หากแต่กริยาท่าทาง สุ้มเสียง หนวด คิ้ว ล้วนสะกดใจให้ผู้ชมผู้ฟังเชื่อถือได้ว่านี้แลคือพระนเรศวรเปนเจ้าแท้ๆ
คือมีความแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ตวาดหรือสั่งการอันใดก็ประดุจทหารแท้ๆ ซึ่งก็แน่ล่ะด้วยเปนทหารมิใช่มาทำเสียงแว้ดๆทีเล่นทีหัวเหมือนดาราทั่วไป

ครั้นทราบความแล้วก็สั่งให้คุณพระปีเตอร์แลพรรคพวกไปกุมตัวเจ้าเมืองแครงอ้วนตุ๊
คุณพระปีเตอร์ซึ่งก็คงจะไปเรียนรู้วิชานินจามาแต่ออกญาเสนาภิมุขอาสาอิปุ่น ก็แต่งดำบุกถึงจวนเจ้าเมืองแครงอ้วนตุ๊ ซึ่งดูประหนึ่งฮาเร็ม ด้วยมีสาวๆโนบรา ดีดพิณ ป้อนอาหารกันอยู่ควั่ก แต่ท่าจะเปนเบื้อใบ้กันทั้งจวน ด้วยโจรบุกออกปานนั้นไม่ยักกะวี้ด ขึ้นสักนาง หรืออาจารย์ผู้เขียนบทกลัวว่าจะร้องไม่เหมือนพม่า เลยไม่ต้องให้ร้องเสียข้อนี้ก็มิอาจทราบได้


แล้วก็ทรงตั้งการพระราชพิธีตัดทางพระราชไมตรีกันที่เมืองแครงนั้น นิมนต์พระมาสวด แต่ไม่ยักกะตั้งโรงมีหลังคาบังปล่อยให้พระนั่งแดดแยงหัวเหงื่อซ่กกันอยู่
ครั้นได้ฤกษ์ก็ทรงประกาศเทวดา หลั่งน้ำทักษิโณฑก จากพระเต้าสุวรรณภิงคาร ตอนนี้ซึ้งหนักหนามิอาจกลั้นน้ำตาที่เอ่อหน่วยตาอยู่ได้ กะลังซึ้งอยู่ดีๆตาคุณพระปีเตอร์ ก็จู่ลู่กำหมัดลุกโพล่งขึ้นร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "พระนเรศวรๆๆ"
ไม่รู้กาละเทศะเสียเลย สมกะเปนเด็กวัดไม่รู้ธรรมเนียมแท้ๆ บรรยากาศหนังตอนนี้เลยดูเป็นฝรั้งงงง - ฝาหรั่ง
เหมือนหนังนักรบอะไรสักอย่างที่ปลุกใจเรียกชื่อแม่ทัพนายกองพร้อมกัน มีเคาะโล่ เคาะกะลากันอึงคะนึง นี้ถ้าอยากมีฉากนี้จริงๆก็ชอบจะร้องพร้อมๆกันว่า "ชโยๆๆ" ขึ้นพร้อมๆกัน อย่างไทยแท้ เหมือนเวลาทหารเขาสวนสนามถ่ายทอดสดทาง ททบ.๕ นั่นปะไร

ที่จะซึ้งก็มาป่นปี้เอาเสียตรงนี้


ฉากที่ทำได้ดีอีกฉากหนึ่งคือ ตอนที่พระองค์ดำเสด็จประพาสต้น ปลอมตัวเปนคนสามัญชน แต่ออกจะเปนสามัญชนที่ไม่ใคร่จะแยบคายนัก ด้วยพากันถือหอกตะพายดาบกันทั้งก๊ก เหมือนพวกจอมยุทธ์หนังจีนกะลังภายในเดินทางร้อยลี้เสียมากกว่า แต่เอาเถิด สมัยนี้ยังมีพวกพกปืน ขับรถเฉี่ยวกันเล็กๆน้อยๆก็ควักออกมายิงกันเท่งทึงออกบ่อยๆ สมัยก่อนจะถือดาบไว้ฟาดกันมิได้เจียวหรือ

ฉากประพาสตลาดนี้ สำแดงให้เห็นความเปนไท๊ยยย-ไทย ออกมาได้อย่างยิ่งยวด ทั้งเสียงโห่ฮิ้ว แห่นาค แต่ไม่ยักกะมีแตรวง ด้วยฝรั่งยังไม่เอาเข้ามาประการหนึ่ง ตลาดที่ออกจะรกๆ มีคนเดินไปเดินมาลายตา ไม่รู้ว่าเปนตลาดอะไรแต่เดาว่าน่าจะเปนตลาดนัด ด้วยขายของหลายอย่างเหลือเกิน ว่ากันว่าในสมัยอยุธยา มีตลาดน้ำใหญ่ 4ทิศรอบพระนคร คือ ตลาดน้ำบางกะจะ ตลาดปากคลองคูจาม ตลาดคูไม้ร้อง คลาดปากคลองวัดเดิม ทั้งยังมีตลาดบกขายของเช้าเย็น มีสินค้าหลากหลาย ทั้งยังมีย่านที่ขายของเฉพาะอย่างบ้านหม้อก็ขายหม้อขายไห แต่ไม่มีแผ่นผีซีดีเถื่อนเหมือนบ้านหม้อ บางกอกนะ คนละอย่างกัน นี้ก็อยากเห็นว่าในภาคหน้าจะมีบรรยากาศคึกคัก เปนหย่อมย่านต่างๆอย่างในจดหมายเหตุเขาบรรยายไว้ มิใช่มีแต่ตลาดขายผักเหี่ยวๆเปนเพิงๆมาสองภาคฉะนี้

เดินมาหน่อยมีศาลาไทยข้างในเปนพ่อเพลงแม่เพลงร้องเพลงฉ่อย
"เอ ช้า ชะฉ่าช้า หน้อยแม่" ได้ยินเสียงแม่ขวัญจิต ศิลปินแห่งชาติก็มาเล่นกะเขาด้วย ถ้าจะให้ดีมีหวังเต๊ะด้วยจะได้คึกครื้นกว่าเดิม เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงท่าน้ำเมืองโบราณสมุทรปราการ อันคุ้นตาในละเม็งละคอนย้อนยุคทั้งปวง นี้ถ้าไม่มีตลาดน้ำเมืองโบราณไปเสียหนึ่งที่เมืองไทยเราก็ไม่รู้จะไปถ่ายละเม็งละคอนย้อนยุคกันที่ไหนแล้ว ว่าแล้วก็พากันลงเรือลำเล็กๆ ไม่ยักกะกลัวล่มด้วยตะละคนเล็กเสียที่ไหน ข้างสะพานก็มีเด็กแก่นผีกระโดดน้ำเขียวปี๋กันโครมๆ ไม่ยักกะกลัวสำลักน้ำเชื้อรากินสมอง มิพักต้องหายา วอริโครนาโซนมาแต่เมืองฮวนวิลาสโปรตุเกสมาแก้ไขกันให้วุ่นอีก

พายเรือเล่นไม่ทันไรฝนล้างโลกก็ตกโครมลงมาน่ากลัว ต้องพายหนีไปหลบในบ้านริมน้ำกันอุตลุต บ้านนี้ดูทีคงมีเงินไม่น้อย ด้วยเปนฝาประกน หลังคามุงกระเบื้องขออย่างดี มิใช่เรือนผูกเหลาเหย่ดาษดาทั่วไป ครั้นจู่ลู่บุกขึ้นเรือนเขาแล้วก็เที่ยวไล่เปิดประตูเรือนเขา ไม่ยักกะกลัวว่าเปิดมาจะเห็นเจ้าของเรือนกะลังโป๊เปลือยเอาเสียเลย

แต่เอาเข้าจริงพอเปิดประตูกลับเห็นยายแก่กะลังนั่งร้อยมาลัยในความมืด
องค์ดำจึงสนทนาด้วย ว่าไยแม่ไม่จุดคบจุดไต้มาอยู่อะไรมืดๆเล่า ยายแก่ก็ตอบว่า แม่ไม่ต้องการคบไต้อันใดดอก ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้นเห็นตาขุ่นยังกะแมวตาเพชร นี้ถ้าจะให้ดีตอนเงยหน้าควรจะมีเสียงฟ้าผ่า แลฟ้าแลบแปลบๆ ให้น่ากลัวยิ่งขึ้น แล้วแถมบทพูดเข้าไปดังนี้

"แม่ไม่ต้องการคบไต้อันใดดอกลูก แม่ต้องการเลือด เลื๊อดด เลื๊อดดดด!!" แล้วก็ให้ยายแก่อาละวาดสำแดงเดชผีไทยให้ลือชาเสีย

โถ เอาคุณเดือนเต็ม สาลิตุล มาทำเสียจำไม่ได้ แต่ฉากนี้ข้าพเจ้าก็ชอบนักหนา ด้วยให้อารมณ์สะเทือนใจระคนกะเปนการเสริมให้เกิดความสมจริงสมจังเปนเหตุเปนผล
อันทำให้พระองค์ดำทรงคิดจะกู้อิสรภาพ

ขัดใจอยู่อย่างสองอย่างคือ ยายแก่ตาเพชรนี้ไฉนร้อยมาลัย พับกลับดอกบัวได้แยบคายจนคนตาดีๆยังอายในฝีมือเอาเสียเลย อนึ่งประดาคุณพระคุณท่านทั้งปวงที่โดยเสร็จนั้น ไฉนไม่ยักกะช่วยยายแก่ทำกับข้าวเลย ปล่อยให้แกเงอะๆงะๆ หุงข้าวหาปลามาสู่กันกิน ชอบที่นักสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ จีเอ็มโอ ทั้งปวงจะออกมาประท้วงให้ฮือฮายิ่งขึ้นไป

แม่ little smile อันที่จริงข้าพเจ้าก็หมดเรื่องเขียนแล้ว อย่างที่บอกในกระทู้โน้นๆว่า ภาคนี้ทำดีเหลือขนาด ที่จะจับผิด ที่จะติฉินนั้นก็นับว่าน้อย ทั้งการแสดง ฉาก แสง สี เทคนิคทั้งปวงก็ ครบครันบริบูรณ์ ให้นับถือในความประณีตบรรจงของท่านผู้กำกับเหลือเกิน

ส่วนที่เขียนๆมานั้นก็ด้วยนิสัยบ้าจี้บ้ายอ หลายท่านบอกให้เขียนอีกก็เขียนๆใส่มุขก้านลงไป ออกป่าออกทะเลไปก็มาก ที่จะหาสาระนั้นไม่มีเลย นี้ก็จนด้วยปัญญา-มยุราแล้ว ไม่รู้จะหาอันใดมาสะปอยอีก มาคิดถึงฉากข้ามแม่น้ำสะโตง ซึ่งเปนฉากใหญ่สุดท้ายของภาคนี้ก็จะขอพูดหน่อยหนึ่ง กล่าวคือความยิ่งใหญ่อลังการของการสร้างสะพานประดุจโขนตอนพระรามจองถนน
นี้ช่างตรึงตราตรึงใจนัก ยิ่งฉายให้เห็นมุมสูงแล้วก็ให้อิ่มตา แต่มาตอนทรงพระแสงปืนนี้ซี เหมือนจะรวบรัดอย่างไรมิรู้ ด้วยครั้นทรงสับนก จะเหนี่ยวไก ก็น่าจะมีการตั้งจิตอธิษฐาน หรือเปล่งพระสุรเสียงในความคิด ว่าทรงมุ่งมาตรอะไร ให้คนลุ้นว่าจะทรงยิงได้หรือไม่ หรือจะทำให้ลุ้นว่าวิถีกระสุนจะไปถึงหรือไม่ นี้อะไรลั่นไกปั้บ ก็ไปโดนตาแก่สุระกำมา ตกคอช้างชักแหงกๆน่าเวทนา

ควันปืนยังไม่ทันหาย ข้างฝ่ายพระนางเกรซรู้ข่าวเสียแล้ว ไวยิ่งกว่า CNN พูดถึงพระนางเกรซนี้ภาคนี้ข้าพเจ้าก็ขอชื่นชมว่าเล่นดีเปนขนาด ทำเอาน้ำตาซึมได้เช่นกัน ก็เมื่อตอนมอบปิ่นให้นางมณีจันทร์เอาไปแจ้งองค์ดำ ซึ่งคงจะบ้อซื่อ ไม่แจ้งให้ชัด ทำเอาพระองค์ดำกริ้วว่าพระนางเกรซไม่อยากกลับด้วย ทั้งๆที่พระนางก็อธิบายเสียดิบดี พูดเสียงอยู่ดีๆเงยหน้าขึ้นมาร้องไห้เสียแล้ว ร้องไม่เท่าไรก็เสียงกลับเปนปรกติน่าฉงน มาสะดุดเอาตรงนี้หน่อยหนึ่ง
อนึ่ง ข้าพเจ้าว่าพระนางเกรซเหมาะจะไว้ผมทัด ผมประบ่านั้นดีงามแล้ว เพราะเมื่อเกล้ากระหวัดตึง ทำให้เห็นพระพักตร์ที่ประกอบด้วยแก้มย้อยอันจะทำให้น่าสะพรึงแก่ผู้ชมยิ่ง
ชอบจะมีผมลงมาปกปิดให้สมดุลย์ ดีงาม

เรื่องมาจบลงก็เมื่อทรงมีชัยเหนือทัพพม่าครานี้ ก็ให้เลิกทัพกลับกรุงศรีฯ เพื่อจะกระเกรียมศึกใหญ่อันจะมาถึงในภาคสาม มาถึงตรงนี้ก็สามชั่วโมงแล้ว แต่ใจผู้ชมนี้กลับรู้สึกว่ารวดเร็วนัก
เหมือนดูละคอนรำยังไม่หมดมือปี่พาทย์ก็รวบรัดทำเพลงเข้าม่านเสียแต่เอาเถิด
คิดไปคิดมาเหมือนกะตอนจบภาคก่อน คือเดินทางกลับกรุงศรีฯเช่นกัน แต่ภาคนี้เพลงฝรั่งหางเครื่องตอนจบไม่มีเสียแล้ว เปนเพลงไทยเหมือนเพลงมาร์ชโรงเรียน ฟังดูปลุกใจไม่น้อย พูดถึงเพลงก็ยังขัดใจอยู่หนิดหนึ่ง คือไม่ใคร่ได้ยินเพลงสำเนียงไทยเลย ได้ยินแต่เพลงสำเนียงฝาหรั้งงงง ฝาหรั่ง ทั้งๆที่พากันรัดเครื่องอย่างไทยกันอึงคะนึง นี้ข้าพเจ้าไม่ได้ต้องการให้มีเพลงตระ ปี่พาทย์บาทสกุณี อันใดหรอกนะ หากแต่อยากได้ยินการผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีไทย กะฝรั่งให้โอ่อ่า ดนตรีเรานี้มีความขลัง เสียงตะโพนกลองทัดตีต้อมๆเข้าให้ความรู้สึกฮึกเหิม กล้าหาญไม่แพ้ทางฝรั่งเลยแม้แต่น้อย แต่บ่นไปก็เท่านั้น ด้วยคนทำเพลงก็ฝรั่ง ไหนจะมาศรัทธาเพลงไทยเล่า ชอบจะติเตียนคนไทยด้วยกันเสียมากกว่า ค่าที่ไม่รู้จักสำแดงฝีมือปล่อยให้ฝรั่งทำตลอดศกอยู่ได้

นี้คือข้อคิดเห็นของข้าพเจ้าซึ่งก็วิจารณ์ด้วยอคติส่วนตัวคือ ความชอบ ความหลง อยากจะเห็นหนังไทยเราทำให้ดี ภาคนี้ดีแล้วภาคหน้าต้องดีกว่าอีก อย่าได้หยุดว่าดีแล้วพอใจแล้ว ก็อย่างที่ครูท่านเคยกล่าวว่า "คนไทยจะเปนผู้นำด้านใดก็ได้ ถ้าคนไทยเอาจริง"




 

Create Date : 02 เมษายน 2554
3 comments
Last Update : 2 เมษายน 2554 21:43:33 น.
Counter : 1542 Pageviews.

 

555 สุดยอดครับ!!!

 

โดย: เก้าทัพ 3 เมษายน 2554 1:02:42 น.  

 

รอภาค 3 ต่อนะคะ

 

โดย: jackfruit_k 6 พฤษภาคม 2554 14:34:01 น.  

 

เป็น blog พม่า และแปลภาษาพม่าได้ดีจริงๆครับ

 

โดย: ต้าโก่ว 12 กรกฎาคม 2554 9:48:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


cybrarian
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add cybrarian's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.