อาทิตย์ขึ้นที่เมียวอู วันที่ 3
เช้าแล้วค่ะ ตื่นแต่เช้าอากาศสดชื่นไม่มีมลภาวะใดๆทั้งนั้น อาหารเช้ามีไข่ต้ม ที่น่าสนใจคือ ไข่ของเขาไม่เป็นสีแดงแต่จะมีสีขาวขุ่นๆ สันนิษฐานว่าเพราะไก่ของเขากินอาหารไม่ได้ใส่สี ไข่เลยไม่แดงวันนี้เราจะเริ่มจากไปเดินตลาดค่ะ ขามป้อมเคยอ่านเจอสารคดีของใครไม่ทราบบอกว่า ถ้าเราอยากรู้จักวิถีการใช้ชีวิตของใครให้ดูได้จากตลาด เราเลยไปตลาดเช้ากัน ตลาดที่นี่จัดแบบเป็นระเบียบมาก แยกชนิดของสินค้าออกเป็นซอยๆ เช่น ผัก ของสด ของแห้ง หรือ เช่น ซอยที่ขายขนมจีน ก็จะขายแต่ขนมจีน และจะมีเป็นส่วนที่ขายขนมจีนแต่เหมือนก๋วยเตี๋ยวมากกว่า ระหว่างที่ขามป้อมกำลังตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพแม่ค้า ซึ่งมัวแต่คุย จน แม่ค้าอีกร้านคงรำคาญแทน จึงพูดอะไรไม่รู้ แต่ทำให้แม่ค้าคนนั้นนั่งตั้งท่าให้ถ่ายรูปแต่โดยดีช่วงนี้เป็นตลาดขายใบพลูช่วงนี้เป็นตลาดดอกไม้ร้านอื่นๆค่ะสาวชาวบ้านกะสาวป้าหมูน้อยจบจากการไปตลาดพวกเราก็นั่งรถจิ๊บคันเดิมออกเดินทางเพื่อไปเจดีย์เก้าหมื่น ระหว่างทางก็จะเจอชาวบ้านเดินกลับจากตลาดมีบ้านชาวบ้านแล้วก็มีแปลงดอกไม้ที่พอเราเห็นก็อยากจะจอดเลยต้องส่งภาษาใบ้กับคนขับ ซึ่งก็ปรากฏว่าสำเร็จเลยได้ภาพมาดังนี้แลแล้วลองนึกภาพตามนะคะ ขณะที่เรานั่งรถไปตามทางถนนลูกรังนานๆจะเห็นบ้านชาวบ้านโผล่มาให้เห็น แล้วอยู่ดี...ดี เราก็เห็นภาพอลังการของเจดีย์กุเตา (กุ= เก้า เตา=หมื่น)ปรากฏให้เห็น ความรู้สึกตอนนั้นเมื่อนั่งดูละครลึกลับโบราณที่อยู่ๆ ก็มีเมืองเนรมิตโผล่มาให้เห็น ความยิ่งใหญ่ดูไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรขอมเลย วัดเจดีย์เก้าหมื่น Koe Thaung วัดนี้สร้างโดยพระเจ้ามินติกกา Min Theikkha ผู้เป็นโอรสของพระเจ้ามินบากริผู้สร้างวัดเจดีย์แปดหมื่นนั่นเอง ตามคำแนะนำของโหรว่าจะทำให้พระองค์มีพระชนม์ยืนยาว แต่ก็มีคนตั้งข้อสงสัยว่าพระองค์ต้องการวัดรอยพระบาทของพระราชบิดา และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะสร้างวัดนี้เสร็จ แต่ เฮ้อ ขนาดยังไม่เสร็จยังใหญ่โตขนาดนี้ ลักษณะเป็นเจดีย์เล็กๆเรียงต่อๆกัน โดยมีเจดีย์องค์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ตอนที่เรากำลังจะเข้าไปดูข้างใน ขามป้อมก็ได้ยินเพลงไทยเบาๆ ยังคิดว่า หรือแถวนี้มีชาวบ้านที่รู้จักฟังเพลงไทย มองดูที่รถก็ไม่มีวิทยุ เดินไปไหนๆก็ได้ยินตลอดเวลา จนต้องถามคนอื่นๆว่าได้ยินไหม ก็ไม่มีใครได้ยิน ว่าแล้ว..... สถานที่ก็โบราณซะ ขนาดนั้น จน .... เอ.. จะเอาไงดี แล้วก็มาถึงบางอ้อ ก็เพราะไอ้เจ้า mp 3 ของป้านี่เอง ถึงว่าเพลงมันคุ้นๆด้านนอกและด้านในค่ะ ออกจากวัดเจดีย์เก้าหมื่น เราก็ไปไหว้พระที่ปิซิเตา มีพระพุทธรูป 2 องค์ซ้อนกันอยู่ ต้องเดินขึ้นเนินเขาไปไม่สูงมาก พวกผู้หญิงได้ยืนไหว้ด้านนอก ผู้ชายเข้าไปดูใกล้ๆได้ นี่ก็เป็นความเชื่อที่เข้มข้นของชาวพม่าที่จะไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระพุทธรูป โดยปฏิบัติเหมือนกันในหลายสถานที่ที่จะไม่ให้ผู้หญิงเข้าไป ถึงแม้ว่าที่นี้จะอยู่ห่างไกลผู้คนแต่อาฮานก็ยังยืนยันให้เราปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้สำหรับที่นี่ถ้าให้ผู้หญิงเข้าไปดูใกล้ๆจะกลายเป็นผู้หญิงยืนสูงกว่าพระ จึงขอชมอยู่ไกลๆแล้วกันรูปนี้มองย้อนกลับไปดูเจดีย์เก้าหมื่นเจอเด็กๆ เราก็แจกขนมที่เตรียมไปให้ค่ะแล้วพวกเราก็แวะวัดพญาโอ๊ะ ช่วงนี้นั่งรถต่อไปอีกพักใหญ่ๆ จะไปวัด Zinamanaung ทางก่อนขึ้นวัดเจอร้านขายของทอดแม่ค้าหน้าสวยมาก เพิ่งเจอสาวพม่าสวยก็ครั้งนี้แหละค่ะ ตาเข้ม สวยทีเดียว ของที่ทอดมองดูน่าสงสารเชียว เป็นกุ้งตัวเล็กขนาดเท่านิ้วก้อยกำลังกระโดดอยู่ในหม้อแป้งที่วางอยู่ใกล้กะทะที่มีน้ำมันกำลังร้อน ทุกคนดูสงสารกุ้งแต่...... รอตอนกลับลงมาจากวัดนะคะวัดนี้กำลังรับบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับเด็กๆ ที่ไม่มีพ่อแม่ ป้าคุณหนูที่ปกติใจบุญอยู่แล้วมาคราวนี้เธอก็เลยบริจาคซะ....พระท่านงงเลยทำบุญกันเสร็จแล้วเราก็เดินลงมาจากวัด โอ๊ย! หิวกันจริงๆ ลองแวะร้านแม่ค้าคนสวยหน่อยซิ โอ้โฮ! กุ้งทอดน่ากินจริงๆ เหมือนกุ้งชุบแป้งทอดบ้านเราแต่ตัวใหญ่กว่า คนที่เมื่อสักพักยังสงสารกุ้งอยู่เลย แทบจะนั่งกินเป็นคนแรก นอกจากกุ้งทอดแล้วยังมีน้ำเต้าทอด ฟักทอด ถั่วบดทอด และกล้วยทอด ที่อร่อยมากอีกอย่าง คือ น้ำจิ้ม มีส่วนผสม ดังนี้ ซอสพริก(ศรีราชา) ใส่พริกขี้หนูซอย หอมซอย ผักชี แค่นี้แหละ อร่อยเด็ดปกติไกด์เขาจะไม่ค่อยให้ลูกทัวร์กินของแปลกๆ หรือของข้างถนน แต่อาฮานไม่สามารถทัดทานพวกเราได้ค่ะ หลังจากอิ่มแล้วอาฮานน้องผู้น่ารัก ก็พาเราไปดูหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านมีอาชีพเดียวกัน คือสานพัด แล้วก็ขายแสนจะถูก พวกเราเลยช่วยกันอุดหนุน แล้วก็แบกกลับเมืองไทยด้วย ยังใช้อยู่จนถึงวันนี้สาวชาวบ้านกำลังสานพัดอาฮานแจกขนมเด็กๆ แต่ก็มีสาวๆมาขอด้วยเหมือนกันสระน้ำโบราณ นัยว่าเคยเป็นเมืองโบราณนานนนน มากรูปนี้ขามป้อมภูมิใจนำเสนอค่ะ เพราะถ่ายขณะที่เด็กน้อยคนนี้อยากได้ขนมจากเราแต่มาไม่ทันเลย ตีล้อวิ่งตามรถของเรามา จนเราต้องโยนถุงขนมไปให้ จึงเลิกวิ่งตามกลางวันแล้วกินข้าวกันที่ร้านบ้านเอียง เป็นร้านที่โด่งดังมากของเมืองนี้ ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะร้านเอียงมาทางด้านหน้า อาหารอร่อยใช้ได้เลยตอนบ่ายเราจะไปเจดีย์ทุกะเตงซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ มีการสร้างครอบเจดีย์ไว้ 2 ชั้น ภายในมีการแกะสลักวิถีชีวิตของคนยะไข่ การแต่งกายของชาวบ้าน แต่ที่น่าสนใจคือ ทรงผมของผู้หญิงจะมีทั้งหมด 64 ทรงอีกวัดที่เราไปก็คือ วัดอันดอเทียน Andaw Thein เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้วของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งอัญเชิญมาจากศรีลังกาในสมัยของพระเจ้ามินบินในศควรรษที่ 16 นอกจากวัดที่กล่าวไปแล้ว เมี่ยวอูยังมีโบราณสถานอีกมากมายส่วนใหญ่เป็นเจดีย์ที่เกินกว่าความสามารถหางอึ่งน้อยๆของเราจะจำได้หมด เยอะจริงๆค่ะ เราเดินลุยไปในทุ่ง ขึ้นเนินไปดูพระพุทธรูปศิลาอายุเกือบสองพันปีที่อยู่ในดงหญ้า ถ้าเป็นเมืองไทยคงไม่เหลือคงมีการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนไปอยู่ตามร้านค้าของเก่าเป็นแน่แท้ มีอยู่แห่งหนึ่งที่เราจำชื่อได้ เป็นคล้ายๆวิหารเล็กๆ ชื่อว่า ฉิ่นไต้ปิตะกะไต้ เดาออกไม๊คะว่าวิหารหลังนี้คืออะไร เป็นห้องสมุดไว้เก็บพระไตรปิฎกค่ะ ปิ-ตะ-กะ ( ปิ-ฎ-ก )ไงคะ ถ้าอยากรู้ว่าอาณาจักรและโบราณสถานที่เมี่ยวอูนี้เก่าขนาดไหน ป้าๆก็ไม่สันทัดเรื่อง พ.ศ. หรือ ค.ศ. เท่าไหร่หรอกนะคะ แต่จะเปรียบเทียบเป็นยุคแล้วกันเพื่อง่ายต่อการเข้าใจ สุโขทัยเมืองหลวงแห่งแรกของเรามีอายุประมาณ 700 ปี หลังนครวัดหลายร้อยปี นครวัดก็รุ่งเรืองหลังอาณาจักรพุกามอีกประมาณร้อยปี ส่วนเมี่ยวอูก่อนพุกามค่ะ รวมแล้วก็ประมาณ 2000 ปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นที่พม่านี่เวลาเค้าพูดถึงของโบราณนั่น ไม่ใช่ 4-500 ปีนะคะ แต่เค้าพูดเป็นพันปีขึ้นไปค่ะ เรือโดยสารของชาวบ้าน เราไม่ได้นั่งค่ะ สนามบินและร้านอาหารด้านหน้า ข้าวผัดและอาจาด (ไม่ใช่อุจาดนะ)เราเที่ยวพอแล้วนะคะ วันรุ่งขึ้นเราก็นั่งเรือลำเดิม แต่สาหัสกว่าขามา คือ ต้องลงเรือประมาณ ตี 5 ถ้าเป็นบ้านเราก็คงไม่ลำบากแต่นี่บ้านเขา ไม่มีไฟฟ้าเลยค่ะ ระหว่างทางอาศัยแสงไฟจากรถเท่านั้น แต่ลำบากสุดคงเป็นตอนที่กำลังจะลงเรือ กลัวตกน้ำ แล้วทุกคนก็ยังสะลึมสะลือ พอลงเรือได้ก็ลงชั้นล่าง ต่างคนต่างหาที่นอน ประมาณว่าหมดสภาพค่ะ ถึงสนามบินแล้ว แต่เรายังไม่กลับบ้านนะคะ เราจะไปรอพรรคพวกอีกกลุ่มเพื่อเที่ยวต่อค่ะ รอครั้งต่อไปนะคะ จะเป็นย่างกุ้ง พุกาม มัณฑะเลย์ ที่เด็ดสุด คือ อินเลค่ะ มิงกลาบา