<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 กรกฏาคม 2552
 
 
อาทิตย์ขึ้นที่เมียวอู วันที่2

เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ออกเดินทางไปยังท่าเรือเพื่อไปยังเมืองเมี่ยวอู บรรยากาศท่าเรือคล้ายท่าเรือขนส่งสินค้ามากกว่าท่าเรือโดยสาร
ก่อนถึงท่าเรือต้องผ่านหมู่บ้านซึ่งมีลักษณะเหมือนหมู่บ้านของไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน




ส่วนตรงที่เราจะต้องลงเรือนั้นมีการตากปลาแห้ง(แบบแปลกๆ)


มีเล้าหมู แต่เลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ คือหาอาหารกินเองเหมือนคนไทยเลี้ยงไก่ แล้วก็มีหมูตัวหนึ่งคงกำลังคันจึงเอาหน้าไปถูตรงเสา ดูเป็นที่น่าขบขันมาก




และเราต้องเดินบนไม้กระดานกว้างสัก 1 ฟุตได้มั้งเพื่อไปลงเรือ แน่นอนที่สามป้าไม่ใช่อดีตนางสาวสยาม ดังนั้นเราจึงเดินไม่ได้ จึงมีหนุ่มๆ ช่วยทำราวสะพานให้เราเกาะโดยยืนถือไม้ไผ่ คนหนึ่งยืนบนเรือ คนหนึ่งยืนบนฝั่ง สามป้ากับน้องอิ๋วจึงลงเรือได้โดยสวัสดิภาพ





เนื่องจากรัฐยะไข่นี้เพิ่งจะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปเที่ยวได้ซักประมาณ 2 ปีมานี้เอง และบาง area ก็ยังไม่เปิดให้คนนอกเข้าด้วย นักท่องเที่ยวจึงยังไม่เยอะมาก คณะเราก็เลยเหมือนของแปลกประเภทสัตว์ประหลาดตามงานวัดบ้านเรานั่นล่ะค่ะ เราจึงได้เห็นบรรยากาศน่ารักๆของคนที่นี่ ตอนที่เราลงเรือมีชาวบ้านมาส่งเราประมาณเกือบครึ่งหมู่บ้านได้กระมัง ยืนโบกมือบ๊ายบายให้เรา แถมมีผู้หญิงคนนึงถ้าใช้สำนวนตามบรรยากาศย้อนยุคของที่นี่ ( ซึ่งคงย้อนไปประมาณกว่าครึ่งศตวรรษกระมัง ) ต้องบอกว่า หล่อนเปิ๊ดสะก๊าดมาก ยืนเท้าสะเอวเก๋ไก๋ สูบกล้องยาเส้นอันใหญ่ โก้มาก ยิ่งเห็นเราถ่ายรูป หล่อนยิ่งแอ็คท่าสนุกสนานใหญ่เลย





และแล้วเรือก็เคลื่อนออกจากท่าล่องไปตามแม่น้ำกะลาตั่น







ฮานบอกว่าใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง แม่น้ำกะลาตั่นเป็นแม่น้ำที่ใหญ่มากบางช่วงใหญ่จนไม่เห็นขอบฝั่ง บางส่วนของแม่น้ำเป็นน้ำเค็มเพราะอยู่ติดอ่าวเบงกอล ระหว่างทางป้าแอบสอบประวัติของฮาน ฮานบอกว่าเขาเรียนจบภูมิศาสตร์ ป้าได้ทีเลย(ขี่แพะไล่) ก็บอกแล้วขามป้อมเขาสอนภาษาไทย(สำนวนป้าหมูน้อยค่ะ) ถามต่อถึงระบบการศึกษาของชาวพม่า ได้ความว่า เด็กๆที่นี่เรียนอนุบาล 1 ปี แล้วเรียนชั้น Standard 1-10 ปี ชั้น 8-10 เรียน เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ ซึ่งฮานบอกว่า ชั้น 10 ยากที่สุด (ก็แหงแหละ) แล้วเมื่อสอบได้คะแนนสูงสุด 500 คนแรกของประเทศ จะมีสิทธิเลือกเรียนแพทย์ วิศวกรรมศาสตร์ และสาขาอื่นๆต่อๆมา โดยเขาจะเรียนแค่ 3 ปีเท่านั้น (ถามมาได้แค่นี้แหละจ้ะ)







สักพักเราก็ลงมาด้านล่างของเรือ ลืมเล่าไปว่าเรือที่เรานั่งมานี้มี 2 ชั้น เราเลือกนั่งชั้นบนที่ไม่มีหลังคา (เพราะอยากเป็นสาวเอ้ย! ป้าชั้นสูง) อากาศกำลังดีเพราะยังเช้าอยู่ เรานั่งบนเก้าอี้ชายหาดแบบไม่กลัวดำ (บางคนเท่านั้นค่ะแล้วก็ไม่ใช่ขามป้อมคนนึงล่ะ)







ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว เรามีอาหารชุดจากโรงแรมที่พักเมื่อคืนนี้ เขาจัดอาหารใส่กล่องโฟมมาให้ (ขัดใจเสียจริง บรรยากาศแบบนี้ไม่น่ามีโฟมเข้ามาเกี่ยวด้วยเล้ย)


บรรจุด้วยขนมปัง 2 แผ่น แผ่นหนึ่งทาเนย อีกแผ่นทาแยม ไข่ดาวสุกๆ 2 ฟอง นอกจากนี้เรามีปาท่องโก๋ตัวยาว มี corn pork องุ่น กล้วยหอม และอื่นๆอีกมากมาย ประมาณกระเป๋าใส่เสื้อผ้า 1 กระเป๋าแบบเกินๆ เพราะเรากลัวกินอาหารที่นี่ไม่ได้ อิ่มแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งข้างบนอีกเราอยู่ในเรือที่กำลังวิ่งทวนแม่น้ำกะลาตันขึ้นไป ตลอดทางนั้นเรากลับรู้สึกว่าเวลานี้ไม่ใช่ปี พ.ศ. 2551 แต่ย้อนไปเกือบถึงยุคแม่พลอยเลยที่เดียว แม่น้ำเจ้าพระยาที่บรรยายไว้ในสี่แผ่นดินก็คงเปรียบได้กับสายน้ำที่เราเห็นในขณะนี้ ใส เขียว สะอาด ไม่มีคราบน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมให้เห็น สองข้างทางเป็นผืนทุ่งที่ขณะนี้เป็นเพียงนาแห้งๆเนื่องจากไม่ใช่ฤดูกาลทำนา นานๆเราจะเห็นหมู่บ้านหรือผู้คนรวมถึงควายฝูงเล็กๆ ลอยคออยู่ใกล้ตลิ่ง เรือแจว เรือพาย รวมถึงเรือใบที่ไม่ใช่เรือใบหรูหราที่เราเห็นตามพัทยา หัวหิน แต่เป็นเรือใบของชาวบ้านที่ใช้เสื่อทำใบเรือและที่ไม่คาดว่าจะเจอคือ ปลาโลมา 2-3 ตัวที่ว่ายล้อคลอเคลียอยู่ใกล้เรือของเรา ตื่นเต้นค่ะ


























บรรยากาศทั่วๆไปในแม่น้ำ


ไกด์ไทยไกด์พม่า ใครน่ารักกว่ากันคะ



อาฮานตระกูลซายฝ่ายบุ๋นค่ะ





อาฮานบอกว่า น่าจะเป็นโรงแรมที่กำลังสร้างเพื่อจะเปิดรับนักท่องเที่ยว

เวลาที่ต้องอยู่ในเรือนานถึง 6 ชั่วโมงดูจะไม่ใช่สิ่งน่าเบื่อน่ารำคาญสำหรับพวกเรา เรากลับรู้สึกถึงความสงบ ได้ปลดปล่อยความเครียดจากความรีบเร่งจากชีวิตประจำวัน อาหารง่ายๆที่เตรียมมาดูจะอร่อยเป็นพิเศษ แต่หมูน้อยผู้ที่ดูว่าจะอินมากกับบรรยากาศนี้บอกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าวน้ำพริกลงเรือห่อด้วยใบบัวจะเพอร์เฟ็คมาก แม่พลอยมาเองขาดแต่คุณเปรม ว่าแล้วป้าหมูน้อยก็ควักหนังสือที่เตรียมมาอ่านเล่มที่เข้าบรรยากาศที่สุดน่าจะเป็น พม่าเสียเมือง



บางคนยึดมุมสงบพักสายตากรนคร่อกๆ คุยกันแล้วก็หลับแล้วก็ตื่นมาคุย จนบ่ายสามโมงกว่าๆ ถึงจึงจุดหมาย






ในที่สุดการเดินทางที่ยาวนานแต่ไม่น่าเบื่อก็สิ้นสุดลง เราถึงเมืองเมี่ยวอูแล้ว รถที่มารอรับเราเป็นรถจี๊บสองคัน ว่ากันว่าทั้งเมืองมีรถยนต์ไม่เกินสิบคันเลย



รถของเรา

เราแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านเล็กๆ แต่อาหารรสชาติไม่เล็กไปด้วย อร่อยดีค่ะโดยเฉพาะยำใบบัวบก อาหารแนะนำ คือ ปลาทอดเพราะปลาที่นี่จับกันเอง กินกันเอง ขนาดคุณหนูไฮโซผู้ไม่ชอบปลายังทานอร่อยเลย อิ่มอร่อย รอดตายไปอีกมื้อ คราวนี้เราก็เดินทางต่อไปที่พักของเรา ที่นีมีรีสอร์ตเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่เพียงสามแห่งเท่านั่น สำหรับที่พักเราชื่อ Nawarat Hotel นัยว่าดีที่สุดในเมืองนี้ ไม่น่ากลัวอย่างที่จินตนาการมา สะอาดใช้ได้ มีน้ำอุ่น มีแอร์ มีเตียงนอนที่สูงมากกก เอ! หรือว่าขาของป้าๆจะสั้นมากเกินมาตรฐานเพราะเวลาเรานั่งบนเตียง ขาเราจะลอยอยู่เหนือพื้นสักฟุตหนึ่งได้



โรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ค่ะ



เตียงนอนของเราค่ะ

ตอนกลางวันไม่มีไฟฟ้า ซึ่งฮานเล่าว่าเป็นปกติของพม่า อย่าว่าแต่เมืองห่างไกลอย่างเมี่ยวอูเลย แม้กระทั่งย่างกุ้งหรือมัณฑะเลย์ก็ยังมีปัญหาเรื่องไฟฟ้า ดังนั้นร้านค้าโรงแรมต่างๆจึงต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองกันทั้งนั้น แต่เราก็ไม่เดือดร้อนเพราะเราจะออกไปชมเมืองกันแล้วค่ะ
สถานที่แรกที่เราไปชม คือ ชิตตอง Shit Thaung สร้างในสมัยของพระเจ้ามินบากริ Min Ba Gri ในศตวรรษที่ 16 ฮานเล่าว่าที่นี่มีพระพุทธรูปทั้งสิ้น 84,000 องค์เพื่อแทน ประโยคในพระไตรปิฎก 84000 ประโยค แต่เดิมสร้างเป็นเจดีย์มีช่องสำหรับใส่ปืนใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างเหมือนหอรบหรือค่าย เมื่อมีข้าศึกก็สามารถใช้เพื่อต่อสู้กับข้าศึกได้ เดินเข้าไปตรงกลางมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทางด้านซ้ายมีทางวนรอบองค์เจดีย์ ภายในมีรูปแกะสลักด้วยหินทรายแบ่งออกเป็นหลายๆชั้น เช่น ภาพแกะสลักทั้งพระพุทธรูป พระมหากษัตริย์ วิถีชีวิตชาวยะไข่ สัตว์ชนิดต่างๆ ตามมุมต่างๆ มักจะมีรูปลอยตัว เช่น พระแม่ธรณีบีบมวยผม พระคเณศด้านบนจะเป็นพระศิวะหรือพระนารายณ์ไม่แน่ใจเพราะฮานบอกว่าในหัตถ์ถือพระสังข์จึงน่าจะเป็นพระนารายณ์แต่ลักษณะการยืนเหนือพระคเณศจึงน่าจะเป็นพระศิวะ นับเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าผนังกำแพงเจดีย์จะหนาเป็นฟุต แต่คนสมัยก่อนก็มีวิธีทำให้แสงสว่างสาดเข้ามาได้แม้จะไม่เท่าสถาปัตยกรรมพุกามก็ตามที ข้อดีของผนังและกำแพงที่หนายังกับกำแพงเบอร์ลินนี้ก็คือทำให้อากาศไม่ร้อนกลับรู้สึกเย็นด้วยซ้ำ คงเพราะเป็นกำแพงหินนั่นเอง



















รูปสุดท้ายนี้แสดงให้เห็นถึงตำนานชื่อเมืองเมียวอู อาฮานเล่าว่า เมียว = ลิง อู= ไข่ ตำนานว่าไว้ดังนี้ คือ มีลิงนำไข่นกยูง 2 ฟองไปถวายพระสงฆ์ ชื่อ มหายาหุละ ต่อมาเมื่อสร้างเมืองขึ้นจึงตั้งชื่อว่า เมียวอู

ฮานไกด์หนุ่มน้อยน่าเอ็นดูของพวกเราก็ตั้งใจทำหน้าที่อย่างดีเลิศ ไม่ขี้เกียจที่จะบรรยายอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ซักพักหนึ่งเราก็สังเกตุว่าฮานเงียบไปแถมเหงื่อออกอีกด้วยทำให้เราสงสัยว่าอากาศก็เย็นสบายทำไมฮานถึงร้อนขนาดเหงื่อตกขนาดนี้ ซักไซ้ไปมาก็ถึงบางอ้อว่า เค้าจำข้อมูลบางส่วนไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งมาที่นี่เป้นครั้งที่สองเท่านั้นเอง เลยกลัวตอบคำถามลูกทัวร์ไม่ได้ ก็เลยเหงื่อแตกซิกนั่นเอง โถ น่าเอ็นดูดีแท้ๆ อยากจะบอกว่าถึงแม้ฮานจะมั่วอะไรมาบอกเราก็ไม่รู้หรอก แถมจำอะไรก็ไม่ค่อยได้อีกต่างหาก อย่าหวาดหวั่นไปเลยจ้ะ


ขามป้อมดูแล้วพาลให้นึกไปถึงนครวัดของเขมร ถ้าที่นี่มีการโปรโมทดี..ดี น่าจะมีคนมาเที่ยวไม่น้อยเลย ถึงจะไม่มีนางอัปสร แต่มีองค์พระพุทธรูปมากมายเรียงรายรอบองค์เจดีย์ ป้าก็อยากให้มีคนมาเที่ยวเยอะๆนะ แต่ก็เสียดายว่าถ้ามีคนมามากๆจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่ธรรมชาติเหมือนเดิม
เดินออกมารอบนอกถึงคิวถ่ายภาพกันแล้ว มีอยู่มุมหนึ่ง ฮานบอกว่า สวยสุด สวยจริงๆ จ้ะ วิวนะจ้ะไม่ใช่คน





จากนั้นเราก็ไปเจดีย์แฮริเตา ต้องเดินขึ้นเขาไปพอให้ป้าๆเหงื่อออกนิดหน่อย หลังจากนมัสการพระพุทธรูปแล้ว เราก็นั่งพัก อากาศข้างบนนี้เย็นดีทีเดียว (หลายทีได้ไหม) สักพักมีเด็กพม่า 3 คน มาคุยกับเรา (ฮาน) ว่าจะเต้นรำให้ดู พวกเราตกลง เด็กๆร้องเพลงกันเอง เต้นกันเอง เต้นได้สวยมาก ทั้งอ่อนช้อยและงดงาม ท่าเต้นและเพลงที่ร้องคล้ายๆเพลงแขก ทั้งจังหวะของเพลงและท่าร่ายรำที่มีการส่ายคอ เอียงคอ พยักหน้า สรุปว่า งามดีทีเดียว เมื่อจบการแสดง คุณหนูไฮโซของเราให้รางวัลไปคนละ 1000 จั๊ต เด็กคนกลางที่ดูว่าน่าจะเป็นหัวหน้าทีมจึงรำเพิ่มเป็นของแถม โดยมีท่านั่งวาดตัวเป็นวงกลมสวยมากจ้ะ





จบการแสดงฮานพาไปดูพระราชวังเก่าซึ่งมีกำแพงรอบ 3 ชั้น(เหนือแค่เงาจางๆเท่านั้นค่ะ)


ตรงทางเข้า เราพบตัวเนียร์ หรือ ยาละ ซึ่งเป็นสัตว์มงคลมีลักษณะรวมของสัตว์ 9 ชนิด คือ มีตัวเป็นตัวเนียร์ หัวเป็นช้าง ฟันของเสือ ลิ้นนกแก้ว หูเป็นม้า(บางครั้งเป็นช้าง) นอแรด ตาของกวาง เล็บเท้าสิงห์ หางเป็นปลา แล้วเราก็จะพบเจ้าตัวนี้อีกบ่อยๆ



ตัวยาละ
พระราชวังเก่าหรือปัจจุบันน่าจะเรียกได้ว่าสวนสาธารณะ เพราะเราจะไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆเลย จะเห็นแต่เพียงเนินเดิน พอจะมองออกว่าเป็นเขตเป็นแนวเท่านั้น








แต่สิ่งที่เราเห็น คือ ภาพ พ่อแม่ลูกออกมาเดินเล่น แม่อุ้มลูกเล็ก พ่อพาลูกมาเล่นว่าว ดูแล้วน่าอิจฉาจริงๆ อยู่กรุงเทพฯ ไม่เห็นภาพแบบนี้เลย





ระหว่างทางเดินเราจะเจอระเบิดเป็นระยะ ๆ ฮานบอกว่าไม่ใช่ของหมาจึงไม่ใช่ขี้หมา แต่เป็นของคนที่มาเดินเล่นแล้วอาจจะปวดขึ้นมากะทันหัน ก็เลยอาศัยแถวๆนี้แหละ เดินต่อไปมีทางลงบันไดจากพระราชวังไปเจอถนนอีกสายหนึ่ง ตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก เมื่อมองย้อนขึ้นไป กลายเป็นภาพย้อนแสงสวยมาก เราก็เลยจะถ่ายภาพกัน เจอ เณรน้อย 2 รูปกับเด็กวัด 1 คน เณรคงคิดว่าเราจะถ่ายรูปท่าน จึงยืนรอให้เราถ่ายรูปอยู่นาน จนเราถ่ายรุปเณรเสร็จจึงหันมา บ๊าย บายเราซะ อารยธรรม บ๊าย...บายนี่ ขจรขจายไปทุกแห่งในโลกเลยเนอะ


เณรน้อย

ออกจากพระราชวังเราก็ไปเดินตลาดยามเย็น พวกเด็กๆที่เห็นเราคงเหมือนเห็นตัวประหลาด จะจ้องมองกัน อยู่นานแต่ในที่สุดคงตัดสินใจได้ ว่าเจ้าพวกตัวประหลาดเหล่านี้คงดูเป็นคนดี ไม่มีพิษ มีภัย เลย บ๊าย...บายกันตลอดเลย


ตลาดแม้จะเริ่มมืดแต่ก็ยังไม่มีไฟฟ้า จะมีบ้างก็เป็นตะเกียง ของที่ขายส่วนมากจะเป็นของกิน เช่น ถั่วคั่ว ข้าวโพดต้ม ข้าวเหนียวปิ้งคล้ายๆของบ้านเราแต่ใช้คลุกกับมะพร้าวแล้วปิ้ง กินตอนร้อนๆ อร่อยดี
บรรยากาศยามเย็นสงบ เยือกเย็น อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าเป็นชีวิตที่ดีงามจริงๆ ที่นี่ไม่มีคลับ บาร์ คาราโอเกะ สถานบันเทิงที่พบเห็นคงจะเป็นร้านน้ำชาที่พบเห็นทั่วไปในทุกเมืองของพม่า(คนพม่าบอกน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่อังกฤษทิ้งไว้ให้)



โต๊ะร้านน้ำชา


ครอบครัวพากันมานั่งกินน้ำชากัน ดูน่ารักดี




ขนมต่างๆ



ร้านเช่าวีดีโอ และมีโรงหนังเล็กๆ


พูดถึงร้านน้ำชาที่ขามป้อมอยากนั่งกินตั้งแต่ตอนมาพม่าครั้งแรกแต่ไม่มีโอกาส คราวนี้เนื่องจากเราเพิ่งกินอาหารกลางวัน จึงยังไม่มีใครหิวจึงตกลงกันว่า ถ้าใครหิวก็ต้มมาม่า กันเองแล้วกัน ดังนั้น พอเราผ่านร้านน้ำชาเห็นครอบครัวคนพม่านั่งกินกัน เราก็เลยอยากกินมั่ง ที่สำคัญ เราเห็นเขากำลังนึ่งอะไรสักอย่างบนเตา สอบถามได้ความว่าเป็นซาละเปา เราสนใจมากแต่ต้องรอก่อนเพราะยังไม่สุก (คนที่นี่ยังใช้ฟืนกันอยู่และมีร้านขายฟืนด้วย) เราจึงนั่งรอที่ร้านน้ำชา เมื่อรอที่ร้านชาจึงจำเป็นต้องสั่งชา (สัจธรรมมากๆเลย) พวกเราสั่งชานม กินกับปาท่องโก๋ + นมข้นที่เราพกมาด้วย พอซาละเปาสุก เราก็ได้กินซาละเปา อร๊อย....อร่อย ย้ำ อร่อยจริงๆ แป้งเหนียวนุ่มไม่ใช่แป้งแบบที่กินแล้วติดคอ


หม้อนึ่งซาละเปาขนาดใหญ่น่าจะยืนยันความอร่อยได้

กินเสร็จ กลับโรงแรม อาบน้ำ ทำทุกอย่างเสร็จยังไม่ สองทุ่มเลย ทำไงดีล่ะ ถ้าอยู่กทม. ป่านนี้ยังไม่ถึงบ้านเลย ลองเปิดทีวีดู มีอยู่ไม่กี่ช่อง ถ้าเป็นทีวีพม่าจริงๆจะมีแต่ข่าวรัฐบาลทหารพม่า ทำนู่น ทำนี่ บางทีเป็นข่าวนานมากจากชาติที่แล้วนั่นแหละ แต่ที่นี่เป็นโรงแรม เลยมีหลายช่อง เป็นข่าว 1 ช่อง สารคดี 1 ช่อง และหนังจีน1 ช่อง เลยช่วยชาติ(พม่า)ประหยัดไฟ ปิดทีวี นอนดีกว่า




Create Date : 01 กรกฎาคม 2552
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 10:37:52 น. 1 comments
Counter : 2154 Pageviews.

 
picture is good


โดย: pa kung IP: 110.49.44.111 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:58:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

3papartour
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add 3papartour's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com