อ่านแล้วต้องฉลาดขึ้น
อ่านแล้วต้องแข็งแกร่งขึ้น
อ่านแล้วต้องเป็นที่รักมากขึ้น
|
||||
ฉลาด เกมส์ โกง 200x based on true story
มึงรู้ไหม ว่าคู่แข่งที่แท้จริง ของการสอบคือใคร ? แจ็ค... มันเป็นรองแชมป์รายการตอบปัญหาวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย มัธยมต้น ได้รางวัลชมเชย การแข่งขันสมาคมคณิตศาสตร์ ม ปลาย ตั้งแต่ม สี่ แจ็คเป็นนักเรียนในค่าย ฟิสิกส์โอลิมปิค ผมเจอมันตั้งแต่มัธยมต้นในงานตอบปัญหาวิทยาศาสตร์นั่นแหล่ะ และตอนนี้ผมก็ได้คุยกับมัน ในฐานะเพื่อนห้องคิง ในโรงเรียนที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยที่ผลิตเด็กทุนคิง เด็กโอลิมปิกวิชาการ ป้อนให้ประเทศของเราทุกปี เมื่อวานผมได้ดูหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง... พวกเราทุกๆ คนรู้กันมาเป็นชาติแล้วว่าการโกงเป็นสิ่งที่ไม่ดี และพวกเรารู้มาตั้งแต่ก่อนอาจารย์สอน(หรือไม่ได้สอน) ด้วยซ้ำว่า ประเทศนี้ใครๆ ก็โกง ...มันทำให้ผมนึกถึงไอ้แจ็คและตัวเองในวัยเด็กว่า... เรา ก็ โกง หรือ? กลับมาที่คำถามว่าใครคือคู่แข่ง... กูไม่แน่ใจว่ะ แต่ถ้าต้องตอบน่าจะเป็นตัวข้อสอบเพราะถ้าเราชนะข้อสอบได้ทุกข้อ เราจะได้ที่หนึ่งมิดเทอม ผมตอบ ไอ้แจ็คยิ้มให้ผมแล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ เริ่มพิมพ์ข้อความ คคกกข กคงงข กขงงค ... หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนของแจ็คกลุ่มนึงก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำ ผมเข้าใจว่า พวกเขาก็เปิดอ่านโพยแล้วคงจดไว้ที่ไหนซักแห่งที่ตัวเดินกลับเข้าห้องพร้อมกับทำข้อสอบ ตามที่แจ็คบอกไว้...และทุกคนก็จะได้คะแนนวิชาเลขมิดเทอม ไม่เต็มก็เกือบเต็ม แจ็คทำเรื่องที่คล้ายๆกับหนังทำ แต่ต่างที่ว่า... มันไม่เอาเงิน!? กูจะบอกว่า จะเป็นมิดเทอม สอบไฟนอลหรือสอบเก็บคะแนนบ้าบอคอแตกอะไรคู่แข่งของเราไม่ใช่ไอ้เด็กเรียนแว่นหนาที่หวังจะเอาท็อป เราทุกคนในโรงเรียนคือพวกเดียวกันแค่ทุกคนเอาชนะข้อสอบได้ ทุกคนก็จะได้เกรดสี่ ท่านผู้อ่านเคยคิดไหมครับว่าโลกของเรามีทรัพยากรบางอย่างที่เป็นอนันต์ หรือแทบจะเป็นอนันต์ อาทิเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทรัพยากรคุณภาพมนุษย์ที่เราสามารถพัฒนาไปอย่างไม่มีขีดจำกัดได้ หรือแม้แต่เงินตราที่เราจะอุปโลกน์สร้างมันเท่าไหร่ก็ได้... คะแนนของนักเรียนก็เป็นหนึ่งในทรัพยากรที่แทบจะเป็นอนันต์....เราสามารถผลิตคะแนนสอบได้มากมายมหาศาลเราสามารถแจกคะแนนหนึ่งร้อยแต้ม ในแต่ละวิชาให้เพื่อนๆ โดยที่ไม่มีใครต้องตายไม่มีใครได้คะแนนน้อยลง ไม่ทำให้เกิดมลภาวะสิ่งแวดล้อม โลกใบนี้จะแฮปปี้ขึ้นไหมถ้านักเรียนที่เก่งกว่า ฉลาดกว่า เสียสละเอาความรู้ที่ตัวเองทำได้ในห้องสอบมาบอกเพื่อนที่ยังด้อยกว่า และทุกคน...ก็จะจบด้วยการได้คะแนนที่ดี และมีความสุข ผมเห็นไอ้แจ็คทำการปล่อยโพยมาเกือบสิบครั้ง...ไม่เคยโดนจับได้... ถึงจะโดน ผมก็อยากเชียร์ให้มันพูดกับอาจารย์ไปเลยว่ามันผิดอะไรที่ เราช่วยกัน... ช่วยกันเอาชนะข้อสอบ เราอุปโลกน์ขึ้นมาจากคำพร่ำสอนของอาจารย์ว่าการทุจริตคือความเลวร้าย แต่มันจะเลวร้ายอะไรล่ะ... ถ้าเราช่วยเพื่อน หรือถ้าใครจะบอกว่า เอ๊ะๆ เราช่วยเพื่อนในทางที่ผิด... งั้นถามหน่อยเถอะ การปล่อยให้เพื่อนที่ด้อยกว่าเราต้องเสียน้ำตา เพื่อนที่ยอมจ่ายค่าศักดิ์ศรีเพื่อขอร้องเราให้ไม่ได้คะแนนที่มีเกลื่อนกลาดเป็นอนันต์ คือสิ่งที่ถูกใช่ไหม ?! หากเราทำงานแล้ว...เราจะรู้เลยว่าคำถามที่เราโดนท้าทายตอนมัธยม ล้วนเป็นคำถามที่คุณจะแทบไม่เจออีกเลยเมื่อเข้าทำงานไม่มีใครถามคุณอีกแล้วว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนี่งโมเลกุล จะหนักกี่กรัมไม่มีใครถามคุณอีกแล้วว่าเสียงเดินทางได้กี่เมตรต่อวินาทีที่อุณหภูมิยี่สิบสี่องศา หรือคำถามให้นับคำเป็น คำตาย ครุ หลุ ในกลอนโคลงสี่สุภาพ การรู้คำตอบของคำถามสุดแนวเหล่านี้.... ไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น...แต่การหาวิธีที่ทำให้ได้คำตอบของคำถามเหล่านี้ต่างหากล่ะ ที่ทำให้เราฉลาดขึ้นคนบางคนใช้เวลา ใช้การฝึกฝน อ่าน กวดวิชาเพื่อให้ได้คำตอบ คนบางคนใช้เงินซื้อคนบางคนยอมจ่ายเป็นศักดิ์ศรี เพื่อให้ได้คำตอบ ตลอดเวลาสองปีที่ผมเจอมันมันช่วยเพื่อนสิบกว่าคน แจกโพยกว่ายี่สิบครั้งถ้ารวมเบ็ดเสร็จมันคงทำคะแนนให้ตัวเองและเพื่อนในโรงเรียนนี้เป็นพันกว่าแต้มแล้วและผมเชื่อว่า...ไม่ใช่แจ็คคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้ แม้แต่ผมเองก็คิดด้วยซ้ำว่าเราไม่ได้ทำเรื่องการโกง ถ้าโกงจริงต้องมีคนเสียผลประโยชน์แต่เรากำลังช่วยให้ทุกคนมีคะแนนที่ดีขึ้นต่างหาก และความจริงอีกข้อนึงคือเพื่อนผองที่รับโพยจากเรา จริงๆ เขาไม่ได้งี่เง่าขนาดตอบคำถามอะไรไม่ได้เลย พวกเขาต้องการคำตอบในข้อยากๆ อีกแค่สามถึงห้าคะแนน เพื่อเปลี่ยนจากเกรดสอง ให้กลายเป็นสาม เปลี่ยนจากเกรดสามให้กลายเป็นสี่ แล้วทำไมจะไม่ช่วยพวกเขาล่ะ ถ้าเราทำได้!? โรงเรียนที่ผมกับแจ็คเรียนเคยทำสถิติ ขนาดว่าทุกคนได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ยกชั้น ย้ำอีกที ยกชั้น และถึงวันนี้ทุกคนก็มีความสุขกับสถิติเหลานี้ แจ็ค ผม และเพื่อนๆ.. ได้เข้าเรียนในคณะที่ตัวเองอยากเรียน ถามอีกครั้ง พวกเรารวมพลังช่วยกัน เพื่อเอาชนะข้อสอบ.... มันโกงไหม? วิธีซื้อหวยให้มีโอกาสถูก 99.6957%
บทความนี้ ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโฆษณาชวนเชื่อ หรือสร้างมาเพื่อการค้า หรือหวังมอมเมา แต่เรากำลังพูดถึง ตัวเลขและความเป็นคณิตศาสตร์ ประเทศนี้มีความแปลก... เราเชื่อกันมาเป็นสิบปีว่า เวลาหวยออกแต่ละงวด มันจะเกี่ยวข้องกับทะเบียนรถยนต์ของผู้ใหญ่หลายๆคน เราเชื่อว่ามันจะเกี่ยวกับตุ๊กแกสองหัว เราเชื่อว่ามันเกี่ยวกับพลังงานบางอย่างเบื้องบนที่ไม่อาจมองเห็นได้... ทั้งๆ ที่ในเวลาที่หวยออกโดยเฉพาะเลขท้ายสองตัว มันเป็นเรื่องของคนสองคน ที่หยิบลูกบอลในกล่องใสๆ หยิบออกมาคนละลูก... แค่นั้น!!? ตอนที่เขาสองคนหยิบลูกบอล... ผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ได้เอาทะเบียนรถมาให้ดู ตุ๊กแกก็ไม่ได้เกาะอยู่กับลูกบอลอันไหน แต่ที่อาจจะเข้าเคล้าของไทยแลนด์โอลี่หน่อยก็คือ เราอาจจะมีพลังที่มองไม่เห็น มาดลบรรดาลให้คนสองคนหยิบลูกบอลที่ ต้องการให้ถูกหยิบก็เป็นไปได้.... พลังงานนั้นมันมหัศจรรย์มาก.... เพราะหากเราหันย้อนกลับไปมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้การกระจายตัวของ ตัวเลขที่หวยออก มีความบิดเบี่้ยวทางสถิติ ท่านผู้อ่านเห็นไหมครับ... ว่าเลขหนึ่ง ทั้งหลักหน่วยและหลักสิบ ออกน้อยกว่าตัวเลขอื่นๆ เป็นเท่าตัว และหากเรามองลึกลงไป ลึกลงไปอีก เราจะพบว่า เลขหนักหน่วยของหวยเลขท้ายสองตัว ไม่เคยมีใครหยิบเลขหนึ่งออกมาแล้ว ถึง 55 งวด (ครั้งสุดท้ายที่ เลขหนึ่งออกในหลักหน่วยต้องย้อนกลับไปถึงงวดวันที่ 1 ธันวาคม ปี 2557) แล้วมันสำคัญไฉน ... มันสำคัญที่ว่า ปรากฏการณ์แบบนี้ในทางสถิติ ถือว่าผิดปกติมาก... โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ว่า ลูกบอลสิบลูกสิบเบอร์ ถูกหยิบขึ้นมา 55 ครั้งโดยที่มีลูกบอลเบอร์หนึ่ง ไม่เคยถูกหยิบขึ้นมาเลยตลอด ห้าสิบห้าครั้ง... มันคือ ค่าความน่าจะเป็นคือ 0.9 ยกกำลังห้าสิบห้า... มันคือ ความเป็นไปได้เพียงแค่ 0.003043253 หรือเท่ากับ 0.3043253 % หรือเราจะพูดอีกนัยนึงว่า เลขหนึ่งควรจะมีโอกาสโผล่ออกมาในหลักหน่วย ในงวดเร็วๆนี้ มากกว่า 99. 6957% ... ไม่ว่าจะเป็นเลข 01, 11, 21, 31, 41, 51, 61 , 71, 81 และ 91 คือตัวเลขที่มีความเป็นไปได้กว่า 99.6957 % ที่ควรจะได้เห็นเร็วๆ นี้... อย่างที่บอกว่าบทความนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงหรือมอมเมา... นี่คือคณิตศาสตร์... ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่... แต่ผมพูดได้แค่ว่า เหตุการณ์เช่นนี้ ห้าปีที่ผ่านมามีเพียงแค่ครั้งเดียว ด้วยความเป็นไปได้เพียง 0.3043253 % แล้วเราจะหวังว่า ผู้อ่านทุกท่านจะอยู่ใน 99.6957% บนรักไฟฟ้า
ชื่อเรื่อง บนรักไฟฟ้า... ทั้งที่ความจริงควรจะเป็น บนรถไฟฟ้า
เหตุการณ์เกิดขึ้นราวๆ ทุ่มครึ่ง บนรถ BTS ณ กรุงเทพมหานคร ในวันที่กรุงเทพของเราเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร social network ... วันที่ชาว กทม ใช้เวลาก้มหน้าก้มตาเล่น Facebook บนสมาร์ทโฟนจนแซงชาว อเมริกัน ผู้สร้าง Facebook วันที่ผองเพื่อนเรา พ่อแม่ อาเจ่ก อาม่าเล่นไลน์จนแซงหน้าชาวโตเกียว แหล่งกำเนิด แอพพลิเคชั่น ไลน์ วันที่พวกเราทุกคนมีโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่ที่มีคนมากมายแค่ไหนก็ตาม.....จนบางทีเราติดต่อกับเหล่าผู้คนที่ห่างกับเราห้าสิบกิโล มากกว่าคนที่อยู่ห่างจากเราแค่ห้าสิบ เซนติเมตรด้วยซ้ำ มีผู้หญิงคนนึงที่นั่งบนรถไฟฟ้า จู่ๆ ก็ถามผมว่า "ถือของห้ายไหม่?" คือจะให้มองว่าเราดูอ่อนแอหรือดูว่าตัวเองแก่ก็ได้นะ...แต่ไม่รู้สินะผมรู้สึกดี.... ปกตินักวิทยาศาสตร์บอกว่าน้ำมีคุณสมบัติทำให้วัตถุเย็น แต่น้ำใจทำให้จิตใจอบอุ่นเสมอจริง จริง ทฤษฎีสัมพันธภาพวันวาเลนไทน์....
จั่วเรื่องแค่นี้ผู้อ่านที่รักทุกท่านก็รู้ว่าคงเป็นเรื่อง คลื่นแรงโน้มถ่วง...
แต่เอาจริงๆนะครับผมฉลาดไม่พอที่จะตรัสรู้สิ่งที่คุณลุงไอน์สไตน์พูดไว้เมื่อร้อยปีที่แล้ว... ขออภัยจริงๆ ทฤษฎีสัมพันธภาพมันลึกซึ้งสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆใครบอกว่าใจนารีซับซ้อนยิ่งนัก ผมขอท้าให้มาเข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพ แล้วท่านจะเชื่อว่าไม่มีทางที่หัวใจหญิงใดจะซับซ้อนกว่าทฤษฎีหลุมดำการบิดเบี้ยวของ time space หรือคลื่นแรงโน้มถ่วงแน่นอน!! ตอนผมเรียนอยู่ปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยมีคอร์สเรียนทฤษฎีสัมพันธภาพด้วยนะ ทฤษฎีสัมพันธภาพเนี่ยจริงๆแล้วมันถูกแบ่งเป็นสองศาสตร์ใหญ่ๆคือ ทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไป (GeneralRelativity) กับทฤษฎีสัมพันธภาพแบบพิเศษ(Special relativity) สิ่งที่ผมพอจะฟังเรื่องนี้แล้วเข้ามาในสมองอันน้อยนิดก็คือทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปกับพิเศษ คนส่วนใหญ่น่าจะคิดว่าแบบพิเศษคงยากกว่า... แต่ความจริงคือทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปยาก ซับซ้อนโหดร้ายและทำร้ายเกรดเฉลี่ยของนักเรียนกว่าฝั่งทฤษฎีสัมพันธภาพแบบพิเศษมากกกกก ทฤษฎีสัมพันธภาพแบบทั่วไปมีใจความสำคัญคือจะพูดถึงมวลของวัตถุที่จะทำให้ระนาบแห่งช่องว่างและกาลเวลาบิดงอ (เป็นไงล่ะ.. เจอแค่ประโยคนี้ก็เครียดแล้ว) ซึ่งมันเป็นโชคดีของมวลมนุษยชาติในปี2016จริงๆ ที่เหตุการณ์การ ฟิกเจอร์ริ่งของหลุมดำ เมื่อกว่าพันสามร้อยล้านปีที่แล้ว ที่เป็นรูปคลื่นสวยงามมาโผล่ให้พวกเราเห็นวันนี้พอดี!! เข้าใจว่าผู้อ่านทุกท่านคงอ่านข่าวและเข้าใจเรื่องคลื่นแรงโน้มถ่วงไปแล้ว...ใครไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร คนเกินครึ่งสุริยจักรวาลก็คงไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ เพราะไอ้เรื่องคลื่นแรงดึงดูดที่เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมสะเทือนจักรวาลอยู่เนี่ยจะอยู่ในฝั่งที่พิสูจน์ว่าทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปของคุณไอน์สไตน์เป็นจริง... กล่าวคือมวลของวัตถุ→ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง→ สามารถทำให้ระนาบแห่งช่องว่างและกาลเวลาบิดเบือน→ แต่ถ้าวัตถุมีการสั่นไหว(โปรดอย่าถามผู้เขียนว่าสั่นยังไง... ขึ้นๆลงๆ หรือซ้ายขวาๆหรือวัตถุต้องใหญ่แค่ไหน) →รู้แค่ว่าถ้ามันสั่นไหวการบิดงอ บิดเบือนของspace-time (ระนาบแห่งช่องว่างและกาลเวลา) จะกระจายเป็นรอนคลื่น และวันนี้ นักวิทศาสตร์อเมริกาก็มีหลักฐานว่ามันเป็นรอนคลื่นจริงๆ!! จบข่าว เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะครับ... เอาล่ะส่วนทฤษฎีสัมพันธภาพแบบพิเศษล่ะ? มันจะเป็นเรื่องที่มนุษย์ที่ยังพอเป็นปุถุชนพอเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อย่างสมการที่ทำให้พวกเรารู้จักคุณไอน์สไตน์และเป็นสมการสุดสุโค่ยของโลกใบนี้ก็คือe=mc2 แต่อย่าไปเข้าใจว่าคุณไอน์สไตน์คิดมาแค่e=mc2 แล้วเป็นอัจฉริยะนะครับจริงอยู่ว่าถึงแม้ผมจะบอกว่าทฤษฎีสัมพันธภาพแบบพิเศษจะง่ายอยู่ แต่จริงๆแล้วมันก็ (โคตร) ยากกว่านี้ไอ้สมการแค่บรรทัดเดียวนี้มาก นี่คือตัวอย่างบางส่วนจากหนังสือเรียนที่ผมอุตส่าห์ไปขุดมาให้ละลึกชาติความโหดร้ายตอนเราเรียนมหาลัย สุดท้ายนี้... ไหนๆ ก็วาเลนไทน์เนอะ... ผู้เขียนฉลาดไม่พอจริงๆ ที่จะเอา ทฤษฎีสัมพันธภาพ มาอธิบายหรือผูกกับทฤษฎีความรักอะไรทั้งนั้น... แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ... หากเราพอเข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพภาคพิเศษอยู่บ้าง เราจะทราบว่าเมื่อ เราเดินทางในจรวดอย่างเร็วมาก เร็วมากก มากกๆๆๆ เวลาจะไหลช้าลง จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ หากเราอยู่ในจรวดที่วิ่งเร็วมหาศาล... เวลาลูกโป่งแตก การเดินของเข็มนาฬิกาบนจรวด การเต้นของหัวใจ หรือทุกเหตุการณ์จะเหมือนเป็นภาพสโลว์โมชั่น นั่นคือทำให้เวลาของเราช้ากว่าคนที่อยู่บนโลกจริงๆ !! เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินหรือรู้กันแหล่ะ นั่นหมายความว่าเราสามารถเดินทางไปสู่อนาคตได้เพราะเมื่อเราเดินทางเร็วมากๆ เวลาของเราจะไหลช้าลง ทำให้เราเดินทางไปยังโลกอีกร้อยปีทั้งๆ ที่เวลาของเราเพิ่งผ่านไปแค่ปีเดียวก็เป็นได้... !!
นี่คือสิ่งที่อัจฉริยะที่สุริยจักรวาลของเรายอมรับ ... กล่าวไว้เป็นนัย.. แต่พวกเราอาจจะนึกไม่ถึง ! ดังนั้น... วาเลนไทน์นี้.. ไอน์สไตน์บอกพวกเราแล้วนะครับ... ว่าเราแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงความรักในอดีตไม่ได้...ขอให้มีความสุขกับวาเลนไทน์ในระนาบแห่งช่องว่างกาลเวลาในปัจจุบันนะครับ !! หนึ่งในเหตุผลที่ญี่ปุ่น กลายเป็นจ้าวฟุตบอลเอเซีย
หนึ่งในเหตุผลที่ญี่ปุ่น กลายเป็นจ้าวฟุตบอลเอเซีย ในวันที่16 มกราคมช้างศึกทีมชาติไทยชุดปรีโอลิมปิค โดนนักเตะ บลูซามูไร (เป็นชื่อเล่นเหมือนที่เราเรียกทีมชาติไทยว่าช้างศึก) สอนเชิงบอล 0-4 คือถึงแม้คนไทยจะไม่แฮปปี้เลยแม้แต่น้อยแต่เราคงต้องยอมรับว่าทีมชาติญี่ปุ่นแกร่งทั่วแผ่นจริงๆ มากกว่านั้น ณ ถึงวันนี้ 19 มกราคมทีมชาติญี่ปุ่นชุดนี้ยังชนะทั้งทีมชาติซาอุ และเกาหลีเหนืออีก...สองทศวรรษที่ผ่านมาถูกพิสูจน์อยากชัดเจนว่า วงการลูกหนังของเขาเป็นอันดับต้นๆของเอเซียไปเรียบร้อยแล้ว... หากมีคำถามว่าทำไมกันทำไมชนชาติที่ในสมัยก่อนเอาแต่เล่นเบสบอล บ้ากีฬาซูโม่ จึงมาถึง ณจุดนี้ได้ยังไง...
แน่นอนท่านผู้อ่านหลายๆท่านคงตอบง่ายๆ ว่า เพราะเงินที่สมาคมญี่ปุ่นทุ่มให้ล่ะซี่ กับความเป็นระบบระเบียบวินัยในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง... แต่ผู้เขียนมีเรื่องนึงที่ไม่น่าเชื่อแต่เพื่อนคนญี่ปุ่นรวมถึงรายการทีวีเคยพูดถึงกันว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลกับวงการลูกหนังแดนปลาดิบอย่างมากคือการ์ตูนเรื่อง กัปตันซึบาสะ!!
กัปตันซึบาสะเป็นการ์ตูนที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบล้นจินตนาการ ผู้เขียนสร้างตัวการ์ตูนนักเตะซึบาสะขึ้นมาแบบไม่ต้องสนใจว่าโลกแห่งวงการฟุตบอลเป็นยังไง...ผู้เขียนชูให้ทีมนักเตะญี่ปุ่น นำโดยกัปตันซึบาสะ เป็นมหาอัจฉริยะนักเตะในสามโลกลูกเตะที่แทบจะเป็นไปไม่ได้... ไม่สิไม่มีวันเป็นไปได้เลยบนโลกความจริง ท่าเตะหรือความแรงของลูกเตะที่อย่าว่าแต่ให้โรนันโด หรือมาราดอนน่ามาเตะเลยเพราะลูกเตะที่จะทำให้ตาข่ายประตูขาดหรือยิงแล้วทำให้กำแพงร้าว...ลูกเตะนั้นต้องวิ่งเร็วกว่าเสียงหรือพูดง่ายๆ ต้องเร็วกว่าลูกปืน(มีรายการญี่ปุ่นรายการนึง เขาสงสัยเลยขอร้อง ศาสตราจารย์ฟิสิกส์ รางวัลโนเบลช่วยวิเคราะห์และทำการทดลองให้) ไหนๆ ก็เขียนแล้วมีรูปประกอบนิดหน่อย คือ... ภาษาญี่ปุ่นเขียนว่า นี่มันไอเดียของซึบาสะนี่!! ถ้าทำแบบนี้แล้วจะสามารถป้องกันการโจมตีกลางอากาศได้สมบูรณ์แบบ (จริงๆ แล้วถ้าทำผมเข้าใจว่า กรรมการ FIFA คงไล่ออกจากสนามก่อน) จนถึงวันนี้..ผมก็ไม่เคยเห็นบอลลีกไหน มันเล่นกายกรรมกลางสนามแบบนี้ ...ในเรื่อง มีอยู่ฉากนึงที่ตัวละคร เป็นอะไรก็ไม่รู้สินะจริงๆ ตัดทรงผมนี้เฉยเลย ส่วนนี่ เป็นทักษะการเอาลูกบอลมาเป็นเซกเวย์....
แต่ที่ผู้เขียนเขียนมา...ไม่ได้คิดจะล้อเลียนอะไรประการใด แต่สิ่งที่จะบอกคือ การ์ตูนเรื่องนี้มีผลเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมให้เยาวชนญี่ปุ่นสนใจฟุตบอล และกล้าจะติดปีกความฝัน (ซีบาสะแปลว่าปีก) ที่จะเตะเล่นฟุตบอลโดยไม่ต้องไปคิดถึงข้อจำกัด บนโลกความจริง.... และเรื่องจริงที่ทำให้ผมบอกว่าซึบาสะมีผลต่อวงการฟุตบอลคือ เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว นายกสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นเข้าไปคุยกับ อาจารย์ทาคาฮาชิ ที่เขียนการ์ตูนซึบาสะเนี่ยแหล่ะ โดยขอให้ ช่วยให้ซีบาสะเปลี่ยนจากเล่นกองหน้าเป็นกองกลางได้ไหม !!? ท่านผู้อ่านคงนึกว่าเป็นเรื่องเล่นๆขำๆ แต่ตอนนั้นเป็นเรื่องซีเรียสเลยนะครับ เพราะสมาคมฟุตบอลเห็นแล้วว่า ฟุตบอลสมัยใหม่ กองกลางจะเป็น play maker ที่สำคัญมากทางสมาคมจึงต้องการผลิต เยาวชนรุ่นใหม่มาเสริมทัพกองกลางให้ทีมชาติ สมาคมเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำคัญมาก เพราะตอนนั้น ซึบาสะเล่นเป็นศูนย์หน้าเกือบตลอด... และอาจารย์ทาคาฮาชิก็บ้าจี้ตาม พอซีบาสะขึ้นมาอยู่มัธยมก็เล่นเป็นกองกลางเลย !!
และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆคือ หากใครอยู่ในวงการฟุตบอลจะทราบว่า ญี่ปุ่นผลิต นากาตะนักเตะตำนานของญี่ปุ่น(เขาเป็นญี่ปุ่น หรืออาจจะเป็นเอเซียคนแรกด้วยซ้ำที่สามารถติดทีมตัวจริงในทีมสโมสรระดับโลกของอิตาลี ) ชินจิ คากาวะ หรืออีกหลายๆ คนที่เป็น กองกลางระดับ เวิร์ลคลาสเลยไม่ใช่แค่เอเซีย !!
นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ตัวอย่างที่วรรณกรรมบนโลกจินตนาการที่มั่วมากมาย กลับสร้างอิทธิพลบนโลกสังคมจริงๆ ... ไม่แน่นะครับ...ประเทศไทยของเราเองก็อาจกำลังรอวรรณกรรมบางชิ้นที่จะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้บ้างก็ได้....
|
Green Albatross
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |