"Life remains the same until the pain of remaining the same becomes greater than the pain of change."
 
 

เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 8 (พักรบกับเจ้ามะเร็งร้ายและมารู้จักเจ้าของ Blog กันดีกว่า)

เขียนมาหลายตอน มีแต่เรื่องอ่านแล้วเศร้า ตอนนี้เราขอเล่าเรื่องตัวเองดีกว่า…

อยากบอกว่าช่วงที่อยู่โรงพยาบาลครั้งที่สองเนี่ย…..
เราเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยกับหลายๆเรื่อง ตัดพ้อกับตัวเองว่า…
ทำไมต้องเป็นครอบครัวเราด้วย???....
ทำไมคุณพ่อที่รักของคนในครอบครัวต้องเจคพอร์ตด้วย???..

เราพยายามให้กำลังใจตัวเองมาตลอด คุณแม่ พี่สาว พี่ชาย มาอยู่กับคุณพ่อทุกวันและมีพี่สาวของคุณพ่อซึ่งพี่น้องกัน คู่นี้เขารักกันมาก คุณป้าท่านอายุ 76 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงมากเขารักน้องชายของเขามากและเป็นห่วงน้องชายเขาเสมอ ทุกครั้งคุณป้าจะมากับเราจากออฟฟิตและคุณอาก็จะมารับกลับ…. คุณพ่อจะยิ้มแย้มทุกครั้งที่ทุกคนมาอยู่กันเต็มห้อง

ฉะนั้นคุณพ่อจะมีความอบอุ่นมากค่ะ พวกเราจะคุยกันเสียงดัง เอาอาหารของโรงพยาบาลซึ่งเขาจะมีส่วนนึงที่เป็นปิ่นโตให้ญาติด้วย คุณพ่อทานน้อยแต่เราทานกันหมดทุกครั้ง

เราอยากจะบอกกับญาติที่มีผู้ป่วยแบบคุณพ่อเรานะคะว่า….. การสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงและสนุกสนานและทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะสามารถช่วยให้คนป่วยลืมความเจ็บปวดของเขาได้ค่ะ จำได้มีอยู่วันนึง คุณพ่อมีญาติๆมาเยี่ยมครั้งเดียวเกือบ 20 คนรวมหลานๆด้วย คุณหมอประจำward เดินมาตรวจคุณพ่อแล้วต้องรีบออกไป... เราก็..ขำ..ขำ…คุณหมอนะ คงกลัวพวกเราจะกินคุณหมอหรืออย่างไร??? สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองเพราะเราต้องคอยดูแลและพยาบาลคนป่วย ฉะนั้นจิตใจ ร่างกายเราต้องเข้มแข็ง พยายามหาทางที่ทำให้ตัวเองสบายใจหรือผ่อนคลาย สำหรับเราคือการดูซีรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง จีน เกาหลี เราดูรวมๆแล้วไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง

ช่วงนั้นน้องชายของเรามาเยี่ยมคุณพ่อน้อยกว่าคนอื่นเพราะในช่วงนั้นเขาติดภาระกิจราชการ น้องชายเป็นลูกรักของพ่อมากค่ะ เพราะน้องห่างจากเรา 13 ปี เรียกว่าลูกหลงได้เลย พี่น้องเราจะรักกันสนิทกันมาก เราจะกอดน้องชายเกือบทุกครั้งที่เราเจอกัน ทั้งๆที่น้องอายุก็ 26 ปีเข้าไปแล้ว เราเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กและดูแลเขามาตลอดนี่ ครอบครัวเราจึงมีความผูกพันธุ์กันอย่างแนบแน่นแฟ้น ซึ่งก็มีแค่พี่ชายเราที่เราสนิทน้อยลงในช่วงหลังๆเพราะเขาแยกครอบครัวออกไป ส่วนเรากับพีสาวถึงแม้จะทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งสุดท้ายเราก็จะไปไหนด้วยกันเสมอ และจบด้วยการสรรหาร้านอาหารที่อร่อยๆกินกันจนตัวเรากลมกันไปหมด นั่นแหละครอบครัวเรา ปกติ เสาร์อาทิตย์ถ้าเราไม่ไปกับแฟนเราก็จะอยู่บ้านตลอดและก็พาครอบครัวไปเที่ยวกัน

เราชอบชีวิตแบบนี้และชินกับมันมาเพราะเป็นแบบนี้มาสามสิบกว่าปีแล้ว เรายังไม่มีครอบครัวอยู่เพราะมันเป็นอิสระ และไม่ต้องมีข้อผูกมัดอะไรกับใคร เราชอบทำงานเป็นชีวิตจิตใจเพราะมันท้าทายดี เรากับแฟนคบกันมาจะครบปีที่ 10 แล้ว (นานมั๊ย??) เรามีโครงการณ์ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนกันแต่ว่าก่อนหน้านี้เรามีภาระที่จะต้องจัดการงานที่บริษัทให้เสร็จและปลดภาระต่างๆให้หมดก่อน เราจึงทำเป็นไม่รับรู้เมื่อเข้าเริ่มเอ่ยถึงเรื่องนี้ เวลาเขาพูดถึงเราก็จะเบี่ยงเบนประเด็นออกไป เราไม่อยากให้เขามารับภาระจากเรา เราบอกกับตัวเองว่าหากไม่สามารถปลดภาระต่างๆได้มันจะทำให้เราไม่มีความสุขแน่หากมีครอบครัวไป จนประมาณต้นปีนี้เอง ทุกอย่างโดนจัดการให้เสร็จสิ้นและเราก็อยากจะบอกกับแฟนว่าเราจะมีโครงการณ์สร้างชีวิตด้วยกันนะ

แต่ชีวิตเราคงจะถูกลิขิตให้อยู่คนเดียวกระมัง....เพราะเมื่อเราทราบข่าวคุณพ่อเมื่อต้นเดือนมีนาคม 52 เราตัดสินใจจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ เราตัดสินใจที่จะตัดการสื่อสารแทบทุกอย่างออกจากเพื่อนๆ ออกจากเขา เรายุติการสังสรรค์ทั้งหมด เราต้องทุ่มเทเวลาหลังที่ทำงาน เสาร์อาทิตย์ให้กับคุณพ่อคนเดียว มีเพื่อนโทรหาเราหลังจากที่เขาทราบเขาคุณพ่อแต่เราไม่อยากคุยด้วยไม่รู้สิ เราบอกไม่ถูก เราไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากเจอใคร นอกจากคนในบ้าน คนที่ทำงานและคุณหมอ แล้ว เราไม่สื่อสารกับใครเลยยิ่งช่วงที่คุณพ่อรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแล้ว เรายุติการสื่อสารโดยสิ้นเชิง

แฟนเราจะเข้าใจไหมเนี่ย??
เราไม่อยากจะอธิบาย…ไม่อยากพูดคุย
เขาโทรหาเราหลายรอบแต่ต้องขอโทษเขาด้วย....
เราไม่อยากคุยกับทุกคนและไม่เคยรับโทรศัพท์ใครเลย...

เรารู้ว่าหลังจากคุณพ่อป่วยชีวิตความเป็นส่วนตัวของเราต้องน้อยลงและอาจหมดไป แต่เรายินดีที่สุดค่ะ กว่าเกือบ3 เดือนแล้วที่เราแทบไม่ได้คุยกับเขาเลยแต่นั่นแหละเป็นเพราะเราเลือกที่จะเป็นแบบนี้เอง ขอโทษด้วยจริงๆ เราบอกเขาทาง email ว่าเราไม่อยากคุยนะ หากจะคุยกับเราให้คุยผ่านEmail ซึ่งเขาก็คงไม่เข้าใจเราหรอกเพราะแม้แต่ Email เขายังไม่เขียนมาหาเราเลย เอาเถอะเราไม่ว่าเขาหรอก เขาก็คงเคืองๆเราแต่ไม่เป็นไร ชีวิตทางนี้เราเป็นคนเลือกเอง……

นอกเรื่องมานาน ตอนต่อไปจะกล่าวถึงเมื่อพาคุณพ่อกลับบ้านแล้วในฐานะคนดูแล เราควรจะทำอย่างไร จะดูแลผู้ป่วยอย่างไร จากนั้นเราจะพูดถึงงานที่เราไปฟังบรรยายมาคือ มะเร็ง....ทำไมต้องคีโม เจอกันนะคะ




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 13 มิถุนายน 2552 8:00:44 น.   
Counter : 958 Pageviews.  


เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 7 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 3/3)

หายไปหลายวันหน่อยนะคะ เป็นเพราะเรามีอาการไมเกรนขึ้นเลยไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องราวได้ ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วค่ะจึงอยากจะมาเล่าต่อ อย่างน้อย Blog ที่เราเขียนหากไม่มีประโยชน์กับท่านใดมันมีประโยชน์สำหรับเราเพราะสามารถบันทึกเรื่องราวของบุคคลอันเป็นที่รักของเราไว้ได้....ตอนนี้เป็นตอนจบของการให้คีโม Cycleที่ 1 เราอยากจะรีบเขียนให้เร็วกว่านี้จะได้ Update ถึงเวลาปัจจุบัน

ตกลงจากการ Plan ให้คุณพ่อกลับบ้านเป็นอันต้องเลิกไปโดยปริยาย วันที่ 16 เมย 52 หรือเรียกว่า Day 3 After Chemo อาการถ่ายคุณพ่อเริ่มมากขึ้นวันนี้ถ่ายทั้งหมด 13 ครั้ง

ขอแนะนำหากคนป่วยมีอาการเช่นพ่อเราคือถ่ายเกิน 4 ครั้งต่อวันต้องรีบแจ้งแพทย์ผู้รักษานะคะ เพราะหากคนป่วยกลับบ้านไปแล้วอาจมีอาการข้างเคียงเช่นนี้ ญาติๆต้องคอยสังเกตุและถามคนป่วยนะคะว่าเวลาถ่าย อุจาระมีลักษณะไหน ? เช่นมีสีดำไหม? เหนียวไหม? ถ้าเหนียวแล้วคล้ายยางมะตอยไหม? เพราะหากเป็นเช่นนั้นอาจจะมีแผลข้างในหรืออาจมีเลืดออก อาการอาจมีอาการซีดซึ่งต้องเอาไปจตรวจเพาะเชื้อดู หากอุจาระมีมูกเหนียวๆก็อาจหมายถึงการติดเชื้อ คุณหมอจะได้ให้เอาอุจจาระไปเพาะเชื้อว่ามีการติดเชื้อหรือเปล่า…..

นอกจากการถ่ายมากคุณพ่อมียังแผลร้อนในอยู่ในปาก คุณหมอเฉพาะทางจึงมาดู ขอโทษนะคะที่จำชื่อพวกท่านไม่ได้ สมัยนี้แพทย์จะทำงานกันเป็นทีมค่ะ.. เมื่อคนไข้มีอาการด้านไหนก็จะมีแพทย์เฉพาะทางมาช่วยดูเพราะแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนึงอาจจะไม่เชี่ยวชาญอีกด้านนึงได้

คุณหมอไนยรัฐมาตรวจเหมือนทุกวันแม้ว่าจะมีการปิดถนน ซึ่งช่วงนั้นอย่างที่เราเราทราบกันว่าเป็นช่วงสงกรานต์ที่มีการเมืองวุ่นวาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดนปิดโดยกลุ่มความขัดแย้งทางการเมือง …..

ตอนนั้นเราไม่ได้กลับบ้านเลยเพราะออกไปข้างนอกไม่ได้ ถึงแม้ว่าทางพวกที่ปิดถนนจะอนุญาติให้คนที่จะเข้าออกโรงพยาบาลเข้าออกได้แต่เราก็ไม่กล้าไปไหนเพราะหากระหว่างทางมีเหตุการณ์จลาจรขึ้นมาละก็ เราคงเข้ามาโรงพยาบาลลำบาก เราเลยบอกคุณแม่และคุณป้าและพี่พี่ว่าไม่ต้องมาก็ได้เพราะพวกท่านคงจะมาลำบากแต่พี่สาวเราก็หาทางมาจนได้

เนื่องจากการเมืองวุ่นวายมาก คุณพ่อจึงเกิดอาการเครียดมากเพราะที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ยิ่งห้องที่ท่านพักด้วยแล้วสามารถเห็นอนุสาวรีย์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งมีเสียงยิงปืนอย่างดัง ทำให้คุณพ่อ ปิดการสื่อสารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ซึ่งผิดกับวิสัยคณพ่อที่จะคุยเรื่องการเมืองตลอด ช่วงนั้น



วิวด้านนอก




เห็นการปิดถนนที่อนุสาวรีย์ชัดเจน





คุณพ่อพูดน้อยลง หลายครั้งที่เราไม่เข้าใจท่านเลยเพราะท่านจะลงกับเราบ่อยๆ ทำอะไรนิดก็โดนว่า ทำอะไรหน่อยก็โดนบ่น เดินไปเดินมาก็โดนว่าทำให้ท่านปวดหัว มีเสี้ยวนึงที่เรามองออกไปนอกระเบียงห้องว่า หากฉันกระโดดลงไปเนี่ยให้มันตายไปเลยน่าจะดีนะ ???.....จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไรทั้งสิ้น เรามักจะมีความคิดหลายต่อหลายครั้งว่าการตายเป็นสิ่งที่สามารถให้เราพ้นทุกข์ได้ อย่าคิดแบบนั้นนะคะ เพราะมันไม่ใช้หนทางที่ถูกต้อง แต่สำหรับเรา เราไม่สามารถตายได้เพราะเรายังมีภาระอีกมากมายหากเราตายลงมันเป็นการเห็นแก่ตัวมากเพราะว่า ภาระทุกอย่างจะอยู่กับคนที่มีชีวิต เรายังมีพ่อที่จะต้องดูแล มีแม่ที่อายุมากขึ้น มีบริษัทที่ต้องรับผิดชอบ เราจึงหยุดความคิดนั้นทั้งหมดแต่รู้มั๊ยเราไม่เคยกลัวตายเลย แต่เราไม่อยากให้คนที่เรารักตายเพราะเรารับไม่ได้ หากวันนึงคนที่เรารักต้องตายลงเรายังไม่รู้เลยว่าเราจะตายตามหรือไม่....เอาไว้เป็นเรื่องของอนาคตดีกว่า

เมื่ออาการคุณพ่อน่าจะมีอาการข้างเคียงจากการให้คีโม เราและพี่สาวจึงเฝ้าท่านอย่างไม่ให้คลาดสายตา คุณพ่อต้องเดินเข้าห้องน้ำทั้งวันจนเหนื่อยมาก เรานั่งมองคุณพ่อตอนที่ท่านหลับตาลงเพราะความล้า เรารู้สึกอยากที่จะสลับร่างกับท่านเหลือเกิน เราอยากเอาความเจ็บปวดของท่านมาไว้ที่เรา คุณพ่อมีอาการไข้ขึ้นสูงในวันที่ 17-19 เมย เรากับพี่สาวต้องคอยเช็ดตัวให้ท่านตลอดเวลา คุณพ่อทานอาหารได้นิดหน่อยและไม่อยากทานอาหารเพราะท่านบอกว่าทานไปก็ถ่ายอีกท่านจึงไม่คิดอยากกิน ยังดีที่คุณหมอสั่งให้น้ำเกลือตลอด ให้มากจนมือที่ให้น้ำเกลือบวมหมด คุณพยาบาลต้องมาเจาะเส้นใหม่และต่อมาก็บวมทั้งสองข้าง เราต้องให้ cool pad ประคบตลอด .เนื่องจากมีการถ่ายมากและป้องกันการที่ % เลือดต่ำ คุณหมอเลยให้เลือดคุณพ่อ 2 ถุง

เวลาคุณหมอมาตรวจคุณพ่อ ท่านจะดีใจทุกครั้ง คุณหมอจะรู้มั๊ยเนี่ย ว่าคนไข้ทุกคนจะมีกำลังใจเมื่อหมอมา


วันที่ 20 เมย คุณหมอยุพินมาตรวจคุณพ่อ (จำคุณหมอยุพินที่เราเคยกล่าวไว้ในตอนต้นๆ ได้ไหม ท่านเป็นคุณหมอที่เชียวชาญเรื่องเบาหวาน) คุณหมอผู้น่ารักคนนี้มาอีกแล้ว แล้วท่านก็ให้คุณพ่อทานอาหารเสริมที่เรียกว่า Gen DM
เป็นอาหารเสริมที่มีสารอาหารครบเหมาะสำหรับพวกเบาหวาน อาหารเสริมพวกนี้บางครั้งก็ผสมให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่กรณีแต่พ่อเราใช้แบบชงดื่ม เพราะคุณพ่อทานอาหารแทบไม่ได้

คุณพ่อบอกว่ารสชาติสุดๆคือไม่น่าลิ้มลองเลย แต่จำเป็นต้องทานกลัวคุณหมอยุพินจะว่า เพราะท่านค่อนข้างเป็นหมอที่เอาใจใส่ ทุกๆครั้งที่มาก็จะถามว่าทานหรือยัง??? แอบนิดนึงคุณพ่อไม่ได้ทานถุงสุดท้ายนะคะเพราะทานไม่ไหวแล้วพ่อบอก เราเลยเอากลับบ้านลองไปแอบทานดูมันได้เลวร้ายเท่าไหร่ก็เหมือนกับนมผงชงกับน้ำนั่นแหละ



GEN DM ทางโรงพยาบาลเขาผสมมาให้ในรูปแบบถุงค่ะ เปิดแล้วรินใส่แก้วดื่มค่ะ





เนื่องจากต้องให้เลือดด้วยจึงมีคุณหมออภิชัย ลีละสิริ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลือดมาเยี่ยมและตรวจอาการคุณพ่อด้วยต้องขอขอบคุณท่านมากค่ะ นอกจากนี่ก็มีคุณหมอกสานติ์ ที่เป็นคนดูแลเรื่องสูตรคีโมมาหาคุณพ่อหลายครั้งค่ะ ขอขอบคุณมากๆอีกครั้งนะคะ

อาการของคุณพ่อเริ่มดีขึ้นหลังจากได้เลือดและได้ทานอาหารเสริมเพราะทำให้คุณพ่อมีแรงมากขึ้น ช่วงที่ท้องเสียเป็นช่วงที่ให้คีโมและมีอาการข้างเคียงเป็นช่วงที่ต้องต้องระวังอาหารเป็นพิเศษ เนื่องจากเม็ดเลือดโดนกดทำให้ร่างกายอ่อนแอมาก สิ่งที่ต้องปฏิบัติในช่วงหลังคีโมวันแรกๆคือ ภาวะนี้เกิดจากที่คีโมไปกดไขกระดูก นอกจากจะทำให้เม็ดเลือดแดงมีจำนวนน้อยลงแล้ว ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวต่ำด้วย เม็ดเลือดขาวโดยปกติจะทำหน้าที่ต่อสู้กับแบคทีเรีย หรือ เชื้อโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่เมื่อมีจำนวนน้อยลงจึงทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น แพทย์จะทำการตรวจเช็คเม็ดเลือดขาวตลอด และมีการฉีดยากระตั้นหากมีการต่ำกว่าปกติมาก ดังนั้นญาติและผู้ป่วยควรจะดูแลความสะอาดให้มากเป็นพิเศษค่ะ


1. อาหารต้องไม่มีพวกผักชี ผักมากนักและควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สด ฉะนั้นเวลามีตนเอาผลไม้มาเยี่ยมเราก็ทานแทนตลอดเลย…

2. หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนโดยเฉพาะคนที่มีไข้ ห้ามเข้าหาโดยเด็ดขาด

3.ทุกอย่างรอบตัวต้องสะอาดมากๆ

คุณพ่อได้รับการดูแลอย่างดีคุณหมอทุกท่าน ทำให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมากเพราะ อาการท้องเสียเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ดูข่าวเหมือนเดิม ช่วงนั้นเราเป็นเด็กอนามัยมากเลย นอนตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง เราชอบมองออกไปนอกห้องตอนกลางคืนและคลายเครียดด้วยการฟัง MP3



วิวช่วงกลางคืนที่เราชอบมองออกไป สวยดีนะคะ


เพื่อที่จะได้ไม่อารมณ์เสียเวลาคุณพ่อวีนเรา เอาเหอะวีนมาเลยเรารับได้แล้วและมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ พ่อวีนเรายิ่ม พ่อว่าเรายิ้ม ยิ้มจนเหนื่ยอยู่หลายวันจนพ่อหายวีน…..

ฉะนั้น ญาติๆต้องเตรียมใจไว้เลยนะคะ ว่าผู้ป่วยต้องมีอารมณ์แปรปรวนและมาลงที่คนรอบข้างโดยเฉพาะคนในครอบครัว ต้องคอยรับมือให้ได้ ตอนเราฟังเพลงเราก็จะเปิดใส่หูดังๆแล้วร้องตามไปเลย ร้องเพลงอยู่หลายเพลงจนเจ็บคอเลยอารมณืเราดีขึ้นและจะได้เผชิญหน้ากับท่านได้...สู้..สู้ต่อค่ะ

..อย่าลืมนะคะว่าจะต้องบันทึกทุกอย่างโดยละเอียดเพื่อเป็นข้อมูลศึกษาในการให้คีโมครั้งต่อไป

คุณหมอไนยรัฐอนุญาตให้คุณพ่อออกจากโรงพยาบาลได้ในวันที่ 23 เมษายน พวกเรารวม 7 คนมารับคุณพ่อกลับบ้าน เราขนของไปโรงพยาบาลเหมือนย้ายบ้านเลย เอาไปตั้งแต่โซฟาตัวเก่งคุณพ่อ ที่นอน หมอน ไม่ใช่ที่โรงพยาบาลไม่มีนะ มีครบแต่เราอยากทำให้ห้องคนป่วยเหมือนบ้าน ไอ้ตอนขนกลับเนี่ยอ๊าย อาย คนแถวนั้นแต่ก็เอาเหอะ ทำไปแล้วนิ

ช่วงที่เราออกจากโรงพยาบาลเป็นช่วงบ่ายของวันที่ 23 เมษา เราได้ข่าวจากคุณหมอประจำward ว่าคุณหมอไนยรัฐจะต้อง admit ที่ชั้น 19 นี้เป็นชั้นเดียวกับที่คุณพ่ออยู่ ท่านมีอาการปวดท้องอย่างมาก เราและคุณพ่ออยากจะไปเยี่ยมคุณหมอมาก คุณพ่อบอกว่าสงสารคุณหมอเพราะคงไม่ได้พักผ่อนเลย วันหยุดยาว1 อาทิตย์เต็มๆ คุณหมอยังต้องทำงาน เราอยากไปเยี่ยมคุณหมอนะคะแต่เราไปไม่ได้จริงๆ เพราะต้องดูแลคุณพ่อ เราสวดมนต์ขอให้คุณหมอหายเร็วๆและได้ส่งใจไปช่วยค่ะ

คุณหมอนัดไปพบอีกครั้งวันที่ 4 พ.ค 2552 ตอนต่อไปจะพูดถึงการดูแลเมื่อคุณพ่อกลับบ้านนะคะ




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 2 มิถุนายน 2552 17:10:57 น.   
Counter : 3013 Pageviews.  


เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 6 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 2/3)

ความตอนเดิมคือการให้คีโมครั้งที่ 1 โดยการให้ 24 ชั่วโมงแบบต่อเนื่องรวมๆแล้วได้คีโมประมาณ 10 ขวดและน้ำเกลืออีก ของเหลวใสๆ สีๆ เข้าไปอยู่ในร่างกายของคุณพ่อแล้ว สิ่งเหล่านั้นควรที่จะไปทำลายเจ้าเซล ต่างๆใช่มั๊ย?? และมันควรที่จะเป็นเช่นนั้น การที่คีโมเข้าไปอยู่ในร่างกายทุกอนูของเส้นเลือด มันเป็นวิธีการเข้าสู่ร่างกายที่เร็วที่สุด

ถ้าจะเทียบคีโมให้มันมีชีวิต มันคงจะเป็นใครคนนึงที่กำลังถือหอกและระดมทิ่มแทงเจ้าเซลที่กำลังรุกรานร่างกายของคุณพ่อ ซึ่งเจ้า Chemo man นั้นคงจะไม่ได้พิจราณาหรอกว่าเซลตัวไหนเป็นเซลเนื้อร้ายเพราะเขาจะทำลายเซลที่เติบโตเร็วอย่างเดียว เซลที่เติบโตเร็วซึ่งนอกจากจะเป็นเซลมะเร็งแล้วก็คือ เซลของเส้นผม,เซลเยื้อบุลำไส้, ซึ่งเมื่อเจ้าคีโมเข้าไปแล้วก็จะทำลายเซลดังกล่าวด้วย นั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถทนได้จึงเกิดอาการข้างเคียง



เราต้องใกล้ชิดกับคุณพ่ออย่างมากและต้องคุยกับคุณหมออยู่เสมอ จำได้ไหมในตอนต้นๆที่เราเคยบอกว่าเราจำชื่อคุณหมอไม่ได้ แต่หลังจากเริ่มการให้คีโม ชื่อของ คุณหมอ ไนยรัฐ ประสงค์สุข เป็นชื่อที่ครอบครัวเราต้องจดจำไว้อีกนาน

....ขอบคุณนะคะคุณหมอ...ขอบคุณสำหรับทุกๆสายที่คุณหมอรับ..ขอบคุณสำหรับการเข้ามาเยี่ยมทุกวันแม้ว่าจะเป็นวันสงกรานต์...แทนที่คุณหมอจะได้พักผ่อนอยู่กับครอบครัวของคุณหมอ กลับต้องมาโรงพยาบาลตลอด... เราไม่รู้จะตอบแทนคุณหมออย่างไรดี… คุณพ่อโชคดีมากที่ได้คุณหมอที่เอาใจใส่และดูแลอย่างใกล้ชิด


ในวันที่ 13 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์และเป็นวันสุดท้ายของการให้คีโมของคุณพ่อ คุณหมอไนยรัฐ เกือบจะอนุญาติให้คุณพ่อกลับบ้านในวันที่ 15 เมย เพราะใน 6 วัน 5 คืน คุณพ่อไม่มีอาการแพ้ใดๆเลย เช้าของวันที่ 14 คุณพยาบาลมาฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดให้ เพราะคีโมจะกดเม็ดเลือดให้ต่ำลงจึงจำเป็นต้องพึ่งยาเพราะไม่งั้นร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อง่าย ช่วงนี้แหละที่ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะเมื่อเม็ดเลือดต่ำเจ้าเชื้อโรคต่างๆจะระดมกันเข้ามาในร่างกาย

พอเวลาประมาณช่วงเย็นของวันที่ 14 คุณพ่อเริ่มมีอาการหน้ามืด เมื่อคุณพ่อยืนก็มีอาการวิงเวียนและจะล้มลง
คุณพ่อพยายามประคองตัวเองที่จะไม่เซและยืนให้ได้เพราะคุณพ่อจะเดินไปห้องน้ำ แต่ร่างกายท่านคงจะทนไม่ไหว ขาคุณพ่อถึงไม่ค่อยมีกำลังที่จะประคองตัวเอง เราและน้องทหารอีกคนช่วยกันประคองคุณพ่อเพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทั้งคืนเราไม่ได้นอนเลย ไฟที่ระเบียงเปิดไว้ตลอดเวลา แสงของหลอดไปภายนอกส่องพอดีกับเตียงคุณพ่อ ทำให้เรามองเห็นคุณพ่ออย่างชัดเจน เรานอนอยู่ตรงโซฟาข้างๆเตียง คุณพ่อกำลังหลับตาลงด้วยความอ่อนล้าหลังจากที่ต้องเข้าห้องน้ำหลายต่อหลายครั้ง เรานอน มองไปได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง คุณพ่อก็จะเข้าห้องน้ำอีก เป็นอยู่เช่นนั้นทั้งคืน

เช้าตรู่ของวันที่ 15 เรารีบบอกคุณพยาบาลถึงอาการคุณพ่อเพื่อคุณพยาบาลจะได้เรียนให้คุณหมอทราบ สายๆของวันนั้น ระหว่างคุณพ่อจะเดินไปเข้าห้องน้ำ คุณพ่อหยุดนิ่งได้ประมาณเกือบ 1 นาทีและมีอาการชักพร้อมตามองไปข้างบนเพดาน สองมือเราประคองคุณพ่ออยู่ พร้อมๆกับน้องทหารคนนั้น ขาเราจึงรีบดึงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆเตียงมาอย่างรวดเร็วและเอาสอดให้คุณพ่อนั่งลง เราร้องบอกน้องทหารคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “รีบไปตามคนมาช่วยเร็ว” ระหว่างที่น้องทหารวิ่งไปตามคุณพยาบาล คุณพ่อมีอาการสั่นตลอดเวลา เราเรียกคุณพ่อ “ พ่อ พ่อ...ได้ยินไหมคะ??? พ่อ พ่อ” จากนั้นคุณพยาบาลเปิดประตูเข้ามาด้วยความรวดเร็ว หลายคน จับตัวคุณพ่อให้นอนราบลงที่เตียงคนไข้ สักประเดี๋ยวคุณพ่อ เริ่มมีอาการดีขึ้น คุณพยาบาลบอกว่าเป็นเพราะเม็ดเลือดต่ำ คุณพ่อมีอาการสะอึกมาได้ 2 วันแล้ว คุณหมอจึงให้คุณพยาบาลฉีดยากันสะอึกและฉีดยาเคลือบกระเพาะ

เนื่องจากมีการถ่ายมากกว่าปกติ ซึ่งหากคนไข้ได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารการถ่ายบ่อยครั้งถือเป็นเรื่องไม่ผิดปรกตินักเพราะอาหารที่ทานไปไม่มีที่ให้เก็บจึงไหลออกหมอ การถ่ายประมาณ4 ครั้งจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่คุณพ่อถ่ายเกินกว่า 7 ครั้ง คนอายุอย่างเรา ต้องเดินเข้าห้องน้ำบ่อยๆยังแทบไม่ไหว นึกถึงตอนที่เราเคยอาหารเป็นพิษเราเข้าห้องน้ำเกือบ 10 ครั้งซึ่งเล่นอาแย่เหมือนกัน แต่นีคุณพ่อเข้ามากกว่า 10 ครั้งแล้วจะเป็นยังงัย เราไม่อยากรับรู้เลยจริงๆ ในวันเดียวกันคุณหมอให้คุณพ่อไป CT SCAN เนื่องจากคุณพ่อมีอาการชักเพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่ วันนั้นเป็นวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ทุกอย่างจึงต้องใช้แบบตรวจฉุกเฉิน เราเดินตามคุณพ่อกับคุณหมอประจำward คือ คุณหมอ เกษมสันต์ อร่ามเสาวภาคย์ หลายคนต้องทำงานกันในวันหยุดเช่นนี้ พวกเขาเสียสละจริงๆ ผล CT SCAN อออกมาในไม่นานว่า ปรากฏว่าทุกอย่างปรกติดี

วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะหลังจาก Post ข้อความนี้แล้ว เราจะไปดูคุณพ่อหน่อย….แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 21:23:47 น.   
Counter : 5096 Pageviews.  


เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 5 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 1/3)

ใครได้อ่านเรื่อง “ผมไม่มีวันยอมตายด้วยโรคมะเร็ง” บ้างคะ ขออนุญาติภรรยาคุณ kcmc นำมาเล่านะคะ //topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/08/L6863057/L6863057.html

เป็นกระทู้ในพันทิปนี่เองของคุณ kcmc ที่เขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เป็นมะเร็งจากตั้งแต่เดือน สค ปี 51 ซึ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และลามไปที่ตับตั้งแต่เดือนเมษายน 51 เราเข้าไปอ่านแล้ว ค่อยๆเลื่อนข้อความลงไป ซึ่งเขาผ่าตัดเอาส่วนมะเร็งออกไปซึ่งคล้ายกับคุณพ่อ

ต่อมาภรรยาในวันที่ 2 พ.ค 2552 นี้เอง เป็นผู้มาแจ้งในPantip ว่า “คุณก่อเกียรติใช้เวลา 1 ปีเต็มในการต่อสู้กับโรคร้าย และในที่สุดโรคร้ายก็เป็นผู้ชนะโรคมะเร็งได้พรากสามีสุดที่รักของดิฉัน และพรากคุณพ่อที่แสนดีของลูกสาวดิฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ คุณก่อเกียรติได้จากเราไปโดยสงบเมื่อวันจันทร์ 27 เมษายน 2552 เวลา 10.00 น..”

เรื่องนี้ ทำให้เราไม่กล้าที่จะอ่านข้อความของเขาต่อเลย ทำใจอยู่หลายวันจึงตัดสินใจใหม่ที่จะเข้าไปอ่าน คืนที่เราอ่านกระทู้เป็นคืนที่ฝนตกหนักในกรุงเทพ เราเปิดหน้าต่างออกนิดๆเพื่อให้ลมและกลิ่นอายของฝนเข้ามาที่โต๊ะทำงานที่อยู่ติดกับขอบหน้าต่าง คลิ๊กเข้าไปตรง favorite ที่ save ไว้ แล้วจึงค่อยๆอ่าน

มีคำพูดนึงที่ภรรยาพูดกับคุณ kcmc ว่า ....“ สู้น่ะพ่อ เขาจะอยู่ข้างๆแล้วลูกของเราก็รอพ่ออยู่ พ่อเหนื่อยกับครอบครัวมามากแล้วไม่ต้องห่วง แม่ให้พ่อพักบ้าง แม่จะทำทุกอย่างแทนพ่อเอง” ....เศร้าจัง..... เราอ่านแล้วก็น้ำตาไหลออกมาเองจนเปื้อนคีบอร์ดไปหมด มีคนนึงเขียนให้กำลังคุณ kcmc ว่า “ ถึงกายจะพัง ใจต้องไม่พัง ครับ” เราชอบมากเลย เราอ่านไปเรื่อยๆ ลงไปเรื่อยๆ.....

มือแทบกดเม้าส์ไม่ไหว เห็นมีคนเขียนมาให้กำลังใจ คุณ kcmc มากเหลือเกินซึ่งเขาคงมีกำลังใจมากขึ้นแน่ๆ ดีจัง เราเอาใจช่วยไปด้วย ในคหที่ 190 เขาเขียนว่า “มีกำลังใจมากขึ้นเวลาที่พี่ชายและพี่สะใภ้มาเยี่ยม สุขใจที่สุดทุกครั้งที่ภรรยาพาลูกสาวมาหา จิตตกหมดอาลัยตายอยากเหมือนกับคนบ้าเวลาที่อยู่คนเดียว” ....สะท้อนถึงคุณพ่อเราเลย ท่านคงจะชอบที่มีคนมาอยู่กับท่านเยอะๆ ฉะนั้นเราต้องให้เวลาคุณพ่อมากๆ ยิ่งอ่านประโยคที่เขาเขียนถึงคุณแม่เขาว่า

“แม่ครับ ผมเป็นลูกของแม่ แม่เป็นแม่ของผม ในร่างกายของผมมีแต่เลือดของพ่อและแม่ไหลเวียนอยู่ น้ำตาทุกหยดของแม่ที่หลั่งออกมาเพราะความสงสารและเจ็บแทนผมนั้น มันซึมเข้าไปที่หัวใจของผมแล้วและผมจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นลูกของแม่ตลอดไป….” .....

สำหรับเราแล้วเวลาทั้งหมดของเราซึ่งคงทำให้เวลาส่วนตัวของเราหมดไปด้วยเราจะขอมอบคุณพ่อเราคนเดียวซึ่งเราเต็มใจที่จะทำเพราะเรามีพ่อเพียงคนเดียว....

.....ลองไปอ่านนะคะ เตรียมผ้าเช็ดน้ำตาไว้ด้วยละกัน

.... วันนี้วันที่ 20 พ.ค 2552 เรามีโอกาสได้ไปฟังบรรยายที่โรงพยาบาลรามาเรื่อง...”มะเร็ง...ทำไมต้องคีโม '' ซึ่งมีประโยชน์มากๆ เด่วจะเอามาเล่าให้ฟังนะคะ… แต่ตอนนี้ขอเล่าเรื่องต่อจากตอนที่ 4 ก่อนละกัน

ตอนนี้ต้องละเอียดหน่อยนะคะ ญาติที่ดูแลผู้ป่วยควรเฝ้าสังเกตุอาการของคนป่วยอย่างละเอียดเพราะเป็นการให้คีโมเป็นครั้งแรกหรือโดยภาษาเขาเรียกว่าครั้งแรกจะต้องเฝ้าอย่าไม่ให้ห่าง ปรกติแล้วครั้งต่อๆไปก็จะเป็นการให้คีโมสูตรเดียวกันจนจบ ยกเว้นบางกรณีทีผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงเยอะ คุณหมออาจจะต้องปรับยาใหม่….:ซึ่ง case คุณพ่อเป็นเช่นนั้นค่ะ นั่นคือสาหตุที่ทำไมคุณพ่อต้องอยู่โรงพยาบาล15 วันแทนที่จะเป็นแค่ 5 วันตามที่คุณหมอบอก.....คอยติดตามนะคะ….

ไม่มีใครดูแลคนของเราเท่าคนในครอบครัวหรอกค่ะ คุณหมอท่านก็มีหน้าที่รักษาด้วยวิธีการของท่าน เราต่างหากที่ต้องดูแลส่วนที่เหลือ ที่สำคัญคือการที่เรารู้ข้อมูลและอาการผู้ป่วยอย่างละเอียดจะสามารถช่วยคุณหมอได้มากนะคะ ที่สำคัญข้อมูลจากเราและที่คุณพยาบาลที่เก็บจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรคและรักษาโรคต่อไป.. อย่าลืมว่า เรามีคุณหมอเพียงไม่กี่คนที่ดูแลคนของเรา แต่คุณหมอมีคนไข้เยอะเหลือเกิน ยิ่งเมืองไทยแล้วโรงพยาบาลรัฐด้วยแล้วคุณหมอ 1 ท่านดูแลคนไข้นับร้อยเลยทีเดียวค่ะ สงสารคุณหมอค่ะ.....

ตกลงหลังจากกลับบ้านวันที่ 8 เมษา 52 และพบคุณหมอไนยรัฐและคุณหมอกสานติ์แล้ว พวกเราก็พาคุณพ่อกลับมาอีกครั้งนึงเพื่อเตรียมตัวให้คีโมสูตร ECF

การให้คีโมมีอยู่หลายสูตรค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นมะเร็งชนิดไหน? เป็นระยะเท่าไหร่?? ระยะเวลาในการให้ก็ไม่เหมือนกัน คีโมบางสูตรให้ตลอด 24 ชั่วโมง รวม 5 วัน แล้วพัก ครบวันที่ 21 ของการให้คีโมต้องมาให้อีกครั้งสูตรเดิมอีกและต่อเนื่องตามที่คูรหมอบอก ส่วนบางสูตรก็ไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลมาแบบ Day care คือมาให้ที่โรงพยาบาลไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งสูตรของคุณพ่อจะเป็นสูตรให้ 24 ชั่วโมงต่อเนื่อง 5 วัน ฉะนั้นญาติหรือคนป่วยต้องถามคุณหมออย่างละเอียดว่าสูตรที่ได้เป็นแบบไหนค่ะ

ในเย็นวันนั้นเอง เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 6 โมงเย็น จากนั้นก็เป็นเราที่อยู่กับคุณพ่อในคืนนั้น เนื่องจากห้องเต็ม คุณพ่อจึงต้องไปอยู่อาคารพัชรกิตติยาภา 1 คืน จากนั้นวันที่ 10 เมย จึงย้ายไปอยู่อาคารเฉลิมพระเกียรติชั้น 19 แผนกอายุรกรรม ...ทุกอย่างคล้ายชั้น 14 ตอนที่คุณพ่อผ่าตัดเมื่อต้นเดือน มีนาคมที่ผ่านมา

เช้าของวันที่ 9 เมษาเป็นวันแรกของคีโม เริ่มจาก
ช่วงเช้า : คุณพยาบาลมาให้น้ำเกลือ 6 ช.ม ประมาณช่วงบ่ายนิดเป็นการให้ยาคีโมขวดแรก ซึ่งคีโมตัวนี้คือ 5FU เป็นตัวหลักจะต้องให้ขวดละ 12 ชม.(จริงๆแล้วก็แค่ 11 กว่าๆ) ส่วนใหญ่คีโมก็จะมาในรูปบบขวดแหละค่ะ ทางเภสัชของโรงพยาบาลก็จะเอาคีโมแต่ละตัวผสมกับน้ำเกลือเพื่อให้เจือจาง จากนั้นก็จะฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ ค่อยๆปล่อย ช้าๆ 1 ขวดจึงกินเวลา 12 ชม ปริมาณประมาณ 1000 ml คุณพ่อเริ่มให้คีโมในวันที่ 9 บ่าย 5FU
ต่อเนื่อง 2 ขวด จนหมดประมาณ ช่วงบ่ายของวันที่ 10 เมษา จากนั้นก็ให้ คีโมตัวที่ 2 ที่เรียกว่า Epirubisin ซึ่งเป็นตัวยาสีส้มๆแดงๆสวยดี จากนั้นต่อด้วยคีโมตัวที่ 3 คือ Cispatin เป็นตัวใสๆ คีโม 2 ตัวนี้ค่อนข้างแรงจนคุณหมอเรียกตัวใสๆว่า เล็กพริกขี้หนู ทั้ง Epirubisin & Cispatin รับขวดละไม่เกิน ชั่วโมง จากนั้นต่อด้วยตัวยาอะไรอีกไม่ทราบแล้วต่อด้วย 5FU อีก 6 ขวด ซึ่ง คอร์สการให้คีโมครั้งแรกสิ้นสุดลงในวันที่ 13 เมษายน 52 ทุกครั้งเราจะทำการบันทึกในสมุดและเอาเข้าคอมเพื่อเก็บเป็นreference เอาไว้ อย่างที่บอกตอนต้นว่าทำไมต้องบันทึก ก็เพราะว่าคอร์สคีโมในครั้งหน้าจะเป็นแบบเดิม เราจะต้องรู้ว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระหว่างการให้คีโมมีอะไรจะได้ต่อสู่ในทุกๆครั้งที่จะต้องให้คีโม





ญาติจึงมีบทาทมากค่ะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เนื่องจากผู้ป่วยเองเขาต่อสู้กับโรคด้วยตัวเองแล้ว เขาแทบไม่อยากจดจำรายละเอียดระหว่างการรักษาหรอกค่ะระหว่างการให้คีโม เราจะจดยาที่คุณหมอให้ทานอย่างละเอียด บางครั้งเราไม่รู้จักชื่อยาหรอกนะคะแต่จดไว้เพื่อดูว่าคราวหน้ายาที่รับประทานควรจะต้องเหมือนเดิม

เราก็จะถ่ายรูปยาที่ไม่รู้เอาไว้เผื่อไว้ถามคุณหมอดังเช่น


เราถ่ายไว้แล้วถามคุณหมอและทราบต่อมาว่านี่คือยาชื่อ Nasea เป็นยากันอาเจียนชนิดนึง

วันนี้เราขอจบตอนที่ 5 แค่นี้ก่อนนะคะ แล้วจะรีบมาเขียนต่อค่ะ ซึ่งจะเป็นตอนที่คุณพ่อเรามีอาการข้างเคียงจนเราเห็นแล้วอยากจะให้ท่านเลิกคีโมค่ะ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 21 พฤษภาคม 2552 20:18:31 น.   
Counter : 3916 Pageviews.  


เมื่อรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 4 (พบคุณหมอมะเร็งก่อนให้คีโม)

เขียนมาครบ 3 ตอนก็พอเริ่มเขียนคล่องขึ้นหน่อยค่ะ อย่างที่บอกในตอนที่ 1 ว่า การที่มีคนในบ้านเป็นโรคนี้จะต้องศึกษาโรคไปพร้อมๆกันและจะต้องมีสมุดจดติดตัวเสมอค่ะ

พอถึงวันที่คุณหมอไนยรัฐนัดคือวันที่ 8 เมษายน 52 เรากับพี่สาวและคุณแม่รวมทั้งผู้ติดตามอีก 2 คนรวมกันทั้งหมด 6 คน พาคุณพ่อไปโรงพยาบาลแต่เช้าเพื่อไปเจาะเลือดเรียกได้ว่ายกกันไปทั้งโขยงเลย หลังจากผลเลือดออกก็ไปพบแพทย์ตามใบนัด ซึ่งเป็นห้องแผนกมะเร็งวิทยาที่ชั้น 4 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ เราพาคุณพ่อไปรอพบคุณหมอที่ห้องตรวจ รอสักพักคุณหมอไนยรัฐก็เดินมาด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก และไหว้เราและคุณพ่อ ดูคุณหมอสุภาพมาก คุณหมอเอาผลเลือดไปดูและบอกว่า

คุณหมอ: ผลเลือดทั่วไป ดีครับ ท่านต้องให้คีโมในการรักษานะครับ
คุณพ่อ : ครับ เป็นแบบไหนครับ ??
คุณหมอ:ตอนนี้ผลของชิ้นเนื้อนั้นไม่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองนะครับ แต่มีผนังชิ้นเนื้อติดกับส่วน duodenum และชิดกับเยื่อหุ้มลำไส้เล็ก แต่ทางคุณหมอศัลย์ได้ตัดออกไปหมดแล้ว

(เราก็ก้มหน้าก้มตา จด จด จด คุณหมอพูด โอว!!!… เราฟังไม่ออกเลยจริงๆ…duodenum?? คืออะไรเด่วกลับบ้านต้องไปหาข้อมูล..จด..จด.. ต่อ)

เราจดบันทึกคำพูดของคุณหมอโดยตลอด นิดนึง..ขอแนะนำนะคะว่าควรจดบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับการรักษาไว้จะเป็นการดีมากเพราะเราสามารถกลับไปอ่านและทำความเข้าใจภายหลังได้ค่ะ

คุณหมอ: จากนี้เราต้องรักษากันต่อนะครับ
เรามองหน้าคุณหมอแล้วพยักหน้าว่าได้ค่า....(ถ้าไม่รักษาจะได้
หรือ???)
คุณพ่อ : ผมจะรักษาต่อครับ คุณหมอ บอกมาได้เลยให้ผมทำยังงัย ให้
เตรียมตัวยังงัย ผมพร้อมครับ
คุณหมอ : การรักษามีหลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับอาการของโรคและสุขภาพของ
คนไข้ ตามปรกติ จะมี

1.การฉายแสง กับให้คีโม
2.การให้คีโมอย่างเดียว

หากคนไข้จะได้รับการผ่าตัด ก่อนผ่าตัดจะให้คีโมก่อน จากนั้นก็ผ่าตัด หลังผ่าตัดกลับมาให้คีโมอีกครั้งครับ แต่ของท่านนี้เราไม่ได้ให้คีโมก่อนผ่าตัด ขั้นตอนต่อไปคือให้คีโมและฉายแสงครับ.....

(จะต้องฉายแสงด้วยหรือ??? คงไม่ไหวกระมังเพราะคุณพ่ออายุ 73 แล้ว เท่าที่รู้การฉายแสงจะทำให้ทนไม่ได้แน่ๆ) เราจึงขอถามคุณหมอบ้าง

เรา : การให้คีโมเป็นแบบไหนคะ? ( เราเคยแต่ได้ยินแต่ไม่เคยเห็นคีโมมาก่อน ตอนที่ญาติเราเป็น เวลาเราไปเยี่ยมก็เห็นมีแต่ให้น้ำเกลือซึ่งตอมาก็รู้ว่าการให้คีโมก็เหมือนกับการให้น้ำเกลือนั่นเอง)

คุณหมอ : จะให้ทางเส้นเลือดนะครับ เป็นสูตร ECF ครับ
( จดถูกไหมเนี่ยเรา ECF: เอาอีกแล้วคุณหมอพูดภาษาหมออีก
แล้ว) ต้องให้ทางเส้นเลือด และต้องอยู่โรงพยาบาลนะครับ อยู่
ประมาณ 5 วันครับ (เอาเข้าจริงๆคุณพ่อต้องอยู่ตั้ง 15 วัน)

ระหว่างนั้นมีนายแพทย์อีกท่านเดินเข้ามาและมาคุยทักทายกับคุณพ่อซึ่งต่อมาคุณหมอไนยรัฐบอกว่าสูตรนี้อาจารย์ กสานติ์ ผู้นี้เป็นคนให้นะครับ)...ต่อมาเราถึงรู้ว่านายแพทย์ท่านนี้ชื่อ นพ.กสานติ์ สีตลารมณ์ เป็นคุณหมอใหญ่สุดในแผนกมะเร็งวิทยานี้ซึ่งต่อมาทั้งคุณหมอกสานติ์และคุณหมอไนยรัฐจะเป็นแพทย์ผู้ดูแลคุณพ่อมาโดยตลอด คุณหมอกสานติ์ หน้าตายิ้มแย้ม ท่าทางใจดีเหมือนคุณหมอไนยรัฐเลย จากนั้นเรากับคุณพ่อก็สนทนากับคุณหมอไนยรัฐต่อ

คุณพ่อ : ผมควรจะให้คีโมเมื่อไหร่ครับ
คุณหมอไนยรัฐ : ให้ได้เลยครับ ท่านสะดวกจะให้เมื่อไหร่ครับ
คุณพ่อ : วันนี้เลยไหม???

เราหันไปมองหน้าคุณพ่อ เอาจริงหรือนี่ ทำไมพ่อเราใจร้อนจัง เราเป็นลูกยังทำใจไม่ได้เลย แต่ท่านไม่กลัวอะไร สงสัยการเป็นทหารในสายเลือดคงลบคำว่ากลัวออกไปหมดกระมัง....

เราถามพ่อว่า เอาเลยหรือค่ะพ่อ...เอาไว้หลังสงกรานต์ดีมั๊ย???
(.เราคิดในใจว่าใกล้สงกรานต์แล้วนี้ ถ้าให้ช่วงนี้เกรงใจคุณหมอและพยาบาล) แต่คุณพ่อเขาอยากให้การรักษาเสร็จโดยเร็ว

คุณพ่อ : ตอบเรา เอาเลยสิ จะรออะไรหล่ะ?? และหันไปถามคุณหมอ :
คุณหมอคิดว่างัยครับ

คุณหมอ : หยุดคิดอะไรแป๊ปนึงแล้วตอบว่า ได้ครับ

หลังจากมีการประสานงานเรื่องห้องเรียบร้อยแล้ว เย็นวันที่ 8 เมษายน 52 คุณพ่อจึงเข้าโรงพยาบาลเพื่อรอรับคีโมเข็มแรก ( เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเรียกว่าเข็มแรกทั้งๆที่จริงแล้วการให้คีโมจะโดนแทงตั้งหลายเข็ม...เอาแบบว่าแขนแทบพรุนเลย....)

พวกเราเสร็จจากคุณหมอก็ประมาณเกือบ10 โมงเช้า จากนั้นเราก็กลับบ้าน ด้วยความที่เราอยากรู้ว่า ไอ้คำว่า“duodenum” กับ เคมี ECF คืออะไร เรารีบ เปิดคอม เข้า search ข้อมูลทันที จนทราบว่า“duodenum” คือส่วนหนึ่งของลำใส้เล็กซึ่งลำไส้เล็กเป็นท่อขดยาวประมาณ ๗ เมตร ประกอบด้วยสามส่วนที่สำคัญ Duodenum เป็นส่วนที่ต่อจากกระเพาะอาหารยาว 25 ถึง30 เซนติเมตร ทำหน้าที่หลักในการย่อยอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน Jejunum เป็นส่วนที่ต่อมาจาก duodenum ยาวประมาณ ๒ เมตร มีหน้าที่ในการย่อยและดูดซึมบางส่วน Ileum (ILEUM) ส่วนสุดท้ายก่อนถึงลำไส้ใหญ่ ยาวประมาณ ๔ เมตร ทำหน้าที่ในการย่อยและดูดซึม ตามรูปนี้ค่ะ



ส่วน ECF ก็คือ คีโมสูตรนึงที่ใช้รักษามะเร็งกระเพาะอาหารซึ่งประกอบตัวยา 3 ตัว ดังนี้

1. ยา Epirubisin ( อ่านว่า epi-roo-biss-sin)
2. ยา Cispatin ( อ่านว่า sis-pla-tin)
3. ยาFluorouracil (อ่านว่าFloo-ro-yoo-ro-sill) หรือ เรียกว่า 5FU


ตัวหลักคือ 5FU โดยให้ต่อเนื่อง....เอาเป็นว่าเราพอรู้คร่าวๆแล้วว่าคืออะไร ต่อไปเราก็พยายามหาข้อมูลทั้งหมดใน internet ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ ยังดีที่พออ่านรู้เรื่องบ้างแต่ต้องใช้ตัวช่วยเยอะมากไม่งั้นคงไม่มีข้อมูลให้ศึกษาแน่.....

ตอนต่อไปจะเป็นการให้คีโมนะคะ ขอบอกล่วงหน้าว่ามันสุดๆจริงๆ ซึ่งหลังจากคีโมครั้งแรกนี้เองเราบอกกับตัวเองว่า เราขอทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับคุณพ่อคนเดียว...ถึงแม้การให้คีโมจะสุดๆแต่ยังงัยก็มีฟ้าหลังฝนค่ะ...




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2552 23:08:35 น.   
Counter : 4686 Pageviews.  


1  2  3  4  5  

wachan2014
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




PREVIOUS COUNTER WAS 3,956 VISITORS AND THIS COUNTER START SINCE 16 JULY 2009 ...
[Add wachan2014's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com