เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 8 (พักรบกับเจ้ามะเร็งร้ายและมารู้จักเจ้าของ Blog กันดีกว่า)
เขียนมาหลายตอน มีแต่เรื่องอ่านแล้วเศร้า ตอนนี้เราขอเล่าเรื่องตัวเองดีกว่า อยากบอกว่าช่วงที่อยู่โรงพยาบาลครั้งที่สองเนี่ย ..เราเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยกับหลายๆเรื่อง ตัดพ้อกับตัวเองว่า ทำไมต้องเป็นครอบครัวเราด้วย???.... ทำไมคุณพ่อที่รักของคนในครอบครัวต้องเจคพอร์ตด้วย???..เราพยายามให้กำลังใจตัวเองมาตลอด คุณแม่ พี่สาว พี่ชาย มาอยู่กับคุณพ่อทุกวันและมีพี่สาวของคุณพ่อซึ่งพี่น้องกัน คู่นี้เขารักกันมาก คุณป้าท่านอายุ 76 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรงมากเขารักน้องชายของเขามากและเป็นห่วงน้องชายเขาเสมอ ทุกครั้งคุณป้าจะมากับเราจากออฟฟิตและคุณอาก็จะมารับกลับ . คุณพ่อจะยิ้มแย้มทุกครั้งที่ทุกคนมาอยู่กันเต็มห้อง ฉะนั้นคุณพ่อจะมีความอบอุ่นมากค่ะ พวกเราจะคุยกันเสียงดัง เอาอาหารของโรงพยาบาลซึ่งเขาจะมีส่วนนึงที่เป็นปิ่นโตให้ญาติด้วย คุณพ่อทานน้อยแต่เราทานกันหมดทุกครั้ง เราอยากจะบอกกับญาติที่มีผู้ป่วยแบบคุณพ่อเรานะคะว่า .. การสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงและสนุกสนานและทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะสามารถช่วยให้คนป่วยลืมความเจ็บปวดของเขาได้ค่ะ จำได้มีอยู่วันนึง คุณพ่อมีญาติๆมาเยี่ยมครั้งเดียวเกือบ 20 คนรวมหลานๆด้วย คุณหมอประจำward เดินมาตรวจคุณพ่อแล้วต้องรีบออกไป... เราก็..ขำ..ขำ คุณหมอนะ คงกลัวพวกเราจะกินคุณหมอหรืออย่างไร??? สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองเพราะเราต้องคอยดูแลและพยาบาลคนป่วย ฉะนั้นจิตใจ ร่างกายเราต้องเข้มแข็ง พยายามหาทางที่ทำให้ตัวเองสบายใจหรือผ่อนคลาย สำหรับเราคือการดูซีรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง จีน เกาหลี เราดูรวมๆแล้วไม่ต่ำกว่า 100 เรื่อง ช่วงนั้นน้องชายของเรามาเยี่ยมคุณพ่อน้อยกว่าคนอื่นเพราะในช่วงนั้นเขาติดภาระกิจราชการ น้องชายเป็นลูกรักของพ่อมากค่ะ เพราะน้องห่างจากเรา 13 ปี เรียกว่าลูกหลงได้เลย พี่น้องเราจะรักกันสนิทกันมาก เราจะกอดน้องชายเกือบทุกครั้งที่เราเจอกัน ทั้งๆที่น้องอายุก็ 26 ปีเข้าไปแล้ว เราเลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กและดูแลเขามาตลอดนี่ ครอบครัวเราจึงมีความผูกพันธุ์กันอย่างแนบแน่นแฟ้น ซึ่งก็มีแค่พี่ชายเราที่เราสนิทน้อยลงในช่วงหลังๆเพราะเขาแยกครอบครัวออกไป ส่วนเรากับพีสาวถึงแม้จะทะเลาะกันบ้างแต่ทุกครั้งสุดท้ายเราก็จะไปไหนด้วยกันเสมอ และจบด้วยการสรรหาร้านอาหารที่อร่อยๆกินกันจนตัวเรากลมกันไปหมด นั่นแหละครอบครัวเรา ปกติ เสาร์อาทิตย์ถ้าเราไม่ไปกับแฟนเราก็จะอยู่บ้านตลอดและก็พาครอบครัวไปเที่ยวกัน เราชอบชีวิตแบบนี้และชินกับมันมาเพราะเป็นแบบนี้มาสามสิบกว่าปีแล้ว เรายังไม่มีครอบครัวอยู่เพราะมันเป็นอิสระ และไม่ต้องมีข้อผูกมัดอะไรกับใคร เราชอบทำงานเป็นชีวิตจิตใจเพราะมันท้าทายดี เรากับแฟนคบกันมาจะครบปีที่ 10 แล้ว (นานมั๊ย??) เรามีโครงการณ์ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนกันแต่ว่าก่อนหน้านี้เรามีภาระที่จะต้องจัดการงานที่บริษัทให้เสร็จและปลดภาระต่างๆให้หมดก่อน เราจึงทำเป็นไม่รับรู้เมื่อเข้าเริ่มเอ่ยถึงเรื่องนี้ เวลาเขาพูดถึงเราก็จะเบี่ยงเบนประเด็นออกไป เราไม่อยากให้เขามารับภาระจากเรา เราบอกกับตัวเองว่าหากไม่สามารถปลดภาระต่างๆได้มันจะทำให้เราไม่มีความสุขแน่หากมีครอบครัวไป จนประมาณต้นปีนี้เอง ทุกอย่างโดนจัดการให้เสร็จสิ้นและเราก็อยากจะบอกกับแฟนว่าเราจะมีโครงการณ์สร้างชีวิตด้วยกันนะแต่ชีวิตเราคงจะถูกลิขิตให้อยู่คนเดียวกระมัง....เพราะเมื่อเราทราบข่าวคุณพ่อเมื่อต้นเดือนมีนาคม 52 เราตัดสินใจจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ เราตัดสินใจที่จะตัดการสื่อสารแทบทุกอย่างออกจากเพื่อนๆ ออกจากเขา เรายุติการสังสรรค์ทั้งหมด เราต้องทุ่มเทเวลาหลังที่ทำงาน เสาร์อาทิตย์ให้กับคุณพ่อคนเดียว มีเพื่อนโทรหาเราหลังจากที่เขาทราบเขาคุณพ่อแต่เราไม่อยากคุยด้วยไม่รู้สิ เราบอกไม่ถูก เราไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากเจอใคร นอกจากคนในบ้าน คนที่ทำงานและคุณหมอ แล้ว เราไม่สื่อสารกับใครเลยยิ่งช่วงที่คุณพ่อรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแล้ว เรายุติการสื่อสารโดยสิ้นเชิง แฟนเราจะเข้าใจไหมเนี่ย?? เราไม่อยากจะอธิบาย ไม่อยากพูดคุยเขาโทรหาเราหลายรอบแต่ต้องขอโทษเขาด้วย....เราไม่อยากคุยกับทุกคนและไม่เคยรับโทรศัพท์ใครเลย... เรารู้ว่าหลังจากคุณพ่อป่วยชีวิตความเป็นส่วนตัวของเราต้องน้อยลงและอาจหมดไป แต่เรายินดีที่สุดค่ะ กว่าเกือบ3 เดือนแล้วที่เราแทบไม่ได้คุยกับเขาเลยแต่นั่นแหละเป็นเพราะเราเลือกที่จะเป็นแบบนี้เอง ขอโทษด้วยจริงๆ เราบอกเขาทาง email ว่าเราไม่อยากคุยนะ หากจะคุยกับเราให้คุยผ่านEmail ซึ่งเขาก็คงไม่เข้าใจเราหรอกเพราะแม้แต่ Email เขายังไม่เขียนมาหาเราเลย เอาเถอะเราไม่ว่าเขาหรอก เขาก็คงเคืองๆเราแต่ไม่เป็นไร ชีวิตทางนี้เราเป็นคนเลือกเอง นอกเรื่องมานาน ตอนต่อไปจะกล่าวถึงเมื่อพาคุณพ่อกลับบ้านแล้วในฐานะคนดูแล เราควรจะทำอย่างไร จะดูแลผู้ป่วยอย่างไร จากนั้นเราจะพูดถึงงานที่เราไปฟังบรรยายมาคือ มะเร็ง....ทำไมต้องคีโม เจอกันนะคะ
เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 7 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 3/3)
หายไปหลายวันหน่อยนะคะ เป็นเพราะเรามีอาการไมเกรนขึ้นเลยไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องราวได้ ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วค่ะจึงอยากจะมาเล่าต่อ อย่างน้อย Blog ที่เราเขียนหากไม่มีประโยชน์กับท่านใดมันมีประโยชน์สำหรับเราเพราะสามารถบันทึกเรื่องราวของบุคคลอันเป็นที่รักของเราไว้ได้....ตอนนี้เป็นตอนจบของการให้คีโม Cycleที่ 1 เราอยากจะรีบเขียนให้เร็วกว่านี้จะได้ Update ถึงเวลาปัจจุบันตกลงจากการ Plan ให้คุณพ่อกลับบ้านเป็นอันต้องเลิกไปโดยปริยาย วันที่ 16 เมย 52 หรือเรียกว่า Day 3 After Chemo อาการถ่ายคุณพ่อเริ่มมากขึ้นวันนี้ถ่ายทั้งหมด 13 ครั้ง ขอแนะนำหากคนป่วยมีอาการเช่นพ่อเราคือถ่ายเกิน 4 ครั้งต่อวันต้องรีบแจ้งแพทย์ผู้รักษานะคะ เพราะหากคนป่วยกลับบ้านไปแล้วอาจมีอาการข้างเคียงเช่นนี้ ญาติๆต้องคอยสังเกตุและถามคนป่วยนะคะว่าเวลาถ่าย อุจาระมีลักษณะไหน ? เช่นมีสีดำไหม? เหนียวไหม? ถ้าเหนียวแล้วคล้ายยางมะตอยไหม? เพราะหากเป็นเช่นนั้นอาจจะมีแผลข้างในหรืออาจมีเลืดออก อาการอาจมีอาการซีดซึ่งต้องเอาไปจตรวจเพาะเชื้อดู หากอุจาระมีมูกเหนียวๆก็อาจหมายถึงการติดเชื้อ คุณหมอจะได้ให้เอาอุจจาระไปเพาะเชื้อว่ามีการติดเชื้อหรือเปล่า .. นอกจากการถ่ายมากคุณพ่อมียังแผลร้อนในอยู่ในปาก คุณหมอเฉพาะทางจึงมาดู ขอโทษนะคะที่จำชื่อพวกท่านไม่ได้ สมัยนี้แพทย์จะทำงานกันเป็นทีมค่ะ.. เมื่อคนไข้มีอาการด้านไหนก็จะมีแพทย์เฉพาะทางมาช่วยดูเพราะแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนึงอาจจะไม่เชี่ยวชาญอีกด้านนึงได้คุณหมอไนยรัฐมาตรวจเหมือนทุกวันแม้ว่าจะมีการปิดถนน ซึ่งช่วงนั้นอย่างที่เราเราทราบกันว่าเป็นช่วงสงกรานต์ที่มีการเมืองวุ่นวาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดนปิดโดยกลุ่มความขัดแย้งทางการเมือง ..ตอนนั้นเราไม่ได้กลับบ้านเลยเพราะออกไปข้างนอกไม่ได้ ถึงแม้ว่าทางพวกที่ปิดถนนจะอนุญาติให้คนที่จะเข้าออกโรงพยาบาลเข้าออกได้แต่เราก็ไม่กล้าไปไหนเพราะหากระหว่างทางมีเหตุการณ์จลาจรขึ้นมาละก็ เราคงเข้ามาโรงพยาบาลลำบาก เราเลยบอกคุณแม่และคุณป้าและพี่พี่ว่าไม่ต้องมาก็ได้เพราะพวกท่านคงจะมาลำบากแต่พี่สาวเราก็หาทางมาจนได้ เนื่องจากการเมืองวุ่นวายมาก คุณพ่อจึงเกิดอาการเครียดมากเพราะที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ยิ่งห้องที่ท่านพักด้วยแล้วสามารถเห็นอนุสาวรีย์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งมีเสียงยิงปืนอย่างดัง ทำให้คุณพ่อ ปิดการสื่อสารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ซึ่งผิดกับวิสัยคณพ่อที่จะคุยเรื่องการเมืองตลอด ช่วงนั้น
1. อาหารต้องไม่มีพวกผักชี ผักมากนักและควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้สด ฉะนั้นเวลามีตนเอาผลไม้มาเยี่ยมเราก็ทานแทนตลอดเลย
2. หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนโดยเฉพาะคนที่มีไข้ ห้ามเข้าหาโดยเด็ดขาด
3.ทุกอย่างรอบตัวต้องสะอาดมากๆคุณพ่อได้รับการดูแลอย่างดีคุณหมอทุกท่าน ทำให้ท่านอารมณ์ดีขึ้นมากเพราะ อาการท้องเสียเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ดูข่าวเหมือนเดิม ช่วงนั้นเราเป็นเด็กอนามัยมากเลย นอนตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่ง เราชอบมองออกไปนอกห้องตอนกลางคืนและคลายเครียดด้วยการฟัง MP3
เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 6 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 2/3)
ความตอนเดิมคือการให้คีโมครั้งที่ 1 โดยการให้ 24 ชั่วโมงแบบต่อเนื่องรวมๆแล้วได้คีโมประมาณ 10 ขวดและน้ำเกลืออีก ของเหลวใสๆ สีๆ เข้าไปอยู่ในร่างกายของคุณพ่อแล้ว สิ่งเหล่านั้นควรที่จะไปทำลายเจ้าเซล ต่างๆใช่มั๊ย?? และมันควรที่จะเป็นเช่นนั้น การที่คีโมเข้าไปอยู่ในร่างกายทุกอนูของเส้นเลือด มันเป็นวิธีการเข้าสู่ร่างกายที่เร็วที่สุด ถ้าจะเทียบคีโมให้มันมีชีวิต มันคงจะเป็นใครคนนึงที่กำลังถือหอกและระดมทิ่มแทงเจ้าเซลที่กำลังรุกรานร่างกายของคุณพ่อ ซึ่งเจ้า Chemo man นั้นคงจะไม่ได้พิจราณาหรอกว่าเซลตัวไหนเป็นเซลเนื้อร้ายเพราะเขาจะทำลายเซลที่เติบโตเร็วอย่างเดียว เซลที่เติบโตเร็วซึ่งนอกจากจะเป็นเซลมะเร็งแล้วก็คือ เซลของเส้นผม,เซลเยื้อบุลำไส้, ซึ่งเมื่อเจ้าคีโมเข้าไปแล้วก็จะทำลายเซลดังกล่าวด้วย นั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถทนได้จึงเกิดอาการข้างเคียง
เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 5 (คีโมครั้งที่ 1 ตอนที่ 1/3)
ใครได้อ่านเรื่อง ผมไม่มีวันยอมตายด้วยโรคมะเร็ง บ้างคะ ขออนุญาติภรรยาคุณ kcmc นำมาเล่านะคะ //topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/08/L6863057/L6863057.htmlเป็นกระทู้ในพันทิปนี่เองของคุณ kcmc ที่เขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองที่เป็นมะเร็งจากตั้งแต่เดือน สค ปี 51 ซึ่งตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และลามไปที่ตับตั้งแต่เดือนเมษายน 51 เราเข้าไปอ่านแล้ว ค่อยๆเลื่อนข้อความลงไป ซึ่งเขาผ่าตัดเอาส่วนมะเร็งออกไปซึ่งคล้ายกับคุณพ่อ ต่อมาภรรยาในวันที่ 2 พ.ค 2552 นี้เอง เป็นผู้มาแจ้งในPantip ว่า คุณก่อเกียรติใช้เวลา 1 ปีเต็มในการต่อสู้กับโรคร้าย และในที่สุดโรคร้ายก็เป็นผู้ชนะโรคมะเร็งได้พรากสามีสุดที่รักของดิฉัน และพรากคุณพ่อที่แสนดีของลูกสาวดิฉันไปอย่างไม่มีวันกลับ คุณก่อเกียรติได้จากเราไปโดยสงบเมื่อวันจันทร์ 27 เมษายน 2552 เวลา 10.00 น.. เรื่องนี้ ทำให้เราไม่กล้าที่จะอ่านข้อความของเขาต่อเลย ทำใจอยู่หลายวันจึงตัดสินใจใหม่ที่จะเข้าไปอ่าน คืนที่เราอ่านกระทู้เป็นคืนที่ฝนตกหนักในกรุงเทพ เราเปิดหน้าต่างออกนิดๆเพื่อให้ลมและกลิ่นอายของฝนเข้ามาที่โต๊ะทำงานที่อยู่ติดกับขอบหน้าต่าง คลิ๊กเข้าไปตรง favorite ที่ save ไว้ แล้วจึงค่อยๆอ่านมีคำพูดนึงที่ภรรยาพูดกับคุณ kcmc ว่า .... สู้น่ะพ่อ เขาจะอยู่ข้างๆแล้วลูกของเราก็รอพ่ออยู่ พ่อเหนื่อยกับครอบครัวมามากแล้วไม่ต้องห่วง แม่ให้พ่อพักบ้าง แม่จะทำทุกอย่างแทนพ่อเอง ....เศร้าจัง..... เราอ่านแล้วก็น้ำตาไหลออกมาเองจนเปื้อนคีบอร์ดไปหมด มีคนนึงเขียนให้กำลังคุณ kcmc ว่า ถึงกายจะพัง ใจต้องไม่พัง ครับ เราชอบมากเลย เราอ่านไปเรื่อยๆ ลงไปเรื่อยๆ..... มือแทบกดเม้าส์ไม่ไหว เห็นมีคนเขียนมาให้กำลังใจ คุณ kcmc มากเหลือเกินซึ่งเขาคงมีกำลังใจมากขึ้นแน่ๆ ดีจัง เราเอาใจช่วยไปด้วย ในคหที่ 190 เขาเขียนว่า มีกำลังใจมากขึ้นเวลาที่พี่ชายและพี่สะใภ้มาเยี่ยม สุขใจที่สุดทุกครั้งที่ภรรยาพาลูกสาวมาหา จิตตกหมดอาลัยตายอยากเหมือนกับคนบ้าเวลาที่อยู่คนเดียว ....สะท้อนถึงคุณพ่อเราเลย ท่านคงจะชอบที่มีคนมาอยู่กับท่านเยอะๆ ฉะนั้นเราต้องให้เวลาคุณพ่อมากๆ ยิ่งอ่านประโยคที่เขาเขียนถึงคุณแม่เขาว่า แม่ครับ ผมเป็นลูกของแม่ แม่เป็นแม่ของผม ในร่างกายของผมมีแต่เลือดของพ่อและแม่ไหลเวียนอยู่ น้ำตาทุกหยดของแม่ที่หลั่งออกมาเพราะความสงสารและเจ็บแทนผมนั้น มันซึมเข้าไปที่หัวใจของผมแล้วและผมจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นลูกของแม่ตลอดไป . .....สำหรับเราแล้วเวลาทั้งหมดของเราซึ่งคงทำให้เวลาส่วนตัวของเราหมดไปด้วยเราจะขอมอบคุณพ่อเราคนเดียวซึ่งเราเต็มใจที่จะทำเพราะเรามีพ่อเพียงคนเดียว.........ลองไปอ่านนะคะ เตรียมผ้าเช็ดน้ำตาไว้ด้วยละกัน .... วันนี้วันที่ 20 พ.ค 2552 เรามีโอกาสได้ไปฟังบรรยายที่โรงพยาบาลรามาเรื่อง...มะเร็ง...ทำไมต้องคีโม '' ซึ่งมีประโยชน์มากๆ เด่วจะเอามาเล่าให้ฟังนะคะ แต่ตอนนี้ขอเล่าเรื่องต่อจากตอนที่ 4 ก่อนละกันตอนนี้ต้องละเอียดหน่อยนะคะ ญาติที่ดูแลผู้ป่วยควรเฝ้าสังเกตุอาการของคนป่วยอย่างละเอียดเพราะเป็นการให้คีโมเป็นครั้งแรกหรือโดยภาษาเขาเรียกว่าครั้งแรกจะต้องเฝ้าอย่าไม่ให้ห่าง ปรกติแล้วครั้งต่อๆไปก็จะเป็นการให้คีโมสูตรเดียวกันจนจบ ยกเว้นบางกรณีทีผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงเยอะ คุณหมออาจจะต้องปรับยาใหม่ .:ซึ่ง case คุณพ่อเป็นเช่นนั้นค่ะ นั่นคือสาหตุที่ทำไมคุณพ่อต้องอยู่โรงพยาบาล15 วันแทนที่จะเป็นแค่ 5 วันตามที่คุณหมอบอก.....คอยติดตามนะคะ .ไม่มีใครดูแลคนของเราเท่าคนในครอบครัวหรอกค่ะ คุณหมอท่านก็มีหน้าที่รักษาด้วยวิธีการของท่าน เราต่างหากที่ต้องดูแลส่วนที่เหลือ ที่สำคัญคือการที่เรารู้ข้อมูลและอาการผู้ป่วยอย่างละเอียดจะสามารถช่วยคุณหมอได้มากนะคะ ที่สำคัญข้อมูลจากเราและที่คุณพยาบาลที่เก็บจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรคและรักษาโรคต่อไป.. อย่าลืมว่า เรามีคุณหมอเพียงไม่กี่คนที่ดูแลคนของเรา แต่คุณหมอมีคนไข้เยอะเหลือเกิน ยิ่งเมืองไทยแล้วโรงพยาบาลรัฐด้วยแล้วคุณหมอ 1 ท่านดูแลคนไข้นับร้อยเลยทีเดียวค่ะ สงสารคุณหมอค่ะ.....ตกลงหลังจากกลับบ้านวันที่ 8 เมษา 52 และพบคุณหมอไนยรัฐและคุณหมอกสานติ์แล้ว พวกเราก็พาคุณพ่อกลับมาอีกครั้งนึงเพื่อเตรียมตัวให้คีโมสูตร ECF การให้คีโมมีอยู่หลายสูตรค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นมะเร็งชนิดไหน? เป็นระยะเท่าไหร่?? ระยะเวลาในการให้ก็ไม่เหมือนกัน คีโมบางสูตรให้ตลอด 24 ชั่วโมง รวม 5 วัน แล้วพัก ครบวันที่ 21 ของการให้คีโมต้องมาให้อีกครั้งสูตรเดิมอีกและต่อเนื่องตามที่คูรหมอบอก ส่วนบางสูตรก็ไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลมาแบบ Day care คือมาให้ที่โรงพยาบาลไปเช้าเย็นกลับ ซึ่งสูตรของคุณพ่อจะเป็นสูตรให้ 24 ชั่วโมงต่อเนื่อง 5 วัน ฉะนั้นญาติหรือคนป่วยต้องถามคุณหมออย่างละเอียดว่าสูตรที่ได้เป็นแบบไหนค่ะในเย็นวันนั้นเอง เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 6 โมงเย็น จากนั้นก็เป็นเราที่อยู่กับคุณพ่อในคืนนั้น เนื่องจากห้องเต็ม คุณพ่อจึงต้องไปอยู่อาคารพัชรกิตติยาภา 1 คืน จากนั้นวันที่ 10 เมย จึงย้ายไปอยู่อาคารเฉลิมพระเกียรติชั้น 19 แผนกอายุรกรรม ...ทุกอย่างคล้ายชั้น 14 ตอนที่คุณพ่อผ่าตัดเมื่อต้นเดือน มีนาคมที่ผ่านมาเช้าของวันที่ 9 เมษาเป็นวันแรกของคีโม เริ่มจากช่วงเช้า : คุณพยาบาลมาให้น้ำเกลือ 6 ช.ม ประมาณช่วงบ่ายนิดเป็นการให้ยาคีโมขวดแรก ซึ่งคีโมตัวนี้คือ 5FU เป็นตัวหลักจะต้องให้ขวดละ 12 ชม.(จริงๆแล้วก็แค่ 11 กว่าๆ) ส่วนใหญ่คีโมก็จะมาในรูปบบขวดแหละค่ะ ทางเภสัชของโรงพยาบาลก็จะเอาคีโมแต่ละตัวผสมกับน้ำเกลือเพื่อให้เจือจาง จากนั้นก็จะฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ ค่อยๆปล่อย ช้าๆ 1 ขวดจึงกินเวลา 12 ชม ปริมาณประมาณ 1000 ml คุณพ่อเริ่มให้คีโมในวันที่ 9 บ่าย 5FUต่อเนื่อง 2 ขวด จนหมดประมาณ ช่วงบ่ายของวันที่ 10 เมษา จากนั้นก็ให้ คีโมตัวที่ 2 ที่เรียกว่า Epirubisin ซึ่งเป็นตัวยาสีส้มๆแดงๆสวยดี จากนั้นต่อด้วยคีโมตัวที่ 3 คือ Cispatin เป็นตัวใสๆ คีโม 2 ตัวนี้ค่อนข้างแรงจนคุณหมอเรียกตัวใสๆว่า เล็กพริกขี้หนู ทั้ง Epirubisin & Cispatin รับขวดละไม่เกิน ชั่วโมง จากนั้นต่อด้วยตัวยาอะไรอีกไม่ทราบแล้วต่อด้วย 5FU อีก 6 ขวด ซึ่ง คอร์สการให้คีโมครั้งแรกสิ้นสุดลงในวันที่ 13 เมษายน 52 ทุกครั้งเราจะทำการบันทึกในสมุดและเอาเข้าคอมเพื่อเก็บเป็นreference เอาไว้ อย่างที่บอกตอนต้นว่าทำไมต้องบันทึก ก็เพราะว่าคอร์สคีโมในครั้งหน้าจะเป็นแบบเดิม เราจะต้องรู้ว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นในระหว่างการให้คีโมมีอะไรจะได้ต่อสู่ในทุกๆครั้งที่จะต้องให้คีโม
เมื่อรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 4 (พบคุณหมอมะเร็งก่อนให้คีโม)
เขียนมาครบ 3 ตอนก็พอเริ่มเขียนคล่องขึ้นหน่อยค่ะ อย่างที่บอกในตอนที่ 1 ว่า การที่มีคนในบ้านเป็นโรคนี้จะต้องศึกษาโรคไปพร้อมๆกันและจะต้องมีสมุดจดติดตัวเสมอค่ะพอถึงวันที่คุณหมอไนยรัฐนัดคือวันที่ 8 เมษายน 52 เรากับพี่สาวและคุณแม่รวมทั้งผู้ติดตามอีก 2 คนรวมกันทั้งหมด 6 คน พาคุณพ่อไปโรงพยาบาลแต่เช้าเพื่อไปเจาะเลือดเรียกได้ว่ายกกันไปทั้งโขยงเลย หลังจากผลเลือดออกก็ไปพบแพทย์ตามใบนัด ซึ่งเป็นห้องแผนกมะเร็งวิทยาที่ชั้น 4 ของอาคารเฉลิมพระเกียรติ เราพาคุณพ่อไปรอพบคุณหมอที่ห้องตรวจ รอสักพักคุณหมอไนยรัฐก็เดินมาด้วยรอยยิ้มที่น่ารัก และไหว้เราและคุณพ่อ ดูคุณหมอสุภาพมาก คุณหมอเอาผลเลือดไปดูและบอกว่า คุณหมอ: ผลเลือดทั่วไป ดีครับ ท่านต้องให้คีโมในการรักษานะครับคุณพ่อ : ครับ เป็นแบบไหนครับ ??คุณหมอ:ตอนนี้ผลของชิ้นเนื้อนั้นไม่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองนะครับ แต่มีผนังชิ้นเนื้อติดกับส่วน duodenum และชิดกับเยื่อหุ้มลำไส้เล็ก แต่ทางคุณหมอศัลย์ได้ตัดออกไปหมดแล้ว(เราก็ก้มหน้าก้มตา จด จด จด คุณหมอพูด โอว!!! เราฟังไม่ออกเลยจริงๆ duodenum?? คืออะไรเด่วกลับบ้านต้องไปหาข้อมูล..จด..จด.. ต่อ) เราจดบันทึกคำพูดของคุณหมอโดยตลอด นิดนึง..ขอแนะนำนะคะว่าควรจดบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับการรักษาไว้จะเป็นการดีมากเพราะเราสามารถกลับไปอ่านและทำความเข้าใจภายหลังได้ค่ะคุณหมอ: จากนี้เราต้องรักษากันต่อนะครับ เรามองหน้าคุณหมอแล้วพยักหน้าว่าได้ค่า....(ถ้าไม่รักษาจะได้ หรือ???) คุณพ่อ : ผมจะรักษาต่อครับ คุณหมอ บอกมาได้เลยให้ผมทำยังงัย ให้ เตรียมตัวยังงัย ผมพร้อมครับคุณหมอ : การรักษามีหลายวิธีครับ ขึ้นอยู่กับอาการของโรคและสุขภาพของ คนไข้ ตามปรกติ จะมี 1.การฉายแสง กับให้คีโม 2.การให้คีโมอย่างเดียวหากคนไข้จะได้รับการผ่าตัด ก่อนผ่าตัดจะให้คีโมก่อน จากนั้นก็ผ่าตัด หลังผ่าตัดกลับมาให้คีโมอีกครั้งครับ แต่ของท่านนี้เราไม่ได้ให้คีโมก่อนผ่าตัด ขั้นตอนต่อไปคือให้คีโมและฉายแสงครับ.....(จะต้องฉายแสงด้วยหรือ??? คงไม่ไหวกระมังเพราะคุณพ่ออายุ 73 แล้ว เท่าที่รู้การฉายแสงจะทำให้ทนไม่ได้แน่ๆ) เราจึงขอถามคุณหมอบ้างเรา : การให้คีโมเป็นแบบไหนคะ? ( เราเคยแต่ได้ยินแต่ไม่เคยเห็นคีโมมาก่อน ตอนที่ญาติเราเป็น เวลาเราไปเยี่ยมก็เห็นมีแต่ให้น้ำเกลือซึ่งตอมาก็รู้ว่าการให้คีโมก็เหมือนกับการให้น้ำเกลือนั่นเอง)คุณหมอ : จะให้ทางเส้นเลือดนะครับ เป็นสูตร ECF ครับ ( จดถูกไหมเนี่ยเรา ECF: เอาอีกแล้วคุณหมอพูดภาษาหมออีก แล้ว) ต้องให้ทางเส้นเลือด และต้องอยู่โรงพยาบาลนะครับ อยู่ ประมาณ 5 วันครับ (เอาเข้าจริงๆคุณพ่อต้องอยู่ตั้ง 15 วัน)ระหว่างนั้นมีนายแพทย์อีกท่านเดินเข้ามาและมาคุยทักทายกับคุณพ่อซึ่งต่อมาคุณหมอไนยรัฐบอกว่าสูตรนี้อาจารย์ กสานติ์ ผู้นี้เป็นคนให้นะครับ)...ต่อมาเราถึงรู้ว่านายแพทย์ท่านนี้ชื่อ นพ.กสานติ์ สีตลารมณ์ เป็นคุณหมอใหญ่สุดในแผนกมะเร็งวิทยานี้ซึ่งต่อมาทั้งคุณหมอกสานติ์และคุณหมอไนยรัฐจะเป็นแพทย์ผู้ดูแลคุณพ่อมาโดยตลอด คุณหมอกสานติ์ หน้าตายิ้มแย้ม ท่าทางใจดีเหมือนคุณหมอไนยรัฐเลย จากนั้นเรากับคุณพ่อก็สนทนากับคุณหมอไนยรัฐต่อคุณพ่อ : ผมควรจะให้คีโมเมื่อไหร่ครับ คุณหมอไนยรัฐ : ให้ได้เลยครับ ท่านสะดวกจะให้เมื่อไหร่ครับคุณพ่อ : วันนี้เลยไหม???เราหันไปมองหน้าคุณพ่อ เอาจริงหรือนี่ ทำไมพ่อเราใจร้อนจัง เราเป็นลูกยังทำใจไม่ได้เลย แต่ท่านไม่กลัวอะไร สงสัยการเป็นทหารในสายเลือดคงลบคำว่ากลัวออกไปหมดกระมัง.... เราถามพ่อว่า เอาเลยหรือค่ะพ่อ...เอาไว้หลังสงกรานต์ดีมั๊ย??? (.เราคิดในใจว่าใกล้สงกรานต์แล้วนี้ ถ้าให้ช่วงนี้เกรงใจคุณหมอและพยาบาล) แต่คุณพ่อเขาอยากให้การรักษาเสร็จโดยเร็วคุณพ่อ : ตอบเรา เอาเลยสิ จะรออะไรหล่ะ?? และหันไปถามคุณหมอ : คุณหมอคิดว่างัยครับคุณหมอ : หยุดคิดอะไรแป๊ปนึงแล้วตอบว่า ได้ครับหลังจากมีการประสานงานเรื่องห้องเรียบร้อยแล้ว เย็นวันที่ 8 เมษายน 52 คุณพ่อจึงเข้าโรงพยาบาลเพื่อรอรับคีโมเข็มแรก ( เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเรียกว่าเข็มแรกทั้งๆที่จริงแล้วการให้คีโมจะโดนแทงตั้งหลายเข็ม...เอาแบบว่าแขนแทบพรุนเลย....)พวกเราเสร็จจากคุณหมอก็ประมาณเกือบ10 โมงเช้า จากนั้นเราก็กลับบ้าน ด้วยความที่เราอยากรู้ว่า ไอ้คำว่าduodenum กับ เคมี ECF คืออะไร เรารีบ เปิดคอม เข้า search ข้อมูลทันที จนทราบว่าduodenum คือส่วนหนึ่งของลำใส้เล็กซึ่งลำไส้เล็กเป็นท่อขดยาวประมาณ ๗ เมตร ประกอบด้วยสามส่วนที่สำคัญ Duodenum เป็นส่วนที่ต่อจากกระเพาะอาหารยาว 25 ถึง30 เซนติเมตร ทำหน้าที่หลักในการย่อยอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน Jejunum เป็นส่วนที่ต่อมาจาก duodenum ยาวประมาณ ๒ เมตร มีหน้าที่ในการย่อยและดูดซึมบางส่วน Ileum (ILEUM) ส่วนสุดท้ายก่อนถึงลำไส้ใหญ่ ยาวประมาณ ๔ เมตร ทำหน้าที่ในการย่อยและดูดซึม ตามรูปนี้ค่ะ
1. ยา Epirubisin ( อ่านว่า epi-roo-biss-sin)2. ยา Cispatin ( อ่านว่า sis-pla-tin)3. ยาFluorouracil (อ่านว่าFloo-ro-yoo-ro-sill) หรือ เรียกว่า 5FU