|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อฉันรู้ว่าพ่อฉันเป็นมะเร็งตอนที่ 10( มะเร็ง ทำไมต้องคีโม??)
หายไปหลายวันอีกแล้ว เนื่องจากช่วงนี้งานที่บริษัทค่อนข้างวุ่นเพราะเพิ่งจะปิดงบประจำปีเสร็จ จากความตอนเดิมที่เคยบอกมาก่อนว่าได้มีโอกาสไปเข้าฟังบรรยายเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 52 ที่โรงพยาบาลรามาธิปดีเรื่อง โรคมะเร็ง ทำไมต้องคีโม? โดย ผศ.นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ ที่บรรยายให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจเข้าฟัง เราได้ฟังแล้วก็จดตามซึ่งอาจจะตกหล่นบ้างแต่เอาเป็นแบบตามที่เราเข้าใจละกันนะคะ
ถึงตอนนี้เราพยายามจะประยุกต์การศึกษาโรคร้ายนี้ให้เหมือนกับงานที่เราทำปัจจุบันซึ่งจะทำให้ความเครียดของเราลดน้อยลงและสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น นั่นหมายถึงการจะต่อสู้ในวงธุรกิจก็ต้องศึกษาคู่แข่งก่อน
เราต้องรู้ว่าคู่แข่งมีจุดเด่นอย่างไร? การที่เราจะชนะได้ต้องทำอย่างไร?
โรคมะเร็ง ถือเป็น คู่แข่ง ของเรา ซึ่งก่อนหน้านี้คู่แข่งตัวนี้ได้เข้ามารุกรานเราและจะเอาชนะพ่อของเราจนเราแทบไม่ได้ตั้งตัว ฉะนั้น..ไม่ได้ละ..เราต้องแข่งสู่กับเขา....คือเราต้องศึกษาเขาให้มากขึ้นเพื่อจะได้รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะต่อสู้และเอาชนะได้อย่างไร?? เราต้องต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วแต่ใครจะแพ้ซึ่งหากเราทำกันอย่างเต็มที่แล้วผลลัพจะเป็นอย่างไรเราก็จะรับได้
คุณหมอเอกภพ ท่านบรรยายง่ายๆ ไม่อิงคำพูดทางการแพทย์มากทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้น จะขอเล่าอย่างย่อๆนะคะ
มะเร็งคืออะไร?? คำตอบ: คือเซลล์ปกติในร่างกายของเรานั่นแหละแต่มันเกิดการกลายพันธุ์ โดยมีการเปลื่ยนแปลงในระดับ DNA ของเซลล์ โดยมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติจาก1 เซลล์กลายเป็นพันพันเซลล์และมากขึ้นเรื่อยๆและทำให้หน้าตาของเซลล์ดังกล่าวมีรูปร่างผิดไปจากเซลล์ปกติ
สรุปคือ Step 1 : เซลล์ปกติเกิดการกลายพันธุ์ Step 2 : เซลล์เริ่มมีการแบ่งตัวและมีการเปลื่ยนแปลงที่ผิดปกติ Step 3 : เซลล์เริ่มสะสมการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ Step 4 : เซลล์นั้นเริ่มงอกเป็นภูเขาซึ่งตอนต้นๆเรียกว่า เนื้องอก Step 5: เซลล์ที่กลายพันธุ์นั้นได้เจาะเข้าไปในเนื้อเยื่อและเข้าไปในเส้นเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งเรียกได้แล้วว่า
เซลล์มะเร็ง หากเซลล์มะเร็งไปเกาะที่อวัยวะใดจะส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะนั้นๆซึ่งการเรียกชื่อมะเร็งแต่ละชื่อก็จะเรียกตามที่เซลล์มะเร็งเข้าไปเกาะในอวัยวะนั้นๆ เช่นหากไปเกาะที่ ปอด ก็จะเรียกมะเร็งปอด ของคุณพ่อไปเกาะที่กระเพาะจึงเรียกว่ามะเร็งกระเพะอาหาร เป็นต้น....พอจะเข้าใจกันบ้างไหมคะ??
ทำไมต้องคีโม??
หลายๆท่านน่าจะกลัวคำว่า คีโม ใช่มั๊ย?? เหมือนเราแรกๆเลย เราเคยมีความรู้ว่าคีโมทำให้คนตายได้เพราะฤทย์ของยาคีโมมันแรงเหลือหลาย ใครก็ตามที่ได้คีโมก็รอวันตายสถานเดียว เมื่อก่อนเราไม่เคยศึกษาและก็เชื่อเช่นนั้น หากปัจจุบันเมื่อเราได้ศึกษาแล้ว
คำตอบคือ มันไม่ใช่เสมอไป บางคนแพ้คีโมมากอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้แต่ร่างกายของคนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน การตอบสนองต่อยาย่อมแตกต่างกัน เราขอตั้งตุ๊กตามาว่าคีโมมันเป็นคนที่มีชีวิตที่เรียกว่า Chemo Man ละกันนะคะ
เมื่อเจ้า Chemo Man เข้าไปในร่างกาย ก็จะไปทำลายเซลต่างๆทุกชนิดโดยเฉพาะเซลที่มีการเติบโตเร็วซึ่ง เนื่องจาก Chemo Man ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเซลล์ในร่างกายของคนป่วยเซลไหนเป็นเซลดี เซลไหนเป็น เซลมะเร็ง เจ้า Chemo Man มันก็เลยทำลายเซลทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เซลที่ดีดีโดนทำลายไปด้วยโดยเฉพาะเซลล์ที่มีการเจริญเติบโตอย่างเร็วอย่างเช่นเซลที่ไขกระดูกซึ่งจะส่งผลให้เกร็ดเลือดต่ำ,เม็ดเลือดขาวต่ำ ทำลายระบบทางเดินอาหาร เซลเส้นผมซึ่งจะทำให้ผมร่วง เยื้อบุลำไส้โดนทำลายทำให้มีอาการท้องเสีย
การดูแลรักษาจะมีการทำงานกันเป็นทีม
ปัจจุบันผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งจะมีการทำงานกันเป็นทีมของผู้รักษา ซึ่งสมัยก่อนหน้านี้แพทย์จะมีการประสานงานกันน้อยมากแต่ตอนนี้ ด้วยการที่ความเจริญและการอาศัยความร่วมมือกันของการรักษาผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากหลายๆฝ่ายซึ่งบางส่วนอาจจะไม่เคยเห็นหน้ากันเลย
ศัลยแพทย์ หมายถึงแพทย์ที่ทำการผ่าตัดเจ้าเนื้อร้ายนั่นออกไปจากร่างกาย รังสีรักษา หมายถึง การฉายแสง
พยาธิแพทย์ หมายถึง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการอ่านผลชิ้นเนื้อว่าชิ้นเนื่อที่ถูกผ่าตัดออกมาแล้วเป็นแค่เนื่องอกหรือมะเร็ง
รังสีแพทย์ หมายถึง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการอ่านงาน X-Ray เพื่อบอกให้แพทย์ผู้รักษาสามารถวินิจฉัยได้ง่ายขึ้น
เภสัชกร หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญด้านยาและเป็นผู้ผสมยาคีโมสูตรต่างๆ
พยาบาล มีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะจะเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยโดยตลอด
อายุรแพทย์ แพทย์ผู้รักษาโดยใช้ยา เช่นเมื่อผู้ป่วยได้รัยคีโม อายุรแพทย์ก็จะคอยตรวจผู้ป่วย
ทุกๆฝ่ายมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วย หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปอาจทำให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
แพทย์ผู้รักษาโรคมะเร็งจะเรียกว่า อายุรแพทย์ มะเร็งวิทยา (Medical Oncologist) ซึ่งเป็นแพทย์ในส่วนอายุรแพทย์กลุ่มหนึ่งในประเภทอายุรแพทย์หลายๆกลุ่ม อายุรแพทย์มีหลายสาขาเช่น ด้านโรคหัวใจ โรคปอด โรคทางเดินอาหาร และโรคมะเร็งเป็นต้น
โรงพยาบาลรัฐที่มีอายุรแพทย์มะเร็งวิทยาได้แก่ โรงพยาบาล รามาธิปดี,ศิริราช,จุฬา,ราชวิถี,พระมงกุฏ,ภูมิพล,พระปิ่นเกล้า,ตำรวจและสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ส่วนต่างจังหวัดได้แก่ โรงพยาบาลเชียงใหม่,ลำปาง,ขอนแก่น,อุดร,อุบล,พิษณูโลก,จันทบุรี,ชลบุรี,ลพบุรี,สระบุรี,ราชบุรี,สุราษ,สงขลา
เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งจะได้รับการรักษาอย่างไร
สิ่งแรกต้องอย่าเครียด ต้องถือว่ามะเร็งก็เป็นแค่โรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อพบแพทย์และรู้ว่าเป็นมะเร็งที่ส่วนใดของร่างกาย ก็จะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้รักษาว่าจะวินิจฉัยว่าจะวางแผนการรีกษาอย่างไร แพทย์จะพูดคุยกับญาติมากกว่ากับผู้ป่วยโดยตรง เพราะญาติจะเป็นผู้ดูแลผู้ป่วย การรักษาจะเป็นการร่วมกันในการตัดสินใจฉะนั้น ผู้รักษากับญาติจะเป็นผู้มีส่วนร่วมกับแพทย์ด้วย
การรักษามะเร็งมีอยู่หลายวิธีได้แก่
1. การผ่าตัด เพื่อกำจัดเอาก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลืองบริเวณรอบๆออกไปจากร่างกายเป็นการรักษาแบบเฉพาะที่ ( พ่อเราเป็นที่กระเพาะคุณหมอศัลยกรรมจึงผ่าบางส่วนของกระเพาะไป) 2. การฉายแสง (รังสีรักษา) เพื่อควบคุมไม่ให้มะเร็งกลับมาใหม่ เป็นการรักษาแบบเฉพาะที่เหมือนการผ่าตัด อาจจะทำก่อนผ่าตัดหรือหลังผ่าตัดก็ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของโรคมะเร็งและการวินิจฉัยของแพทย์ 3. เคมีบำบัด (Chemo ) เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็งที่อยู่ในอวัยวะนั้นๆ และที่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ยาจะเข้าผ่านไปทางการไหลวียนของเลือดและจะทำลายเซลทุกเซลที่มีการเติบโตเร็ว 4. Targeted Therapy เป็นการพัฒนายากลุ่มใหม่เพื่อช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นการรักษาโรคมะเร็งให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งต่างจากการรักษาโรคมะเร็งโดยทั่ว ๆ ไปการรักษาวิธีนี้จะทำให้การรักษาโรค มะเร็งได้ผลดียิ่งขึ้น และยังไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ปกติของร่างกายอีกด้วย แนวคิดในการรักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเหล่านี้โดย การรักษาที่เรียกว่า "พันธุกรรมบำบัด" (Gene therapy หรือ Targeted Therapy) ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรค แนวคิดนี้จึงเป็นที่มาที่จะใช้ "Targeted Therapy หรือ Gene therapy" ในการพิชิตโรคมะเร็ง พันธุกรรมบำบัดคือ การรักษามะเร็งที่มุ่งเน้นไปยังต้นเหตุของมะเร็งคือ ยีนที่มีความผิดปกติ โดยจะต้องวิเคราะห์หาความผิดปกติของยีนในเซลล์มะเร็งก่อน แล้วให้การรักษาด้วยยาที่มีความจำเพาะต่อยีนที่มีความผิดปกตินั้นๆ
วิธีการรักษาของการบำบัดแบบ "Targeted Therapy หรือ Gene therapy" คนไข้ที่มาต้องผ่านการตรวจพิสูจน์แล้วว่าเป็นมะเร็งชนิดไหน ระยะใด และมีชิ้นเนื้อที่ได้จากก้อนมะเร็ง เพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติของยีนในโรคมะเร็งนั้นๆ โดยวิธีการที่เราจะตรวจหาความผิดปกติของยีนมี 2 ขั้นตอนคือ
1.การตรวจหาโปรตีนที่ยีนผลิตออกมา 2.การตรวจในระดับ DNA เพื่อดูลักษณะความผิดปกติของยีนในรายละเอียด ว่ายีนส่วนไหนมีการกลายพันธุ์ และมีลักษณะของการกลายพันธุ์แบบใด เพราะเมื่อมะเร็งแต่ละชนิดมีความผิดปกติของยีนที่ไม่เหมือนกัน หรือถึงแม้ว่าเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันบางครั้งในผู้ป่วยแต่ละรายก็จะมีความผิดปกติของยีนที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อคนไข้ได้รับการตรวจยีนจากโปรตีนและดีเอ็นเอแล้ว เราก็มาพิจารณากันว่าจะใช้การรักษาวิธีแบบใด ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบว่ายีน A ผิดปกติก็จะใช้ยาแอนติยีน A รักษา
การรักษาแบบพันธุกรรมบำบัดนี้แตกต่างจากการรักษาแบบวิธีเดิมคือ การใช้เคมีบำบัด หรือการทำคีโม ซึ่งเป็นการให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งทั้งร่างกายไม่จำเพาะเจาะจง เซลล์ปกติในร่างกายจึงถูกทำลายไปด้วย การรักษาในรูปแบบของ Gene therapy หรือ Targeted Therapy เป็นการให้ยารักษาเพื่อควบคุม และขัดขวางการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยที่ยาจะออกฤทธิ์เฉพาะเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงโดยไม่ทำอันตรายเซลล์ปกติหรือเซลล์อื่นๆ
กุญแจสำคัญของการรักษาด้วยวิธีพันธุกรรมบำบัด หรือ Targeted Therapy นี้ว่าจะได้ผลหรือไม่ อยู่ที่เราจะต้องทราบถึงความผิดปกติของยีนในเซลล์มะเร็งก่อนที่จะรักษา เพราะยาเหล่านี้มีความจำเพาะเจาะจง ถ้าเราให้ยาโดยที่ไม่ได้ทราบว่าผู้ป่วยมะเร็งมีความผิดปกติของยีนอะไร การรักษาอาจจะไม่ได้ผล เปรียบเสมือนการเกาไม่ถูกที่คัน หรือรักษาไม่ตรงจุดนั่นเอง
ที่สำคัญคือยากลุ่มนี้ราคาแพงสุดๆ ยา 1 เม็ดราคาประมาณ 3000 บาท แต่ไม่ใช่มะเร็งทุกชนิดจะรักษาด้วยยากลุ่มนี้ได้นะคะเพราะต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยก่อนว่าควรจะใช้ยากลุ่มนี้หรือไม่
พอจะเข้าใจกันไหมคะว่า การเป็นมะเร็งทำไมต้องคีโม ขอสรุปสั้นๆละกันว่าที่ให้เพราะจะได้ไปหยุดการเจริญเตบโตของเซลมะเร็งไม่ให้มันแพรากระจายไปทั่วร่างกายเพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายจนถึงขั้นสียชีวิตได้ การให้ค๊ดม ญาติๆและคนไข้ต้องเตรียมใจไว้ตั้งมือรับกับอาการข้างเคียงให้ได้ เพราะอาการข้างเคียงแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนได้รับคีโมแล้วผมไม่ร่วงเลยก็มี แต่บางคนทั้งร่วง ทั้งอาเจียน ถ่าย เดินไม่ได้ ทานไม่ได้ เล็บถอด อื่นๆ ที่สำคัญคือก่อนให้คีโมต้องพยายามทำให้คนไข้แข็งแรงที่สุดค่ะ
คุณพ่อเราทำการรักษาเเบบผ่าตัดกับให้คีโม ซึ่งไม่ใช่แบบ Targeted Theraphy ค่ะ แค่นี้ก็อาการมากอยู่...
จบดีกว่า ตอนนี้ยาวมากแล้ว เท่าที่เราไปฟังบรรยายมาก็เข้าใจมากขึ้นแต่การที่เราเล่าเรื่องให้ทุกๆคนอ่านมันอาจจะทำให้งงกันหรือเปล่า???
ตอนหน้าจะบอกว่าเมื่อเราพาคุณพ่อกลับบ้านแล้วตอนท่านอยู่บ้านเราจะดูแลท่านอย่างไรและจะไปรับคีโม Cycle ที่ 2 อย่างไร และได้รับคีโมสูตรไหน
Coming ASAP naka.
Create Date : 08 มิถุนายน 2552 |
| |
|
Last Update : 8 มิถุนายน 2552 11:28:42 น. |
| |
Counter : 4782 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
wachan2014 |
|
|
|
|