อาหารปรับธาตุ

ช่วงนี้เห็นคนเป็นร้อนในกันเยอะ เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารปรับธาตุเอามาแบ่งปันกันครับ

ธาตุทั้ง ๔ ทางสุขภาพ และอนามัย ควรเลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสมตรงต่อธาตุของตน

อาหารที่ควรระวัง และบริโภคให้น้อยที่สุด

ไขมัน

เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่

น้ำตาลทรายขาว

กาแฟ และน้ำอัดลม

อาหารที่ใส่สีผสม และผงชูรส

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์


อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัด

ปลาน้ำจืด และปลาน้ำเค็ม

ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวดำ ลูกเดือย

และพืชผักต่างๆ

อาหาร และเครื่องดื่มที่รักษาสมดุลของธาตุ ทั้ง ๔

น้ำผักผลไม้รวม มีส้ม ขึ้นฉ่าย กระชาย งาดำ น้ำผึ้งผสมเกลือเล็กน้อย นำมาปั่นรวมกัน


อัตราส่วน

ส้ม 3 ส่วน

ขึ้นฉ่าย 2 ส่วน

กระชาย 1 ส่วน

งาดำ 1 ส่วน

น้ำผึ้ง 1 ส่วน

เกลือ เล็กน้อย

อาหารปรับธาตุ

---ธาตุไฟ

คนเกิดปีขาล (เสือ) ปีมะโรง (งูใหญ่) ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีระกา (ไก่)

โรคที่มักจะเป็น

ท้องผูก ริดสีดวง ความดันสูง เส้นโลหิตเปราะบาง ปวดศีรษะ โรคไต โรคกระษัย ปัสสาวะกะปริบกะปรอย วิตกกังวล เบื่ออาหาร โรคหัวใจ โรคไทรอยด์ ร้อนใน โรคกระเพาะ กระดูกเสื่อมเร็วก่อนวัย หงุดหงิดง่าย ใจสั่น แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย เลือดเป็นพิษ โรคเลือดลักปิดลักเปิด


อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่เหมาะสำหรับธาตุไฟ มีรสขม รสจืด รสเย็น

- รสขม ได้แก่ ใบปอ ใบยอ ผักขมจีนและไทย มะระขี้นก มะระจีน

- รสจืด ได้แก่ กระเจี๊ยบขาว ดอกกะหล่ำปลี ดอกสลิด ดอกโสน ถั่วพลู ถั่วฝักยาว บวบงู บวบอ่อน ใบทองหลาง ผักกาดขาว ผักกระเฉด ผักกูลป่า ผักชีฝรั่ง ผักบุ้งจีน มะเขือยาว ยอดผักปลัง สายบัว

- รสเย็น ได้แก่ เก๊กฮวย เฉาก๊วย แตงกวา แตงไทย แตงล้าน แตงโม น้ำใบเตย ใบตำลึง ใบบัวบก ฟักเขียว มะตูม มะละกอ รากบัวหลวง ลูกตำลึงอ่อน สายบัว หัวไชเท้า


อาหารที่บำรุงธาตุไฟได้ดี คือ มะระจีนตุ๋น กับเห็ดหอม น้ำใบบัวบก


สรรพคุณของอาหารประจำธาตุไฟ

กระเจี๊ยบมอญ--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงสมอง ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย เป็นยาระบาย

เฉาก๊วย--- สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการปากเปื่อย

ดอกสลิด--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ร้อนใน ลดอาการปอดบวม ทำให้เจริญอาหาร

ตำลึง--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยลดอาการเบาหวาน ใบสดๆ นำมาขยี้ให้ละเอียดเอาน้ำมาทาแก้อาการคัน ช่วยถอนพิษจากหนอนกัด และพิษจากหมามุ่ย ใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง ตาเจ็บ

เตย--- สรรพคุณ บำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจชุ่มชื้น แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้เบาหวาน

บวบ--- สรรพคุณ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ทำให้ถ่ายสะดวก

ปอ--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับลม เป็นยาระบาย เป็นยากระตุ้นหัวใจ

ผักกาดขาว--- สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้พิษสุราเรื้อรัง แก้อาการท้องผูก ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

ผักปลัง--- สรรพคุณ รักษาอาการท้องผูก แก้อาการไส้ติ่งอักเสบ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ แก้บิด

ผักบุ้ง--- สรรพคุณ บำรุงกระดูก และฟัน บำรุงเลือด ลดไข้ แก้เบาหวาน แก้ร้อนใน บำรุงสายตา

ผักโขมหรือผักขม--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยลดเชื้อมะเร็ง ทำให้สายตาดี แก้โรคท้องผูก แก้อาการตกขาวในสตรี สตรีมีครรภ์ หรือกำลังมีประจำเดือนห้ามทาน

ฟักเขียว--- สรรพคุณ เป็นยาเย็นดับพิษร้อนภายใน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ไอ ลดอาการบวมน้ำ แก้อาการหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร แก้หนองใน

มะเขือยาว--- สรรพคุณ แก้อาการตกเลือดในกระเพาะ ลำไส้ แก้อาการปวดเมื่อย

มะระขี้นก--- สรรพคุณ บำรุงน้ำดี เป็นยาเจริญอาหาร ขับพยาธิ แก้โรคตับอักเสบ แก้โรคเบาหวาน

มะตูม--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้

ยอ--- สรรพคุณ แก้อาการไข้วิงเวียนคลื่นเหียนอาเจียน แก้กระษัย แก้อาการปวดตามข้อ แก้อาการเป็นวัณโรค

หัวไชเท้า--- สรรพคุณ ล้างพิษภายใน เป็นยาเย็นดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว

สายบัว--- สรรพคุณ ลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อนในกาย



---ธาตุลม

คนเกิดปีเถาะ (กระต่าย) ปีมะเมีย (ม้า) ปีมะแม (แพะ) ปีวอก (ลิง)

โรคที่มักจะเป็น

โรคกระดูกเปราะ โรคน้ำตาแห้ง โรคตาต่างๆ โรคลมจุกเสียด โรคลมดันหัวใจ โรคนอนกรน โรคผอมแห้งแรงน้อย โรคปวดหัววิงเวียนศีรษะ โรคท้องอืดท้องเฟ้อ โรคอ่อนเพลีย


อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่รับประทานแล้วทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เช่น


- อาหารรสเผ็ด ได้แก่ กระชาย กระเทียม ขิง ขึ้นฉ่าย ขมิ้นขาว ตะไคร้ ถั่วต่างๆ ใบกะเพรา ใบชะพลู ใบแมงลัก ใบโหระพา ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง พริก ฟักทอง ยี่หร่า และพืชผักใบเขียวต่างๆ เช่นผักบุ้ง


- ผลไม้ ก็มี ชมพู่ แตงไทย แตงโม พุทรา เม็ดบัว เม็ดแมงลัก อาหารดังกล่าวมานี้ ควรเป็นส่วนประกอบของอาหารแต่ละมื้อ และรับประทานพอประมาณ


- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เผ็ดร้อน เค็ม หวาน เปรี้ยว ควรหลีกเลี่ยง อย่างปรุงให้รสใดรสหนึ่งจัดเกินไปจะเป็นโทษ


อาหารบำรุงธาตุได้ดี

น้ำกระชายหมัก น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำลูกเดือย หรือเม็ดแมงลักกับน้ำผึ้ง หรืองาดำคั่วแล้วบดนำมาผสมน้ำผึ้งและน้ำอุ่น ดื่มวันละแก้วตอนเช้าก่อนออกกำลังกาย จะช่วยรักษาสมดุลของธาตุภายในได้ดี

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุลม

กระชาย--- สรรพคุณ แก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้โรคลมจุกเสียด รักษาโรคบิด ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ เหง้ากระชายนำมาตำครั้นน้ำมาทารักษากลากเกลื้อน และงูสวัด

กะเพรา--- สรรพคุณ ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ขับลมในกระเพาะ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด ช่วยบำรุงกระดูกทำให้เจริญอาหาร และดับกลิ่นคาว

ขมิ้น--- สรรพคุณ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้โรคท้องอืด จุดเสียด รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ แต่ต้องกินแต่พอดี นำขมิ้นมาฝนเอาน้ำทารักษาโรคผิวหนัง และช่วยลดอาการเสียน้ำของผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนักชุ่มชื้น ใช้รักษาแผล น้ำกัดเท้า เล็บขบได้ดี

ขมิ้นอ้อย--- สรรพคุณ รักษาโรคท้องร่วง อาเจียน แก้ไข้ สมานแผล

ขิง--- สรรพคุณ ช่วยป้องกันอาหารเมารถเมาเรือได้ดี ด้วยการดื่มน้ำขิงแก่ก่อนจะขึ้นรถ ลงเรือ ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ และขับเหงื่อ แก้อาการเกร็งท้อง ท้องเป็นตะคริว

ตะไคร้--- สรรพคุณ เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดแน่นเฟ้อ

แตงโม--- สรรพคุณ ช่วยดับพิษร้อนภายใน ลดอาการทุรนทุรายจากพิษไข้ ขับปัสสาวะ น้ำแตงโมช่วยล้างไต ล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร เปลือกแตงโมแกงส้มช่วยรักษาอาการไข้หวัด

ถั่วฝักยาว--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงไต และม้าม แก้ร้อนใน และแก้อาการตกขาว

ใบโหระพา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ท้องอืด ขับลมในลำไส้ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ช่วยให้เจริญอาหาร เมล็ดเป็นยาระบาย

ผักชีฝรั่ง--- สรรพคุณ สร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา รักษาสมดุลของธาตุภายในกาย ดับกลิ่นคาว

พริก--- สรรพคุณ แก้อาการผอมแห้งแรงน้อย ซูบซีดพุงโรก้นปอด ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยระบบย่อยอาหาร และทำให้ดูดซึมอาหารได้ดี ละลายลิ่มเลือด ป้องกันมะเร็ง

พุทรา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้อาการไอ แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ เมล็ดใช้เผาไฟแล้วบดหรือตำ นำมาไว้ใกล้ๆ เด็กอ่อนช่วยรักษาอาการเป็นหวัดคัดจมูก หรือไม่ก็ใช้ผงที่บดละเอียดแล้วมาผสมน้ำเล็กน้อย แล้วกวาดลิ้นเด็ก แก้อาการเป็นซางลิ้นขาว

แมงลัก--- สรรพคุณ แก้ไข้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้ท้องร่วง ใบนำมาตำเอาน้ำมาทาแก้โรคผิวหนัง เมล็ดนำมาแช่น้ำผสมน้ำผึ้งทานเป็นยาระบาย แก้โรคกระเพาะ ลดความอ้วน เพราะมีสรรพคุณในการดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก

รากบัว--- สรรพคุณ เป็นยาคุมธาตุภายใน ช่วยรักษาอาการท้องร่วง เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ เหง้า และเมล็ด เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี แก้อาการน้ำเหลืองเสีย ดีบัวที่อยู่ใจกลางเมล็ดมีรสขมเป็นขาขยายหลอดเลือดหัวใจ

สะระแหน่--- สรรพคุณ ช่วยขับลมในลำไส้และกระเพาะ แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ขยี้ทาขมับ แก้อาการปวดหัว ดมแก้ลม ทาแก้อาการช้ำ

---ธาตุน้ำ

คนเกิดปีชวด (หนู) และปีกุน (หมู)

โรคที่มักจะเป็น

โรคภูมิแพ้ โรคหวัด โรคติดเชื้อต่างๆ แผลพุพองที่เรียกว่าน้ำเหลืองเสีย น้ำหนองไหล ปอดชื้น น้ำท่วมปอด โรคไตวายฉับพลัน โลหิตจาง เลือดออกตามไรฟัน และโรคอ้วน


อาหารที่ควรรับประทาน

- อาหารรสเปรี้ยว ได้แก่ กระท้อน กระเทียมดอง ขี้เหล็ก ดอกแค มะกอก มะเขือเทศ มะดัน มะนาว มะปราง มะม่วง ยอดมะขามอ่อน สับปะรด ส้มทุกชนิด และผักใบเขียวทุกชนิด อาหารรสเปรี้ยว แม้จะถูกกับผู้ที่มีธาตุน้ำมาก แต่ถ้ารับประทานมากไปก็จะทำให้ท้องอืด ถ้าเป็นแผลก็จะหายยาก อาจทำให้เกิดแผลในปาก และร้อนในได้


- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เปรี้ยว เผ็ด หวาน เค็ม มัน พยายามหลีกเลี้ยงอาหารมันๆ


อาหารที่บำรุงธาตุได้ดี

เช้าๆ ควรดื่มน้ำผักผลไม้รวม หรือน้ำข้าวกล้องผสมน้ำผึ้งก่อนออกกำลังกาย จะทำให้สุขภาพดี อาหารที่กล่าวมาแล้ว ควรรับประทานทุกมื้อ รับประทานแต่พอดี

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุน้ำ

กระเทียม---สรรพคุณ ช่วยลดความดัน รักษาโรคปอด โรคหอบหืด ไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ และกำจัดพยาธิ ไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ที่กินเป็นประจำ

กระหล่ำดอก--- สรรพคุณ ช่วยสำหรับผู้มีบุตรยากทั้งหญิงและชาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

ขี้เหล็ก--- สรรพคุณ แก้นิ่วในไต แก้ท้องผูก บำรุงสายตา ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับ

ขึ้นฉ่าย--- สรรพคุณ ช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย สามารถกำจัดเชื้อมะเร็งได้เกือบทุกชนิด บำรุงไตให้แข็งแรง นำมาปั่นกับแครอทผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี

คะน้าและผักใบเขียวทุกชนิด--- สรรพคุณโดยรวม คือ ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดี มีกากใยมาก ทำให้ขับถ่ายคล่อง ลดอาการมะเร็งในลำไส้และปอด รวมทั้งต่อมลูกหมากได้ดี

แค--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัดคัดจมูก บำรุงสายตา ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

มะเขือเทศ--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า ป้องกันมะเร็งในต่อมลูกหมาก

มะนาว--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัด เจ็บคอด้วยวิธีนำน้ำมะนาวมาผสมน้ำผึ้งเกลือเล็กน้อยผสมน้ำอุ่นแล้วดื่มทีละน้อยทุกเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำ ห้ามคนที่ปวดตามข้อดื่ม

สับปะรด--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้แก่ร่างกายได้ดี แก้โรคคอหอยพอก ขับพยาธิ และเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำสับปะรดใช้กลั้วปาก ช่วยลดอาการเหงือกบวม และดับกลิ่นปาก แกนสับปะรดช่วยขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว



---ธาตุดิน

คนเกิดปีจอ (หมา) และปีฉลู (วัว)

โรคที่มักจะเป็น

โรคท้องผูก ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยปกติ ท้องอืดท้องเฟ้อ ความดันต่ำ ไขมันอุดตัน หินปูนเกาะกระดูก ปวดตามข้อ เส้นเลือดตีบ โรคหัวใจ ไต ชักกระตุก


อาหารที่ควรรับประทาน

- อาหารรสฝาด เชน กะหล่ำปลี ชะอม ถั่วพู ใบบัวบก ผักกวางตุ้ง ยอดกระถิน ยอดมะม่วงหิมพานต์ รากบัว สะตอ หัวปลี อาหารเหล่านี้รับประทานได้ทุกวัน


- อาหารรสมัน เช่น กะทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง นม เนย เผือก ฟักทอง มัน แห้ว อาหารเหล่านี้ควรรับประทานพอประมาณ สัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง อย่าให้มากกว่านั้น จะเป็นโทษ


- อาหารรสหวาน เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก เงาะ แตงโม ฝรั่ง มังคุด มะม่วงสุก มะละกอ และน้ำผึ้ง นอกจากนี้รับประทานได้แต่นิดหน่อย


อาหารที่บำรุงธาตุได้ดี คือ น้ำนมข้าวผสมน้ำผึ้ง ใส่เกลือนิดหน่อย หรือไม่ก็น้ำข้าวกล้องข้นๆ ผสมน้ำผึ้งพอหวาน ใส่เกลือลงไปพอปะแล่มๆ รับประทานทุกเช้าตอนท้องว่าง แล้วจึงออกกำลังกาย สุดแต่สังขารอำนวย

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุดิน

กระถิน--- สรรพคุณ ช่วยขับลมในกระเพาะ บำรุงโลหิต เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

กระหล่ำปลี--- สรรพคุณ ช่วยลดความเครียด โรคหัวใจ และมีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

กล้วย--- สรรพคุณ ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้คล่อง

ชะอม--- สรรพคุณ ขับสารที่ก่อมะเร็งต่างๆ ภายในกาย ป้องกันโรคหัวใจ ขาดเลือด แต่จะทำให้น้ำนมมารดาแห้ง

แตงโม--- สรรพคุณ ดับพิษร้อนภายในกาย เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหารได้ดี

ถั่วพูล--- สรรพคุณ ในการเสริมวิตามินให้แก่ร่างกาย ซึ่งในถั่วพูอ่อน มีสารประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส และโปรตีน อีกทั้งยังมีกากใยอาหารมากด้วย

ถั่วเขียว--- สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการอักเสบในช่องปาก ป้องกันโรคหัวใจ ขับลมในลำไส้

นม--- สรรพคุณ ให้โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี เหล็ก และสังกะสี ผู้ที่มีวัยกลางคนแล้วไม่ควรดื่ม จะทำให้ท้องอืด ย่อยยาก ควรดื่มนมเปรี้ยวแทน

น้ำผึ้ง--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาระบายอ่อนๆ เป็นยาฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เป็นยาสมานแผล คนสูงอายุไม่ควรกินน้ำตาลควรกินน้ำผึ้งแทน เพราะร่างกายดูดซึม และย่อยสลายได้ง่าย

ใบบัวบก--- สรรพคุณ ช่วยลดความเครียด แก้ร้อนใน ช่วยละลายลิ่มเลือดภายใน ทำให้ความจำดี เอามาตำสดๆ พอกแผลหายเร็ว

ฝรั่ง--- สรรพคุณ ระงับกลิ่นปาก แก้อาการท้องเสีย บำรุงโลหิต

ฟักทอง--- สรรพคุณ ป้องกันมะเร็งในปอด ป้องกันเบาหวาน ป้องการโรคทางเดินหายใจ บำรุงสายตา คุมน้ำตาลในเลือด

มังคุด--- สรรพคุณ ช่วยลดความร้อนภายใน แก้กระหายน้ำ ช่วยเพิ่มเมือกภายในลำไส้ และกระเพาะ ทำให้ถ่ายคล่อง เปลือกนำมาฝนผสมน้ำทาแผลพุพองเป็นยาฆ่าเชื้อ

มันเทศ--- สรรพคุณ แก้โรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา

มะละกอ--- สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย บำรุงผิว

มะม่วงสุก--- สรรพคุณ ช่วยทำให้ระบายของเสียภายในได้ดี น้ำมะม่วงสุก เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย

รากบัวหลวง--- สรรพคุณ เป็นยาเย็น แก้ร้อนใน ดับพิษไข้ บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ

หัวปลีกล้วย--- สรรพคุณ ช่วยเพิ่มน้ำนมมารดา ลดไข้ระดู ทำให้เลือดสมบูรณ์ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง มีกากใยอาหารมากทำให้ถ่ายสะดวก

แห้ว--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนในร่างกาย ขับพยาธิ ขับลมในลำไส้

สะตอ--- สรรพคุณ ทำให้เจริญอาหาร ขับลมในกระเพาะ บำรุงสายตา

ที่มา : จับฉ่ายดอทคอม




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2554   
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 12:04:54 น.   
Counter : 1848 Pageviews.  

ลักษณะอาการปวดจากการ กดทับเส้นประสาท‏

ลักษณะอาการปวดจากการ กดทับเส้นประสาท



เส้นประสาทแต่ละเส้นจะมีตำแหน่งปวดที่แตกต่างกัน



วิธีบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหลัง



อย่าลืมบริหารร่างกาย ก่อนที่จะปวด ...ด้วยความเป็นห่วง




 

Create Date : 23 มีนาคม 2554   
Last Update : 23 มีนาคม 2554 14:24:28 น.   
Counter : 2682 Pageviews.  

ว่าด้วยเรื่องท้อง

การปวดท้องด้วยโรคต่างๆนั้น สาเหตุและอาการของแต่ละโรคไม่เหมือนกัน

การปวดท้องเกี่ยวกับ IBS จะเป็นการปวดท้องบริเวณรอบๆสะดือ ผสมกับท้องไส้แปร ปรวน เช่น ท้องขึ้น-ท้องเดิน-ท้องผูก สลับกันไปมา เอาแน่ไม่ค่อยได้

การปวดท้องแบบกรดไหลย้อน (GORD) จะมีการปวดแบบแน่นท้อง ท้องอืด บางครั้งมีการสำรอกออกมาเพราะอาหารไม่ย่อย และจะรู้สึกเปรี้ยวหรือขม ในปากสลับกัน ไปด้วย

เอาวิธีแก้รวมของโรคสองโรคนี้พร้อมๆกันเลยนะครับ

1. ข้อแรกนั้นเป็นหลักใหญ่เกี่ยวกับท้องโดยตรงเลยทีเดียว คือ อย่าเครียด

ในคอร์สสุขภาพของชีวจิต ผมจะให้หลัก การเกี่ยวกับท้องและความเครียดไว้เลยว่า อะไรที่ เกิดขึ้นในหัวของคุณ (เกี่ยวกับอารมณ์ - ความรู้สึกต่างๆ-เครียด) จะต้องลง ที่ท้องก่อน

หมายความว่า ความคิดทุกอย่างไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ แม้แต่อิจฉาริษยา ปฏิกิริยาจะเกิด อย่างรุนแรงในท้องของคุณก่อน

เมื่อสมัยยังเรียนอยู่ เวลาเข้าห้องแล็บ อาจารย์จะให้ดูภาพยนตร์เกี่ยวกับการส่องกล้องด การทำงานของระบบลำไส้กระเพาะ ในขณะเดียวกันก็จะให้ดูการทดลองทดสอบเรื่อง ความเกี่ยวพันระหว่างความคิดอารมณ์ และปฏิกิริยาเกี่ยวกับช่องท้อง เห็นได้ชัดเลยว่า เวลาเกิดอารมณ์ช่องท้องจะเกิดปฏิกิริยาทันที กระเพาะบีบหดตัว ลำไส้บิดเคลื่อนไหวรุนแรง และรวดเร็วเห็นได้ชัด

ฉะนั้น คุณๆที่อารมณ์อ่อนไหว หรืออารมณ์รุนแรง ฟันธงได้เลยว่า มันจะต้องลง ที่ท้องของคุณก่อน

ฉะนั้น ข้อแนะนำข้อแรก อย่าเครียด ข้อนี้พูดได้ แน่นอนว่าใช้ได้ กับโรคท้องทุกชนิด

2. จำกัดเรื่องอาหาร กฎเกณฑ์ทั่วไปนั้น ฟันธงได้อีกเหมือนกันว่า ใช้สูตรอาหาร ชีวจิตเป็นดีที่สุดแต่บางคนที่บอกว่ากินอาหารชีวจิตไม่ได้ ก็ต้องระวังเรื่องอาหารประจำของคุณ ให้สังเกต ให้ได้ว่า อาหารชนิดใด ทำให้กระเพาะลำไส้ ของคุณเกิดการผิดปกติ

กินผักที่มีกากใยมากๆ (เช่น คะน้า บรอกโคลี หรือผักไทยๆ เช่น ผักบุ้ง ตำลึง สะเดา) จะดีที่สุดและพยายามตัดอาหารที่ไขมันสูงออกจากรายการ (เช่น ขาหมู ไก่ตอน ฯลฯ)อาหารที่มีกรดมากๆ เช่น ส้ม, มะนาว, มะเขือเทศ หรือน้ำส้มปรุงอาหาร ก็ควรตัดออกชั่วคราว

3. ระวังของที่ต้องงดเด็ดขาด กาแฟ บุหรี่ เหล้า และของหวาน เช่น หมากฝรั่ง ลูกกวาด ช็อกโกแลต

4. อย่านอนมาก เกินไป โดยเฉพาะคุณที่เป็นกรดไหลย้อน ทั้งนี้ เพราะถ้าคุณชอบนอน จะนอนเล่นหรือนอนจริงๆก็ตาม จำหลักง่ายๆไว้ว่า น้ำหรือของเหลวจะไม่ไหลขึ้นสูง แต่จะไหลลงล่าง

ฉะนั้น นอนหัวสูงหน่อยก็ดี มีหมอนหนุนสูงอย่างน้อย 4-6 นิ้ว และไม่ จำเป็นจะต้องให้ หมอนสูงเกินไป เพราะจะทำให้คอแข็งเป็นตะคริวได้ง่ายๆ บางคนชอบ นอนห้องแอร์จะต้องระวังเรื่องนอนให้มากๆ

5. ดูรูปร่างตัวเองให้มากๆ ข้อนี้อาจจะฟังดูแปลกสักหน่อย แต่บังเอิญผมได้อ่านบทความ ของอาจารย์คนหนึ่ง (ได้เคยพูดถึงไว้แล้วตอนก่อนๆ) คือ อาจารย์ฟรังซิส เคล็คเนอร์ แห่ง มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

อาจารย์เคล็คเนอร์พูดตลกๆว่า “เชื่อไหมละว่า ดูพุงของคุณให้ดี แล้วคุณจะไม่มีปัญหา เรื่องปวดท้อง”

ที่พูดว่า “ดูพุงให้ดี” นั้น หมายความว่า พุงของคนที่ชอบกินอาหารอย่างเหลือเกิน ชอบกินของหวานๆมันๆ แล้วก็ชอบดื่มเบียร์ ตัวอย่างก็เช่น ชอบอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารอิตาเลียน อาหารเยอรมัน (ชอบกินขาหมูมาก) แล้วก็แน่นอน ชอบดื่มเบียร ทีละเหยือกใหญ่

ท่านเหล่านี้ คือ คนอ้วนประเภทพุงเบียร์ แน่นอนครับ ที่พุงขนาดนี้เป็นผล มาจากชอบกิน ของที่ถูกห้ามไว้ตอนต้นๆแทบทั้งสิ้น

ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องตรวจกันมาก ดูแค่พุงก็รู้แน่ว่าทั้ง IBS และกรดไหลย้อนนั้น เต็มพุงเลย

ฉะนั้น ดูแลพุงให้ดีครับ

ขอแถมอีกนิดว่า คุณที่พุงเบียร์ ระวังอย่างยิ่ง อย่ากินอาหารเย็นตอนดึกๆ กินเสียตั้งแต่ ตอน 5-6 โมงเย็นดีกว่า กินแล้วอย่าเพ่อนอน ทำอะไรนั่งๆเดินๆให้มากๆ สามทุ่มจึงค่อยเข้านอน

6. ต่อไปก็ถึงเรื่องยา ยาประเภทลดกรด (ANTACIDS) นั้นใช้ได้ แต่อย่ากินระยะยาว ประมาณ 7-10 วัน ก็น่าจะพอแล้ว อยากจะขอแนะนำยาไทยๆซึ่งดีมาก คือ ยาธาตุบรรจบ และขมิ้นชัน 2 ตัวนี้เข้ากันได้ดีมาก เป็นยารักษาท้อง กินนานๆยังได้เลย และยาไทยนั้นไม่มี ผลข้างเคียง (สองตัวนี้เป็นยาตำราหลวง กระทรวงสาธารณสุขประกาศรับรอ เป็นทางการ นานมาแล้ว)

ยาอีกตัวหนึ่งเป็นยาพื้นบ้าน คือ ขิงแก่ต้ม หรือชงน้ำร้อนทานต่างน้ำชาได้ดี แปลกตรงที่ว่า แม้แต่แพทย์ฝรั่งก็ยังแนะนำให้ใช้ชิงแก่นี้ คือ อาจารย์แดเนียล เมารี แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์

อีกขนานหนึ่งซึ่งเป็นยาพื้นบ้านและรักษาท้องเป็นอย่างดี ก็คือ น้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 3 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำผึ้งหนึ่งช้อนโต๊ะ เติมน้ำร้อนครึ่งแก้ว ดื่มและจิบได้ตลอดวัน แก้ คอแห้งและรักษาท้องได้ดี
**********************************************




 

Create Date : 02 เมษายน 2551   
Last Update : 2 เมษายน 2551 16:51:37 น.   
Counter : 581 Pageviews.  

<b>สูตร ‘น้ำพริก’ </b>

สูตร ‘น้ำพริก’

น้ำพริกสูตร 1 เครื่องปรุง ก็มี... พริกขี้หนูหอมหรือพริกชี้ฟ้า กะปิ กระเทียม น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ มะเขือพวง มะนาว น้ำสุก วิธีปรุง ใส่กระเทียมกับกะปิตำให้ยุบประมาณกระเทียม 1 กลีบแตก 4 ส่วน ใส่พริกขี้หนูลงไปโขลกให้พอบุบ ใส่น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ลงไปคลุกเคล้าให้ออกรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ใส่น้ำต้มสุกลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้กลมกล่อม โขลกมะเขือพวงให้พอบุบ ๆ ในครก เป็นอันเสร็จ ตักใส่ถ้วย
เครื่องแนม ได้แก่... ผักต้ม ถั่วฝักยาว น้ำเต้า บวบ มะเขือ ผักกะเฉดต้มกะทิ ดอกโสนต้มกะทิ ดอกแคต้ม, ผักดอง ได้แก่ ผักบุ้งดองมะขามสด ผักเสี้ยนดอง สายบัวดอง, ผักสด ได้แก่ แตงกวา มะเขือ ถั่วฝักยาว
หมายเหตุความอร่อย วิธีกินน้ำพริกให้ได้สารอาหารครบถ้วน คือกินกับปลาย่าง น้ำพริกเป็นอาหารพลังงานต่ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลร่างกายให้สมส่วน การกินกับผักนานาชนิดก็ช่วยระบบขับถ่าย ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระชะลอความแก่ และป้องกันโรคได้ด้วย

น้ำพริกสูตร 2 เครื่องปรุง ก็มี... พริกบางช้าง กะปิ กระเทียม หัวหอมแดง น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ มะขามเปียก ถั่วลิสงคั่วตำละเอียด เนื้อหมูสับรวนให้สุก วิธีปรุง นำพริกแห้งย่างหรือคั่วให้สุกหอม ย่างหัวหอม-กระเทียมให้หอม ตำพริกเผาให้ละเอียดแล้วเอาหัวหอมเผา-กระเทียมเผาใส่ตำให้ละเอียด ใส่มะขามเปียก กะปิ น้ำตาล ถั่วคั่วป่น ตำให้ละเอียด ใส่หมูสับรวนสุก ตำให้ละเอียด นำไปผัดน้ำมันด้วยไฟอ่อน ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมรสให้มีเปรี้ยว เค็ม หวาน
เครื่องแนม ได้แก่... ผักสด ผักบุ้ง มะเขือ มะเขือพวง ถั่วฝักยาว หัวปลีสด ผักกระโดน หยวกกล้วย มะระขี้นก สายบัว มะแว้ง ผักต้ม ยอด-ดอกฟักทอง น้ำเต้า ดอกแค บวบ ผักค่าว หน่อไม้ แพงพวย มะระขี้นก ผักบุ้ง มะเขือ หัวปลี อื่น ๆ ชะอมชุบไข่ทอด มะเขือยาวชุบไข่ทอด ปลาทู ปลาย่าง ปลาทอด
หมายเหตุความอร่อย ต้องใช้พริกเม็ดใหญ่คือ “พริกบางช้าง” จึงจะเด็ด

น้ำพริกสูตร 3 เครื่องปรุง ก็มี... พริกแห้งเม็ดใหญ่ หัวหอม กระเทียม มะขามเปียก เกลือ กะปิ น้ำตาลปี๊บ วิธีปรุง นำพริกแห้งเม็ดใหญ่เด็ดขั้วออก หัวหอมและกระเทียมแกะเปลือก มาคั่วรวมกันให้หอม นำมาตำให้ละเอียด เติมมะขามเปียก เกลือ น้ำตาลปี๊บ กะปิ ตำรวมกันให้ละเอียดมีกลิ่นหอม เสร็จแล้วตักเก็บใส่กระปุกเก็บไว้กินนาน ๆ ได้ เมื่อจะกินก็ตักใส่ถ้วยเติมน้ำปลา หรือน้ำปลาร้า
เครื่องแนม ได้แก่... ผักสด ถั่วฝักยาว แตงกวา กระถิน ต้นหอม ผักชี ผักลวก ชะอม ผักบุ้งนา น้ำเต้า ตำลึง ยอด-ดอกฟัก บวบงู หน่อไม้ ผักดอง ผักเสี้ยน หอมดอง กุ่มดอง ผักผัด เช่น โสนผัดน้ำมัน
หมายเหตุความอร่อย พริกแห้งที่ตำนี้สามารถเก็บไว้กินได้หลายวัน ไม่ต้องเสียเวลาทำใหม่ทุกครั้ง และเคล็ดลับคือมะขามเปียกต้องสับ ไม่ควรใช้น้ำมะขามเปียกเพราะจะเก็บไว้นานไม่ได้

ลองนำสูตรไปทำกินในครัวเรือน...ก็ได้ หรือเกิดปิ๊งไอเดียทำน้ำพริกขาย...ก็สุดแท้แต่ครับ !!.--จบ--




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2550   
Last Update : 22 ตุลาคม 2550 11:51:08 น.   
Counter : 614 Pageviews.  

เคล็ดลับเลือก “แปรง” และ “ยาสีฟัน”


เคล็ดลับเลือก “แปรง” และ “ยาสีฟัน”
ปัจจุบัน “โรคฟันผุ” ยังเป็นโรคสำคัญที่เกิดขึ้นกับคนไทยเป็นจำนวนมาก ร้อยละ 65 ของเด็กไทยอายุ 3 ปีมีปัญหาฟันผุและมีแนวโน้มพบโรคฟันผุเพิ่มขึ้นในผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่โรคฟันผุนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีโดยใช้ยาสีฟันผสมฟลูอออไรด์
จากการศึกษาวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของขนาดแปรงสีฟันและชนิด/ยี่ห้อยาสีฟันต่อปริมาณของยาสีฟันขนาดต่างๆ” โดย ผศ.ทญ.ดร.ภฑิตา ภูริเดช อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาขนาดของแปรงสีฟันและยาสีฟันที่เหมาะสมในเด็กและผู้ใหญ่ ได้ผลสรุปออกมาน่าสนใจทีเดียว
ผลวิจัยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า ขนาดของแปรงสีฟันจะมีผลต่อปริมาณของยาสีฟันที่ใช้ ส่วนชนิดและยี่ห้อของยาสีฟันไม่มีผลกระทบต่อปริมาณยาสีฟัน เด็กเล็กที่มีอายุไม่เกิน 7 ปี จึงควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเล็กและใช้ยาสีฟันขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว เพื่อจำกัดปริมาณยาสีฟันที่ใช้และเพื่อฟ้องกันการกลืนยาสีฟัน เนื่องจากเด็กเล็กมักจะกลืนยาสีฟันขณะที่แปรงฟัน
ในขณะที่ผู้ใหญ่นั้นสามารถใช้ยาสีฟันในปริมาณเพียงพอสำหรับการแปรงฟันได้อย่างสะอาดทั่วทั้งปาก เพราะผู้ใหญ่สามารถควบคุมการกลืนยาสีฟันได้ดี
ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการแปรงฟันนั้น ในเด็กควรใช้เวลานาน 2 นาทีและผู้ใหญ่วรใช้เวลานาน 4 นาทีแล้วจึงบ้วนปาก นอกจากนี้ ควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้งเพื่อกำจัดเชื้อโรคที่ลิ้น ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ผศ.ทญ.ดร.ภฑิตาให้ความรู้ด้วยว่า ฟลูออไรด์ในยาสีฟันมีส่วนช่วยป้องกันฟันผุได้ โดยเฉพาะฟันผุในด้านเรียบของฟันซึ่งฟลูออไรด์เป็นสารที่ไม่มีผลกระทบต่อฟันหากใช้ในปริมาณที่ทันตแพทย์แนะนำ อย่างไรก็ตาม การใช้ปริมาณยาสีฟันมากเกินไปในเด็กเล็ก ซึ่งกำลังมีการสร้างฟันจะมีผลเบื้องต้นทำให้ฟันตกกระไม่แข็งแรงและหากได้รับในปริมาณสูงมากจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
ทั้งนี้ ในการแปรงฟันนั้นควรใช้แปรงสีฟันที่มีหน้าตัดเรียบ ด้ามตรง มีขนแปรงอ่อนนุ่ม เพื่อจะไม่ได้ทำลายฟันและเหงือกในขณะแปรงฟัน เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปากและฟันของแต่ละคน ที่สำคัญคือควรแปรงฟันให้สะอาดครบทุกซี่ทุกด้านทั่วทั้งปาก โดยแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เด็กควรใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็กที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม ใช้ยาสีฟันที่ไม่มีรสเผ็ดจนเกินไป ผู้ปกครองควรแปรงฟันให้เด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน ซึ่งฟันเริ่มขึ้นจนถึงอายุ 7 ปีเพื่อแปรงฟันให้สะอาดทั่วทั้งปาก--จบ--




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2550   
Last Update : 22 ตุลาคม 2550 11:39:42 น.   
Counter : 360 Pageviews.  

1  2  

vizion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนคิดการณ์ไกล 10 ปีจะปลูกต้นไม้ ส่วนคนคิดการณ์ไกล 100 ปีจะมีลูกหลาน
[Add vizion's blog to your web]