ริมทาง Route 12 ภาค 2/2 วัดผาซ่อนแก้ว

สถานที่ท่องเที่ยว : วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว, เพชรบูรณ์ Thailand
พิกัด GPS : 16° 47' 22.90"N 101° 02' 57.59"E

เดินทางต่อนะครับ จะไปวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วกัน

          ออกจาก Route 12 ไปตามทางหลวงหมายเลข 12 ประมาณไม่เกิน 10  นาที ก็ลงเขายาวๆ ประมาณ  1 กม.  มาถึงย่านท่องเที่ยวเขาค้อจะเห็นภูแก้วรีสอร์ทเด่นชัดอยู่ซ้ายมือ  ถนนจะเปลี่ยนเป็นสี่เลน  คนที่จะเข้าแหล่งเที่ยวหลักของเขาค้อ ก็แยกขวาที่สามแยกแคมป์สนเข้าไป  มีแหล่งเที่ยวมากมาย เช่น พระตำหนักเขาค้อ จุดชมวิว 360 องศา  อนุสรณ์สถานผู้เสียสละ  พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก  หอสมุดนานาชาติเขาค้อ  น้ำตกศรีดิษฐ์  พิพิธภัณฑ์อาวุธ ฐานอิทธิ เป็นต้น   แต่เราจะเลยไปแวะเฉพาะริมทางหลวงหมายเลข 12 เท่านั้นนะครับ  เลยแยกแคมป์สนไปเล็กน้อยจะเป็นตลาดห้วยไผ่ จะเห็นภูฟ้าใสรีสอร์ทโดดเด่นอยู่ซ้ายมือ  ก่อนถึงถึงภูฟ้าใสจะมีทางแยกเล็กๆ ลงซ้ายมือมีป้ายบอก วัดผาซ่อนแก้ว หรือ พระธาตุผาซ่อนแก้ว  แวะเข้าไปเลยครับ  แต่ถ้าเลยไปเข้าทางเข้าเส้นที่ 2 ได้ วัดแห่งนี้อยู่ที่บ้านทางแดง ซึ่งมีถ้ำใหญ่ใกล้หน้าผาบนเขาลูกใหญ่เลยหมู่บ้านไปเล็กน้อย  ชาวบ้านเล่ากันมาว่าผู้เฒ่าผู้แก่บอกต่อๆ กันมาว่าเคยเห็น ลูกแก้วดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า  เมื่อตามไปดูหายไป เข้าใจว่าคงหายเข้าไปในถ้ำนั่นเอง  จึงได้ชื่อ “ผาซ่อนแก้ว”  ปัจจุบันวัดนี้ได้พัฒนาสิ่งก่อสร้างที่สวยงาม  แหวกแนวและอลังการจนสร้างกระแสดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชม  ทั้งๆ ที่ประกาศว่าเป็นเขตปฏิบัติธรรมต้องการความสงบก็ไม่วายอยู่ดี เอาล่ะครับมาดูเส้นทางเข้าวัดกัน  มี 2 เส้นทางนะครับ โดยปกติจะเข้าทางเข้าที่ 1 กัน ซึ่งผ่านชุมชน  เป็นทางคอนกรีต อบต.  แคบๆ พอรถสวนกันได้  จะได้เห็นชุมชนทางแดงครับ  เป็นทางตรง ค่อนข้างเรียบ (สำหรับทางบนเขา)  แต่ตรงจุดแยกเข้าจะชันมากหน่อยประมาณ  15 เมตร  เป็นลักษณะความต่างระดับของถนนใหญ่กับถนนในหมู่บ้านบนดอยตามปกติทั่วไป   ส่วนทางเข้าที่ 2 เป็นเส้นทางใหม่ตัดผ่านบนสันเขาเข้าไปครับ  ดังภาพข้างล่างนี้

 

เข้าทางเส้นทางที่ 1  ประมาณ 2 กม. เศษ ก็ถึงหน้าวัดเลี้ยวเข้าไปหาที่จอดให้เรียบร้อย  ที่จอดรถค่อนข้างจำกัด  (ถ้าขับเลยไปก็มีทางเข้าอีกทางมีที่จอดรถมากกว่า)  แต่ทางนี้เข้าตรงหน้าประตูวัด ให้บรรยากาศดีกว่า 

          เมื่อเข้าไปถึงก็ขอให้เดินด้วยความสงบ  จะมองเห็นอาคารทรงเจดีย์สำหรับบรรจุพระธาตุตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างสง่างาม  โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล  ขับรถบนทางหลวงหมายเลข 12 ก็มองเห็นได้เช่นกัน

           อาคารทรงเจดีย์บรรจุพระธาตุ  มี 5 ชั้น  ชั้นที่ 1 ประดิษฐานพระพุทธรูปให้สักการะ  ทำบุญตามศรัทธา  ชั้นที่ 2 มีพระให้กราบไหว้อีกด้วย  แต่ชั้นนี้จะมีระเบียงให้เดินชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ  พร้อมทั้งระเบียงยื่นออกไปสี่ทิศทรงกูบช้าง  เป็นสถานที่สำหรับนั่งสมาธิ  ชั้นที่ 3-4 ก็มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้  ส่วนชั้นที่ 5 เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุ  ปกติจะปิดไม่ให้ผู้คนสัญจรทั่วไปขึ้นไป  เว้นแต่มีพระหรือบุคคลที่ทางวัดนำขึ้นไปครับ อาจเป็นเพราะพระธาตุวางไว้โล่งแจ้งหายได้ง่ายๆ

          เอาล่ะกลับมาที่ทางขึ้น จะพบช้าง 8 งา เฝ้าอยู่ครับ

         ช้าง 8 งา งวงเป็นพญานาคเฝ้าบันไดครับ  ต้องถอดรองเท้าไว้ที่นี่ครับ  แล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นไป  ช่วงแดดร้อนๆ คงสนุกเอาเรื่อง  แต่วันนี้โชคดีแดดหุบ (ฮาๆ  ยังกะร่มหุบได้วุ๊ย...) เดินได้สบายๆ

          เทวดาองค์นี้นี่ก็เฝ้าทางขึ้นเช่นกัน  ทำมือเหมือนจะส่งสัญญาณว่าพูดเบาๆ กันหน่อยนะ...  ครับ..ปฏิบัติตามครับ..

          สังเกตที่ฐานจะเริ่มเห็นเครื่องเบญจรงค์ประดับโดยรอบด้วยหินสีสวยงาม ของจริงนะนั่น ไม่ใช่ของปลอมใดใด ที่ญาติโยมมาบริจาค

 

         เอามาให้ดูใกล้ๆ อีกทีเอาให้ชัดๆ เป็นอย่างนี้ครับ  

          ผ่านช้าง  ผ่านเทวดา  วางรองเท้า  ก็ไปต่อครับ เดินไปชมทิวทัศน์ทะเลภูไปเพลินๆ ก็ถึงตัวอาคาร  เข้าไปกราบพระกันก่อนครับ  เป็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์  ประทับซ้อนกันครับ   

          พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ เหลืองอร่ามให้สักการะที่ชั้น 2

           อันว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้นเป็นคติพุทธอีกโสดหนึ่งที่มีตำนานมีประวัติเล่าต่อกันมาแต่โบราณ เริ่มตั้งแต่พายุรุนแรงพัดกระหน่ำจนรังของพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมียบนฝั่งแม่น้ำคงคากระจัดกระจายเป็นเหตุให้ไข่ที่มี 5 ใบ ไปตกในที่ต่างๆ และ ต่อมามีผู้เลี้ยงดู (สัตว์ต่างๆ 5 ชนิด คือ ไก่ นาค เต่า โค และราชสีห์) ... ยาวครับ อีกยาววววว... จนมาเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ใครใคร่รู้ลองถามอากู๋ดูนะครับ ... มีคำตอบแน่นอน 

          

         เดินออกไปที่ระเบียง และ มองไปทางด้านเหนือจะเห็นเครื่องจักรกลขนาดใหญ่กำลังสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ขนาดใหญ่ให้กราบไหว้กัน  

         พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แห่งนี้ถ้าสร้างเสร็จน่าจะมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย หรือ ของโลกไปเลยนะครับ  และ จะดึงดูดนักเที่ยวให้มาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายเป็นแน่..  สังเกตุส่วนที่ยื่นออกไปจากตัวอาคารและมีหลังคาคล้ายกูบช้าง

          นี่คือระเบียงที่ยื่นออกไปทั้งสี่ทิศ  สำหรับนั่งสมาธิ

          ต่อไปจะนำชมฝาผนัง และ เสาต่างๆ ที่มีการนำเอาเครื่องเบญจรงค์ที่มีค่ามีราคา  ลูกปัด  แก้วแหวนเงินทอง  เครื่องประดับต่างๆ  ที่มีผู้บริจาคมาใช้เป็นวัสดุตกแต่งร่วมกับหินสีและกระเบื้องสีต่างๆ ได้อย่างลงตัว  งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ

         เครื่องเบญจรงค์ประดับที่เสาอาคารชั้น 2

          นี่อีกหนึ่ง  สวยงามมาก  และมีอีกมากมาย ทุกๆ เสา ไม่มีซ้ำกัน

          ส่วนที่ตกแต่งที่ผนังอาคาร  มีเครื่องเบญจรงค์ทั้งเล็กใหญ่ คัดสรรมาอย่างลงตัว พร้อมด้วยหินสีสวยงาม

          ส่วนการตกแต่งที่ผนังอาคารยังประดับด้วยหินที่นำมาจากหัวแหวน  เครื่องประดับต่างๆ ทั้ง จี้  ตุ้มหู  เข็มกลัด และ อื่นๆ  มาจัดเรียงสลับลายสวยงามมากทั้งอาคาร  แต่สังเกตว่ามีเม็ดสวยๆ บางเม็ดหายไป  อาจไปเป็นหัวแหวนอันมงคลยิ่งของใครไปแล้วก็ได้  ทั้งๆ ที่มีคำเตือนห้ามจับต้องนะครับ... ????

            ที่เห็นนี่คือลวดลายบนทางเดินของระเบียงอาคารนี้ครับ

          เอาละครับขึ้นไปกราบพระธาตุที่ชั้น 5 กันดีกว่า ชั้นที่ 3-4 ไม่มีอะไรโดดเด่นครับขอผ่านไป

          สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุครับ

          ส่วนที่บรรจุองค์พระธาตุอยู่ครับ           ปกติที่นี่จะไม่ให้คนสัญจร หรือ นักเที่ยว ขึ้นไปนะครับ  บังเอิญวันนั้นมีคณะบุญจากสิงห์บุรี ศิษย์หลวงพ่อจรัญมากันพอดี  เราก็เลยเนียนเข้ากลุ่มเขาไปครับ....

          ถือว่าเป็นบุญก็ได้ครับ  เบิกทางให้ได้ขึ้นไปนมัสการพระธาตุใกล้ชิด  รวมทั้งนั่งสมาธิพร้อมกับกรุ๊ปบุญกลุ่มนี้  และ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทั่วหล้าไปด้วย ......

 

        ก่อนจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วขอเสนอมุมมองบริเวณวัดที่เป็นหมู่อาคารต่างๆ ของวัดที่เห็นรูปทรงหลังคาซ้อนทับสีน้ำตาลครับ  อาคารเหล่านี้แยกเป็นส่วนๆ ชัดเจนระหว่างฆราวาสและพระสงฆ์ รวมทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมต่างๆ ด้วย  เหมาะสำหรับผู้ต้องการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพราะเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม  สามารถดึงพลังธรรมชาติและจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ดีทีเดียว  

        ลงจากวัดแล้วครับ  ลาจากด้วยภาพมุมกว้างมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนของเขาค้ออันเป็นที่หลงใหลของชาวไทยนักเที่ยวครับผม ........

 

 

 




Create Date : 04 เมษายน 2556
Last Update : 4 เมษายน 2556 22:22:31 น.
Counter : 2746 Pageviews.

3 comment
ขับรถผ่าน Route 12

ย่อๆ บนเส้นทางหมายเลข 12


        เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2556  ได้มีโอกาสขับรถบนทางหลวงหมายเลข 12 จากพิษณุโลก  ผ่านเขาค้อ  ไปยัง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์  เส้นทางเส้นนี้ถือว่าเป็นเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของไทย  ยิ่งในฤดูหนาวการจราจรค่อนข้างคับคั่ง  ด้วยมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่งที่สามารถแวะเที่ยวชมได้  เช่น
          1. ภูสอยดาว  ที่ว่ากันว่าเป็นภูที่สวยงามมากๆ แห่งหนึ่งของไทย  บนนั้นมีลานสนกว้างขวางมาก รวมทั้งทุ่งดอกไม้ป่านานาพันธุ์ โดยเฉพาะหงอนนาค  และ ที่สำคัญธรรมชาติยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์  แต่การไปที่นี่ไม่ใช่ใครๆ ก็ไปได้  ต้องใจสู้ใจถึงจริงๆ เพราะต้องเดินเท้าปีนเขาประมาณ 4-6 ชั่วโมง  ถ้าใครไม่อยากปีนเขาบริเวณเชิงดอยที่ทำการของอุทธยานก็มีน้ำตกสวยงาม คือ น้ำตกภูสอยดาว  (แยกเข้าที่บ้านแยง .. กม.67..ผ่านนครไทย-ชาติตระการ-น้ำปาด)
          2. ภูหินร่องกล้า  หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับทั้งอรรถรสทางธรรมชาติที่แปลกตา ทั้งลานหินแตก ลานหินปุ่ม น้ำตก และ ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยคอมมิวนิสต์คู่มากับเขาค้อนั่นเอง (แยกเข้าที่บ้านแยงทางเดียวกับภูสอยดาว  แต่ถึง อ.นครไทยแล้วให้เลือกเส้นทางไปภูหินร่องกล้าได้เลย และ เส้นนี้ทะลุออกภูทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ได้...  ทางคดเคี้ยวหน่อย)   
          3. เขาค้อ  แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไทยมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งริมทางหลวงหมายเลข 12 และแยกตรงแคมป์สนเข้าไปยัง อ.เขาค้อ  อีกมากมาย  ได้ชื่อว่าดินแดนทะเลภู  มีทิวเขาสลับซับซ้อนสามารถมองเห็นในมุมกว้างได้สุดสายตา.. นี่คือเสน่ห์ของเขาค้อ  .. อีกทั้งอากาศเย็นเกือบทั้งปี  ยกเว้นระยะ มีนาคม-เมษายน  จะร้อนมากๆ ตอนบ่ายๆ แต่ช่วงเช้ายังเย็นสบายดี)
          4. ทุ่งแสลงหลวง  เป็นดินแดนซาวันนาที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศไทย  เหมาะกับคนชอบลุยชมธรรมชาติแปลกๆ มีเส้นรทางให้ขี่จักรยาน หรือ มอไซต์  จะเห็นทุ่งหญ้าระบัดใบเหลืองอร่าม นอกนั้นที่นี่มีแมงกะพรุนน้ำจืด ซึ่งพบได้ยากมากในธรรมชาติอีกด้วย

          บนเส้นทางเส้นนี้ถ้าขับรถผ่านไปโดยไม่แวะแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ดังกล่าว  ก็มีแหล่งท่องเที่ยวให้แวะริมทางตลอดสาย เช่น  น้ำตกแก่งโสภา  น้ำตกแก่งซอง  น้ำตกวังนกแอ่น เป็นต้น รวมทั้งร้านอาหารและรีสอร์ตอีกมากมายทีเดียว

          วันนี้ขอรีวิวแหล่งเที่ยวริมทางคือ วัดผาซ่อนแก้ว และ จุดพักรถดังบนเส้นนี้ คือ Route 12 
          ออกเดินทางจากพิษณุโลกตอนสายแก่ๆ ผ่านวังทอง ค่ายสฤษณ์เสนา มาประมาณ 45 กม. แวะรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้าน "เคียงน้ำ"  เป็นร้านอาหาร+รีสอร์ต ตั้งอยู่บริเวณน้ำตกแก่งซอง  ส่วนที่เป็นร้านอาหารยื่นออกไปบนลำน้ำเข็ก  มองเป็นน้ำตกแก่งซองได้ชัดเจน  บรรยากาศดีมากๆ ครับ เย็นสบาย  สายลมอ่อนพัดผ่านแอ่งน้ำใสใส

น้ำตกแก่งซอง ถ่ายจากร้านอาหารเคียงน้ำ
  
 น้ำตกแก่งซอง  ถ่ายจากร้านอาหารเคียงน้ำ
           น้ำตกแก่งซองเมื่อมองจากร้านอาหารเคียงน้ำ
         หลังจากอิ่มท้องออกเดินทางผ่านทรัพย์ไพรวัลย์ เป็นตลาดใหญ่มากๆ แห่งหนึ่งบนเส้นทางสายนี้  ผู้ที่มีเป้าหมายที่ภูสอยดาว หรือ ภูหินร่องกล้า ควรแวะหาเสบียงและเครื่องใช้ที่ตลาดแห่งนี้  ออกจากนี้ไปประมาณ 12 กม. ก็ถึงทางแยกบ้านแยง เพื่อแยกซ้ายเข้า อ.นครไทย  ไปภูสอยดาว หรือ ภูหินร่องกล้า  แต่เราไม่แวะ ตรงไปเรื่อยๆ จะผ่านบ้านเข็กใหญ่-บ้านเข็กกลาง-บ้านเข็กน้อย  เป็นหมู่บ้านชาวไทยเผ่าม้ง  โดยเฉพาะบ้านเข็กน้อย  ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ เป็นชุมชนชาวไทยม้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย  ผู้ที่ชอบท่องเที่ยวแบบวิถีชีวิตที่นี่มีโฮมสเตย์ให้พักด้วย 
          ออกจากบ้านเข็กน้อยไปประมาณ 5 กม.  มีจุดพักรถที่โด่งดังบนเส้นทางสายนี้ คือ Route 12  ซึ่งได้รับการจัดแต่งให้มีกลิ่นอายของอเมริกันตะวันตกย้อนยุค  เหมือนจุดพักรถของคนเดินทางข้ามทะเลทรายเนวาดา อะไรประมาณนั้น
บรรยากาศหน้าจุดพักรถ  ภายในเป็นร้านกาแฟ
         
Khao Kho Route 12
รถคันนี้มาจากเนวาดา หรือว่า  สิงคโปอา....???
          รถมาจากไหนก็ช่างเหอะนะ  เข้าไปดูข้างในสักหน่อยซิ
 
         บรรยากกาศภายในรถ  เป็นอย่างนี้นี่เอง... เป็นจุดที่ให้นักท่องเที่ยวเขียนอะไรก็ได้ลงบนป้ายที่จัดไว้ให้แล้วนำไปผูกติดกับตัวรถครับ
          นี่คือ ลักษณะของป้ายที่ว่านั้น  จ่ายเงิน 50 บาท ก็นำมาเขียนอะไรก็ได้ลงไป  แล้วนำไปผูกติดกับตัวรถ
          ผูกไปทั่วครับ พวงมาลัย เบาะที่นั่งคนขับ  ราวมือจับ  ตรงไปมัดได้ผูกได้  ก็ผูกกันไป ไม่ว่ากัน  น่ารักดีครับ  ยิ่งหนุ่มสาวเหมาะเจาะทีเดียว  ส่วนเฒ่าๆ แล้วก็ผ่านๆ ไปก่อนเน๊อะ
 
          ใกล้ๆ รถนักเรียนนั่นก็มีหัวจ่ายน้ำมันแบบโบราณ ยืนโด่เด่คล้ายๆ คน  คนคิดสมัยนั้นคงนึกอะไรไม่ออกเลยเอารูปร่างของสาวใส่กระโปรงกรอมเท้านี่แหละวะเป็นต้นแบบ   คนยุคใหม่หลายคนเกิดไม่ทันก็มี 
          หน้าร้านก็มีรถถีบเก่าๆ  กับ มอเตอร์ไซต์แก่ๆ จอดทักทายอยู่  คันนี้เป็นรุ่นแรกของฮอนด้าเข้ามาทำตลาดในไทยครับ  เป็นรุ่นตะเกียบหน้าแบน+คานกระดก ซ่อนโช๊คในตะเกียบนั่นแหละครับ เครื่องมี 125 ซีซี กับ 150 ซีซี  2 ท่อ ใครได้ครอบครองถือว่าไฮโซน้องๆ ไทรอัมพ์เชียวแหละ  สำรับผู้หญิงก็มีขนาด 50 ซีซี  ตะเกียบหน้าออกแบบเหมือนกันเป็นคานกระดก (ก่อนมาเป็นโช๊คอัพยาวเช่นปัจจุบัน)  ขนาด 50 ซีซี เรียกรุ่นว่า "ซูเปอร์คัพ"  และ มีรุ่นกลางเป็นรถสำหรับผู้ชายขนาด 90 ซีซี  หนุ่มไหนมีครอบครอง ยิ่งในชนบทดีกว่าคล้องขุนแผนนะจะบอกให้...  
  
          ในบริเวณเดียวกันมีร้านขายของที่ระลึกเก๋ไก๋จุกๆ จิกๆ
           ด้านหลังร้านเป็นระเบียงตกแต่งเป็นที่นั่งกินกาแฟ  พักผ่อน  มองทิวทัศน์ทะเลภูสุดสายตา
        ภาพทิวทัศน์มองจากระเบียงนั่งกินกาแฟ  ส่วนที่เห็นข้างล่างนั่นสามารถลงไปเดินเล่นได้  จัดตกแต่งไว้สวยงามมาก  แต่วันนี้เวลาบ่ายแก่ๆ ของหน้าร้อน  เดินไม่ไหวจริงๆ  เดี๋ยวเป็นลมแดด  เป็นภาระผู้อื่นเสียเปล่าๆ
   ทิวทัศน์อีกมุมครับ
          มีอะไรน่ารักๆ อีกหลายมุมครับ แต่เอาไว้แค่นี้ก่อนเกรงใจเจ๊ทิพเค้า... หุหุ 
ออกจาก Route 12 ไปดีก่า   ออกมาได้  500 เมตร เอ้า....  หยุดๆๆ ซ้ายมือมีจุดน่าสนใจอีกจุดครับ  เป็นจุดพักรถใหม่กำลังสร้าง  แวะเยี่ยมซักหน่อยซิ
.....  แว๊บ  แว๊บ  เข้าไปเลย
       จุดพักรถแห่งนี้ชื่อ  "DREAM"  ครับ  จำหน่ายกาแฟ เครื่องดื่มและอาหารว่าง  และกำลังก่อสร้างส่วนที่จำหน่ายอาหารและของที่ระลึกทางด้านขวามือของอาคารนี้ครับ  ได้คุยกับเจ้าของอัธยาศัยดีมากๆ  คาดว่าอีก  1 ปี น่าจะเรียบร้อยตามโครงการ  ที่นี่ก็คล้ายๆ Route 12 คือ  มีบริเวณพักผ่อนเดินเล่นด้านล่างด้วยเช่นกัน 
.
   
       กอเอื้องผึ้งช่อสมบูรณ์มากรอต้อนรับอยู่หน้าร้าน
ทะเลภูเขามองจากหลังร้านดรีม
          อีกมุมหนึ่งของทะเลภูเขาหลัง "ดรีม"  ที่เห็นเป็นแนวยาวๆ เป็นระเบียบนั่น คือ สวนยางพาราใหม่  อีก 4-5 ปี ก็จะเห็นแนวป่าเป็นแถวๆ  เหมือนแถบภาคตะวันออกและภาคใต้  มุมมองคงเปลี่ยนไปอีกรูปแบบหนึ่ง  
          พอแค่นี้ก่อนครับ  ยาวเกินไปแล้ว  ไว้ต่อตอน 2  ดีกว่า  เกรงใจเจ๊ทิพเค้า



Create Date : 02 เมษายน 2556
Last Update : 3 เมษายน 2556 10:47:06 น.
Counter : 1846 Pageviews.

3 comment

คนเมืองสาย
Location :
อุตรดิตถ์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]