อัพเดตเทรนด์อินเตอร์ และสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่นที่ปรับใช้ได้จริงกับคุณแม่คนไทย ที่นี่ค้า ^^

✿คุณแม่ชวนอ่าน✿ ✿คุณแม่ชวนชิม✿ ✿คุณแม่ D.I.Y✿ ✿คุณแม่เล่าเรื่อง✿ ✿คุณแม่บอกต่อ✿

✿✿ อาหารเจ้าตัวเล็ก อายุ 0 - 12 เดือน ใน 1 วัน ✿✿



สวัสดีจ้า....

วันนี้เทรนดี้เอาข้อมูลดีๆ มาบอกต่อเหมือนเคย
สำหรับว่าที่คุณแม่และคุณแม่ลูกอ่อนละกันนะจ้ะ ^^



ข้อมูล : จากคำแนะนำของอนุกรรมการวิชาการโภชนาการ ในคณะกรรมการโภชนาการแห่งชาติ







มาดูกันเลยยย


แรกเกิดถึงครบ 4 เดือน (120 วัน)


กินนมแม่อย่างเดียว ไม่ต้องให้อาหารอื่น



อายุครบ 4 เดือนขึ้นไป


กินนมแม่
ข้าวบดไข่แดงต้มสุกผสมน้ำแกงจืดวันละ 1 ครั้ง
แล้วกินนมแม่ตามจนอิ่ม



อายุครบ 5 เดือน



กินนมแม่
เพิ่มข้าวบดเนื้อปลาสุกสลับกับไข่แดงต้มสุก
ผสมน้ำแกงจืด วันละ 1 ครั้ง
แล้วกินนมแม่ตามจนอิ่ม



อายุครบ 6 เดือน



กินนมแม่
ข้าวบดเนื้อปลาสุก หรือไข่แดงต้มสุกผสมน้ำแกงจืด
โดยเพิ่มผักสุกบดด้วยทุกครั้ง
เป็นอาหารแทนนมแม่ 1 มื้อ
มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ



อายุครบ 7 เดือน



กินนมแม่
เพิ่มเนื้อสัตว์สุกบดชนิดอื่น เช่น ไก่ หมู และตับสัตว์สุกบด
หรือทั้งไข่แดงและไข่ขาวต้มสุกบดลงในข้าว
และผักบดสลับกับอาหารที่เคยให้
เมื่ออายุครบ 6 เดือน มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ



อายุครบ 8 - 9 เดือน



กินนมแม่
กินอาหารเช่นเดียวกับเมื่ออายุครบ 7 เดือน
แต่บดหยาบและเพิ่มปริมาณมากขึ้น
เป็นอาหารหลักแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ
มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ



อายุครบ 10 - 12 เดือน


กินนมแม่
กินอาหารเช่นเดียวกับเมื่ออายุครบ 8 - 9 เดือน
แต่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้น
เป็นอาหารหลักแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ
มีผลไม้เป็นอาหารว่าง 1 มื้อ






หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะจ้ะ

เจอกันบล็อกหน้าน้า


Trendy Mommy Club



::::::::::

กลับไปหน้าแรก




 

Create Date : 12 มกราคม 2554    
Last Update : 18 เมษายน 2554 14:12:13 น.
Counter : 527 Pageviews.  

✿✿ หวานแบบไหน เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ ✿✿



อ้างอิง บทความ หวานแบบไหน เหมาะกับแม่ท้อง
Mother & Care / September (update by k.nuch)



สำหรับอาหารหวานๆ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
อาจต้องระวังกันสักหน่อย ตามเทรนดี้มาดูกันดีกว่าค่ะ
ว่าหวานแบบไหนให้สุขภาพคุณแม่ดีที่สุดนะคะ






ขณะที่ตั้งครรภ์






ว่าที่คุณแม่อาจจะเกิดภาวะเบาหวานแทรกซ้อนได้ง่าย
และยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษถ้าคนในครอบครัว
มีคนที่เป็นเบาหวานด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องระมัดระวังเรื่องความหวาน
ให้มากๆ ด้วยเช่นกัน

เพราะถ้าตามใจปากมากเกินไป จะทำให้น้ำหนักตัวเกินพิกัด
มีผลต่อการคลอดได้ค่ะ

(ตามมาด้วยรูปร่างหลังคลอดที่จะลดลงยากเป็นเงาตามตัว แอ๊ยย --')

ดังนั้นคุณหมอจึงแนะนำให้คุณแม่ท้องควบคุม
การกินอาหารหวานให้อยู่ในขอบข่ายที่พอดี

นั่นคือ.....

--- ไม่กินตามใจปาก
--- ลดอาหารหวานให้มากที่สุด
--- และใช้วิธีควบคุมการกินน้ำตาลหรือของหวาน






ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้


✿ ดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่ใส่น้ำตาล แทนน้ำอัดลม

✿ ลดน้ำตาลในการปรุงอาหารครึ่งหนึ่งจากที่เคยชิน

✿ กินผลไม้สด และผักให้มากๆ
จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลอย่างเพียงพอ





✿ หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปต่างๆ หรือถ้าจำเป็น
ควรดูฉลากที่ระบุสารอาหารว่ามีน้ำตาลมากน้อยเพียงไร

✿ บ้วนปาก หรือแปรงฟันหลังมื้ออาหาร
หรือหลังจากกินอาหารหวานๆ แล้วควรใช้
ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งเพื่อไม่ให้มี
เศษอาหารตกค้างตามร่องฟัน

✿ หากต้องใช้น้ำตาล ควรเลือกน้ำตาลทรายแดง
หรือน้ำตาลสีรำ แทนน้ำตาลทรายขาว





✿ ไม่ควรกินน้ำตาลทรายเกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน
(ในคนที่ร่างกายปกติสมบูรณ์)

✿ โดยปกติที่เรากินข้าว ผัก ผลไม้
ก็จะได้รับน้ำตาลเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว






เรารับรสหวานได้อย่างไร





เนื่องจากบนลิ้น
มีต่อมรับรสหวานมากกว่ารสชาติอื่นๆ

ดังนั้นถ้าเรากินอาหารรสหวานบ่อยๆ
ก็จะติดรสชาติหวาน โดยเฉพาะการกินน้ำตาล
ที่เราใส่เพิ่มเติมให้อาหารต่างๆ

ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆ ที่อาหารจากธรรมชาติ
ก็มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ อยู่แล้ว

เช่น.............

✿ คาร์โบไฮเดรต
เมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส

✿ ผลไม้เกือบทุกชนิด
มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

✿ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น
น้ำสลัด นม โยเกิร์ต ขนมเค้ก





หรือแม้แต่ซอสปรุงรสก็มี
น้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่แล้วนะจ้ะ







เพราะฉะนั้นว่าที่คุณแม่ในอนาคต
ต้องดูแลตัวเองมากๆ
เพื่อสุขภาพของตัวคุณแม่และลูกน้อยด้วยนะจ้ะ



ขอบคุณรูปจาก google search ด้วยค้า



Trendy mommy club



::::::::::

กลับไปหน้าแรก





 

Create Date : 22 ตุลาคม 2553    
Last Update : 12 มกราคม 2554 17:05:26 น.
Counter : 1533 Pageviews.  

✿✿ อุ้มลูกท่าไหน สบายดีจัง ✿✿


คุณแม่มือใหม่หลายท่าน
คงกังวลเรื่องการอุ้มลูกอยู่ไม่น้อย

วันนี้เทรนดี้นำบทความน่ารู้
เกี่ยวกับการอุ้มลูกมาแบ่งปันนะคะ






การ ใส่ใจในท่าทางทั้งของคุณแม่และลูกน้อย
ไม่ว่าจะท่าให้นมลูก หรือท่าอุ้มลูก

จะช่วยให้ลูกกินนมได้อิ่มท้อง
และอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่อย่างสบาย
และปลอดภัยค่ะ






มาดูกันท่าอุ้มเจ้าตัวเล็กกันนะคะ

ท่าอุ้ม สบาย ท่าอุ้มให้นม แบบลูกฟุตบอล





คุณแม่ที่ผ่าคลอดหลายๆ ท่าน
มักพบปัญหาเรื่องลูกกินนมไม่อิ่มหรือกินไม่พอ
และเจ็บแผลผ่าคลอด เพราะให้นมลูกผิดท่า

การให้นมลูกในท่าอุ้มให้นมแบบลูกฟุตบอล
จึงเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ผ่าคลอด
เพื่อไม่ให้ลูกนอนทับแผลแม่
หรือคุณแม่ที่มีลูกแฝดเพื่อให้ลูกดูดนมได้พร้อมกัน


วิธีอุ้ม
อุ้มลูกนอนตะแคงไว้ด้านข้างลำตัวของคุณแม่
ให้ปลายเท้าลูกชี้ไปด้านหลัง
ใช้หมอนรองแขนไว้

โดยให้แขนและมือประคองลำตัวและศีรษะเด็ก
คุณแม่ใช้มือข้างเดียวกับเต้านมที่ลูกดูดจับ
และพยุงบริเวณท้ายทอยลูก

ส่วนแขนโอบกอดลูกให้กระชับเข้าหาตัวแม่
ให้จมูกลูกอยู่ในระดับเดียวกับหัวนม
ค่อยๆ ประคองให้หัวนมตรงกับปากลูก
ระวังอย่าใช้แรงมากเพราะลูกจะต้านได้ค่ะ






ท่าอุ้ม เมื่อลูกร้องไห้





ขั้นแรกคุณแม่จะต้องทราบก่อนว่า
ลูกร้องเพราะสาเหตุอะไร เช่น ลูกหิว ลูกปวดท้องหรืออารมณ์ไม่ดี
ซึ่งการอุ้มที่ถูกวิธีจะช่วยให้ลูกหยุดร้องไห้ได้


วิธีอุ้ม
อุ้มลูกให้มองเข้าหาคุณแม่และอยู่ในอ้อมกอด
จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น

แต่ถ้าไม่หยุดร้องไห้ คุณแม่อาจเปลี่ยนท่าอุ้ม
เพื่อให้ลูกรู้สึกสบายตัว

โดยการอุ้มลูกพาดไหล่แล้วพาลูกเดินไปมา
พร้อมกับใช้มือลูบหลังปลอบลูก

ทั้งนี้คุณแม่ต้องระวังอย่าอุ้มเปลี่ยนท่าโดยเร็ว
หรือเปลี่ยนท่าบ่อยหลังลูกดูดนมเสร็จใหม่ๆ
เพราะจะทำให้ลูกสำรอกหรืออาเจียนได้






ท่าอุ้มลูกให้นอนหงายและนอนคว่ำ





คุณพ่อมักชอบเล่นโลดโผนกับลูก
เช่น การเล่นโยน-รับลูก (กลางอากาศ)
การทำแบบนี้อาจไม่ปลอดภัย
เพราะหากพลาดพลั้งลูกอาจตกลงมา
และได้รับบาดเจ็บได้ง่าย

ควรให้มีกล้ามเนื้อคอและหลังแข็งแรงดีก่อน
จึงเล่นกับลูกได้ (ด้วยความระมัดระวัง)
แต่ยังมีการเล่นกับลูกง่ายๆ ด้วยการอุ้ม


วิธีอุ้ม


อุ้มลูกให้นอนหงายในอุ้งมือ
โดยการใช้มือข้างหนึ่งประคองหนุนคอของลูกไว้อย่างแข็งขัน
ใช้มือและแขนอีกข้างประคองบริเวณลำตัวตั้งแต่ส่วนหลังลงไป
แล้วจับตัวลูกไกวไปมา

อุ้มลูกในลักษณะนอนคว่ำ
โดยใช้มือข้างหนึ่งประคองบริเวณหน้าอกของลูกไว้
แล้วใช้มือและแขนอีกข้างสอดใต้ขาของลูก
ประคองตัวลูกตั้งแต่ช่วง หน้าท้องลงมา
ท่านี้จะช่วยลดแก๊สในกระเพาะอาหารของลูกได้






เพียงเท่านี้ก็
ทำให้ลูกเพลิดเพลินได้แล้ว

ทั้งนี้คุณแม่อย่าอุ้มลูกโดยใช้มือและแขนเพียงข้างเดียวเด็ดขาด
เพราะหากลูกดิ้นแรงอาจทำให้ลูกหลุดจากมือ
และได้รับอันตรายได้ง่ายค่ะ


ขอบคุณที่มา: เว็บไซต์ sanook.com ด้วยนะคะ


::::::::::

กลับไปหน้าแรก








 

Create Date : 18 ตุลาคม 2553    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2553 19:32:27 น.
Counter : 3019 Pageviews.  

✿✿ 2 เทคนิคสร้างสุขสไตล์ญี่ปุ่น..สื่อสารพ่อ-แม่-ลูกในครรภ์ ✿✿



วันนี้อัพสองบล็อกเลย ^^


เจอบทความดีๆ จาก
//www.manager.co.th


เลยเอามาแบ่งปันค้า เนื้อหาค่อนข้างเยอะ

เทรนดี้ขออนุญาต สรุปให้นะคะ





บทความ โดย อาจารย์อากิโกะ ซากาโมโต


คุณแม่เคยสงสัยไหมคะ ว่าการสื่อสารกับลูกในครรภ์
ควรจะเริ่มเมื่อใดจึงจะเหมาะสม เราก็สงสัยค่ะ ...


เช่น ต้องรอให้อวัยวะเช่นหู พัฒนาก่อนหรือเปล่า
หรือควรมีอายุครรภ์เท่าใดลูกจึงจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่แม่พูด

มาดูว่า อาจารย์อากิโกะ ซากาโมโต

ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันชิจิดะ (Shichida Educational Institute)
ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวในกิจกรรม Prenatal Workshop
ซึ่งจัดที่สถาบันชิจิดะ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ว่าอย่างไรบ้าง






"ในญี่ปุ่น เรามีการศึกษาพบว่า
การสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับลูกในครรภ์
เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจ

มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่

1 การให้ความรักแก่ลูก

2 การสื่อสารระหว่างพ่อแม่ลูก

และ 3 คำพูดอ่อนโยนที่พ่อแม่ได้พูดกับลูกนั่นเอง

ซึ่งพ่อแม่สามารถสื่อสารกับลูกได้ตั้งแต่วันทราบว่าตั้งครรภ์

แม้ว่าทารกในครรภ์จะยังไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจนก็ตาม...ว้าว :)


"การที่ลูกได้ยินเสียงของพ่อหรือแม่กำลังสื่อสารกับเขา
ทำให้ลูกตื่นเต้น รอวันที่เขาจะเกิดออกมาได้พบหน้าพ่อแม่

ดังนั้นจึงควรพูดกับลูกให้เป็นกิจวัตร

หรือถ้าไม่ทราบว่าจะพูดอะไรกับลูกก็อาจบอกเขาว่า
ขอบคุณนะที่มาเกิดเป็นลูกแม่ก็ได้ค่ะ" อาจารย์ซากาโมโต้แนะนำ






นอกจากนี้ อาจารย์ซากาโมโต ยังได้ยกตัวอย่างการสื่อสารแบบง่าย ๆ
มาด้วย 2 วิธี


หนึ่งได้แก่ การสื่อสารโดยการสัมผัส (Touching)

ซึ่งสามารถใช้นิ้วชี้ กลาง นาง สามนิ้ว
(ทำมือเหมือนลูกเสือ)
กดลงไปที่ครรภ์ในจุดที่ลูกในท้องขยับนานประมาณ 1 นาที
พร้อม ๆ กับบอกลูกว่า "สวัสดีค่ะ"

และหากลูกโต้ตอบกลับมาด้วยการเตะหน้าท้องคุณแม่
ก็ให้ตอบกลับลูกไปว่า
"ขอบคุณนะคะที่ตอบกลับแม่"

หรือจะชมว่า "ลูกเก่งจังเลย" ก็ได้
จะทำให้ทารกรู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่า แม่ของเขาก็โต้ตอบกลับมาเช่นกัน


อย่างไรก็ดี ในครั้งแรก ๆ ของการสัมผัสหากลูกไม่โต้ตอบกลับ
อาจเป็นเพราะลูกอาจกลัว ไม่คุ้นเคย หรือการสัมผัสนั้นเบาไป

จึงอยากให้กำลังใจคุณแม่หมั่นทำบ่อย ๆ
อาจจะ 2 - 3 ครั้งต่อวัน
เพื่อให้เด็กมีความคุ้นเคยกับสัมผัสของแม่มากขึ้น










สำหรับวิธีที่สองก็คือการฝึก "Image Training"

ซึ่งในจุดนี้ อาจารย์ซากาโมโต้ได้กล่าวว่า

สมองของเด็กในครรภ์จะมีการทำงานด้วยสมองซีกขวามากกว่า
ขณะที่สมองของคุณแม่จะทำงานด้วยซีกซ้ายเป็นหลัก
การฝึกแบบนี้จะทำให้คุณแม่คุณลูกสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น

โดยคุณแม่คุณพ่อควรอยู่ในอิริยาบถที่ผ่อนคลาย
หลับตาลง อาจเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ ประกอบ

เริ่มจากการหายใจเข้าทางจมูก
และเป่าลมหายใจออกทางปาก
จนรู้สึกว่าสงบ ผ่อนคลาย


จากนั้น ก็ให้เริ่มจินตนาการว่า
บนศีรษะของคุณแม่มีลูกบอลสีทองเหลืองอร่ามวางอยู่

ลูกบอลนั้นกำลังจะลงไปในศีรษะ
และเปลี่ยนให้ศีรษะกลายเป็นสีทองสว่าง

จากนั้น แสงสว่างก็กลายเป็นแสงสีขาว
ค่อย ๆ เคลื่อนที่ผ่านร่างกายของคุณแม่ลงไปถึงลูกในท้อง

โดยให้จินตนาการว่า พลังนี้ได้ไปโอบล้อมลูกเอาไว้
และส่งไปถึงร่างกายของลูกให้แข็งแรง

และความเจ็บปวดต่าง ๆ ของแม่ที่มีก็จะหายไปหมดสิ้น


เมื่อทำเสร็จจะพบว่าศีรษะ ร่างกาย และจิตใจจะรู้สึกปลอดโปร่ง
จากนั้นจึงค่อย ๆ เปิดตาขึ้นอีกครั้ง


สองเทคนิคการสื่อสารนี้ถือเป็นกิจกรรมง่าย ๆ
ที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกในครรภ์ได้มากขึ้น






เทคนิคดีๆ แบบนี้เทรนดี้ต้องบอกต่อค่ะ

คุณแม่คนไทยสามารถปรับมาใช้ได้
และคุณพ่อต้องแทคทีมช่วยด้วยนะคะ


Trendy Mommy Club



::::::::::

กลับไปหน้าแรก






 

Create Date : 15 สิงหาคม 2553    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2553 19:33:24 น.
Counter : 588 Pageviews.  

✿✿ 365 วัน กับ 13 วิธี เสริมลูกแฮปปี้ขวบปีแรก ✿✿



โอไฮโย สวัสดีค้า





เปิดบล็อคแรกวันนี้..

เทรนดี้ มัมมี่ หยิบเอาคอลัมภ์ดีๆ จากหนังสือ Mother & Care

ฉบับล่าสุด กรกฎาคม 2553 มาฝากคุณแม่กันค่ะ








ชื่อคอลัมภ์น่ารักๆ >> 365 วัน กับ 13 วิธี เสริมลูกแฮปปี้ขวบปีแรก







ทั้ง 13 วิธีที่หนังสือแนะนำ
เป็นวิธีที่ทั้งคุณแม่และคุณพ่อทำได้ง่ายๆ
เพื่อเจ้าตัวเล็กทั้งนั้นเลยล่ะ

เทรนดี้ ย่อมาให้แล้ว ........ ไปดูกันเลยจ้า


...................



1 LOVE -- Happy Day เพราะความรัก


หมั่นแสดงความรักและให้ความอบอุ่นกับลูก
ไม่ว่าการสัมผัส โอบกอด หรือพูดบอกรัก



ข้อนี้เราว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยล่ะ....เพราะเจ้าตัวน้อย
จะซึบซับความรู้สึกเหล่านี้ได้ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้เลย

นอกจากจะเป็นรากฐานครอบครัวที่ดีแล้ว
ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของลูกกับการเข้าสังคมกับผู้อื่น
ได้ในอนาคตด้วยนะ








2 PLAY – Happy Day เพราะการเล่น


ของเล่นชิ้นแรกที่สำคัญ คือ พ่อแม่


เป็นจริงอย่างที่สุดเลย
สังเกตุได้จากเจ้าตัวน้อยที่จะหัวเราะเอิ้กอ้ากได้ทุกครั้ง
แค่คุณแม่คุยกะเค้า หรือแค่เล่นปิดตาจ้ะเอ๋

เพราะดวงตาที่เคลื่อนไหว ปากที่ขยับ เสียงที่เค้าคุ้น
จะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่าของเล่นชิ้นไหนๆ เลยนะจ้ะ




3 MUSIC – Happy Day เพราะเสียงดนตรี


ให้ลูกฟังเพลงสบายๆ ช่วยให้ลูกผ่อนคลาย และอารมณ์ดี


เราเชื่อว่าคุณแม่ไม่น้อยที่เปิดเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง

แม้ตอนเค้าคลอดออกมาเพลงก็ยังสำคัญ
ที่จะช่วยให้เค้าปรับอารมณ์เรียนรู้ที่จะตอบสนอง และอารมณ์ดี

ลองอุ้มเค้าแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงเบาๆ
รับรองจะได้เห็นรอยยิ้มจากเค้าไม่หยุดเลยล่ะ







4 MASSAGE – Happy Day – เพราะการนวด


การนวดช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขให้ลูก


ใครจะรู้ว่าเจ้าตัวน้อยก็ชอบนวดเหมือนผู้ใหญ่เหมือนกันน้า
......... นอกจากจะทำให้เค้าสบายตัวและผ่อนคลายแล้ว

การนวดเบาๆไปทุกส่วนของลูกก็ยังเป็นการสัมผัสรักให้เค้ารู้สึกอบอุ่นอีกด้วย
ว้าว....ประโยชน์หลายต่อจริงๆ เลย






NOTE : เวลาที่ในหนังสือแนะนำ คือ
ช่วงหลังมื้อนม หลังอาบน้ำ ตอนกลางวันเมื่อลูกนอนอิ่มนะจ้ะ



5 TALE – Happy Day เพราะนิทาน


นิทานสร้างจินตนาการและความอบอุ่น


ลูกสามารถสร้างจินตนาการ
จากเสียงสูงต่ำที่คุณแม่เล่าได้แน่นอน

แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือความอบอุ่นที่พ่อแม่ลูก
( คุณพ่อควรมาแจมด้วยนะคะ )

ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
และเป็นเวลาของครอบครัวก่อนเค้าหลับ
ทำให้เค้ามีความสุขได้มากที่สุดในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น












6 TOYS – Happy Day เพราะของเล่น


เลือกของเล่นตามวัยของลูก


เทรนดี้เชื่อว่าข้อนี้คุณแม่ต้องคำนึงถึงอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญที่ควรคำนึงถึงไม่แพ้กันคือ
ความปลอดภัยของของเล่นชิ้นนั้นค่ะ
ทั้งสีสันที่ใช้ สารเคลือบสี เหลี่ยมมุม
ร่องรูต่างๆ ควรให้ความสำคัญอย่างมากนะจ้ะ




7 HUG – Happy Day เพราะการกอด

กอดลูกด้วยความรู้สึกจากใจที่อยากกอดจริงๆ


ข้อนี้คุณแม่ขอ กอดลูกมีความสุขจะตาย
ไม่มีใครกอดเพราะหน้าที่หรอกเนอะ

นอกจากลูกมีความสุข แม่ก็ได้รับความรู้สึกนั้นกลับมาอีกล้านเท่า
เว่อร์ไปมั้ยเนี่ย...ไม่น่า คนไม่เคยเป็นแม่ไม่รู้หรอก ^^








8 BREASTFEEDING -- Happy Day – เพราะนมแม่


ช่วงเวลาที่ลูกกินนมแม่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข


เทรนดี้ ขอรณรงค์อีกเสียงกับการให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะนอกจากนมแม่จะเป็นอาหารที่ดีที่สุดแล้ว
การให้นมยังก่อให้เกิดความผูกพันของแม่ลูกตั้งแต่แรกเกิดเลย












9 RESPONSE – Happy Day เพราะตอบสนองลูกถูกต้อง


การตอบสนองขั้นพื้นฐานได้ถูกต้อง ทำให้ลูกรู้สึกดี


คุณแม่แค่ตอบสนองเค้าให้ถูกแค่นั้นเอง
เช่น หิวได้กินนม เปียกก็เปลี่ยนผ้าอ้อม
ร้องไห้มีแม่มาปลอบ ง่วงมีแม่กล่อม
นอกจากจะทำให้เค้ารู้สึกดี ยังทำให้เค้าไว้วางใจ
กับสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้างด้วย








10 QUALITY TIME – Happy Day เพราะเวลาคุณภาพ


ควรใช้เวลาที่เหลือจากงานหลักอยู่กับลูกให้มากที่สุด


คุณแม่ คุณพ่อสมัยใหม่มักมีงานประจำ
จนบางคนอาจต้องให้คนอื่นเลี้ยงลูกแทนเวลาทำงาน

ดังนั้นเวลาที่เหลือจากการทำงานสำคัญมากนะคะ
ใช้เวลานั้นอยู่กับลูกให้มากที่สุด สัมผัส พูดคุย หัวเราะกับเค้า
ในความรู้สึกลูกไม่มีใครทดแทนพ่อแม่ได้หรอกค่ะ





11 ACTIVITIES – Happy Day เพราะกิจกรรม


กิจกรรมที่สนุกของพ่อแม่ ทำให้ลูกมีความสุข


ทุกกิจกรรมที่พ่อแม่ทำร่วมกับเจ้าตัวเล็ก
ล้วนมีผลกับสภาวะจิตใจเค้าทั้งนั้น ในหนังสือแนะนำไว้หลายเกมส์

แต่เทรนดี้ขอเสริมว่าแต่ละครอบครัวคงมีกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน
อยากให้คุณแม่สังเกตุว่าลูกชอบทำอะไร เล่นอะไร
ก็ทำแบบที่เค้าชอบ เป็นการแม่สังเกตุพัฒนาการของลูกด้วยนะ








12 SLEEP – Happy Day เพราะการนอน


ลูกกินอิ่ม นอนหลับ ก็เติบโตเต็มที่นะจ้ะ


การนอนที่อบอุ่น ปลอดภัย กินอิ่ม
และพักผ่อนเพียงพอ จะทำให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ

อย่าลืมว่าเด็กจะเติบโตได้มากที่สุดในเวลานอนหลับนะจ้ะ





13 EXERCISE – Happy Day เพราะออกกำลัง


เด็กออกกำลังกายได้ตั้งแต่เป็นทารก


คุณแม่ควรเสริมให้ลูกได้ออกกำลัง
ฝึกพัฒนาการในการคลาน การเคลื่อนไหว
หรือหาอุปกรณ์ที่ทำให้เค้าได้ออกกำลังแขนขา
แต่ต้องจัดพื้นที่ให้สะอาด ปลอดภัย ด้วยนะจ้ะ







หมดแล้วทั้ง 13 ข้อแนะนำดีๆ

คุณแม่ท่านไหนอยากอ่านเพิ่มเติม
ก็อ่านต่อในแมกกาซีนได้นะจ้ะ



อย่าลืมว่า เวลาที่ลูกมีความสุข
คุณแม่เองก็มีความสุขที่สุดเมื่อกันเนอะ

แล้ววันนี้คุณให้ความสุขกับลูกแล้วรึยังเอ่ย...ย..ย

แชร์ริ่งกันได้นะคะ






TRENDY MOMMY CLUB
** ขอบคุณรูปภาพประกอบน่ารัก ...น่ารัก จาก Google search **


::::::::::

กลับไปหน้าแรก





 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2553 19:33:57 น.
Counter : 889 Pageviews.  

1  2  3  

Trendy Mommy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]
















ShoutMix chat widget

กลับไปหน้าแรก






Link sharing














Hits since 18 July 2010
จำนวนผู้เข้าชมบล็อก

career education degrees

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Trendy Mommy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.