งานวิ่งมาราธอน Eco Slow Marathon Inba ที่ Chiba, Japan
จุดเริ่มต้น...
ผมเริ่มวิ่งมินิมาราธอนครั้งแรกในงานระยองมาราธอนที่บ้านเพเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 56 ในงานนั้นมีคนมาแจกโบรชัวร์งานวิ่งที่ญี่ปุ่น เที่ยวโตเกียว แถมวิ่ง!!! ชมซากุระที่ญี่ปุ่น มองเผิน ๆ เหมือนเป็น โฆษณาของบริษัททัวร์ ซึ่งผมไม่เคยสนใจไปเที่ยวไหนกับทัวร์อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเอกสารนั้น หยิบใส่ถุงเสื้อวิ่งที่ระลึกที่แจกในงาน แล้วก็กลับบ้านไป
หลังจากวิ่งมินิมาราธอนครั้งแรก ก็ติดใจกับเอ็นดอร์ฟินจากงานวิ่ง เริ่มหาตารางงานวิ่งออกตระเวนออกงานวิ่งทุกอาทิตย์ จนมาวันนึงเห็นโบรชัวร์งานวิ่งใบนั้นที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ หยิบขึ้นมาอ่านโดยละเอียดอีกครั้งก็เห็นว่ามันไม่ใช่โฆษณาบริษัททัวร์นี่ แต่เป็นใบประชาสัมพันธ์เชิญชวนมางานวิ่งที่จัดโดย Ecomarathon International เป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไร (Non-Profit Organization)
แนวคิดในการจัดงานเป็นงานวิ่งที่ไม่มีการแข่งขัน ไม่ปลดปล่อยของเสีย (Zero Emission) จุดให้น้ำไม่มีแจกแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง ไม่ขับรถยนต์ส่วนตัวมาร่วมงานวิ่ง มีการวิ่งเก็บขยะ (ทั้งๆ ที่ประเทศนี้หาขยะตามข้างถนนได้ยากมาก) ผู้ร่วมงานสามารถบริจาคเงินได้ตั้งแต่ 5,000 เยนขึ้นไป โดยรายได้ทั้งหมดนำไปมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและซึนามิเมื่อปี 2011 และการจัดงานวิ่งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
รายละเอียดงานวิ่งดูได้ที่นี่ครับ...//ecoinba.blogspot.com/
ผมมีความตั้งใจอยากจะเที่ยวญี่ปุ่นช่วงซากุระมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสซักทีครั้ง บวกกับกำลัง อิน กับการวิ่ง และกำลังถึงวันเกิดของท่าน ผบ. เลยทำเซอร์ไพรส์ด้วยการสมัครงานวิ่งนี้ให้ในวันเกิดพอดี ไปไม่ไปถือว่าได้ช่วยทำบุญวันเกิดก็แล้วกัน ปรากฏว่า ผบ. ยอมไปวิ่งด้วยครับ และก็เลือกลงระยะฟูลมาราธอนด้วย ทั้ง ๆ ที่มีประสบการณ์วิ่งแค่ฟันรัน 1 ครั้ง, มินิ 1 ครั้ง, TNF10K, และซูเปอร์มินิ 17K (งานหลังนั้นเดินเข้าเส้นด้วยเวลา 2.30 ชม ฮิฮิ) ส่วนผมวิ่งฮาล์ฟมาแล้ว 2 ครั้ง
ถาม ผบ. ว่าทำไมถึงลงระยะฟูล เค้าบอกกว่ากลัวไม่ได้เหรียญ ก็เห็นรูปเหรียญข้างหลังเขียนว่า Full Marathon Finisher นี่ (มารู้ทีหลังว่าวิ่งระยะไหนก็ได้เหรียญเหมือนกัน...อ้าว) แต่ก็อยากจะ เดิน เที่ยวชมซากุระกับทุ่งทิวลิปด้วย ในเมื่อเค้ามีเวลาให้ตั้ง 9 ชั่วโมง ใช้เวลาวิ่ง ๆ เดิน ๆ ถ่ายรูป เที่ยวชมบ้านเมืองเค้าน่าสนุกดีออก ดีกว่าไปเที่ยวช้อปปิ้งตามห้างแล้วเสียเงิน เออ...จริงของท่าน ผบ.
วันลงทะเบียน 12 เม.ย. 57
ผมมาถึงโตเกียวตั้งแต่วันเช้าศุกร์ที่ 11 เม.ย. แล้ว แต่งานลงทะเบียนรับหมายเลขวิ่งเริ่มวันเสาร์บ่ายโมงที่โรงแรม Mark-1 CNT ที่สถานี Chiba New Town นั่งรถไฟจากโตเกียวไปประมาณ 1 ชม. ทางผู้จัดเตรียมกิจกรรมไว้ตลอดทั้งวัน คือเช้ามีไปชมไร่สตรอเบอรี่กับเที่ยววัดนาริตะ บ่ายมีกิจกรรมที่โรงแรม สวมชุดกิโมโน, ชงชา, ทำขนมญี่ปุ่น แต่ละอย่างเหมาะกับสาว ๆ ทั้งนั้น ท่าน ผบ. ดี๊ด๊ามาก กำชับว่าถึงจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมช่วงเช้า แต่ต้องมาให้ทันใส่กิโมโนให้ได้ และมีคาร์บโหลดปาร์ตี้ด้วยการตำแป้งโมจิ อันนี้หนุ่ม ๆ ค่อยมีส่วนร่วมหน่อย ส่วนผมร่วมกินอย่างเดียวไม่ได้ออกแรงตำกับเค้าหร้อก ฆ้อนตำใหญ่ขนาดนั้น ฮา...
งานวิ่งนี้เป็นงานวิ่งเล็ก ๆ มีคนลงทะเบียนวิ่งทั้งหมด 190 คน มาจาก 22 ประเทศ จาก 5 ทวีปทั่วโลก มียอดบริจาครวมทั้งหมด 2,071,9784 เยน มีนักวิ่งต่างชาติที่เข้าร่วมมากที่สุดคือจากสิงค์โปร์ 47 คน มีนักวิ่งไทย 4 คน (ผมไม่ได้เจอนักวิ่งชาวไทยอีก 2 คนในงานปาร์ตี้ และลงวิ่งกันคนละระยะในวันวิ่ง)
วันงาน 13 เม.ย. 57
งานวิ่งนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นแบบ Slow ดังนั้นการปล่อยตัวนักวิ่งหน้าเส้นจัดแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของนักวิ่งว่าจะต้องการช้าแค่ไหนเพื่อเข้าเส้นชัยให้ทันเวลา 14.00 น. แต่ห้ามใช้เวลา ต่ำกว่า 5 ชม. สำหรับระยะฟูลมาราธอน เพราะว่าเส้นชัยจะเปิดเวลา 12.00-14.00 น.
สำหรับผมมาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องการดื่มด่ำกับการเดินเที่ยวชมบ้านเมืองเค้าให้มากที่สุด เลยเลือกปล่อยตัวรอบแรกตอนตี 5 เลยต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 3 เก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอาท์ ทางโรงแรมจัดรถไปส่งที่จุดสตาร์ออกตอนตี 4 ตรง ผมลงมาจากห้องเช็คเอาท์เสร็จทันรถออกพอดี ออกตรงเวลามาก เลยไม่มีเวลาไปถามว่ามีกล่องอาหารอะไรให้ติดตัวไปหรือเปล่า สรุปว่าเช้านี้ยังไม่ได้กินอะไร มีขนมปังก้อนเดียวติดกระเป๋าไว้เป็นเสบียง ในรถอัดแน่นไปด้วยนักวิ่งจากสิงค์โปร์เกือบทั้งหมด
มาถึงจุดสตาร์ตที่สวนสาธารณะหน้าสถานีรถไฟ Inba Nihon-idai ตอนตี 4.30 อุณหภูมิประมาณ 6 องศา ผมไม่มีเสื้อกันลม Wind cut บางเบา เพราะวิ่งเมืองไทยร้อนๆ ไม่เคยแม้แต่คิดจะหยิบมันมาดู มีแค่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่โคร่ง ใส่แล้วดูเหมือนตู้เย็นเคลื่อนที่ ถึงจะเทอะทะไม่น้อยแต่มันช่วยกันหนาวได้ดี ฟ้าเริ่มสาง พิธีปล่อยตัวเป็นไปอย่างเรียบง่าย ผู้จัดกล่าวขอบคุณเหล่า ฮีโร่ ที่มาร่วมงานวิ่งในครั้งนี้ เค้าให้เกียรติเรียกผู้ร่วมงานนี้ว่าฮีโร่ เพราะถือว่ามาช่วยเหลืองานการกุศลของประเทศเค้า
ช่วง 6 กม. แรก เป็นการวิ่งผ่านหมู่บ้านย่านที่พักอาศัย แอบมีวิ่งเทรลเล็กน้อยประมาณ 1 กม. เป็นกรวดหินช่วงรอยต่อของหมู่บ้านกับทะเลสาบ Inba-numa ตอนเหนือ เส้นทางวิ่งส่วนใหญ่เป็นทางจักรยานรอบทะเลสาบ ทิวทัศน์สองข้างทางมีต้นซากุระให้ชมตลอด เราเดินไปวิ่งไป เก็บขยะไป ถ่ายรูปเล่นไป ใช้เวลาเฉลี่ย 11 นาที/กม. ดู ๆ แล้วน่าจะวิ่งจบภายใน 8 ชั่วโมงหน่อย ๆ ล่ะน่ะ แต่แล้ว... เค้าจุก...ขอเดินเยอะหน่อยนะ ผบ. เริ่มออกอาการ อ้าว...เช้าก็ไม่ได้กินอะไร มีอะไรเข้าไปจุกได้หว่า...
กม. 11 เป็นจุดกลับตัวฮาล์ฟ และเป็นไฮไลท์แรกของทางวิ่งนี้ คือต้นซากุระยักษ์อายุกว่า 300 ปี ต้องเลี้ยวแยกออกจากเส้นทางวิ่งหลักขึ้นเนินเขาให้พอได้เมื่อย เราใช้เวลาเริงร่าถ่ายรูปกันอยู่ที่นี่นานพอดู จนเหล่านักวิ่งที่ปล่อยตัวเวลาอื่น ๆ เข้ามาสมทบ เดินวิ่งสวนกันไปกันมาดูคับคั่ง เริ่มเห็นนักวิ่งใส่ชุด Cosplay มากขึ้น ดูแล้วมีสีสันน่าสนุกดี
กม. 24 เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทางวิ่งนี้ คือกังหันลมกับเทศกาลทุ่งทิวลิป ตอนขามาอยากจะแวะใจจะขาด แต่อีกใจก็อยากจะให้ถึงจุดกลับตัวมาก่อนค่อยมาเดินเที่ยว พอกลับตัวกลับมาถึงงานเทศกาล และแล้วเราสองคนก็ตกอยู่ในพะวัง เริงร่าสนุกสนานอยู่ในงานเทศกาลอยู่นาน มีนักท่องเที่ยวมาเป็นครอบครัวปิกนิกกันที่ลานหน้ากังหัน บรรยากาศดูน่าอบอุ่น อันนี้ก็น่ากิน อันนู้นก็น่ากิน ทุ่งนี้ดอกสีส้ม ทุ่งนี้ดอกชมพู เดินเล่นถ่ายรูปเลยเถิดไปไกล ตั้งสติได้อีกทีปาเข้าไปเกือบ 11 โมงแล้ว เพื่อนๆ นักวิ่งที่เดินวิ่งด้วยกันมาตลอดทางขามาหายไปไหนกันหมด
เราเริ่มออกวิ่งอีกครั้งไปได้ซักพัก แต่แล้ว... เค้าเจ็บเท้า...เท้าบวม ขอพักหน่อยนะ นั่น...ท่าจะเดินเที่ยวเยอะไปหน่อย งานนี้ถึงแม้จะเป็นแค่การวิ่งช้าหรือเดิน แต่ด้วยระยะเวลาอันเนิ่นนานหลายชั่วโมงแบบนี้ก็ต้องมีออกอาการเป็นธรรมดา ขนาดผมผ่านฮาล์ฟมาแล้วยังเมื่อยเลย ช่วงขากลับต้องผ่านเส้นทางเดิม ตลอดเส้นทางที่เหลือต้องให้ ผบ. หยุดพักทุก ๆ กม. สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือการบาดเจ็บในวันที่พึ่งจะวันที่ 3 ของการเที่ยวญี่ปุ่นทั้ง 9 วันของเรา
เที่ยงครึ่งแล้ว เราพึ่งจะกลับมาถึงสเตชั่นให้น้ำที่ กม. 30 ยังมีอาสาสมัครชุดเหลืองยังคอยให้กำลังใจ น้าหนวด Cycle Marshal ปั่นมาข้างหลังก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าเราเป็นนักวิ่งคนสุดท้าย ผมตั้งแขนขึ้นมาให้ ผบ. เอาจั๊กกะแร้มาวาง เปรียบเสมือนไม้ค้ำประคองเดินกันไป สลับซ้ายสลับขวาทุก กม. เพื่อลดน้ำหนักไม่ให้ลงไปที่เท้ามากนัก
แสงแดดเริ่มจางหายเพราะเมฆบัง ความหนาวเริ่มมาเยือนอีกครั้ง เสียงแอ๊พ Endomondo ที่ตั้งไว้ให้ขานบอกระยะทางทุกกิโล กิโลแล้วกิโลเล่า เดินผ่านสะพานหลากสี เขียว ส้ม ชมพู สะพานแล้วสะพานเล่า ขาแรงเสือหมอบปั่นผ่านไปมาคันแล้วคันเล่า เวลานี้เราไม่หวังอะไรที่จะต้องเข้าเส้นชัยให้ทันเวลาแล้ว ขออย่าให้บาดเจ็บ เรามีความสุขอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็พอแล้ว
กม. 38 เท้าบวมจนรองเท้าที่เคยหลวนกลายเป็นคับจนแทบปริ เจ็บเท้ามากจน ผบ.ต้องนั่งพักยาวอีกรอบ มีรถตู้ของอาสาสมัครขับผ่านมาพอดี ทำให้เราต้องตัดสินใจว่าเราจะหยุดแค่นี้มั้ย เราทนเจ็บมามากพอแล้ว ขอติดรถเค้ากลับไปเลยมั้ย ตอนนี้เลยเวลาคัทออฟมาเป็นชั่วโมงแล้ว รู้สึกเกรงใจคนจัดงานมาก คุณลุงอาสาสมัครโทรไปที่เส้นชัย เค้าบอกว่าพวกเค้ากำลังรอเราอยู่ ไม่ต้องรีบ อีกแค่ 4 โลเอง...อย่างมากก็ชั่วโมงนึง ผบ. เอ่ย เค้ากลัวว่าผมจะวิ่งไม่ครบระยะฟูลมาราธอนไปด้วย เดี๋ยวไม่ได้เหรียญ
ช่วงสุดท้ายก่อนกลับเข้าย่านบ้านที่อยู่อาศัยต้องผ่านทางเทรลพื้นกรวดเส้นเดิม พยุงกันเดินเป๋ไปเป๋มา น้ำตาผมไหลเอ่อไม่รู้ตัว น้ำมูกไหลฟืดฟาด รู้สึกผิดว่าไม่น่าพาเค้ามาลำบากเลย แอบเนียนว่ามันไหลเพราะอากาศมันหนาวไม่ให้ ผบ. เห็น ปลายทางเทรลตัดกับถนนใหญ่มีคุณลุงอาสาสมัครยืนโบกกันรถให้ ไอ แอม เวอรี่ พราวด์ ออฟ ยู แกพยายามพูดเป็นภาษาอังกฤษแบบตะขุตะขัก เล่นเอาน้ำตาจะไหลอีกรอบ
เราฮึดเดินเร็วขึ้นและพักน้อยลงเพราะรู้สึกเรงใจคนที่รอเราอยู่ จากเพซ 15-20 กลับมาเป็นเพซ 11 (นี่เร็วสุดแล้วนะนี่) คุณลุงอาสาสมัครได้กลับบ้านซักที แกเดินตามเราอยู่ข้างหลังห่างๆ ก่อนจะแยกกลับบ้านไป ณ เวลา 16.04 น. ที่เส้นชัยไม่มีเสียงกลองคึกคัก หรือขบวนการแสดงต้อนรับอะไรเหลือแล้ว เค้ากลับโรงแรมไปเตรียมงานอะวอร์ดปาร์ตี้กันบางส่วน แต่ยังมีอาสาสมัครกำลังเก็บงาน และยืนคอยให้กำลังใจเราอยู่ ผมปล่อยแขนให้ ผบ. วิ่งเข้าเส้นชัยด้วยตัวเองจะได้ไม่เสียฟอร์ม (นาทีนี้ยังจะเหลือฟอร์มอะไรให้เสียอีกรึ! ฮา...)
เราทำได้แล้ว พอถึงเข้าเส้นชัยเรากอดคอกันร้องไห้น้ำตาซึม ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาเนิ่นนาน 11 ชั่วโมงอย่างกับวิ่งระยะอัลตร้ามาราธอน แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ถอดใจล้มเลิกออกกลางคัน เราไม่มีกำลังใจกองเชียร์ยืนสองข้างทางเหมือนรายการวิ่งใหญ่ ๆ แต่เรารู้ว่ายังมีกองเชียร์ไม่กี่คนยืนรอเราอยู่ที่เส้นชัย ขอบคุณอาสาสมัครทุกคนที่เป็นกำลังใจ และยังคอยพวกเราอยู่
เราตั้งใจจะนั่งรถไฟจากจุดวิ่งกลับไปที่โรงแรมเพื่อร่วมงานปาร์ตี้อะวอร์ด แต่เนื่องด้วย ผบ. เหนื่อยล้าและเจ็บเท้ามาก ผมเลยปล่อยให้นั่งรอที่สถานีรถไฟ แล้วผมเดินเข้าไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้เอง พอถึงงานปาร์ตี้ ทุกคนอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนชุดหอมฟุ้งกันหมดแล้ว ผมจับมือขอบคุณน้าหนวด Cycling Marshal และอาสาสมัครคนอื่น ๆ ทักทายเพื่อนนักวิ่งแล้วรีบออกมาจากงานไปรับ ผบ. ตอนนั้นมันเย็นมากแล้ว เราต้องเดินทางต่อไปให้ถึงเมืองมัตซึโมโต้ซึ่งห่างออกไปอีก 4-5 ชั่วโมงให้ได้ภายในคืนนี้
ปล. อาการเจ็บเท้าและเหนื่อยล้าของ ผบ. หายไป เมื่อเดินผ่านร้านยูนิโคล่ในสถานีรถไฟชินจูกุ ฮ่า..
สรุปค่าใช้จ่าย
โรงแรม Mark-1 CNT ห้องดับเบิ้ลรูม 3,800 เยน/คน x2 = 2,530 บาท ค่าสมัครบริจาคการกุศล 5,000 เยน x2 = 3,330 บาท ค่าตั๋วรถไฟจากจุดวิ่ง Inba Nihon-idai กลับโรงแรม 440 เยน x2 = 290 บาท ค่าตั๋วรถไฟ ไป-กลับ โตเกียว-Chiba New Town 1,200 เยน x2 = 800 บาท รวมค่าใช้จ่าย 2 คน = 6,950 บาท
งาน Eco Slow Marathon Inba 2015 จะจัดขึ้นอีกครั้งวันที่ 5 เม.ย. 58 โดยผู้จัดงาน (นิชิซัง และคุณนฤมล) จะมาร่วมงานวิ่งภูเก็ตมาราธอนวันที่ 8 มิ.ย.57 และจะมาประชาสัมพันธ์งานวิ่งนี้ที่ภูเก็ตด้วยครับ ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงนี้อยากให้นักวิ่งไทยมาร่วมงานนี้ด้วยกันเยอะๆ คงจะสนุกน่าดู เหมือนกลุ่มนักวิ่ง K5 จากสิงค์โปร์
ชมภาพบรรยากาศของงานได้ที่นี่ครับ ภาพถ่ายจากผู้จัดงาน... //ecoinbagallery.blogspot.jp/?view=snapshot ภาพจากกลุ่มนักวิ่ง Kikikukiki (K5) สิงค์โปร์ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.612435238847879.1073741854.410222515735820&type=1 https://www.facebook.com/media/set/?set=a.612435238847879.1073741854.410222515735820&type=1#!/media/set/?set=a.606729449418458.1073741853.410222515735820&type=3
Create Date : 05 มิถุนายน 2557 |
Last Update : 5 มิถุนายน 2557 16:32:49 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3721 Pageviews. |
|
|