| All Blog
|
ทิศทางของเทคโนโลยีในที่ใช้ในวงการธุรกิจในปี 2010
จริงๆก็มีการวิเคราะห์แตกต่างกันออกไปหลายแนวคิดนะคะ สำหรับแนวโน้มของเทคโนโลยีในปี 2010 ที่จะมาถึงในอีกไม่นานนี้ แต่วันนี้ดิฉันอยากนำเสนอแนวคิดของคุณ Simon Sharwood ค่ะ ที่ได้นำเสนอแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจเพราะว่าการทำธุรกิจในปัจจุบันนี้ มีการนำเอาไอทีมาช่วยในการดำเนินงานค่อนข้างมากทีเดียว อยากให้ลองอ่านดูเผื่อว่าจะได้ไอเดียใหม่ๆ สำหรับนำไปพัฒนาต่อไป ^_^
เทคโนโลยีที่มีแนวโน้มว่าองค์กรทางธุรกิจจะนำมาใช้กันมากขึ้นในปีหน้า มีดังต่อไปนี้ 1.Cloud computing ธุรกิจต่างๆจะมีการนำแนวคิด cloud computing มาใช้งานมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาระบบ IT ของบริษัท (ดิฉันเคยเขียนเรื่องของ cloud computing ไปครั้งนึงแล้วค่ะ ใครสนใจเรื่อง cloud computingเพิ่มเติม เชิญคลิกไปอ่านได้ค่ะ //suntos.wordpress.com ) 2.เราจะได้เห็น Microsoft Office 2010 และ SharePoint 2010 --- สำหรับ Office 2010 นั้นก็เป็นการอัพเกรดซอฟท์แวร์ตามปกติที่เราได้เห็นกันมาตลอด( เช่น จาก XP มาเป็น Vista แล้วก็เป็น Windows 7 )แต่สำหรับ SharePoint 2010 และ Exchange จะใช้สำหรับระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิตเท่านั้น รวมถึงระบบฐานข้อมูลที่ใช้ (คือ Microsoft SQL Server 2005 ขึ้นไป) ต้องเป็นรุ่น 64 บิตด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะทำให้ ระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิตจะเข้ามาเป็นกระแสหลักแทน32 บิต 3.Virtualisation คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราสามารถแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ (Resource) เช่น CPU, Memory, Hard disk ของคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องหรือมากกว่านั้น ให้สามารถรันโปรแกรม ในจำนวนมากๆ หรือแม้แต่รันระบบปฏิบัติการหลายๆตัวได้ ในปี 2010 เทคโนโลยีนี้จะถูกพัฒนาและมีการนำมาใช้มากขึ้น 4.Biometric authentication เทคโนโลยีนี้ จะนำมาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เวลาที่เราทำธุรกรรมบนมือถือ เช่น โอนเงิน หรือทำธุรกรรมอะไรเกี่ยวกับเงินๆทองๆบนapplication ของมือถือ 5.Next-generation firewalls ประโยชน์ของมัน คือ ทำให้เราสามารถมองเห็นภาพรวมของ network ได้และสามารถควบคุม appication ให้เป็นไปตามนโยบายขององค์กร,ระบุและแบ่งแยก traffic ได้, สามารถวิเคราะห์ ตรวจหาข้อมูลที่อยู่บน Traffic และบล็อกภัยคุกคามได้แบบ real time และที่สำคัญมันสามารถควบคุมการใช้งาน Bittorent และ Peer -to-Peer ได้อย่างง่ายดาย 6.Employee-owned IT แต่เดิม แผนกIT ในบริษัทจะเป็นคนกำหนดชนิดและซอฟท์แวร์ของคอมพิวเตอร์ และจะต้องคอยดูแลบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆเหล่านั้นด้วย แต่ว่าต่อจากนี้ไป พนักงานรุ่นใหม่ สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองในการทำงานได้ แผนก IT จะเน้นการทำหน้าที่ในด้านการดูแลระบบ Virtualisation(ดังที่กล่าวมาข้างต้น) หรือ Multiple OS แทน ไม่ต้องไปคอยยุ่งกับการดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนแต่ก่อน 7. Loyalty schemes ประมาณว่าความจงรักภักดีในตัวสินค้าอ่ะค่ะ เหมือนเราเคยใช้ software ของบริษัทอะไรมา เราก็จะใช้ของบริษัทนั้นไปตลอด แม้ว่า บริษัทอื่นจะผลิตซอฟท์แวร์แบบเดียวกันออกมาก็ตาม มีการคาดการณ์กันว่าในปีหน้า Loyalty schemes จะเป็นหัวใจหลักสำคัญของธุรกิจเลยทีเดียว และ CIO ของบริษัทต่างๆจะต้องคำนึงถึงข้อนี้เป็นลำดับต้นๆ 8. Solid state disks คือ disk เก็บข้อมูลที่มีขนาดเล็กลงและใช้พลังงานน้อยลงกว่า storage แบบเก่าๆ คาดว่า ปี 2010 เราจะได้เห็น LTO-5 ซึ่งจะเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ เทปสตอเรจ ซึ่งมีความจุ 3.6 TB ต่อเทป 1อัน 9. Smart grids หรือ ระบบส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าอัจฉริยะ ตัวอย่างง่ายๆเลยก็คือ ที่IBM ได้ทำการวางระบบ Smart grids ให้กับประเทศมอลต้า โดยทำการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด ให้กลายเป็น smart meter ที่ทำให้ผู้จ่ายไฟฟ้ารู้ว่าบ้านหลังไหน ใช้ไฟไปเท่าไหร่ โดยไม่ต้องส่งพนักงานออกไปเก็บ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้จ่ายไฟทราบความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่าง real time และถ้าหากบ้านไหนค้างค่าไฟเกินกำหนด ก็สามารถสั่งตัดไฟจากระยะไกลได้ 10. Hybrid servers ซึ่งก็คือ VPS (Virtual Private Server) หรือเซิร์ฟเวอร์เสมือนขนาดใหญ่ เหมาะที่จะใช้สำหรับเว็บapplication ที่มีความต้องการใช้งานเป็นจำนวนมาก มีtraffic เยอะๆ เพิ่มเติม:Simon Sharwood เป็นนักเขียนอิสระ,บรรณาธิการ และpodcaster ที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี เขาใช้เวลากว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีในฐานะผู้เขียนบทความ,นักการตลาด และที่ปรึกษาสาธารณะ Sharwood ได้รับรางวัล IT Journalist award ปี 2009 ในสาขานักเขียนบทควมยอดเยี่ยมทางด้านธุรกิจ(Best Business IT Journalist) |
กาสะลองสีชมพู
 ฝากข้อความหลังไมค์ Rss Feed  Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]  |
