|
วุ้นในลูกตาเสื่อม'
คนที่เล่นคอมพ์เกือบทุกคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'
> ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ถึง 14 ล้านคนแล้วจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก้อเป็นมากขนาดไหน?) > > อาการก้อคือ==คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก้อต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เ! ช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา > > ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด(ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?) > > สาเหตุของโรคนี้คือ ==' การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆแต่เด๋วนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ) > > ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? > ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่,อ่านบทความ! ,อ่านหนังสือหรืออะไรก้อตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ > > ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่ > > แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส(เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) > > ( และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ) การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน >
> บวกกับ ลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้! าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ
> แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) > > มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตา จะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด > > บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย > > ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ > คุณจะปวดตามากๆๆ อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน > สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง > (ที่นิยมก้อคือตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง > ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป > > หรือไม่ก้อ ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ > มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด เพราะเวลาเล่นเกมส์ > ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ > > สรุปก้อคือ > > 1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน > กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย' > > 2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต > มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย > การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย > > 3.การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา > 'ทำให้สายตาเสีย ' > > 4.การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว > 'ทำให้สายตาเสีย' > > ( ข้อนี้ คล้ายๆ กับ การเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ > แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน) > > 5.การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! > > (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง > แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) > > เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) > > แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น > > ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง > (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)
Create Date : 19 ธันวาคม 2550 | | |
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 13:19:59 น. |
Counter : 347 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ไม่มีความสุขในการทำงาน
หลายๆคน กลุ้มใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน ส่วนมาก ถ้าหางานใหม่กันได้ ก็ดีไป ถ้าหาไม่ได้ จะทำอย่างไร ในเมื่อเราต้องทำงานนั้นอยู่แล้ว เรามีทางเลือกสองทาง 1. คือทำงานไปอย่างไม่มีความสุข 2. หาวิธีทำงานไปอย่างมีความสุข หรือทุกข์น้อยลง ถ้าเปลี่ยนงานไม่ได้ เรามาเปลี่ยนวิธีคิดดูซะหน่อย เผื่อทำให้ทำงานได้มีความสุขมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ทุกข์น้อยลง เขาว่ากันว่า ถ้าได้เงินเดือนมา ให้แยกเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน และให้คิดว่า เงินแต่ละส่วน บริษัทเขาจ้างเราให้ทำดังต่อไปนี้ 1. เงินเดือนส่วนแรก เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ทนกับอารมณ์ของเจ้านาย 2. เงินเดือนส่วนที่สอง เขาจ้างมาให้คุณรับฟังคำตำหนิ ต่อว่า ความจุกจิก งี่เง่า ของลูกค้า 3. เงินเดือนส่วนที่สาม เขาจ้างมาให้คุณ ให้มารับการติฉิน นินทา อิจฉา ริษยา งี่เง่า กักขฬะ ของเพื่อนร่วมงาน 4. เงินส่วนที่ 4 นี้ เอง เป็นเงินที่เขาจ้างคุณมาทำงานในหน้าที่ของคุณ ดังนั้น ถ้าเจอปัญหาเจ้านาย ให้ลองคิดดูว่า ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% แล้วเจ้านายไม่บ่นว่าน่ะ เอาไหม ให้เงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอลูกค้าแสนดีน่ะ เอาไหม ให้ลดเงินเดือนตัวเอง 25% ให้เจอแต่เพื่อนร่วมงานดีๆน่ะ เอาไหม ลดไปลดมา ได้ทุกอย่างดีหมด เงินเหลือแค่ 25% ของเงินเดือนปัจจุบันน่ะ เอาไหม ลองใช้วิธีคิดแบบนี้ เผลอๆหลายคนอาจจะบอกว่า อย่างนี้ให้เจ้านายด่าเพิ่มสองเท่า แล้วขึ้นเงินเดือนให้ฉัน 25% ก็เอานะ สุดท้ายคือ จิต และความคิดคนเราเป็นเรื่องสำคัญอย่าปล่อยเวลาในชีวิต ให้ความคิดของคุณเป็นลบ คิดแต่ในแง่ร้าย เพราะความคิดของคุณ คือฟิล์มภาพยนตร์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตคุณคือภาพที่ฉายจากฟิล์มภาพยนตร์นี้เองคิดในแง่ร้าย คุณก็จะเจอแต่แง่ร้ายๆ ฟิล์มเป็นอย่างไร ภาพที่ฉายออกมาก็เป็นแบบนั้น ถ้าคุณไปสัมภาษณ์งาน แล้วคิดว่าจะไม่ได้ สีหน้า หน้าตา ความมั่นใจ คุณจะไม่ได้ตั้งแต่แรกเลย และคุณก็จะไม่ได้งานจริงๆ
Create Date : 19 ธันวาคม 2550 | | |
Last Update : 19 ธันวาคม 2550 13:17:16 น. |
Counter : 410 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|