5-7/7/52 แม่สอด
ได้มีโอกาสไปแม่สอดช่วงหน้าฝน ชุ่มฉ่ำตลอด 3 วัน ไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย ก็เลยไม่ได้ถ่ายอะไรมากนักเริ่มที่ตลาดริมเมย พม่าขายบุหรี่อยู่ฝั่งพม่า ข้ามมาขายฝั่งไทยไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะบุหรี่ไม่เสียภาษี ใครซื้อก็ระวังถูกจับนะพี่ทหารก็คอนเฝ้าเขตอธิปไตยของไทยเราอยู่แล้วก็ไปต่อที่น้ำตกพาเจริญ ด้านบนมองลงไปด้านล่างมุมหมาชน น้ำแดงเชียวทากใต้ใบไม้อะไรหว่า??? ถ่ายไปเรื่อยดอกกระเจียวพันธุ์อะไรสักอย่างรอฝนหยุดชุม่ชื้นๆดอกนี้มีทากด้วยอีกมุมกล้วยไม้ตรงที่จอดรถที่พักคืนที่สอง ไปกินมื้อค่ำที่ร้าน ข้าวเม่า-ข้าวฟ่าง แต่งร้านได้สวยมากๆอาหารก็อร่อย น้ำพริกหนุ่มกับน้ำพริกอ่องไข่เจียวกุ้งสับปลาเนื้ออ่อนทอดกรอบฟักแม้วผัดข้าวโพกชุดแป้งทอด อร่อยมากๆบรรยากาศในร้านหน้าเคาว์เตอร์อีกรูปขากลับแวะจุดชมวิวข้างทางกล้วยไม้อีกแล้วแวะน้ำตกคลองลานที่ต้นตะเคียนใหญ่ใกล้น้ำตก สีขาวๆ รอบๆ ราก คงไม่ต้องบอกว่าเป็นอะไรวิวบนดาดฟ้าของโรงแรมยามเย็น คลิ๊กที่รูปดูภาพใหญ่วิวที่จุดชมวิวข้างทาง คลิ๊กที่รูปดูภาพใหญ่
~~ 27 - 28 ตุลาคม 2550 ปาย ~~
อ.ปาย...อำเภอเล็กๆ ที่เดินได้ทั่วในวันเดียว.....แต่คนก็มักอยากจะมาอยู่หลายๆ วันอำเภอเล็กๆ ที่ไม่มีจุดท่องเที่ยวในอำเภอที่เด่นๆ.....แต่กลับกลายเป็นอำเภอที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวอำเภอเล็กๆ ที่กว่าจะเข้ามาถึงต้องผ่านโค้งกันอ๊วกแตกอ๊วกแตน.....แต่คนก็มาเยี่ยมเยียนกันไม่ขาดสายตลอดทั้งปีอำเภอเล็กๆ ที่ไม่มีอะไร.....แต่คิดว่าทุกคนที่มา ก็เพราะไม่อยากจะทำอะไร.....นอกจากพักผ่อน...ผมมีโอกาสได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูกมาเชียงใหม่....สิ่งที่ผมต้องมาก็ไม่พ้นปาย (ก็เพราะผ.บ.บังคับน่ะสิ แหะๆๆๆ)เรา เริ่มเดินทางโดยเครื่องบินรอบเช้าสุดของวันเสาร์ โดยต้องรีบไปเช็คอินตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้าที่สนาบบินสุวรรณภูมิ (เป็นครั้งแรกที่ได้มาเหยียบสนามบินนานาชาติแห่งนี้เลยนะเนี่ย)เมื่อ เราเดินทางถึงสนามบินเชียงใหม่ เราก็ขึ้นรถแดงมาลงที่อาเขต(สถานีบขส.เชียงใหม่นั่นแหละ เพิ่งรู้วุ้ย) ด้วยราคาคนละ 40 บาท จัดแจงหามื้อเช้ากินกัน แล้วจึงไปหาคิวรถตู้ไปที่ปายแต่เมื่อไปถึงคิวรถส้มขาวตรงข้าม 7-11 ก็พบว่ารถเที่ยวถัดไปเต็มเสียแล้ว รอบถัดไปก็รออีกเกือบชม.ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนมาขึ้ยรถตู้อีกคิวที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้น เมื่อไปถึง คนยังไม่เต็ม แต่รถก็พร้อมที่จะออกเรา เริ่มเดินทางออกจาเชียงใหม่ราวๆ 9 โมงครึ่ง พี่คนขับควบคุมรถตู้ผ่านทางคดเคี้ยวหลายร้อยโค้งได้อย่างชำนาญ จนเมื่อผ่านไปครบ 3 ชม. รถตู้ก็พาเรามาถึงอ.ปายได้ตรงเวลาแป๊ะ อย่างที่คุยไว้ (นี่ระหว่างทางจอดให้เข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วด้วยนะเนี่ย) รถตู้ระหว่างทางที่นั่งไปปาย เมื่อ มาถึงเราจ่ายค่าเดินทางให้พี่เขาคนละ 150 บาท จากนั้นก็เดินไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ aYa โดยสนนราคาที่คันละ 100 บาท พร้อมน้ำมัน 1 ลิตรโดยประมาณจากนั้นเราก็ไปกันที่พักของเรา ที่เลือกไว้ก็คือ บ้านปายวิลเลจ เป็นบ้านพักที่อยู่ในเมือง สะดวกสำหรับคนที่ชอบเดินช้อปปิ้งในเมือง แต่ด้วยราคาที่พัก คืนละ 650 ก็จัดว่าแพงเมื่อเทียบกับที่พักอื่นๆ ในอำเภอปายนี้หลังจากเราเก็บ ข้าวของเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ไม่มีโปรแกรมอะไรล่วงหน้า (หรือใครมาปายแล้วมี หืมมม) เราออกมาหน้าที่พัก ก็พบกับร้าน Pai Body Magic อยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นร้านที่ให้บริการนวดตัว นวดเท้า นวดหน้า(ไม่ใช่ด้วยฝ่าเท้านะ) ฯลฯ เป็นการนวดแผนไทยฉบับวัดโพธิ์ ซึ่งหลังจากเรานั่งรถตู้เอียงไปเอียงมาเมื่อยๆ แล้ว (หลายๆ คน คงมีแถมอาการวิงเวียนและคายของเก่าร่วมด้วย) ผมจึงคิดว่าให้ ผ.บ.ไปลองนวดดูคงจะทำให้ Relax มากขึ้น และอารมณ์ดีมากขึ้นได้ ก็เลยจัดให้สักหน่อยดีกว่าระหว่างเขานวดผ.บ. ผมก็ถ่ายร้านเขาเล่นๆ ไปเรื่อย ตามภาษาคนถือกล้องในมือแล้วว่างๆ ร้านเขาก็จัดสวยดีนั่ง รอผ.บ.นวดเสร็จอยู่นาน ก็ได้คุยกับพี่ส้มเจ้าของร้าน(ตีสนิทไว้กะให้ลดราคา เหอๆๆๆ) ก็ได้รู้ว่าแกมาจากกทม.นั่นแหละ แต่รักการนวด แล้วก็ชอบปายมากๆ ก็เลยไปเรียนการนวดจากวัดโพธิ์ เพื่อมาเปิดร้านที่นี่ มาอยู่นี่ก็เปิดสอนการนวดให้ด้วยนะ (อีกวันเห็นมีฝรั่งมาเรียนเยอะเชียว) แล้วก็มีร้านอยู่ 2 สาขาอีกต่างหาก แล้วก็คุยกับแกเรื่องที่เที่ยวในเมืองด้วยเลย จนก็ผ.บ.นวดเสร็จนั่นแหละ แกก็อาสาเดินพาไปซือตั๋วรถขากลับ (ก็ผ่านอีกสาขาของแกก็เลยแวะเก็บรูปมาให้ดู) (หลังจากนวด ผ.บ.บอกว่านวดสบายเสียจนทำเอาเพลินจนหลับไปเลยล่ะ)ร้านนี้ล่ะในม่านอ่ะ ผ.บ.ผมกำลังโดนนวดเก้าอี้ไว้นวดฝ่าเท้ามั้งเดินผ่านอีกสาขาระหว่างไปจองตั๋วกลับข้างในเตียงอีกล่ะจากนั้นเราก็ เริ่มเที่ยวโดยเอาคำแนะนำของพี่ส้มเป็นหลัก โดยจุดหมายแรกก็คือ พระธาตุแม่เย็น โดยขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราวๆ 800 เมตร ก็จะถึงทางขึ้น ซึ่งเราสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปได้เมื่อขึ้นไปถึง เราก็นมัสการพระธาตุกัน แล้วก็ถ่ายรูปกับวิวมุมสูงของเมืองปายสวยๆ กันแม่น้ำปายยามเย็น พระธาตุแม่เย็นวิวสวยๆ กับดอกไม้เก็บวิวแบบพานอรามาหน่อยนึง คลิ๊กที่รูปดูแบบเต็มๆ นะหลัง จากนั้น เราก็ลงจากพระธาตุ แล้วขับต่อไปทางเหนือเรื่อยๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ Spa Exotic เป็นรีสอร์ทที่ให้บริการแช่น้ำร้อนที่มาจากน้ำพุร้อนธรรมาชาติ ในราคาคนละ 100 บาท......แต่น่าเสียดายนัก ที่เมื่อไปถึงก็พบว่า ตรงต้นทางน้ำแร่เขาหยุดปล่อย เพื่อทำความสะอาด ดังนั้นเขาจึงหยุดบริการ และผมก็ไม่ได้มีภาพมาฝากด้วย (เซ็งแล้วลืมอ่ะ เหอๆ) ได้แต่เก็บภาพวิวสองข้างทางระหว่างกลับมาให้ดู เก็บวิวสองข้างทางระหว่างกลับจากนั้น ด้วยเป็นเวลาเริ่มค่ำ ท้องจึงเริ่มร้อง เรายังคงติดใจวิวมุมสูงอยู่ จึงเดินทางไปกินมื้อเย็นที่ร้านปายลานนา ซึ่งก็เก็บแต่วิวมาฝากนะ อาหารก็อร่อยเลยล่ะ แนะนำเมนูหมูย่างลานนานะ หอมและอร่อยมากๆ พระอาทิตย์ลับของฟ้าแล้ว ฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี ม่วงแบบนี้ไม่ได้แต้งสีนะเลยเน้อ ถ่ายตอนเริ่มมืดแล้วหลัง กินข้าวมื้อเย็นเสร็จ เราก็เอารถกลับมาเก็บที่พัก เพื่อไปเดินถนน ดูบรรยากาศร้านขายของยามค่ำคืนเสียหน่อย (ไม่ได้เก็บรูปมา เพราะช๊อปปิ้งเพลิน (เป็นคนหิ้วของนี่นา))ถนนหน้าที่พัก ประดับสวยดีร้านพี่ส้มแกก็ทำแสงสวยเหมือนกันจากนั้น ก็ลองเที่ยวกลางคืนกับเขาเสียหน่อย ก็เลือกร้านบรรยากาศกลางแจ้งโปร่งๆ โล่งๆ อย่างร้าน Don't Cry ตรงข้างสะพานข้ามแม่น้ำปายร้าน นี้เป็นบาร์ที่เป็นเพลงออกแนวฮิปฮอปสักหน่อย ทำนองก็เต้นชวนขากระตุก มีโต๊ะพูลให้เล่น มีบอลให้ดู เสียงสีใช้ได้ แถมมีก่อกองไฟให้บรรยากาศแค๊มป์อีกต่างหาก และคืนที่ไป ก็มีการแสดงโชว์ควงไฟให้ดู สนุกทีเดียวล่ะ ได้ลองชิมค๊อกเทล(กะมอมผ.บ. แต่ตัวเองดูท่าจะโดนมอมซะเอง) ก็รถชาติดีเลยล่ะ (ยังเก็บภาพมาให้ดูได้แสดงว่าสติยังอยู่) แถมมีบาบีคิวให้กินฟรีเสียด้วยหลังจากที่เริ่มไม่ไหว ก็ได้เวลากลับที่พักราวๆ เกือบเที่ยงคืน (แต่ร้านนี้เปิดถึงเช้าเลยนะเนี่ย) อย่าร้องไห้นา... บรรยากาศในร้านเราเลือกพันซ์ เพราะไม่กินแอลกอฮอล์แต่ผ.บ.ดันเลือกชาเขียวซะได้มีโชว์ควงไฟด้วย อ่ะจ๊ากกกก.....อันนี้คฑาไฟอันนี้พ่นไฟ เห็นแล้วนึกถึง เกมสมัยวัยรุ่นหลายยี่ห้อเลยนะเนี่ยเก็บไปเรื่อยพระจันทร์เต็มดวงเชียวเช้า วันรุ่งขึ้น กว่าจะตื่นก็สาย ด้วยเพราะอากาศที่แสนจะเย็นในตอนเช้า ทำให้อยากซุกในผ้าห่มนานๆ แต่หลังจากอากาศเริ่มหายหนาว เราก็ตื่นมากินมื้อเช้าของที่พักจัดไว้ให้กัน แล้วขึงเริ่มเที่ยวรอบๆ เมือง โดยเริ่มจากที่ใกล้ๆ ที่พักกันก่อน คือตรงสะพานไม้สุดซอยนี่เองสะพาน ไม้นี่ พาเราข้ามไปอีกฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พักราคาถูกที่ชื่อว่า Family Hut เป็นที่พักที่บรรยากาศดีทีเดียวล่ะ จึงขอเก็บวิวมาให้ได้ชมกันสะพานไม้มุมนิยมของเมืองปายที่พักถูกๆ นะเนี่ย สายๆ หลังจากออกมาจากสะพานไม้สุดซอย เราก็ได้รับคำแนะนำจากพี่ส้มถึงร้านกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่นอกอำเภอไปราวๆ 800 เมตรทางตะวันออก ชื่อว่าร้าน Coffee in Loveเมื่อไปถึงร้านนี้ เราก็พบกับร้านที่ดูน่ารัก ร่มรื่น และวิวสวยมากๆ ทีเดียว ทำให้เราตัดสินใจที่จะหยุดดื่มน้ำอยู่ที่ร้านนี้นานๆ จนถึงเที่ยงเลยทีเดียว ร้านกาแฟบรรยากาศดีนั่งมุมนี้ดีหรือมุมนี้ก็ดีหรือจะนั่งที่เคานเตอร์หรือจะนั่งตรงหน้าต่างหรือจะมานั่งข้างนอกเก็บวิวทั้งหมด คลิ๊กที่รูปดูแบบเต็มๆ นะพบ เริ่มบ่าย เราก็เริ่มหิว จึงกลับเข้าเมืองไปหามื้อเที่ยงกิน ซึ่งผมก็ไปที่ร้านแวะกินตีนไก่ ที่มีเมนูเกี่ยวกับไก่อร่อยๆ หลากหลายเมนู เช่น ปีกไก่น้ำแดง ฯลฯร้านอร่อยหลังจากอิ่ม ก็ได้เวลาเก็บของกลับกันแล้ว เราก็กลับที่พักเก็บของและมาไว้หน้าที่พัก ระหว่างรอถึงเวลาไปขึ้นรถรอบที่เลือกไว้คือ 14:30 น. ก็ได้เก็บบรรยากาศที่พักมากให้ดูด้วยหน้าที่พักชื่อบ้านปายวิลเลจนะเมื่อถึงเวลา เราก็นั่งรถตู้กลับเส้นทางเดิม ผ่านทางคดโค้งมากมายจนกลับมาถึงเชียงใหม่ เราแวะเดินถนนคนเดินเล็กน้อย (แต่แบกสัมภาระไม่เล็กน้อยไปตลอด) ก่อนจะขึ้นเครื่องเที่ยวบินดึกที่สุดของวันกลับสู่กทม. ถึงประมาณเที่ยงคืน และกว่าจะต่อรถไปที่ลานจอดรถระยะยาวได้ ก็ปาเข้าไปเกือบตี 1 (ทำเอาอารมณ์เสียไม่น้อยทีเดียว)ก็ขอจบทริปปายแบบสั้นๆ เพียงเท่านี้ค๊าบบบบ
~~ 23 - 24 มิถุนายน 2550 ผีตาโขน หินผางาม ~~
ทริปนี้ไปกันโดยรถตู้ เป้ามหายคืองานผีตาโขน พระธาตุศรีสองรัก และสวนหินผางาม เริ่มออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่ง ไปถึงที่ด่านซ้ายประมาณ ตี 3 เพื่อไปรอชมพิธีเบิกพระอุปคุตไปถึงก็ไปนั่งรอมาทำพิธีเบิกพระอุปคุต ที่ริมน้ำกัน (ไม่ได้เอาขาตั้งไปอ่ะ เลยอาจจะไม่ชัดบ้างนะ)บริเวณศาลาที่จะทำพิธี (คนที่ยืนตรงศาลาน่ากลัววุ้ย) บริเวณท่าน้ำที่จะทำพิธี จะเห็นว่าความศํกดิ์สิทธิ์เริ่มมารวมตัวกัน (ก็จตุคามเต็มเลยอ่ะ เหอๆๆ) คนทำพิธีเรียกว่า พ่อแสงแก้ว เดินมาทำพิธีจากวันโพนชัย มาถึงก็นั่งสวดมนต์ที่ท่าน้ำก่อน แล้วจึงขึ้นไปสวดมนต์ต่อบนศาลา จากนั้นก็ให้เจ้าพอ่กวน ลงไปดำน้ำเพื่อค้นหาพระอุปคุตขึ้นมา นำมาเข้าพิธีต่อไป เมื่อได้พระอุปคุตแล้ว ก็ยกขบวนกลับมาที่วัด มาทำพิธีโดยการเดินไปที่มุมตามทิศต่างๆ รอบโบสถ์และสวดมนต์ โดยเดินวนจากขวาไปซ้าย จนครบ 3 รอบท่ามกลางช่างภาพและสื่อมวลชมเข้ามารุมล้อมมากมาย ในตระกร้าก็มีหินซึ่งเป็นพระอุปคุตอยู่ หลังสวดจบแต่ละจุด ก็จะมีคนคอยยิงปืนอยู่รอบๆ มาดูในกระทง เป็นข้าวตอกดอกไม้เหมือนกับการบูชาผีที่อยู่รอบทิศ มาที่โบสถ์ เข้าไปทำพิธีในโบสถ์ต่อ ภายนอกก็เป็นการละเล่นฟ้อนรำกันไป จนเริ่มเช้าแล้ว เมื่อแสงดีก็เริ่มจะถ่ายเล่นซะหน่อย พิพิธภัณท์ผีตาโขน เริ่มเช้าราวๆ 6 โมง ก็หมดพิธีภาคเช้าแล้วเช้าแล้วก็หิว ก็เลยออกเดินตระเวนหาที่กินข้าวไปเจอร้านสมุนไพรเข้า มีที่เด็ดๆ เยอะเลยนะ ทางเข้าพิธีเบิกพระอุปคุต เมื่อคืน เด็กๆ มานั่งรอกันตั้งแต่เช้าเชียวล่ะ สีสดใสกันจริงๆ ฟ้าก็แสบสัน ผีใหญ่ มีผู้ชายกับผู้หญิงกำลังเตรียมวิ่งผลัดแข่งกัน คนภาค ภาคได้มันส์ดี แดงสดใสเงาะ ก็มี ตัวนี้ตัวแสบเลยล่ะเนี่ยขี่ควายมั้ย อาวุธสุดล้ำ ยิงทีก็กระดกที เหอๆๆ ไม่ได้มาตัวเดียวนะ มากันเป็นแก๊งค์เลย พี่แม๊ค หัวหน้าทริปของเรา ทุ่มเทๆ เข้าแถว กันที่สนามกีฬาของโรงเรียน เพื่อรอเดินขบวนแห่ หนูร้อนน้าเพ่ เด็กรอ ผู้ใหญ่ก็รอ เราก็หาถ่ายไปเรื่อย5 ตัวนี้ ดูๆ ไปก็พอจะเป็น ranger 5 สีได้นะ เหอๆหน้ากากงามๆ อันนี้ก็แปลกตา คาดว่าได้รับอิทธิพลจาก scream ภาพนี้ถือว่าบังเอิญสุดๆ เพราะตอนถ่ายก็มองไม่เห็น กลับมาบ้านเพิ่งสังเกตุว่า หน้ากากกับเมฆ มันเหมือนกันเลยนี่ก็สวยระหว่างถ่ายรูปอยู่ กเป็นกำหนดการแสดงการโดดร่ม ก็ดูๆ กันไป ทยอยกันลงสู่พื้นดินจากนั้นก็เดินกลับมาที่วัด ไม่ได้อยู่ดูขบวนแห่ มารอที่วัดเลยดีกว่าเพราะเหนื่อยและน้อยมั่กๆ จนขบวนแห่มาถึงเวียนรอบโบสถ์ เดินกัน 3 รอบ ผีใหญ่ก็เลยร้อนและหนัก ต้องขอหลบร่มหน่อยนะ ดูสิลิ้นห้อยเลย ว่างๆ ก็เดินเข้าไปชมในพิพิธภัณท์ดูหน่อย เจอคุณลุงกำลังระบายหน้ากากอยู่ของโชว์ ขบวนแห่ด้านล่าง เณรอยากรู้อยากเห็น เกาหลีส่งมาโปรโมท แจมด้วยคน ผีหน้ากากของเกาหลี ขบวนดนตรี อยู่กันจนถึงเกือบเที่ยง เริ่มหิว ก็เลยแหวกฝูงชนมาแวะที่พระธาตุศรีสองรักกันก่อน มุมมหาชน ป้ายศิลาบันทึกที่อ่านไม่ออก ไหว้พระแล้วต้องรีบกลับ เพราะฝนทำท่าจะมาแล้ว จากนั้นก็ไปขึ้นภูเรือ จะไปบ้านพัก แต่ขับเลยมานิดเดียวเอง แค่มาถึงผาโหล่นน้อย ก็เลยมาแวะซ้าเลย 555+คราวที่แล้วมาตอนเช้า คราวนี้มาตอนเย็นมั่ง ทิวเขาสลับซับซ้อน ดูเหมือนประเทศเราเป็นขี้กลากเลยอ่ะ รุ่งเช้า นัดกันอย่างดีว่า 7 โมงจะเดินไปน้ำตกห้วยไผ่กัน (ด้วยความคิดยุยงของตัวเอง) ตื่นเช้าจริง ผู้ชายื่นกันซ้าเกือบ 8 โมง กันหมดเลย กว่าจะไปเดินไปก็เลยช้าไปหน่อยด้วยระยะทาง 4.5 กิโล จากบ้านพัก เส้นทาง จนท.บอกเดินสบาย เอาเข้าจริงๆ ขึ้น-ลง เยอะเหมือนกัน ทำเอาเมื่อยไปเลย สำหรับคนที่ไม่ได้เดินไกลๆ มานานแล้วก็มาถึงน้ำตกห้วยไผ่ซ้าที จุดหมายต่อไป สวนหินผางาม หรือเรียกว่า คุณหมิงเมืองเลย อยู่ที่กิ่งอำเภอหนองหินพี่แม๊คโชว์โดด ตรงนี้มีสถานปฏิบัติธรรมมาตั้งอยู่ด้วย เดินมาที่ทางเข้าสวนหิน หินไดโนเสาร์ อันนี้เค้าว่าเหมือนช้างว่านนกคุ้มถ้ำส่องดาว หินเป็นรูปตา ถ้ำลับแล มีความยาว 2 กิโล กิโลแรก อยู่ตรงทางเข้า มีหินวางอยู่กิโลที่สอง อยู่ตรงทางออก 555+ ครบสองกิโลล่ะ มีมันแกววางอยู่ด้วยนะ เป็นปริศนาธรรมเริ่มเข้าสู้เส้นทางที่เป็นทางวงกต เริ่มด้วยขึ้นเนินที่เรียกว่า เนินท้อแท้ ไปเจอหินที่มีรอยเปลือกหอย เป็นฟอสซิลอยู่ ตรงนี้เรียกว่าซุ้มคารวะ ป่องเอี้ยม ช่องสรีระ ใครผ่านมาได้แสดงว่ายังไม่อ้วนเท่าไหร่ เหอๆ แล้วก็ไปท้องช้าง เสาหิน ซู้ง สูง รากไม้โบราณ แล้วก็มาถึงจุดชมวิว สวยดีๆ ต้นอะไรหว่า เค้าเป็นต้นเดียวกับที่ออกใบสีทอง เพียงแต่ต้องอยู่ที่นราธิวาสเท่านั้นถึงจะมีใบสีทองอ่ะ เอาออกมาได้ปีละไม่กี่ใบ (แต่เดี๋ยวนี้เห็นขายกันเกลื่ยนเลย)รูปจุดชมวิวรูปสุดท้ายก่อนลง ต้นปรงพันปี สูงเกือบ 15 เมตร รถอีแต๋นคันนี้จะพาเรากลับกทม. (คงถึงราวๆ อีก 3 เดือนข้างหน้า)ผาบ่อง รูตรงนั้นมีตำนานเล่าว่ามีพรานมาทดลองปืนประสิทธิภาพสูง ยิงใส่ภูเขาจนเป็นรูเลย รูปสุดท้ายก่อนกลับกัน
~~ 10 มิถุนายน 2550 งานเที่ยวเืมืองไทย ~~
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเดินงานเที่ยวเมืองไทยที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ไปวันแรกคิดว่าจะไปหาโปรโมชั่นอะไรถูกๆ เท่านั้น แต่พอไปถึงก็ได้เจอการแสดงและการออกงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ที่น่าสนใจมาก วันอาทิตย์จึงได้ไปอีกครั้ง เพื่อเก็บภาพโดยเฉพาะเลย เอามาให้ดูกันครับเริ่มไปที่แรก ก็คือภาคใต้ ซุ้มแรก หนังตะลุง บอกตามตรง ตอนถ่ายไม่คิดว่าจะออกมาสวยขนาดนี้แต่พอเอามาแปลงไฟล์แล้ว ชอบที่สุดในบรรดาที่ถ่ายมาทั้งวันเลย สองรูปนี้เชฟโรเลทรุ่นนี้ ไอ้แหลมๆ นี่สวยดี ว่าแต่ไว้ทำไรหว่ายี่เกฮูลู ยี่เกแปลว่าร้อง ฮุลูแปลว่าใต้Dancer ไม่ใช่ขี้เกียจ แต่เต้นกันนั่งๆ แบบนี้ล่ะ เห็นแบบนี้ มันส์นะจะบอกให้คนร้องก็ลีลาไม่เบานะป้าเสื้อเขียวนี่ทำเอาทาทาอายได้เลยนะไปทางฝั่งอีสานมั่ง ดูทอเสื่อกกบ้านแพง เอามาให้ดูเพราะอุดหนุนไปอันนึง 250 (แพงสมชื่อ อิอิ)หม้อดินเขียนลาย บ้านเชียง อุดรธานี ยังไม่เสร็จเพราะยังไม่ได้เผา (ขืนแบกเตาเผามางานด้วยคงลำบากแย่เลย)อันนี้ขนาดเล็กมาดูการแสดงดนตรีบนเวทีมั่งเห็นเฉยๆ แบบนี้ ลี้ดกี้ต้าร์ยังกะขาร๊อค และผีตาโขน ที่วางแผนจะไปในทริปต่อไป มาดูที่การแกะเทียนพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานีอันนี้ทำไว้แปะกับชิ้นงานเพื่อเพิ่มความสวยงามถ่ายคนแกะอักมุม ลองเล่นกับแสงดูมุมนี้ก็แจ่มเลย เหมือนกับในนิตยสารเลยหงษ์ทอง (คำเตือน : การดื่มสุราผิดศีลข้อ 5)ด้านหางและด้านหัวทอผ้าอีกแล้ว อันนี้ไม่ได้เข้าไปถามรายละเอียดไปที่ส่วนของหมู่บ้านหนึ่ง ตรงจังหวะที่มีทหารเข้าไปขอผูกข้อมือพอดี เลยถ่ายซะหน่อย แต่ดูยังใช้ไม่ค่อยได้มากันที่ภาคเหนือบ้าง (ขออภัยที่จำชื่อพระในภาพไม่ได้)เปิดด้วยสีสันสดใสของการเขียนร่มแต่พี่เค้านั่งเขียนพัดอ่ะแล้วก็โคมไฟงานแกะสลักเครื่องเงินบนเวทีเป็นการแสดงรำกลอง แบบฮาๆรำกันไปก็แกล้งกันไป เรียกเสียงหัวเราะได้เยอะทีเดียวด้านข้างก็แสดงเครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลงและนี่ก็พระพิฆเนศกลับมาที่บนเวที คณะเดิม แต่เป็นชุดตีกลองสะบัดชัย (Ver.ขี้เมา) ฮาเช่นเดิมเมาแอ๋เลยสมาชิกในวงลีลาควงไม้แจ่มจริงๆ แถมตีได้หนักแน่นมากที่ขาดไม่ได้ เฮดบัทท์แล้วก็มาดูการทอผ้าไหมมัดหมี่ของอ.ลับแลจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้คุยกับน้าคนนี้อยู่นานเลยว่าแล้วก็เล่าสักหน่อย น้าแกชื่อว่า น้ากำไล อยู่ที่อ.ลับแลพูดชื่อ อ.ลับแล ใครจำได้มั่งเอ่ย ว่าเป็นอ.ที่ปีที่แล้วโดนน้ำป่าเล่นงานซะอ่วมเลยปีนั้นน้ากำไลยังโชคดี ที่พอน้ำเริ่มท่วมก็ขนของมาชั้นสองหมด ก็เลยไม่โดนอะไรมาก บ้านก็แข็งแรงเลยไม่พัง แต่เพื่อนบ้านก็โดนกันไปเยอะตามข่าวมาดูเรื่องการทอผ้ามั่ง เชื่อไหม ที่เห็นแกทออยู่นี่ ตั้งแต่มางานนี้ 4 วัน แกทอได้แค่ดอกเดียว(ในสี่เหลี่ยนนั้นอ่ะ เรียก 1 ดอก)(ผมก็ยืนดูแกทำ กว่าจะได้แต่ละแถวนี่คนยืนดูแมื่อยไป 2 รอบ)ผ้ากว้างราวๆ 40 ซม. ยาว 180 ซม. 1 ผืน แกว่าใช้เวลาทอ 3 เดือนและผ้านุ่งผืนนึงเนี่ย ต้องใช้ถึง 4 ส่วนมาต่อกันเลยทีเดียว โดยส่วนที่น้าทออยู่จะเป็นส่วนชายผ้า ซึ่งสวยมากๆ เรื่องราคา ถ้าเป็นผ้านุ่งผืนนึง ก็ไม่มากไม่มาย หมื่นขึ้นเท่านั้นเอง เทียบราคากับความอุตสาหะแล้วถือว่าไม่แพงเลย (เพียงแต่เราไม่มีเงินพอจะซื้อเท่านั้นแหละ อิอิ)ถ้าใครสนใจก็ขึ้นไปซื้อได้ที่ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ มาต่อที่ช่างปั้นแจกันมั่ง คนนี้ไม่ได้ถาม เพราะไม่อยากรู้ แหะๆๆได้ยินเสียงระนาดแว่วๆ มา ก็เป็นภาคกลางนี่เอง กำลังแสดงการรำอยู่ ก็เลยเปลี่ยนภาคซะเลยออกมารำทีละคนงามๆ ทั้งน๊านนนนตลาดน้ำช่วงนี้หลายๆ คนกำลังฟีเว่อร์การเที่ยวตลาดน้ำสาธิตการทำขนมไทย ทองเอกนี่ของโปรดลย แต่เสียดายที่ไม่ขายง่ะโคมไฟดินเผา อยู่ไม่ไกล แค่ปากเกร็ด นนท์บุรีนี่เองหุ่นกระบอก อีกรูป (lelvel up เรื่องริมไลท์แล้วต้องลองเยอะๆ)ฤาษีและหนุมานมาอีกที่ ทำศิลปะแบบใหม่ ภาพพิมพ์ 3 ชั้น 3 มิติพิเศษยังไงพิเศษตรงที่ถ่ายออกมาแล้วมีจตุคามติดมาด้วย เอ้ย ไม่ใช่ๆ ตรงที่มันเหมือนรูปนูนสูงต่างหาก แจ่มๆๆๆเดินไปเดินมาก็มาถึงสนามหลวงเดินจนครบล่ะ กลับไปที่ภาคใต้ดีกว่า กำลังแสดงอะไรเนี่ยอ่า กำลังตีไก่กันนี่เอง อะจ๊ากกกก !!!!ได้ผู้ชนะแล้วและสุดท้ายย ปิดด้วยการรำพัดภาพถ่ายที่เก็บมาก็คงจะหมดเพียงเท่านี้ แต่ผมก็ยังไม่กลับ เนื่องจากเจอเวทีของทาง ททท. ที่มาให้ร่วมสนุกตอบคำถามแจกรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ผมก็เลยยืนเก็บๆเล็กเก็บน้อยจนงานเลิกเลยทีเดียว (ได้หนังสือมาครบเซ็ทเลยล่ะ อิอิ)
~~ 19 - 20 พฤษภาคม 2550 อัมพวา ~~
ทริปนี้ขับรถไปเอง ไปพักโฮมสเตย์ริมคลองอัมพวา 2 วัน 1 คืน โดยวันแรก วิ่งไปทางเส้นเพชรเกษม ไปถึงราวๆ บ่ายกว่าๆ ก็เอาของเข้าไปเก็บที่พักที่เรือนสบาย โฮมสเตย์ แล้วก็ออกไปเดินเล่นตลาดยามเย็นบริเวณคลองอัมพวา ก่อนจะไปเดินเล่น ก็มาจองเรือไปชมหิ่งห้อยไว้ก่อน เลือกรอบดึกสุด จะได้เห็นชัดๆ คนละ 60 บาทแม่ค้าขายขนมไทยจ่ามงกุฎ ของโปรด พอๆ กับทองเอกร้านโปสการ์ดและของที่ระลึก ที่อยู่ของจิตใจบ้านไม้โบราณสไตล์ตะวันตก บริเวณปาดคลองบรรยากาศตลาดริมน้ำที่เริ่มคึกคักขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มน้อยลงไปถ่ายมะหมาทำไมหว่าตรูฝนเริ่มตก จึงต้องเริ่มกลับออกมาอีกทีก็หัวค่ำ เตรียมตัวไปชมหิ่งห้อย มาดูบรรยากาศกลางคืนบ้าง คนยิ่งเยอะเข้าไปอีกโรตีโบราณ (ทำไมอะไรๆ เดี๋ยวนี้มันต้องโบราณหมดเลยหว่า)บรรยากาศยามค่ำเมื่อได้เวลาไปชมหิ่งห้อย เราก็ลงเรือหางยาวแล่นออกไปทางท้ายคลองอัมพวา ผ่านโฮมสเตย์หลายๆ แห่ง ลัดเลาะไปเรื่อยๆ ซึ่งตลอดทาง ก็มีหิ่งห้อยเกาะอยู่ที่ต้นไม้อยู่เรื่อยๆ ตามริมฝั่ง ดูสวยงามทีเดียว บางต้นเกาะอยู่เยอะมากจนพูดติดตลกว่า "ถ้าแถวนี้ไฟดับ พุ่มนี้มันจะดับไปด้วยไหมเนี่ย อิอิ" เรือก็แล่นไปเรื่อยๆ จนออกแม่น้ำแม่กลอง แล้วก็วิ่งเลาะริมตลิ่งชมหิ่งห้อยมาเรื่อย จนวนกลับมาถึงคลองอัมพวาด้านทางปากคลอง แล้วก็เข้ามาจอดส่งเราที่ท่าเรือเดิมตอนราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง เราก็แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือมื้อค่ำก่อนกลับไปนอนรุ่งเช้า เราก็ตื่นกันแต่เช้า 6 โมง มาใส่บาตรพระที่พายเรืออกมารับบิณฑบาตร ตาม concept ของการมาพักที่อัมพวา ตัดมาตอนเช้า (เพราะกลางคืนถ่ายหิ่งห้อยยาก เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดู) ที่พักของเรา "เรือนสบาย"ดูสดใส เรียบง่าย (ให้ 7 เต็ม 10 โดนลบเพราะห้องน้ำรวม ต้องต่อคิวเข้า )เดินกลับกันล่ะ วันที่สอง เราไปตระเวนไหว้พระกัน โดยวัดแรกเราไปกันที่วัดกุฎีทอง ที่มีเรือนไม้สักทอง แต่เนื่องจากไม่ค่อยโดนจึงไม่ได้นกกล้องขึ้นม่ถ่าย แค่ทำบุญไหว้พระแล้วก็ออกไปต่อวัดที่สองกันต่อเลย ซึ่งเราก็ไปกันที่วัดบางแคน้อย ซึ่งเป็นวัดที่มีโบสถ์ประดับไม้แกะสลักภายในสวยงามมากๆ ภายนอกอุโบสถประตูไม้ก็สวยงามแล้วภายใน วิจิตรจริงๆ8083 เพดานตั้งด้านหลังออกประตูกันล่ะจากนั้นเราก็ไปกันที่วัดบางกุ้ง ซึ่งเป็นวัดที่มีโบสถ์ในต้นไม้ และเป็นที่ตั้งของค่ายบางกุ้ง ซึ่งมีประวัติว่า สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้มาตั้งทัพรับศึกพม่าที่นี่อนุเสาวรีย์ค่ายบางกุ้งโบสถ์ในต้นไม้ขอบขัณฑสีมามองเข้าไปในโบสถ์ชุดเกราะแบบทหารจีนหลังจากเราออกจากค่ายบางกุ้ง ก็เที่ยงแล้ว แต่ก็ยังขับรถถ่อไปกินมื้อเที่ยงกันถึงดอนหอยหลอด ไปนั่งปูเสื่อกินส้มตำกันริมทะเล(ไม่มีตังกินซีฟู้ดอ่ะ แพง)ดอนหอยหลอด มีท่าเรือซึ่งรับนักท่องเที่ยวไปชมวิว และพาไปหยอดหอยหลอดมุมไกลมาหน่อยนึงเหงานะพี่ด้านข้างเป็นร้านอาหารซีฟู้ดราคาแพงเลยล่ะ หลังจากอิ่มกันแล้ว ก็มาไหว้พระกันต่อที่วัดศรัทธาธรรม วัดนี้มีโบสถ์ไม้สักฝังมุกที่งดงามทีเดียวผนังไม้ฝังมุกภายนอกก็สวยเหมือนกันเต๊นท์ที่เห็นน่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นจตุคามนะเนี่ยออกจากวัดศรัทธาธรรมแล้ว ก็ไปต่อที่วัดเพชรสมุทรวรวิหาร หรือวัดบ้านแหลม ไปไหว้หลวงพ่อบ้านแหลมที่ขึ้นชื่อ จากนั้นก็วิ่งรถกลับมาตามเส้นเดิม ผ่านทางเข้าตลาดอัมพวา แล้วก็กลับรถเพื่อเข้าวัดจุฬามณีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปชมความสวยงามภายในโบสถ์ภายในโบสถ์ ได้ตั้งศพของเจ้าอาวาสที่เพิ่งมรณภาพไว้ในโลงแล้วให้ผู้คนได้มาเคารพกันด้วยภายในล้วนงดงามและวัดสุดท้ายที่เราไปกันก็คือเจริญสุขารามวรวิหาร ไปนมัสการหลวงพ่อโต เข้าไปไหว้พระกันประตูกลางบ้างถายนอกโบสถ์(คนละโบสถ์ที่ไหว้พระนะ)จากนั้นเราก็ขับรถกลับบ้านกันด้วยใจที่อิ่มบุญ ไหว้พระไปตั้ง 7 วัด ใครเข้ามาดู ก็แบ่งบุญแจกจ่ายกันไปด้วยนะครับสาธุ............