~~ 3 - 5 มีนาคม 2550 อช.หาดวนกร อช.หมู่เกาะชุมพร อช.เขาสามร้อยยอด ~~
ทริปนี้ขับรถไปเอง ออกจากกรุ่งเทพตั้งแต่ตี 5 แวะพักเที่ยวไปเรื่อย จนถึง อช.หมู่เกาะชุมพร แล้วก็นอนพักบ้านพักของ อช. บนเขา พักอยู่ 2 คืน แล้วก็ขับรถกลับกัน ถึงกทม. ราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง หลังจากออกจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืด ก็ไปดูอาทิตย์ขึ้นที่ปั๊มน้ำมันแถวๆ เพชบุรีแล้วก็ไปแวะกันจุดแรกที่วักห้วยมงคล ไหว้หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่กันหน่อยคนเยอะแต่เช้าเลยของดังของวัด ไม่พ้นจตุคามรามเทพ แต่เห็นโฆษณาแล้ว เฮ้อ.....เซ็ง หากินกันไปได้หลังจากออกจากวัดห้วยมงคลราวๆ 9 โมงครึ่ง ก็ไปถึง อช.หาดวนกร ถึงแม้หาดจะไม่สวยนัก แต่ก็เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ ไปถึงตั้งแต่ 11 โมง ก็พักกินข้าวเที่ยงแล้วก็นอตากอากาศกันจนถึงบ่ายกว่าๆ ถึงจะเริ่มเดินทางต่อเริ่มจากป้ายก่อนเลยคนน้อย เงียบ สงบต้นสนร่มรื่นหลังจากนอนพักเอาแรงแล้วก็ออกเดินทางต่อยาวจนถึง อช.หมู่เกาะชุมพรเลย ซ฿งกว่าจะไปถึงก็ เกือบจะ 5 โมงเย็นแล้วป้ายเป็นพิธีตามสูตรทางเดินไม้ข้ามแนวป่าโกงกาง ไปสู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ได้บรรยากาศดีมากๆหลังจากติดต่อเรื่องห้องพัหเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเดินเล่นยามเย็นตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งที่นี่ นับว่าเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ที่ดีมากๆ ที่นึง เพราะนอกจากจะมีแผ่นป้ายให้ความรู้ตามเส้นทางแล้ว ก็ยังมีการจัดรูปแบบการนำเสนอทั้งเป็นเกมให้เล่น และยังมีการใส่เทคโนโลยีป้ายพูดได้เข้าไปอีกด้วย นับว่าเป็นศูนย์การศึกษาธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมทีเดียว(ขภัยที่ไม่ได้ถ่ายป้ายเหล่านั้นมาให้ดูกันนะ ลองไปดูเองแล้วกัน แล้วจะชอบ)เดินไปตามเส้นทางเรื่อย จนถึงปากน้ำอีกฝั่งมีสะพานอย่างดีซะด้วยหลังจากที่เดินกันจรครบเส้นทางแล้ว ก็ออกไปกินมื้อเย็นกันที่หาดทรายรี กินอาหารกันริมทะเลพอค่ำ ก็เห็นแสงเขียวๆ ของเรือที่พานักท่องเที่ยวออกไปไดหมึกกันเต็มไปหมดเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ออกไปดำน้ำกันโดยจะไปกัน 4 เกาะ ก็คือ เกาะลังกาจิว เกาะละวะ เกาะหลักแรด และเกาะมาตรา เกาะลังกาจิว เป็นเกาะที่เป็นสัมปทานรังนก ขึ้นไปเหยีบหาดได้ แต่ก็ห้ามขึ้นไปมากกว่านี้เกาะแรด อยู่เบื้องหลัง เราขับผ่านมา เพราะเราจะไปดำที่เกาะหลักแรดที่อยู่ข้างๆ จุดนี้ ดอกไม้ทะเลเยอะมากๆ เรียกว่าทุ่งดอกไม้ทะเลเลยล่ะสุดท้ายที่เกาะมาตรา เกาะนี้ลุงขาวคุมอยู่ เพราะแกมาอยู่ตั้งแต่ก่อนจัดตั้ง ที่ตรงนี้แกเลยมีสิทธิ์ครอบครองจนกว่าแกจะตายล่ะ ให้กางเต๊นท์ได้(บนหาดหินนะ เหอๆ) แล้วก็มีกะต๊อบให้เช่าด้วยหมาของแก ตัวอย่างใหญ่เลยอ่ะหาดแนวตั้ง หินเป็นก้อนๆ เลยมีท่าเรือด้วยนะปลาเนื้ออ่อนเป็นฝูงเลยหลังจากกลับจากดำน้ำ ก็ขึ้นไปบนบ้านพักอาบน้ำแต่งตัวไปที่หาดทรายรีกันอีก คราวนี้ไปเพื่อไปเคารพกรมหลวงชุมพรฯที่ศาลบริเวณหาดทรายรียังไม่มืดก็เลยเอาภาพมุมบนมาให้ชมได้ วิวมองเห็นสะพานในเส้นทางศึกษาธรรมชาติเลย จะเห็นว่า บริเวณนี้เป็นป่าชายเลนที่กว้างขวางมากๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมปลาจึงเยอะมาถึงหาดทรายรีแล้วเรือ........จำชื่อไม่ได้ แหะๆหลังจากเคารพท่านด้านล่างแล้วก็เดินขึ้นไปศาลด้านบนเขาบ้างหาดทรายรีมุมบนศาลาด้านบนมีทหารรักษาการณ์ตลอด 24 ชม.วันรุ่งขึ้น เราก็เดินทางกลับกัน โดยวันนี้ เราก็แวะกันที่ อช.เขาสามร้อยยอด โดยไปกันที่หาดสามพระยาก่อนหาดสามพระยา ไม่สวยเท่าหาดวนกร ทั้งเรื่องชายหาดและสีของน้ำ แต่ก็เงียบสงบมากๆต่อจากหาดสามพระยา เราก็มุ่งหน้าเพื่อจะไปถ้ำพระยานครหาดตรงทางมุ่งสู่ถ้ำพระยานคร เรียบๆ แต่ร้านค่าค่อนข้างเยอะ เพราะใกล้สถานท่องเที่ยวดังระหว่างเดินไปถ้ำพระยานครมอลงมามุมสูงตรงจุดชมวิวด้านบนทางเดินไปถ้ำชายหาดฝั่งขวา เป็นชายหาดปิด ไม่มีถนนเข้ามา เป็นที่ตั้งของถ้ำพระยานครเดินขึ้นเขาอีกลูก เพื่อเข้าสู่ตัวถ้ำ จนเจอน้ำตกแห้งแถวๆ ทางเข้าถ้ำตรงนี้เรียกว่า สะพานมรณะเจอแล้ว พระที่นั่งมุมยอดฮิต แต่ไม่สวยที่สุด เพราะว่ามาตอนเย็น แสงไม่ค่อยดี จะให้สวยต้องมาราวๆ 11 โมงพระที่นั่งด้านหน้าบ้างหลังจากกลับออกมาจากถ้ำพระยานครแล้ว ก็เย็นเกินกว่าจะไปแวะที่ถ้ำอื่นๆ จึงไม่มีภาพมาให้ชมกัน เราก็เลยขับกลับกรุงเทพฯกันเลย โดยกลับมาถึงกันตอน 3 ทุ่มครึ่งสรุปแล้ว คราวนี้ เราเดินทางกันทั้งหมดราวๆ 1300 กม.จ่ายค่าห้องพักของ อช. ไปคืนละ 600 บาท เป็นห้องพัดลม อากาศตอนกลางคืนเย็นสบาย เพราะอยู่บนเขา วิวสวยใช้ได้เลยทีเดียว มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ทั้งเครื่องทำน้ำร้อนแบบแก๊ส ที่โถงกลางก็มีน้ำร้อน น้ำเย็น ทีวี ไว้ให้บริการด้วยร้านอาหารของอุทยาน ถ้านักท่องเที่ยวไม่เยอะ ก็จะไม่เปิดบริการ เลยต้องไปหากินที่หาดทรายรี หรือจะหาซีฟู้ดมาเผากินกันก็ได้การออกไปดำน้ำ จะเป็นเรือของเอกชนแต่ราคาทางอช.จะกำหนดไว้ โดยมีเป็นโปรแกรมหลายๆ แบบ เฃือกได้ตามชอบ โดยจะต้องเช่าเป็นแบบเหมาลำ ถ้าจะไปค้างบนเกาะมาตราก็ต้องคุยกับทางเรือไว้ด้วยข้อมูล อช.เขาสามร้อยยอดการไปถ้ำพระยานคร ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ในหาดปิด คือมีเขาล้อมรอบ ไม่มีถนนเข้าได้ จะต้องข้ามเขาหรือไม่ก็นั่งเรือไปที่หาดก่อนแล้วจึงเดินขึ้นเขาไปเข้าถ้ำ ระหว่างทางไปถ้ำ จะเจอค่างแว่นได้ง่ายๆ เลยโดยการเดินทางไปถ้ำนั้น หลังจากเข้าอช.แล้ว ไปตามเส้นทางในอช.จะมีป้ายบอกไว้ จนไปถึงหาด(จำชื่อไม่ได้) จะมีร้านค้ามากมาย และมีเรือรับจ้างแบบเหมาลำ ไป-กลับ ในราคา 250 บาท นั่งได้ 10 คน แต่ถ้าไม่อยากเสียเงิน ก็สามารถเดินไปได้ โดยไปทางขวาของหาด จะมีบันไดปูนขึ้นเขาไป และป้ายบอกทาง ให้เดินขึ้นไป ระยะทางประมาณ 450 ม. เป็นทางข้ามเขา เพื่อไปสู่หาดหน้าถ้ำเมื่อไปถึงหน้าหาดก็จะมีร้านค้าของอุทยานอยู่ ให้พักเติมพลัง ก่อนจะเดินขึ้นเขาอย่างเดียวระยะทางประมาณ 400 ม. ไปสู่ถ้ำพระยานคร ซึ่งถ้าอยากจะเจอช่วงเวลาที่สวยที่สุด ควรไปให้ถึงถ้ำราวๆ 10-11 โมง แสงจะลอดลงมาตรงพระที่นั่งพอดีจบแล้วครั้ง
~~ 20 - 21 มกราคม 2550 แก่งกระจาน ~~
ไปคราวนี้ไม่ได้ชวนใครมากมาย ขับรถไปกันเอง 4 คน ออกจากบ้านราวๆ 7 โมง ไปถึงก็เกือบเที่ยงล่ะ แถมอดขึ้นไปต้างที่พะเนินทุ่ง เพราะต้องจองล่วงหน้า หนึ่งวันที่นั่นเลย (เหมือนบังคับให้ค้างข้างล่างคืนนึงเลยอ่ะ) แต่ก็ยังได้ขึ้นไปตอนเช้า แล้วก็กลับลงมาตอนบ่ายลองมาดูกัน ว่าไปแก่งกระจานมา พอจะมีอะไรให้ดูมั่งเริ่มจากไปถึงที่แก่งกระจานตอนเที่ยงๆ กินข้าวกันแล้วก็ขับรถไปที่บ้านกร่างกันเปิดรูปด้วยป้ายเป็นพิธีเจ้าแมงมุมตัวนี้แปลกดี เจอที่บนบ้านกร่างที่นี่ผี้เสื้อเยอะ เป็นจุดดูนกและผีเสื้อที่นิยมกันมากทีเดียวว่าแล้วก็เจอนก พอถ่ายมาไปถามว่านกอะไร เขาก็ตอบว่า นกปรอท นกพื้นๆ ที่นี่มีเยอะ -_-ผีเสื้ออีกแล้วน้องกระแต...........แต้แว้ดกลับลงมาถึงริมเขื่อนที่กางเต๊นท์กันไว้ ก็หัวค่ำพอดีพอรุ่งเช้า ก็เหมารถกันขึ้นไปพะเนินทุ่งตั้งแต่ตี 5 แต่กว่าจะไปถึง ก็ 7 โมงกว่า (รถติดบนเขาอ่ะ เป็นเรื่องปกติของที่นี่ เหอๆ)ทะเลหมอกยามเช้าบนจุดชมวิวพะเนินทุ่งหลังจากชมวิวกันแล้ว เราก็ไปหาซื้อเสบียงมื้อกลางวันที่ร้าน แล้วก็ไปเดินเข้าน้ำตกทอทิพย์กันทางเข้าน้ำตกเดินกันระยะทาง 3 กิโล แต่มีแต่ขึ้นกับลง แทบไม่มีทางลาด ก็เลยกว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อยเลย ใช้เวลาเดินราวๆ 1 ชม. ก็มาถึงน้ำตกทอทิพย์ มีทั้งหมด 9 ชั้น แต่เราไปแค่ชั้นที่สวยที่สุดคือ ชั้น 5น้ำตกทอทิพย์ชั้น 5ถ่ายแบบแนวนอนมั่งมีผีเสื้อเยอะเหมือนกัน แถวๆ น้ำตกนี่สวยดีนะผีเสื้ออีกแล้วขากลับออกมาเจอตั๊กแตนตัวอ้วนเชียวกลับออกมาแล้วเพิ่งจะถ่ายรูปป้ายทางเข้าขาออกมาแวะจุดชมวิว กม.ที่ 36 สักหน่อยแนวตั้งดูบ้างห้องน้ำก็ยังมีผีเสื้อก่อนจะลง ถ่ายป้ายพะเนินทุ่งซะหน่อยระหว่างลงมาจากพะเนินทาง ผ่านบ้านกร่าง พี่คนขับรถก็แวะให้กลางทาง เพราะมีของดีๆ ให้ดูต้นกระโถนพระราม นี่เองแบบเกือบบานและแบบยังตูมอยู่กลับมาถึงริมเขื่อนๆ อาทิตย์ตกพอดีขอเต๊นท์เข้าฉากมั่งยามค่ำก่อนกลับแล้วเราก็เดินทางกลับกัน โดยแวะกินมื้อเย็นที่เพชรบุรีแล้วก็มาถึงกทม.กันราวๆ 5 ทุ่ม
~~ 31 ธันวาคม 49 - 3 มกราคม 50 หมู่เกาะสุรินทร์ รอบที่สาม ~~
ปีใหม่ที่ผ่านมา หลบเพื่อน หนีแฟน ไปเกาะสุรินทร์คนเดียวซ้าหน่อย เก็บรูปมาฝากนิดนึง ไม่ค่อยมีไรให้ถ่าย เพราะไปรอบที่สามแล้ว เลยนึกรูปจะถ่ายไม่ค่อยออก ลองดูๆ ไปแล้วกันนะ เริ่มต้นคราวนี้ โดยการขึ้นรถทัวร์ของภูเก็ตเซ็นทรัลทัวร์ รอบ เกือบๆ ทุ่ม ในราคา 551 บาท ไปถึงคุระบุรีราวๆ ตี 4 กว่า นั่งรอเวลาที่ซาบีน่าทัวร์ไปท่าเรือกันตอน 7 โมงเช้า โดยสัก 6 โมง ก็เดินไปตลาดข้างๆ กินข้าวต้มปลาก่อนพอไปถึงท่าเรือ ก็จัดการเรื่องตั๋ว โดยคราวนี้อยากไปเร็วๆ เลยขอเพิ่มเงิน อีก 200 เพื่อไป speed boat เฉพาะขาไป (จากราคาเต็ม 1400 ที่รวมค่ารถขากลับแล้ว) จากนั้นก็ไปทำเรื่องขอขึ้นเกาะที่ทำการอุทยาน ได้ใบเหลืองมาไว้ยื่นให้ที่เกาะ คราวนี้ก็พักที่เดิม คืออ่าวไม้งามยามเช้า ณ ท่าเรือ นกออกมารับแสงยามเช้าเรือประมงที่ไปหาปลามาเมื่อคืนก็เริ่มกลับมากันเรื่อยๆเมื่อถึงเวลา 8 โมงครึ่ง เรือ Speed Boat ก็เริ่มออกเดินทาง โดยไปถึงที่ช่องขาดราวๆ เกือบ 10 โมงเด็กนั่งทำอารมณ์เซ็งๆ มึนๆ อยู่ที่ท้ายเรือคนนี้ คงเป็นลูกของ staff สักคนของซาบีน่าแหละ มาถึงช่องขาดแล้ว น้ำใสๆ ระหว่างทางต่อเรือไปที่อ่าวไม้งามเมื่อมาถึงอ่าวไม้งามแล้ว ผมก็ตรงไปหาที่กางเต๊นท์ก่อนเลย จากนั้นก็มายื่นใบเหลืองให้ จนท. เพื่อไว้ให้เค้าเช็คบิลก่อนเรากลับ และลงชื่อเพื่ออกดำน้ำตอนบ่ายมาถึงแล้ว อ่าวไม้งาม ป้ายนี่ขาดไม่ได้สักทีหาดเรียบๆ ไม่มีคนเลย เพราะออกไปดำน้ำกันหมดหน้าจุดกางเต๊นท์ของผมไปเดินเล่น เจอต้นโกงกางเพิ่งออกจาฝัก คาดว่าเป็นฝักที่เพื่อนในชมรมรักษ์เกาะสุรินทร์มาปักไว้เมื่อกลางเดือน ธค. เพื่อช่วยขยายแนวป่าชายเลน แล้วเราก็ไม่ลืมที่จะเอาอย่าง ฮี่ๆจากนั้น พอตอนบ่าย 2 ก็ออกไปดำน้ำตามที่ลงชื่อไว้ พอกลับมาตอนเย็น ก็แบกกล้องพร้อมขาตั้ง เดินไปที่หาดกระทิง เพื่อรอเก็บภาพอาทิตย์ตกโดยอ่าวกระทิงจะอยู่ระหว่างทางเดินศึกษาธรรมชาติของช่องขาด-หาดไม้งาม ใช้เวลาเดินไป-กลับ ราวๆ 3 ชม. แต่ไปอ่าวกระทิงก็ราวๆ ครึ่ง ชม.อาทิตย์ตก เหลืองเชียวปูเสฉวนขนาดจิ๋ว กำลังปีขึ้นขอนไม้กัน เหมือนแข่งกันอยู่เลย อิอิอาทิตย์ตกแบบมุมกว้างหลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น ก็ดำน้ำทั้งวัน และอีกวันก็ดำน้ำช่วงเช้า จนครบทุกจุดแล้ว ผมก็ขอลงที่ช่องเขาขาดเพื่อกินมื้อเที่ยงที่นี่แล้วจึงเดินกลับตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติสัญลักษณ์ของชาวมอแกนเขาล่ะหน้าหาดช่องเขาขาด ด้านหน้าถ่ายป้ายที่เขาขาดซะหน่อยเสาอันนี้เป็นเด็กผูหญิงนะเนี่ยหน้าโรงอาหารช่องขาดหน้าหาดช่องขาดฝั่งที่กางเต๊นท์ ยามน้ำลงหาดทรายทอดยาวเชียวเดินกลับไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติมาถึงหาดกระทิงหน้าหาด 200 ม. ป้ายข้อควรจำและปฏิบัติ เมื่อดำน้ำ อยากให้นำไปใช้ทุกที่เลยนะปูเสฉวนตัวใหญ่ยามค่ำคืนหน้าหาดเหมือนเดิม แต่มีฝรั่งมาให้ดูด้วยวันสุดท้าย ยามเช้า ออกไปดำน้ำหน้าหาดครึ้งสุดท้ายสักหน่อย หน้าหาดไม้งามคราวนี้เปลี่ยนไปกว่าปีที่แล้วมาก เพราะจากสึนามิ ทำให้ร่องน้ำเปลี่ยนทาง พัดทรายเข้ามาถมเต็มไปหมด โรงเรียนอนุบาลปลาหน้าหาด จึงหาดไปมาทีเดียว แต่ก็ยังดี ที่ยังพอมีเหลือเจ้าปลานีโม่ตัวจิ๋วให้ดู และก็ยังคงพบปลาสิงห์โตเหมือนเดิม แต่ปีหน้าไม่รู้จะเป็นยังไงพอดำน้ำจนสายๆ ก็ขึ้นจากน้ำไปกินมื้อเช้า แล้วก็ไปเก็บข้าวของเตรียมกลับตอนบ่ายช่องขาด ก่อนอำลาขากลับลงเรือเมล์ช้า ใช้เวลาราวๆ 2 ชม. ก็กลับมาถึงท่าเรือคุระบุรี แล้วก็รอขึ้นรถตอน 6 โมงเย็นกลับกทม. ถึงราวๆ ตี 4 ไปอาบน้ำเตรียมทำงานต่อเลย ภาพสุดท้ายก่อนจาก ใกล้ฝั่งสรุปไปคราวนี้ หมดไปราวๆ 3500 บาท เป็นค่ารถ+เรือ 2151 บาทค่าอาหาร ราวๆ 9000 บาทค่าดำน้ำ 280 บาทค่าธรรมเนียม ต่างๆ ราวๆ 320 บาทจบแล้วจ้า
~~ 2 - 5 ธันวามคม 2549 เชียงราย - เชียงใหม่ ~~
เที่ยวนี้ไปกัน 8 คน ออกเดินทางตอน 1 ทุ่ม จากกทม. แวะไปรับเพื่อนอีกคนที่อ.เทิง เชียงราย แล้วไปขึ้นภูชี้ฟ้ากัน กว่าจะถึงก็ 7 โมงกว่า อดเห็นอาทิตย์ขึ้นที่ภูชี้ฟ้าเลย ได้ดูแต่ตอนสาย ซะแล้ว แต่ถึงแม้จะสาย ภูชี้ฟ้าก็ยังมีทะเลหมอกให้ดู แล้วก็ยังสวยเหมือนกันนะภูชี้ฟ้ายามสาย แดดเปรี้ยงเชียวแต่ทะเลหมอกทะเลหมอกก็ยังไม่จางหายไปไหน มีทิวเขาแซมๆ อยู่ สวยเชียวแนวตั้งมั่งหลังจากนั้น เราก็ออกจากภูชี้ฟ้ากันราวๆ 8 โมงครึ่ง ทีแรกว่าจะแวะดอยผาตั้งด้วย แต่ดูแล้วจะไม่ทันกำหนด เลยข้ามไป มุ่งไปที่หอฝิ่นเลย โดยก่อนไปแวะกินมื้อเที่ยงกันที่ สามเหลี่ยมทองคำ เก็บรูปตุงสวยๆ มานิดนึงแล้วก็ไปหอฝิ่นกัน หอฝิ่น เป็นพิพิธภัณท์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับฝิ่นและยาเสพติดต่างๆ ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ผมได้เข้าไปชมแล้วอยากแนะนำให้ทุกโรงเรียนในประเทศพานักเรียนมาดูกันให้หมด รับรองว่า % การติดยาต้องลดลงฮวบฮาบแน่ๆ เลยอยากถ่ายภาพไว้ แต่เขาไม่ให้ถ่ายภายใน ก็เลยไม่ถือกล้องลงไปเลย จึงไม่มีภาพมาฝากกันนะเมื่ออกจากหอฝิ่น เราก็ไปต่อกันที่แม่สาย แวะช๊อปปิ้งกันหน่อย หมายมั่นปั้นมือว่าจะไปขน DVD มาดูสักหน่อย แต่เอาเข้าจริง กลับไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาเลยแฮะ งงเหมือนกัน เหอๆๆคลองกั้นเขตแนวชายแดนเข้าเขตพม่าแล้วหลังจากเราจับจ่ายกันเป็นที่พอใจ ได้เวลา 6 โมงเย็น ก็ต้องไปหาที่นอนกัน ที่เล็งไว้ก็คือ วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ไปถึงก็มืดซะแล้ว ก็กางเต๊นท์กัน ทำอาหารมื้อเย็นกินกัน แล้วก็แยกย้ายเข้านอน ตอนเช้าก็ต้องรีบเก็บข้าวของไปต่อที่ดอยตุง เลยไม่ได้เที่ยวในนั้นเลย เสียดายๆ แต่ก็ดีอย่างที่ไปกางเต๊นท์แบบไม่เสียซักกะบาท อิอิวันรุ่งขึ้น เราก็ไปกันที่ดอยตุง โดยไปที่สวนรุกชาติแม่ฟ้าหลวงกันก่อน ดอกไม้เยอะดีจริง ดูตามรูปเอาเลยนะกล้วยไม้ ชื่อห้ามถาม เพราะไม่รู้จักสักกะต้นอ่านตามป้ายเอาเลยดอกหญ้าก็ไม่เว้นเลย เราสีชมพูสวนเชียวต้นชมพูภูคา นอกจากที่นี่แล้ว ก็มีอีกแค่ที่อช.ดอยภูคา เป็นไม้ใกล้สูญพันธุ์แล้วจากนั้น เราก็ไปพระธาตุดอยตุงกันต่อแล้วก็ไปกันที่พระตำหนักดอยตุง โดยเริ่มกันที่หอพระราชประวัติ(ไม่มีรูปเพราะห้ามถ่าย) สวนแม่ฟ้าหลวง แล้วก็ไปสุดท้ายที่พระตำหนักดอกไม้ภายในสวนแม่ฟ้าหลวงมีกล้วยไม้ด้วย รองเท้านารีพันธุ์ไหนหว่าแปลงดอกไม้สวยๆปฏิมากรรมความสามัคคีแล้วก็ไปที่พระตำหนัก ห้ามถ่ายภาพภายใน ก็เลยได้ถ่ายแต่วิวที่มองจากพระตำหนักพอออกมาภายนอกแล้วถึงจะพอถ่ายได้ตุงบริเวณวงเวียนทางเข้าพระตำหนักหลังจากเที่ยวดอยตุงเสร็จ ที่หมายต่อไปก็คือ วัดร่องขุน แต่พอไปถึงก็มืดเสียแล้ว กลัวจะกางเต๊นท์ไม่ทัน จึงเปลี่ยนเป็นโปรแกรมช่วงเช้าแทน โดยไปกางเต๊นท์คืนนี้กันที่น้ำตกขุนกรณ์ ไม่เสียตังค์อีกแล้วครับ อิอิวัดร่องขุนยามเช้าสีทอง หมายถึงความสุขทางโลก นั่ก็คือสุขานั่นเองที่ทางเดินเข้าโบสถ์มีสะพานข้ามขุมนรกที่มีมือมาคอยขอส่วนบุญมียักษ์เฝ้าด้วย ชื่ออะไรก็จำไม่ได้สวยงามวิจิตรจริงๆมีโอกาสได้เจอ อ.เฉลิมชัย ตัวเป็นๆ ซะด้วย นั่งทักทายนักท่องเที่ยวอยู่ที่หน้าห้องน้ำหลังจากออกจากวัดร่องขุน เราก็มุ่งสู่เชียงใหม่ตามเส้นทางเวียงป่าเป้า แวะต้มไข่กันที่บ่อน้ำร้อนกันนิดหน่อย แล้วก็ไปที่สวนพฤกษ์ศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์กัน แต่กว่าจะไปถึงก็บ่ายโมงกว่าแล้ว จึงไม่มีเวลาเที่ยวมากนัก เพราะต้องไปดอยสุเทพกันอีกมาเริ่มกันที่เรือนกระจกเลยกระบองเพชรต่างๆแล้วก็ไปหยุดอยู่นานที่กล้วยไม้รองเท้านารีเยอะจริงๆอันนี้รู้ว่าเป็นฟ้ามุ่ยมีดอกบัวนิดนึงจากนั้นก็ไปต่อที่ดอยสุเทพ แต่ไปถึงก็มืดอีกซะแล้ว จึงไปกางเต๊นท์กันที่แถวบ้านพักของอุทยาน แล้วก็ไปเที่ยวไนท์ซาฟารีกัน(ไม่ได้เอากล้องลงไปเลยไม่ได้ถ่ายรูปอีกแล้ว) กลับมาก็เกือบตี 1 ก็เลยถ่ายรูปดาวดินก่อนนอนสักนิด แล้วตอนมาตอนเช้าก็เข้างานราชพฤกษ์กันเลยแสงไฟในเมืองมองเหมือนดาวบนดินทางเข้างานราชพฤกษ์ ณ เนินราชพฤกษ์ของที่ไหนหว่า สวนนี้เดินมาเรื่อยจนมาอยู่นานที่อาคารนี้ กล้วยไม้ทั้งนั้น ชอบๆๆรองเท้านารีอะไรไม่รู้ ถ่ายไว้ก่อน สวยๆ ทั้งนั้นฟ้ามุ่ย อีกแล้ว แจ่มๆๆอันนี้ แคทลียาดูกล้วยไม้จนอิ่มหนำแล้วก็มาเดินสวนานาชาติกันมั่ง อันนี้ โมรอคโคภายในหอชมวิวไกลๆสวนของเบลเยี่ยมสวนจีนฮอลแลนด์ ยอดฮิต คนล้นหลามที่ขาดไม่ได้ของฮอลแลนด์ ดอกทิวลิปมีดาวกระจายสีขาวด้วย สวยดีๆมาถึงญี่ปุ่นภูเขาไฟฟูจิยุคไหนหว่า เขียวเชียวแล้วก็มาถึง หอคำหลวงยักษ์หลับเวรอยู่ตัว ใครเห็นก็ต้องถ่ายไว้มุกด้านหน้าทางเข้าภายในหอคำหลวงเดินมาดูมุมไกลมั่งพอได้เวลาเย็นๆ ประมาณ 6 โมง ก็เริ่มมีการแสดงเทิดประเกียรติ เราก็ไม่พลาดที่จะตามถ่าย(สาวๆ) อิอิสวยอ่ะสวยๆทั้งน๊านนนนี่คืออะไรหว่าหอคำหลวงยามโพล้เพล้มีการจุดดอกไม้ไฟด้วยหอคำหลวงยามมืดราวๆ ทุ่มครึ่ง ก็มีการแสดงขบวนรถประดับไฟ สวยๆคันแรกผีตาโขนก็มีเต่าทองหน้าหื่นมาสคอทท์ประจำงาน ถ่ายมาแค่ตัวเดียว เจ้าคูน ก่อนจะกลับ ถ่ายไปเรื่อยต้นไม้หลายหลากสีที่ทางออกปาล์มขวดยามค่ำคืนกับดวงจันทร์จากกันด้วย เนินราชพฤกษ์ยามค่ำคืนหลังจากออกจากงานก็ราวๆ เกือบสามทุ่ม พวกเราก็รีบกลับกทม.กันเลย เพราะว่าตอนเช้า เราต้องทำงานต่อกันอีก กลับมาถึงกทม. ก็ตี 5 กว่าๆ เคลียร์เงินที่เหลือกัน สรุปว่าหมดไปคนละ 3000 บาทพอดี แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงาน จบ....สวัสดีครับ
~~ 22 - 23 ตุลาคม อช.เขื่อนศรีฯ - เอราวัณ ~~
ทริปนี้ออกสตาร์ทตอน 6 โมงครึ่ง แล้วก็เช่นเดิมเหมือนเหมือนที่อตนไปสังขละ คือแวะกินข้าวเช้าที่นครปฐมตอน 7 โมง แต่คราวนี้ไปตรงกับช่วงกินเจพอดี ก็เลยเข้าร้านอาหารเจเลย ร้านนี้ อาหารจานละ 15 บาท บริการตัวเอง ตักแค่ไหนก็ 15 บาท ถูกซ้า แถมอร่อยซะด้วย อยู่แถวๆ ตลาดตอนเช้าแถวถนนเรียบคลองแหละ อิ่มกาย สบายใจ แล้วก็เดินทางต่อ 7 โมงครึ่ง ออกเดินทางต่อตามเส้นทางเพชรเกษม แล้วเข้ากาญฯ ใช้เส้นทางเลี่ยงเมืองไป เพื่อไปเขื่อนศรีนครินทร์ พอถึงแยกเขื่อนฯ ก็เลี้ยวขวาขึ้นไป อ.ศรีสวัสดิ์ (เพราะรถกระป๋องอ่ะ ไม่กล้าลุยเส้นถ้ำพระธาตุ) จน 10 โมงครึ่ง ก็มาถึงแพขนานยนต์แพแรก ใครไม่ใช้ริการ ก็อ้อมไปอีกหลายสิบโล กว่าจะมาบรรจาบอีกฝั่งเน้อ ค่าบริกาม 60 บาท กับเวลา 15 ยาทรบนแพ เพื่อย่นเส้นทางไปได้เยอะเลยหลังจากลงจากแพแรกแล้ว ก็ขับต่มาเรื่อยๆ จนถึงอ.ศรีสวัสดิ์ แล้วก็เลี้ยวเข้าไปสู่แพต่อที่สอง ทางเข้ากลายเป็นลูกรังซะแล้ว แต่สภาพยังดีอยู่ ก็ยังใช้ความเร็วได้บ้าง แพนี้เสียอีก 170 บาท กับเวลา 45 นาทีวิวเกาะกลางน้ำ มีแพที่พักซะด้วยหลังจากขึ้นจากแพแล้ว ก็เข้าสู่เขตของ อช.เขื่อนศรีฯ เส้นทางลูกรัง สภาพเป็หลุมเป็นบ่อเป็นช่วงๆ จนถึงศูนย์ฯ เราแวะเก็บตราประทับที่นี่ก่อน แล้วจึงขับตามที่จนท.บอกทมางว่ามีทางขึ้นไปตรงชั้นที่สี่ได้เลย แต่สภาพนั้น .... ไม่น่าเชื่อว่ากระป๋องของเราจะผ่านมาได้ แบบว่า.....ทั้งชัน ทั้งหลุม บางทีก็เป็นร่องน้ำเซาะเลยอ่ะ แต่ก็ผ่านมาจนได้ มาถึงก็บ่ายแล้ว ก็จัดการมื้อเที่ยงซะก่อน แต่เจแตกซะแล้ว เพราะไม่มีให้เลือกง่ะ จากนั้นก็ไปกางเต๊นท์จองที่กัน ก่อนจะเริ่มเดินไปเก็บรูปน้ำตกซะที เริ่มที่ชั้นสี่กันเลยชั้นที่สี่ ฉัตรแก้ว อย่างสวย.....อีกสักมุมแล้วเราก็เลือกที่จะลงชั้นล่างก่อน ไปที่ชั้นสามชั้นที่สาม วังหน้าผาแล้วก็ไปชั้นสองชั้นที่สอง ม่านขมิ้นแล้วก็เดินลงต่ออีก ระหว่างทางเจออีกหน่อย ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนบนของชั้นที่หนึ่งนั่นเองแล้วก็มาถึงชั้นหนึ่งชั้นหนึ่ง ดงว่านดินลง แล้วก้ต้องเดินขึ้นกลับขึ้นไปที่ชั้นสี่ ไปพักเติมพลังกันสักแป๊บ แล้วก็เริ่มเดินขึ้นด้านบนกันต่อ ไปที่ชั้นห้าชั้นที่ห้า ไหลจนหลง เพราะเป็นชั้นเดียวที่ออกนอกเส้นทางมาแล้วไหลหายไปใตดิน ก่อนจะย้อนไปบรรจบกันที่ปลายสายแล้วก็ไปถึงชั้นที่หก อย่างสวยเลยชั้นนี้ ไม่รู้จะบรรยายยังไง ดูกันเอาเองชั้นที่หก ดงผีเสื้ออีกมุมมุมนี้ สุดยอดดดดดแสงอาทิตย์ยามเย็นเป็นลำสีทอง ทอสายแทรกผ่านผืนป่า มากระทบกับละอองของสายน้ำตก ที่กระเซ็นฟุ้งอยู่บนกลุ่มหิน ดูเป็นประกายระยิบระยับ โอว.........บรรเจิดอีกสักที ก็งามแต้ดื่มด่ำ กับชั้นที่หกจนพอใจ แล้วก็มาต่อที่ชั้นสุดท้าย ชั้นที่เจ็ดชั้นที่เจ็ด ร่มเกล้าดูหมดทุกชั้นแล้ว ก็กลับไปพัก เช้ามาก็ตื่นแต่เช้า ดูอาทิตย์ขึ้นซ้าหน่อยหันไปเก็บอย่างอื่นมั่ง กระรอกออกหากินยามเช้าหลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินทางต่อแล้ว เราก็เก็บเต๊นท์ อพยพลงมา ไปจุดหมายต่อไปกัน ก่อนกลับ ก็ตามล่าป้ายกันแล้วก็ออกมาต่อแพกลับกัน เก็บวิวมาอีกหลังจากต่อแพ มาสองต่อ วิ่งกลับมาจนถึงแยกเชื่อนศรีฯ แล้วเลี้ยวเข้าเขื่อนศรี ก็วิ่งเลี้ยวซ้ายมาสู่ตลาดเอราวัณ ใช้เวลาตั้งแต่ลงจาก อช.เขื่อนศรีฯมา ก็ร่วม 4 ชม. มาถึงตอนบ่าย ก็แวะกินมื้อเที่ยงที่นี่ ก่อนจะขับขึ้นด้านบนสู่อช.เอราวัณตลาดเอราวัณมาแล้วก็ต้องไม่ลืมป้ายซะหน่อยมาดูน้ำตกแต่ละชั้นกันดูระยะจากป้าย ถ้ารวมกับระยะทางเข้า ก็เท่ากับระยะของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นพอดีเลย 2.2 กม.เท่ากันเนื่องจากเป็นวันหยุด ทำให้คนมาเล่นน้ำกันเยอะมากๆ เราเลยตัดสินใจ เดินขึ้นไปชั้นบนสุดก่อน แล้วจึงไล่ถ่ายลงมาเรื่อยๆ เผื่อคนจะน้อยลงบ้าง ใช้เวลา ชม.กว่า ถึงจะเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด ความชันต้องบอกเลยว่า น้องๆ ภูกระดึง ระยะสั้นกว่า แต่ก็ชันเกือบตลอดตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไป มาถึงก็เริ่มเก็บภาพตั้งแต่ชั้นเจ็ด เสียดายอยู่อย่าง ที่มัวแต่ถ่ายน้ำตก จนลืมถ่ายป้ายผู้พิชิตที่ปักไว้ด้านบนมาด้วยภูผาเอราวัณอีกมุมมาที่ชั้นหก ดงพฤกษา ก็เลยโดนต้นไม้บังซ้าหมดเลยอ่ะ แหะๆมาที่ชั้นห้า เบื่อไม่ลงจริงๆ ชั้นนี้ เพราะมันชื่อเบื่อไม่ลงไง เอ้ย ไม่ใช่ๆ เพราะมันใสขนาดนี้ น่าเล่นน้ำจนเบื่อไม่ลงจริงๆแถมยังสวยอย่างนี้ ทั้งสวย ทั้งใส ใครจะเบื่อลง ใช่ป่ะ อิอิ ตรงนี้ไม่ใช่ชั้นอะไร แต่เป็นที่ๆ น้ำใสมากๆ น่าเล่น แต่ไม่ยักกะมีใครลงไปเล่น เพราะอะไรน่ะเหรอ ... ดูทางซ้ายจิ เห็นผ้าพันอยู่มั้ย นั่นคือผ้าสามสี พันอยู่บนต้นตะเคียนยักษ์ ใหญ่ขนาดราวๆ 3 คนโอบ สูงลิบเลย ซึ่งเป็นที่มาของสระนี้ ที่ชื่อว่า สระแก้วนางตะเคียน แล้วใครมันจะกล้าลงไปเล่นล่ะเนี่ย ปล.ถ่ายมาแบบเบลอๆ เพราะไม่ใช้ขาตั้งอ่ะ ไม่ใช่เพราะสั่นกลัว หรืออาถรรณ์อะไรหรอกนะสระแก้วนางตะเคียนส่วนตรงนี้ ก็ไม่ใช่ชั้นอะไร แค่ทางผ่านเท่านั้น ก็ยังสวยใช่ม๊ะ น้ำใสมากๆลงมาถึงชั้นที่สี่ อ่านชื่อแล้วจะนึกภาพออกเลยนะ ชั้นนี้ ตอนลงมาถึงชั้นนี้ ก็ 4 โมงพอดี จนท.เริ่มไล่คนขึ้น แต่คนก็ยังไม่ยอมขึ้นกัน ส่วนมากจะเป็นพวกฝรั่งทั้งนั้น กำลังมันกับสไลด์เดอร์ จนท.ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมขึ้น แรกๆ อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอดูๆ ไปมันก็ฟังรู้เรื่องนี่หว่า แต่ไม่ยอมขึ้นกัน เฮ้อ... เซ็ง คนยังเต็มอยู่เราก็รอๆๆ จนไปกันหมด เลยได้ภาพนี้น้ำตกแบบไม่มีคนมาจนได้ ฮี่ๆตรงนี้ ชั้นสาม ผาน้ำตกแล้วก็ชั้นสอง วังมัจฉา เพราะมีปลาเยอะมาก อยู่ตามริมน้ำ รอเราให้อาหารแล้วก็ชั้นที่หนึ่ง ไหลคืนรัง แต่ละชั้นได้รูปมาแบบแทบไม่มีคน เพราะตอนไล่ลงมาเรื่อยๆ คนก็เริ่มกลับกันแล้ว ลงมาถึงชั้นหนึ่ง ก็ 5 โมงเย็นพอดีเลย ก็เลยว่างขนาดถ่ายได้สบายๆก่อนออก ก็ถ่ายป้ายอีกสักหน่อยจากนั้นก็ขับรถไปที่สันเขื่อนศรีฯ เพื่อดูวิวยามเย็นออกเดินทางกลับจากสันเขื่อน 6 โมงครึ่ง วิ่งยาวมาถึงนครปฐม แวะกินของอร่อยๆ รอบองค์พระสักหน่อย ตอนสองทุ่มครึ่ง กินบะหมี่แห้ง แล้วก็ต่อด้วยเต้าทึงร้านข้างๆ ไอติมลอยฟ้าชื่อดัง(ไม่ได้ถ่ายลีลาเด็ดๆ ของเจ้าของร้านไว้เลย เสียดาย)แล้วถึงกลับกทม.กัน ถึงราวๆ 4 ทุ่มกว่า (อีกแล้ว ออกพร้อมทริปที่แล้ว กลับถึงพร้อมทริปที่แล้ว) เบ็ดเสร็จ ใช้ระยะทางไปทั้งสิ้น 515 กม. กับน้ำมัน ราวๆ 1 ถังพอดี 35 ลิตร (รถกระป๋องวิ่งตจว.ก็ประหยัดดีวุ้ย หมดไป 900 เอง) ว่าแล้วก็ขอจบทริปกาญไว้เพียงเท่านี้เน้อ