|
Basic 3rd ~~ Lens ~~
มาพูดถึงเรื่องเลนส์ดีกว่า ซึ่งมือใหม่หลายๆ คน ยังสับสนกับความหมายต่างๆ ของเลนส์ เช่น Zoom Wide Tele เลยขอพูดถึงตรงนี้ก่อน
โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งช่วงของเลนส์เป็น 3 ช่วงคือ มุมกว้าง(Wide angle) , มาตรฐาน(Normal) และ ถ่ายไกล(Telephoto) โดยจะแบ่งจากทางยาวโฟกัสเทียบกับเส้นทะแยงมุมของ Image Sensor โดย ถ้าทางยาวโฟกัสมากกว่ามากกว่าเส้นทะแยงมุม ก็จะเป็นเลนส์ถ่ายไกล(Telephoto lens) ถ้าทางยาวโฟกัสเท่ากับเส้นทะแยงมุม ก็จะเป็นเลนส์ระยะมาตรฐาน(Normal lens) แต่ถ้ายาวโฟกัสมากกว่าน้อยกว่าเส้นทะแยงมุม ก็จะเป็นเลนส์มุมกว้าง(Wide angle lens)
ซึ่งจากขนาดฟิล์มที่ 24*36 มม. ก็จะได้เส้นทะแยงมุมเท่ากับ 43 มม. แต่จำยาก เขาเลยกำหนดซะ ที่ 50 มม. ให้ถือว่าเป็นเลนส์ช่วงมาตรฐาน จะได้จำกันง่ายๆ ซึ่งก็จะทำให้กำหนดได้คร่าวๆ ว่า ตั้งแต่ราวๆ 40 มม. ลงไป จะถือเป็นช่วง มุมกว้าง (Wide) เช่น 35mm , 20mm , 8mm ช่วง 40 - 60 มม. ก็จะถือเป็นช่วง มาตรฐาน(Normal) เช่น 40mm 50mm 60mm และที่มากกว่า 60 มม. ก็จะเป็นช่วง ถ่ายไกล(TelePhoto) เช่น 85mm , 100mm , 300mm , 600mm
ส่วนคำว่าเลนส์ซูม ซึ่งหลายคนใช้สับสนกับเลนส์เทเล ก็ต้องอธิบายว่า เลนส์ซูมเป็นเลนส์ที่เปลี่ยนทางยาวโฟกัสได้ต่างกับเลนส์ที่กล่าวถึงด้านบนที่เปลี่ยนทางยาวโฟกัสไม่ได้เรียกว่าเลนเดี่ยว(Prime Lens) หรือบางคนเรีกยว่าเลนส์ฟิก ซึ่งเลนส์ซูมก็ยังแบ่งเป็นหลายๆ ช่วงอีก คือ ช่วงมุมกว้าง เช่น 20-35mm ช่วงมาตรฐาน เช่น 35-70mm(อันนี้ติด tele อ่อนๆ ด้วย) ช่วงถ่ายไกล เช่น 70-300mm ช่วงครอบจักรวาล เช่น 28-300mm ช่วงกระโดด เช่น 20-35 แล้วไป 70-300 อันนี้ไม่มีผลิตนะครับ ใช้เปลี่ยนเลนส์เอา อิอิ
นอกจากนั้น ตามที่กล้อง Digital (ส่วนมากจะระดับ Compact) หลายๆยี่ห้อ มักจะโฆษณาว่า Zoom 10X Optical , Zoom 12X Digatal นั้น ทำให้หลายคนงง ว่าต่างกันอย่างไร และมันจะส่องไกลได้แค่ไหน จึงขออธิบายให้เข้าใจแบบนี้ คือ - คำว่า Zoom 10X นั้น ก็คือการนำระยะโฟกัสไกลสุดมาหารด้วยระยะโฟกัสใกล้สุดที่ซูมได้ เช่น 50-200 ก็จะได้ 4X แต่ 20-80 ก็ได้ 4X เท่ากัน ดังนั้นอย่าเพิ่งไปหลงคำว่ากี่X แต่ให้ดูด้วยว่าจะเอามาถ่ายแนวไหน ถ้าถ่ายวิว ให้เลือกระยะโฟกัสใกล้สุดน้อยๆ ไว้ก็จะยิ่งดี - Optical Zoom คือ การซูมด้วยกระบอกเลนส์ ซึ่งทำให้ได้ภาพที่คุณภาพที่ความละเอียดเท่าเดิม - Digital Zomm คือ การซูมด้วย Software ในกล้อง นั่นก็คือการ Crop ภาพนั่นเอง อ่าว งงอีกว่า Crop คืออะไร ก็คือการตัดภาพเอามาเฉพาะตรงที่เราซูมมาเท่านั้นเอง ซึ่งการทำแบบนี้ เราก็จะได้ภาพที่มีความละเอียดน้อยลง(ยิ่งซูมมากก็ยิ่งห่วยมาก) ซึ่งดูแล้วจะมีแต่ข้อเสีย แต่จริงๆ แล้วก็มีข้อดีอยู่(นิดนึง) ก็คือทำให้ภาพที่ได้มีขนาดเล็กลงประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น บางกล้องยังบอกการซูมแบบรวมคือ เอา Optical มาคูณกับ Digital ทำให้ดูว่าซูมได้เยอะอีกด้วย ดังนั้น เวลาเลือกซื้อก็ควรจะลองพิจารณาดูถึงระยะซูมและชนิดการซูมด้วยก็ดีนะครับ
เลนส์อีกชนิดที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายแบบหลังสู้ฟ้า หน้ามุดดิน นั่นก็คือ เลนส์ถ่ายใกล้หรือเลนส์ถ่ายใกล้(Macro Lens) เป็นเลนส์ที่สามารถถ่ายได้ใกล้มากกว่าปกติ ซึ่งจากโดยปกติแล้ว เลนส์ทั่วไปจะถ่ายใกล้สุดได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถเอาจ่อเข้าไปใกล้ๆ วัตถุได้ แต่เลนส์มาโครจะถูกออกแบบมาให้ทำได้ จึงทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้ดูใหญ่ขึ้น โดยเลนส์มาโครนั้นจะมีคุณสมบัติต่อท้ายว่า กำลังขยายเท่าไหร่ เช่น 1:1 ก็จะหมายความว่าถ่ายได้กำลังขยายเท่าวัตถุจริง เมื่อเทียบกับฟิล์ม 35มม. (นั่นก็คือถ้าเอาไปถ่ายวัตถุขนาด 24*36มม. ก็จะถ่ายได้เต็มเฟรมของฟิล์มพอดี เวลาอัดออกมาก็จะดูใหญ่เท่ากระดาษอัดเลย) แต่ตัวเลนส์เองก็มีข้อเสียในการถ่ายในระยะปกติเหมือนกัน ซึ่งก็คือ การปรับระยะชัดในระยะปกติจะไม่แม่นเท่าเลนส์ธรรมดา เพราะจะมีช่วงการปรับตั้งแต่ระยะ 1 ม. จนถึง infinity จะสั้นมาก คือหมุนนิดเดียวระยะชัดก็เปลี่ยนไปเยอะมาก
แล้วก็มีคำถามว่า เลนส์มาโคร 50มม. 1:1 กับ 100มม. 1:1 ต่างกันอย่างไร ก็ต้องให้มาพิจารณากันก่อน ว่ากำลังขยายเท่ากัน คือ 1:1 แต่ที่ความยาวโฟกัสต่างกัน ก็ทำให้การที่จะได้ขนาดภาพเท่ากัน เลนส์ 50มม. จึงจำเป็นต้องเข้าใกล้มากกว่าเลนส์ 100มม. ซึ่งสำหรับการถ่ายภาพแมลง ระยะห่างก็นับว่าสำคัญทีเดียว เพราะถ้าใกล้มาก มันอาจจะตื่นหนีไปก็ได้
นอกจากเลนส์ที่ว่ามาแล้ว ยังมีเลนส์อีกชนิดนึงที่ไม่ค่อยมีความนิยมนัก(แต่ก็ยังเห็นคนหามาใช้เนืองๆ) นั่นก็คือ เลนส์ตาปลา(Fisheye Lens) เลนส์ตาปลาเป็นเลนส์ที่ให้ภาพในมุมกว้างมากๆ เช่น 12mm 8mm (แต่เลนส์มุมกว้างขนาดนี้แต่ไม่เป็นตาปลาก็มีนะ)และให้สัดส่วนที่ผิดปรกติ คือตรงกลางจะนูนบวม(เหมือนกับกระจกนูนที่ติดอยู่ตามทางแยกต่างๆ)
ชนิดของเลนส์ว่ากันไปครบแล้ว ก็แถมอีกหน่อย สำหรับการดู Spec ของเลนส์ซึ่งผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องด้วยซ้ำ(แต่ดันทุรังจะเล่าเท่าที่เข้าใจแหละ แหะๆ) หลายคนอ่าน Spec ที่ร้านแล้วก็งง ว่าตูจะรู้เรื่องไหมว่า อะไรเนี่ย AF 17-35/3.5 APO G ไหนจะ EF 600/4L IS อีก ดูแล้วงงวุ้ย ซึ่งผมเองก็ยังงงกับหลายๆตัวเหมือนกัน ฮ่าๆๆ แต่เอาเป็นว่า ให้แบ่งดูง่ายๆ อย่างนี้นะครับ 1.สัญลักษณ์ข้างหน้าของเลนส์ จะบอกเม้าท์ของเลนส์(ก็คือเลนส์นี้ปากมันจะใส่กับ Body แบบไหนได้นั่นแหละ) เช่น ของ Canon ก็จะเป็น EF , Nikon ก็จะมี AF,AF-S,AIS(อันนี้จะเป็นรุ่นเก่า) , Pentax (อันนี้เล่นอยู่พอรู้ดี) ก็จะมี K , M , A , F , FA , FA-J , DA , DFA (เห็นรุ่นเยอะแบบนี้แต่ใช้กันได้เกือบหมดนะจะบอกให้) 2.ตัวเลขถัดมา จะบอกทางยาวโฟกัส เช่น 20มม. 50มม. 200มม. 35-70มม. 3.ตัวเลขที่อยู่หลัง / จะเป็นตัวเลขที่บอกขนาดรูรับแสงกว้างสุด เช่น 50/1.4 ก็หมายความว่าสามารถเปิดรูรับแสงได้ตั้งแต่ f/1.4 จนถึง f/22 , 28-200/3.8-5.6 ก็หมายความว่าที่ 28มม. จะเปิดกว้างสุดได้ที่ 3.8 แต่ที่ 200มม. จะเปิดกว้างสุดได้แค่ 5.6 4. สัญลักษณ์ต่อท้าย ไม่ว่าจะเป็น APO XR L LD ซึ่งอันนี้แหละที่งง เพราะจำไม่ได้ แล้วแต่ แต่ละยี่ห้อจะนิบามกัน เช่น Canon จะมี L ซึ่งหมายถึงเลนส์เกรดโปรราคาก็โปรตามไปด้วย , USM(Ultra Sonic Motor) เป็นมอเตอร์ในเลนส์ที่ทำให้หมุนได้เร็วและเงียบ ฯลฯ Nikon จะมี G ที่หมายถึงเลนส์ที่ปรับโฟกัสภายใน เราจะหมุนจากภายนอกไม่ได้ ทำให้ใช้กับกล้งแมนน่วลไม่ได้ Sigma จะมี APO จะหมายถึงการใส่ชิ้นเลนส์พิเศษเพื่อปรับความคลาดเคลื่อนสีที่ขอบภาพ(หรือปรับสัดส่วนหว่า แหะๆ) Pentax มีกับเขาไหมหว่า แหะๆ เอาเป็นว่าแค่นี้แล้วกัน ชอบค่ายไหนก็ไปศึกษากันเอาเองเน้อ
ยาวอีกแล้ววุ้ย ตอนนี้ พอก่อนดีกว่าครับ
ขอขอบคุณเวป rpst-digital.org เป็นอย่างสูงสำหรับความรู้ทั้งหมด ที่ผมได้เรียนรู้ แล้วยังอนุญาตให้ผมนำมาลงให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วย
Create Date : 24 ธันวาคม 2548 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2548 12:23:05 น. |
Counter : 1577 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Basic 2nd ~~ ชนิดของกล้องและระบบของกล้อง ~~
เริ่มตอนที่สอง มาต่อกันเรื่องขนาดของภาพกันอีกนิด แต่เป็นเรื่องของสัดส่วนของภาพ
สัดส่วนของภาพที่อัดกระดาษออกมาตามมาตรฐาน คือ 4x6 นิ้ว ซึ่งเท่ากับว่าภาพมีสัดส่วน 1:1.5 กล้องดิจิตอลระดับมือสมัครเล่นจะมีสัดส่วนภาพอยู่ประมาณ 1600x1200 pixels หรือ 1:1.33 เพื่อให้เข้ากับจอมอนิเตอร์หรือ TV ทำให้เวลานำภาพไปอัดจึงต้องตัดส่วนภาพบนกระดาษไป ส่วนกล้องดิจิตอลระดับมืออาชีพ(จำพวก DSLR) จะมีสัดส่วนประมาณ 1:1.5 ซึ่งเท่ากับฟิล์มขนาด 35 มม.เวลานำไปอัดจึงไม่เป็นปัญหา
พูดถึงระดับของกล้องดิจิตอล ก็แบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1.Compact - เป็นกล้องที่เน้นไปทาง สะดวกสบาย พกง่าย ถ่ายง่าย เรียกว่าอัตโนมัติแทบจะทั้งหมด แต่ปรับอะไรไม่ค่อยได้
2.Prosumer - เป็นกล้องที่ระบบการทำงานดีขึ้นมาหน่อย เช่น มีระบบวัดแสง ชดเชยแสง ปรับความชัดผ่านเลนส์ ระบบ Manual การต่อ Flash ภายนอก ซึ่งทำให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งานมากขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้
3.Professional - เป็นกล้องระดับมืออาชีพที่คล้ายกับกล้อง SLR ในระบบฟิล์ม แต่เปลี่ยนจากการใช้ฟิล์มมาเป็นการใช้เซ็นเซอร์รับแสง ซึ่งระบบการทำงานสามารถปรับได้ทั้งหมดตามความสามารถของผู้ถ่าย(กล้องดีคนถ่ายไม่เก่ง เอากล้อง compact ถ่ายออกมาก็อาจจะดีกว่าก็ได้นะ)
ต่อจากชนิดของกล้องก็จะมาว่ากันต่อเรื่องระบบการใช้งานภายในกล้องดีกว่า เรียงไปเป็นข้อๆ เลยแล้วกัน
1.ระบบจัดเก็บไฟล์รูป โดยทั่วไปก็จะมีอยู่ 2 ชนิด ที่นิยม คือ JPEG , CCD-RAW (ส่วน TIFF จะไม่ขอพูดถึง เพราะไม่ค่อยมีคนใช้ และส่วนตัวไม่รู้ด้วย แหะๆ) - JPEG ก็คือไฟล์รูปที่ถ่ายออกมาแล้วสำเร็จรูปเลย สามารถนำไปใช้ได้ทันที ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บน้อย แต่ก็เอามาปรับแต่งอะไรไม่ได้มากนัก - CCD-RAW เป็นไฟล์ของภาพที่เหมือนกับข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้รับการปรุงแต่งและบีบอัดใดๆ เลย ซึ่งการจะนำไปใช้ จำเป็นต้องใช้ Software ของกล้องแต่ละตัว หรือใช้ Photoshop ที่ติด Plugins ที่สำหรับอ่านไฟล์ของกล้องนั้นๆ
2.ระบบปรับความชัดโฟกัส โดยทั่วไปจะมีอยู่ 3 แบบ คือ - ปรับเอง - ปรับความชัดทีละภาพ (Single Auto Focus , AF-S) คือ ระบบปรับความชัดที่เมื่อเรากดปุ่มล๊อคโฟกัส(โดยทั่วไปคือการกดปุ่ม Shutter ไว้ครึ่งหนึ่ง) มันก็จะหาโฟกัสจนได้ แล้วจะไม่มีการหาโฟกัสใหม่อีก ก็จะทำให้เราสามารถจัดองค์ประกอบภาพได้หลังจากล๊อคโฟกัสแล้ว - ปรับความชัดแบบต่อเนื่อง (Continue Auto Focus , AF-C) คือระบบปรับความชัดที่จะคอยหาโฟกัสอัตโนมัติตลอดที่เรากดปุ่มล๊อคโฟกัสค้างไว้ อีกทั้งอาจจะมีการคำนวณการหาโฟกัสล่วงหน้าของวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพเคลื่อนไหว
3.ความไวชัตเตอร์ ก็คือระยะเวลาที่กล้องเปิดรูรับแสงนั่นเอง เปิดนานก็รับแสงได้มาก เปิดไม่นานก็รับแสงได้น้อย โดยปกติที่เรียกกัน 125 , 250 , 500 ก็จะหมายถึง 1/125 , 1/250 , 1/500 วินาทีนั่นเอง โดยถ้าเปิดนานๆ ก็จะมีหน่วยตามมา เช่น 1" ก็คือ 1 วินาที
4.ความไวแสง จะพูดกันเป็น ISO เช่น ISO100 , ISO200 , ISO400 ถ้าจะถามว่า ที่มาของ ISO มาจากไหน - ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่า ไอ้คำว่า ISO มันก็แปลว่ามาตรฐาน เหมือนกับเราเรียก ISO9001 อะไรทำนองเนี้ยแหละ แล้ว ISO100 มันคือขนาดไหน เอาอะไรวัดล่ะ - อันนี้ต้องอ้างว่ามาจากฟิล์มครับ ซึ่งการผลิตฟิล์มนั้น มีออกมาความไวหลากหลายมาก ดังนั้นเขาจึงกำหนดมาตรฐานออกมาว่า เท่านี้แหละ เท่ากับ 100 และไวแสงมากกว่านี้เท่านึง ก็จะเป็น 200 ก็ว่ากันไป และนั่นก็เอามาใช้กับกล้อง digital ด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าเอาฟิล์มที่ ISO100 มาวางแทน CCD ที่เราปรับความไวแสงไว้ที่ ISO100 เท่ากัน แล้วใช้ปริมาณแสงเท่ากัน เลนส์ตัวเดียวกัน ความไวชัตเตอร์เท่ากัน และรูรับแสงเท่ากัน เราก็จะได้รูปที่มีปริมาณแสงเท่ากันนั่นเอง แบบนี้ยิ่งตั้งไวก็ยิ่งดีสิ ถ่ายง่าย ไม่ต้องกลัวสั่น - ก็ใช่ครับ แต่ว่า ก็มีข้อเสียนะครับ คือ ยิ่งเราทำให้ CCD ไวแสงมาก CCD ก็จะยิ่งโดนรบกวนได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เกิด noise คุณภาพของภาพก็จะลดลง
5.ระบบวัดแสง มีอยู่หลายชนิด แต่ขอพูดถึงแค่สัก 4 ชนิดหลักก็พอ - Spot แบบจุด เป็นระบบวัดแสงที่จะวัดแค่ตรงกลางภาพจุดเดียว(กินพื้นที่ราวๆ 2-3% ของภาพ) โดยจะไม่สนบริเวณนอกจุดนั้นเลย - Center-Weight แบบเฉลี่ยน้ำหนักกลาง เป็นระบบวัดแสงที่นำค่าแสงรอบๆ จุดกลางมาคิดด้วยแต่อาจจะไม่มีน้ำหนักมากนัก(มากเท่าไหร่ต้องศึกษาจากตัวกล้องนั่นเอง) เช่น 60:40 , 80:20 - Average แบบเฉลี่ยทั้งภาพ เป็นระบบวัดแสงที่เฉลี่ยทั้งภาพเท่ากัน - Multi-Segment แบบแบ่งส่วน เป็นระบบ ที่ฉลาดที่สุด โดยจะแบ่งภาพเป็นส่วนๆ (แล้วแต่กล้องอีกว่าจะแบ่งกี่ส่วน) จากนั้นจะนำมาคำนวณเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่กล้องเก็บไว้ แล้วออกมาเป็นค่าแสงที่เหมาะสม(หรือบางทีก็ไม่เหมาะนะ เหอๆ)
6.ระบบชดเชยแสง ก็คือการตั้งให้กล้องชดเชยแสงนั่นเอง เช่น เราตั้งไว้ที่ +1 กล้องก็จะคำนวณให้ภาพสว่างกว่าปกติ 1 stop นั่นเอง (1 Stop ก็คือ ปริมาณแสงที่เปลี่ยนไป 1 เท่าตัวนั่นเอง ไว้อธิบายละเอียดทีหลังนะ)
7.ระบบล๊อคค่าแสง เป็นปุ่มที่ให้กล้องจำค่าแสงตอนที่เรากดปุ่มนั้นไว้ บางกล้องกล้องก็เก็บไว้ 10 วิ หรือบางกล้องก็ล๊อคไว้ตราบเท่าที่เราล๊อคซัตเตอร์ไว้
8.ระบบถ่ายภาพ (Exposure Mode) คือระบบที่กล้องคำนวณและปรับ รูรับแสง และ/หรือ ความไวชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ โดยจะแบ่งเป็นหลายๆโหมดดังนี้ - Program (P) เป็นโหมดที่กล้องปรับแบบอัตโนมัติทั้งหมด เรียกว่าให้กล้องคิดเองหมดว่าแบบนี้จะเป็นถ่ายวิวป่าวหว่า หรือว่าถ่ายดอกไม้หว่า อะไรทำนองนี้ - Macro (รูปดอกไม้) เป็นโหมดที่กล้องจะคำนวณค่าให้เหมาะสมกับการถ่ายระยะใกล้ - Protrait (รูปสาว) เป็นโหมดที่กล้องคำนวณค่าให้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล(หน้าชัดหลังเบลอ อะไรประมาณนั้น) - Landscape (รูปภูเขา) เป็นโหมดที่กล้องคำนวณค่าให้เหมาะกับการถ่ายวิว(ชัดลึกไว้ก่อนมั้ง) - Night Scene (รูปสาวมึนหัว) เป็นโหมดที่กล้องคำนวณค่าให้เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืนให้ติดวิวข้างหลัง(ใช้แฟลช+ความไวชัตเตอร์ช้า) - Sport (รูปวิ่งราว) เป็นโหมดที่กล้องคำนวณค่าให้เหมาะกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหว(ใช้ AF-C และ ความไวชัตเตอร์สูงมากๆ) - ความเร็วชัตเตอร์อัตโนมัติ Tv(หรือ A ในางกล้อง) เป็นโหมดที่กล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติเมื่อเราเปลี่ยนค่ารูรับแสง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระยะชัดลึกเอง - ช่องรับแสงอัตโนมัติ Av(หรือ S ในบางกล้อง) เป็นโหมดที่กล้องจะปรับขนาดรูรับแสงให้อัตโนมัติเมื่อเราเปลี่ยนค่าความไวชัตเตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการถ่ายภาพที่เกี่ยวกับความเร็ว เช่น น้ำตก - ปรับตั้งเอง M เป็นโหมดที่อยากได้อะไรก็ปรับเองแล้วกัน เก่งดีนัก กล้องบอกว่า ตูไม่ยุ่งก็ได้ฟะ แต่ใจดีช่วยบอกค่าแสงให้แล้วกัน ว่าที่เอ็งปรับน่ะ มันมากหรือน้อยเกินไปอยู่กี่ stop
9.ระบบสมดุลสีของแสง เป็นระบบที่กล้องจะชดเชยสภาพแสงให้ตามที่เราปรับ โดยจะมีหลายโหมด เช่น(จะยกไปเท่าที่จะนึกได้แล้วกัน) - Auto ก็ให้กล้องคิดเองหมด กล้องดีสีก็สวย กล้องห่วยสีก็ตุ่นๆ ไม่ได้อารมณ์ - DayLight เหมาะกับสภาพแสงแดดตอนกลางวัน - Shade เหมาะกับในร่มเงาของแสงตอนกลางวัน - Cloud เหมาะกับการถ่ายภาพในเวลาที่แสงโดนเมฆบังหมด - Fluorescent เหมาะกับการถ่ายภาพในสภาพแสงที่เป็นหลอดฟลูออเรสเซนท์ ซึ่งยังแบ่งได้ 3 ชนิดอีก คือ Daylight , WarmWhite , Cool White - Incandescent หรือ Tungstan(เขียนถูกป่าวหว่า) สำหรับการถ่ายในแสงหลอดไส้ หรือกองไฟ - Custom แบบเลือกเอง โดยเลือกโหมดแล้วใช้กล้องส่องไปหากระดาษขาวแล้วกดชัตเตอร์ กล้องจะทำการหาสมดุลแสงให้เอง
10.ระบบแฟลช ไม่ขอพูดถึงระบบทำงานของมัน ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไหนจะ TTL ที่หมายถึงให้แฟลชควบคุมแสงผ่านเลนส์ว่าใส่แสงไปนานแค่ไหนถึงจะพอ อะไรอีกก็ไม่รู้ วุ่นวาย ขอเอาแค่โหมดใช้งานแล้วกัน โดยจะแบ่งเป็น - แก้ตาแดง ก็เอาไว้ถ่ายคนเวลากลางคืนไม่ให้น้องพันซ์มาร้องแซว - Slow Speed Sync ก็คือใช้แฟลชคู่กับความเร็วชัตเตอร์ต่ำ เช่นในโหมดของการถ่ายบุคคลเวลากลางคืน - High Speed Sync ใช้แฟลชกับความเร็วชัตเตอร์สูงๆ เหมาะกับการจับภาพเคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง - แฟลชสัมพันธ์กับม่ายชัดเตอร์คู่หน้า/หลัง ขี้เกียจอธิบายว่าคู่หน้า/หลังคืออะไร แต่อยากให้เข้าใจว่า ถ้าเราใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วิ แต่แฟลชมันไม่ได้ออกตลอดเวลา อาจจะออกแค่ 1/1000 วิ โดยถ้าแฟลชสัมพันธ์กับคู่หน้า เมื่อเรากดชัตเตอร์ปุ๊บแฟลชก็จะยิงทันที พอครบ 1/1000 แล้วแฟลชก็จะหยุดแต่ม่ายชัตเตอร์ยังเปิดอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้ถ้าคนวื่งอยู่ เราก็จะเป็นคนชัดด้านหลังสุด แล้วจะมีเงาเลื่อนไปด้านหน้า ยังกับคนวิ่งถอยหลัง แต่ถ้าแแฟลชสัมพันธ์กับคู่หลัง เมื่อเรากดชัตเตอร์ แฟลชก็จะยังไม่ถูกยิง แต่พอเหลืออีก 1/1000 วิม่านจะปิด แฟลชถึงจะเริ่มยิงไปจนปิดม่านชัตเตอร์ ซึ่งจะส่งผลให้ถ้าคนวื่งอยู่ เราก็จะเป็นคนชัดด้านหน้าสุด แล้วจะมีเงาวิ่งตามหลัง เหมือนกับคนวิ่งด้วยความเร็วซะงั้น
11.ระบบถ่ายภาพต่อเนื่อง ก็คือระบบที่เรากดชัตเตอร์ค้างไว้ กล้องก็จะยิงชัตเตอร์รัวๆให้ตามกำลังที่มันจำทำได้นั่นเอง
12.ระบบถ่ายภาพคร่อม เป็นระบบที่กล้องจะถ่ายภาพชดเชยแสงไปทาง + และ - ให้อัตโนมัติ ทำให้เราได้ภาพมาก 3 ภาพ คือ ตามที่ตั้งค่าแสงไว้ มากว่า และน้อยกว่า โดยมากกว่าและน้อยกว่าเท่าไหร่เราก็กำหนดได้
13.ระบบถ่ายภาพแบบตั้งเวลา ก็จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ - ตั้งเวลาเฉยๆ ราวๆ 10 วิ หรือ 12 วิ มีเวลาพอให้วิ่งไปเก็กหล่อหน้ากล้องได้ - ตั้งเวลา 2 วิ พร้อมล๊อคกระจก ซึ่งใน DSLR นั้น ด้วยกลไกแล้วต้องมีการสะบัดกระจกขึ้นไปเพื่อเปิดทางให้แสงไปหาเซ็นเซอร์รับภาพได้ การสะบัดนี้แหละ ทำให้กล้องสั่นได้ ซึ่งก็ส่งผลกับความชัดของภาพ(แม้จะเล็กน้อยก็ตาม) กอปรกับแรงกดชัตเตอร์ก็มีผลด้วย ดังนั้นระบบนี้จึงเกิดขึ้นมเพื่อช่วยช่างภาพมืออาชีพโดยเฉพาะ โดยเมื่อเราใช้โหมดนี้แล้วกดชัตเตอร์ กล้องจะสะบัดกระจกขึ้นก่อน แล้วหน่วงเวลาไว้ 2 วิ ก่อนที่จะเปิดม่านชัตเตอร์ ทำให้ไม่เกิดแรงสะเทือนขึ้นเลย (โอวว พระเจ้ายอด มันจอร์จมาก)
14.ระบบเช็คชัดลึก อันนี้จะเป็นปุ่มเช็คระยะชัดลึกของภาพ โดยเมื่อกดแล้วกล้องจะทำการเปิดรูรับแสงตามที่เราตั้งไว้ขณะนั้น ทำให้เราเห็นภาพว่าออกมาแล้วจะชัดลึกแค่ไหน(ถ้าไม่เข้าใจ แนะนำให้อ่านเรื่อง Depth of field ที่ผมทำไว้)
15.ระบบสี คือช่วงความกว้างของสีที่ครอบคลุมถึง โดยทั่วไปกล้องจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ Adobe RGB และ sRGB ต่างกันอย่างไร ดูรูปเอาเข้าใจง่ายกว่า
ร่ายยาวเลยตอนนี้ หมดยังหว่า คิดว่าคงหมดแล้วนะ ไว้แค่นี้แล้วกัน ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมไว้ตอนหลังแล้วกัน
ขอขอบคุณเวป rpst-digital.org เป็นอย่างสูงสำหรับความรู้ทั้งหมด ที่ผมได้เรียนรู้ แล้วยังอนุญาตให้ผมนำมาลงให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วย
Create Date : 24 ธันวาคม 2548 | | |
Last Update : 25 ธันวาคม 2548 12:22:59 น. |
Counter : 1258 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Basic 1st ~~ Light to Pixels ~~
ตอนแรกกะว่าจะไม่ลงเรื่อง Basic เพราะคิดว่าหาอ่านที่อื่นได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็แนะนำคนที่ถามแบบเจาะลงไปเลยไม่ได้ว่าที่ไหน เพราะตัวเองก็ลืม แล้วก็รู้สึกว่าหลายๆ ที่น้ำจะเยอะ(ตัวเองรู้สึกไปเองมั้ง) ก็เลยคิดว่าจะสรุปเอาไว้ใน blog ตัวเองด้วยดีกว่า จะได้สะดวกที่สุด ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ถ่ายเก่งหรอก เพื่อนๆ ไปเที่ยวด้วยกันที่เคยถ่ายไม่เป็นมาถามผม ตอนนี้ เก่งกว่าผมกันหมดแล้ว (-_-')
เกริ่นซะยืดยาว เดี๋ยวก็เป็นน้ำเยอะอย่างที่ว่าเขาหรอก มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า คงต้องเริ่มจากกระบวนการเกิดภาพก่อน เริ่มจากแสงจากดวงอาทิตย์(เริ่มซะไกลหลายปีแสงเชียว) หรือที่อื่นๆ เช่น หลอดไฟ แฟลช เทียน สาดแสงส่องลงมา กระทบผิววัตถุ จากนั้นก็สะท้อนออกมาผ่านเลนส์ แสงก็จะหักเหแล้วรอดผ่านรูรับแสงไปกระทบกับ CCD หรือ CMOS (ต่อไปขอเรียกแค่ CCD แล้วกัน ง่ายดี) แล้ว CCD ก็จะทำการอ่านค่าแสงนั้นแล้วแปลงออกมาเป็นสัญญาณ Digital
แสง --> สะท้อนจากวัตถุ --> ผ่านเลนส์ --> ผ่านรูรับแสง --> CCD --> 0010011100101.....
ซึ่งใน CCD นี้จะแบ่งเป็นจุดเล็กๆ หลายล้านจุด (ก็ตามที่โฆษณาแหละ) แต่ละจุดก็จะรับแค่แสงในจุดพื้นที่หนึ่งแล้วแปลงมาเป็นสัญญาณดิจิตอล เฉพะจุดนั้นเพียงค่าเดียว แล้วก็จะมีหน่วยประมวลผล ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอลนั้นออกมาเป็นจุดสี จุดสีนี้ก็จะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสเรียกว่า Pixel
ซึ่งเมื่อ Pixel หลายๆ อัน มาต่อกันตามตำแหน่งของมัน เราก็จะได้มาเป็นภาพ ดิจิตอล
ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงภาพขนาด 1 Mpixel เราก็จะหมายถึงภาพนั้นมีความละเอียด 1 ล้านจุด ซึ่งมาจากความละเอียดด้านแนวตั้ง และความละเอียดด้านแนวนอน เช่น 1000 * 1000 Pixels
ซึ่งภาพขนาดนี้ ถ้าเอาไปอัดแบบมาตรฐานก็จะได้ ขนาดประมาณ 3*3 นิ้ว แต่ถ้าถามว่าเอาไปอัดให้ใหญ่กว่านี้ได้ไหม ก็ต้องบอกว่า ได้ แต่ภาพก็จะไม่ละเอียด เท่านั้นเอง เพราะว่ามันโดนเครื่องพิมพ์ขยายออกมา ดังรูป
ขอจบเรื่องเบื้องต้นของการถ่ายภาพตอนแรกไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า อู้งานมานานแล้ว
ขอขอบคุณเวป rpst-digital.org เป็นอย่างสูงสำหรับความรู้ทั้งหมด ที่ผมได้เรียนรู้ แล้วยังอนุญาตให้ผมนำมาลงให้เพื่อนๆ ได้ดูกันด้วย
Create Date : 19 ธันวาคม 2548 | | |
Last Update : 19 ธันวาคม 2548 15:51:39 น. |
Counter : 863 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|