รวมเรื่องจิปาถะที่เกี่ยวกับเคมีและชีวิตนักเรียนทุนครับ
|
|||
ตอนที่ 2 - เรื่องวุ่นวายกับสายรหัส
ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายของฉันผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้ว และกิจกรรมชุมนุมเคมีหรรษาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการไปแล้วสองวัน แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นชุมนุมที่มีสมาชิกไม่มากนัก แต่ก็ถือได้ว่าเป็นชุมนุมที่อบอุ่นชุมนุมหนึ่ง ก่อนที่ฉันกับเพื่อน ๆ จะเข้าร่วมชุมนุมนี้ สมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมนุมล้วนแล้วแต่จบชั้น ม.6 ไปก่อนแล้ว เหลือพี่แอมที่ยังอยู่ ม.5 เป็นสมาชิกคนเดียวของชุมนุมนี้ เมื่อฉัน ยุ้ย และฝ้ายส่งใบสมัครเข้าร่วมชุมนุม จำนวนสมาชิกจึงเพิ่มเป็น 4 คน และฉันก็ถูกยุ้ยกับฝ้ายดันขึ้นเป็นรองประธานชุมนุมอย่างไม่ค่อยเต็มใจและไม่ทันตั้งตัว พี่แอมดูจะตื่นเต้นกับสมาชิกใหม่มาก เพราะในวันแรกที่เริ่มกิจกรรมชุมนุมอย่างเป็นทางการ พี่แอมถึงกับเตรียมกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปหมู่สี่คน นอกจากนั้นยังไม่พอ "พี่มีอะไรจะให้น้อง ๆ ด้วยนะ" แล้วฝ้ายก็ดูจะตื่นเต้นผิดปกติ "อะไรเหรอคะ อะไรเหรอ" หลังจากนั้นพี่แอมก็เปิดเป้นักเรียนขึ้นมา แล้วก็หยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมาจากเป้ ในถุงผ้าใบนั้นมีสมุดเล่มหนาสามเล่ม ฉันพอมองออกว่าน่าจะเป็นสมุดเล่มหนาของโรงเรียนนั่นเอง แต่สมุดพวกนี้ถูกห่อปกด้วยกระดาษสีฟ้าอ่อน แถมบนหน้าปกยังเขียนชื่อของฉัน ยุ้ย และฝ้ายคนละเล่ม พร้อมด้วยรูปการ์ตูนเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนซึ่งก็น่าจะวาดและลงสีโดยใช้พวกเราเป็นแบบอีก รูปการ์ตูนแต่ละรูปนั้นมองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่ารูปไหนวาดล้อใคร นอกจากนี้สมุดเหล่านั้นยังห่อปกพลาสติกอย่างดีอีกชั้นหนึ่งด้วย อะไรจะตั้งใจทำขนาดนั้น "พี่ให้พวกน้องคนละเล่มนะ เอาไว้จดอะไร ๆ ในชุมนุมนี้นี่แหละ" พี่แอมพูดแล้วก็ยื่นสมุดพวกนั้นให้พวกเราคนละเล่ม "น่ารักจังเลยค่ะ" ยุ้ยเอ่ยชม ฉันนับถือทั้งฝีมือและความตั้งใจของพี่แอมจริง ๆ นับแต่ฉันเข้าชุมนุมนี้มา ก็มีของสองอย่างที่ต้องพกติดตัวไปโรงเรียนตลอด อย่างแรกก็คือเสื้อกาวน์ที่นักเรียนทั่วไปจะใช้เมื่อเรียนเคมีและต้องทำการทดลอง แต่ในเมื่อกิจกรรมหลักของชุมนุมของฉันเกี่ยวข้องกับการทำการทดลองแทบจะทุกวัน เสื้อกาวน์ก็เลยกลายเป็นของที่ขาดไปไม่ได้ อีกอย่างก็คือสมุดที่พี่แอมบรรจงทำมาให้เพื่อไว้ใช้จดบันทึกสิ่งที่ทำไปในชุมนุมในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการทดลองหรือการ อภิปราย ซึ่งในความเป็นจริงก็คือการพูดคุยกันธรรมดาที่บางครั้งก็เป็นเรื่องเคมี แต่หลาย ๆ ครั้งก็เป็นเรื่องทั่วไปในโรงเรียนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเคมีเลย เรียกว่าเป็นที่มาพบปะสังสรรค์ก็ไม่ผิดนัก วันนี้ฉันก็เดินออกจากบ้านไปโรงเรียนเช่นเคย ฉันเริ่มจะคุ้นเคยกับเส้นทางนี้แล้วหลังจากที่ใช้เส้นทางนี้มากว่าสองสัปดาห์ วันนี้แดดแรงตั้งแต่เช้า กางร่มออกจากบ้านไปน่าจะดีกว่า เดินต่อไปสักพักโทรศัพท์มือถือที่ฉันใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรงก็สั่น ฉันจึงหยิบขึ้นมาดู พี่แอมส่งข้อความมางั้นเหรอ "น้องมิ้ง เย็นนี้ไม่มีกิจกรรมชุมนุมนะคะ เมื่อวานนี้พี่ลืมบอก ขอโทษทีค่ะ แหะ ๆ" บางทีพี่แอมก็มีมุมแบบนี้อยู่ด้วยแฮะ ไม่สิ เท่าที่ฉันเห็นพี่แอมในชุมนุมมาหลายวัน พี่แอมก็ดูเปิ่น ๆ อยู่นี่นา "คุณรองประธานชุมนุมขา..." ฉันได้ยินเสียงฝ้ายเรียกตอนที่ฉันกำลังจะเดินเข้าห้องเรียน นับตั้งแต่ฉันได้เป็นรองประธานชุมนุมเคมีหรรษามา ฝ้ายก็ชอบแกล้งเรียกฉันว่า "คุณรองประธานชุมนุม" อยู่บ่อย ๆ "เมื่อไรฝ้ายจะเลิกเรียกฉันว่าคุณรองประธานชุมนุมสักทีเนี่ย" "นั่นแน่ะ ๆ เขินใหญ่เลยนะคะ" ฝ้ายกระเซ้าต่อไม่เลิก "มิ้งอย่าไปถือสาเลยจ้ะ ฝ้ายเขาก็เป็นแบบนี้แหละนะ" "นี่ ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องกันเลยนะ มิ้ง ยุ้ยจัง เมื่อเช้าทักมิ้งไปก็ไม่ยอมตอบอ้ะ ยืนเล่นโทรศัพท์เพลินเชียว" ใครเปลี่ยนเรื่อง? เมื่อกี้เธอก็เริ่มทักฉันเรื่องนี้เลยไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อเช้านี้... เล่นโทรศัพท์... อ้อ นึกออกละว่าตอนไหน "ตอนนั้นสินะ ว่าแต่ฝ้ายทักฉันด้วยเหรอ" ฉันคล้องสายสะพายเป้กับพนักเก้าอี้ที่โต๊ะประจำตัวแล้วลงนั่งบนเก้าอี้ "ใช่ ๆ เนอะ ยุ้ยจัง" "จ้า เมื่อเช้าตอนเราสองคนขึ้นสองแถวมาโรงเรียน ฝ้ายเขาก็เหลือบไปเห็นมิ้งยืนอยู่ริมถนน ก็เลยโบกมือทักมิ้งใหญ่เลยจ้ะ" "คนบนรถนี่มองเรากันหมดเลย แต่มิ้งก็ไม่เห็นสักที" ฉันพอจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดละ "คืองี้นะ ตอนที่ฝ้ายทักฉัน ฉันกำลังอ่านเจ้านี่อยู่" ฉันเปิดข้อความที่พี่แอมส่งเข้ามาในโทรศัพท์แล้วยื่นให้ฝ้ายดู ฝ้ายดูเสร็จแล้วก็ยื่นให้ยุ้ยดูต่อ จากนั้นยุ้ยก็ส่งโทรศัพท์คืนมา "ขอบใจมากจ้ะมิ้ง" "สรุปก็คือเย็นนี้ไม่ต้องไปที่ห้องชุมนุมสินะ โธ่... อุตส่าห์เดินกลับบ้านไปเอาเสื้อกาวน์" ฝ้ายออกอาการงอน ส่วนยุ้ยก็ตบหลังฝ้ายเบา ๆ "เอาน่า... ฝ้ายจ๋า อย่างน้อยก็ได้บทเรียนนะว่าไม่ควรลืมของใช้ที่จำเป็นก่อนออกจากบ้าน" หลังเลิกเรียนครึ่งวันเช้า อาจารย์ที่สอนคาบสุดท้ายเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานนัก พี่ ม.5 สองคนก็ยกสมุดมาคนละตั้งเดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินเข้ามานั้น หนึ่งในสองคนแหงนมองดูป้ายหน้าห้องก่อนจะบอกให้เพื่อนอีกคนเดินตามเข้ามาและวางสมุดทั้งสองตั้งบนโต๊ะอาจารย์หน้าห้อง "อันนี้เป็นสมุดการบ้านวิชาคณิตฯ ของอาจารย์ประไพนะคะ อาจารย์ฝากพวกพี่มาแจกคืนน้อง ๆ เดี๋ยวพี่จะเรียกชื่อน้องทีละคนมาเอาสมุดไปทีละคนนะคะ" จากนั้นพี่คนที่พูดก็เรียกชื่อพวกเราไปรับสมุดทีละคนด้วยชื่อจริง เพราะคงไม่มีใครเขียนชื่อเล่นตัวเองบนปกสมุดการบ้านและพี่ ๆ ไม่น่าจะรู้ชื่อเล่นพวกเรา ไม่นานนักสมุดทั้งหมดก็ถูกแจกคืนเจ้าของเสร็จเรียบร้อย พี่ ม.5 อีกคนที่มากับพี่คนที่พูดเมื่อกี้นี้ก็เข้ามาพูดต่อ "น้อง ๆ ได้สมุดครบทุกคนแล้วใช่ไหม คราวนี้น้อง ๆ เปิดไปหน้ากลางของสมุดนะคะ" จะมีอะไรเกิดขึ้นยังงั้นเหรอ ฉันลองเปิดสมุดของฉันดูก็พบว่ามีซองจดหมายหนึ่งซองแทรกอยู่ตรงกลาง จ่าหน้าชื่อฉันและเขียนที่อยู่เป็นห้อง ม.4/2 ส่วนชื่อผู้ส่งเขียนว่า "พี่รหัสของน้อง" และที่อยู่เป็นห้อง ม.5/2 "ที่หน้ากลางจะมีจดหมายอยู่หนึ่งฉบับนะคะ..." ฉันลองเปิดซองจดหมายนั้นออกมาในขณะที่พี่ ม.5 คนนั้นยังคงพูดต่อไป "สวัสดีนะคะ พี่อยู่ชั้น ม.5/2 และเป็นพี่รหัสของน้องนะ พี่อยากจะบอกน้องว่าพี่รู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นพี่รหัสของน้อง ขอให้น้องใช้ชีวิต ม.ปลายที่นี่ให้มีความสุขนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรบอกพี่สาวคนนี้ได้เลยนะ ลงชื่อ พี่รหัสค่ะ" จดหมายฉบับนี้เขียนด้วยปากกาเมจิกสีชมพูหวานบนกระดาษ A4 ธรรมดา แต่สิ่งที่สะดุดตาก็คือลายมือที่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง "...อย่าลืมไปพบกันที่ลานข้างตึกนี้หลังเลิกเรียนนะคะ" พี่คนนั้นพูดจบแล้ว พบกันหลังเลิกเรียนงั้นเหรอ โชคดีที่ว่าวันนี้ไม่มีกิจกรรมชุมนุมก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องไม่ได้เข้าชุมนุม หลังเลิกเรียนตอนเย็น พวกเรา ม.4/2 ก็ไปรวมตัวกันที่ลานว่างข้างตึก S ในตอนนั้นก็มีพี่ ม.5/2 หลายคนมารออยู่ก่อนแล้วด้วย "น้องมิ้ง อ้าว น้องฝ้ายกับน้องยุ้ยก็มาแล้ว" เดี๋ยวนะ พี่แอมก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้ไม่มีกิจกรรมชุมนุม อย่างนี้นี่เอง ฉันและเพื่อน ๆ ทั้งสองทักทายตอบกลับไปตามมารยาท "หนูลืมไปเลยนะคะว่าพี่ก็อยู่ห้องสองเหมือนกัน" ยุ้ยพูดตรงกับสิ่งที่ฉันคิดพอดี ถ้าอย่างนั้นแล้วลายมือบนจดหมายนั้นก็... "พี่แอมคะ ในจดหมายนั่นลายมือพี่แอมหรือเปล่าคะ" "จ้ะ ลายมือพี่เองแหละ" ยอมรับกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอเนี่ย "เดี๋ยวนะมิ้ง มิ้งจำลายมือพี่แอมได้ด้วยเหรอ" ฝ้ายสงสัยขึ้นมา "พวกเราก็เคยเห็นลายมือพี่แอมแล้วนี่นา อย่างน้อยก็บนปกสมุดไง แล้วก็ฉันก็เคยเห็นลายมือพี่แอมตั้งหลายครั้งในเอกสารต่าง ๆ ของชุมนุมด้วย" "ก็คุณรองประธานชุมนุมต้องจัดการเอกสารด้วยกันกับพี่แอมอยู่แล้วนี่เนอะ" "บอกแล้วไงเล่าว่าอย่าเรียกฉันว่าคุณรองประธานชุมนุม" ฝ้ายหัวเราะคิก "จดหมายพวกนั้นพี่เขียนเองหมดเลยนะ" จดหมาย "พวกนั้น" งั้นเหรอ ฝ้ายกับยุ้ยถึงกับหยิบจดหมายของตัวเองออกมาดูเทียบกันเองเพื่อให้แน่ใจ ได้ยินเสียงฝ้ายพูดกับยุ้ยว่า "ข้อความไม่เหมือนกันด้วยนะยุ้ยจัง" ฉันเคยรับรู้ถึงความตั้งใจที่ล้นปรี่ตอนที่พี่แอมวาดปกสมุดจดในชุมนุมมาแล้วก็จริง แต่ว่า ม.4/2 มีนักเรียนทั้งหมดสามสิบหกคน การเขียนจดหมายสามสิบหกฉบับใส่ซองสามสิบหกซองที่มีเนื้อหาต่างกันสามสิบหกแบบแต่มีใจความเดียวกันนี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ พี่แอมคนนี้เป็นคนแบบไหนกันแน่ฉันชักจะสงสัยแล้วสิ แต่เมื่อจดหมายทั้งสามสิบหกฉบับถูกเขียนโดยคนคนเดียวกันแล้วก็แปลว่าเราตัดสินว่าใครเป็นพี่รหัสโดยใช้ลายมือไม่ได้แล้วน่ะสิ แต่พอลองคิดดูอีกทีแล้ว สิ่งที่ฉันคิดเมื่อกี้ก็ยังมีช่องโหว่อยู่ดี ต่อให้ลายมือในจดหมายทั้งสามสิบหกฉบับแตกต่างกันทั้งหมด แค่ใช้ให้คนอื่นเขียนจดหมายแทนก็สามารถหลอกคนรับได้แล้ว "นี่ ๆ ไปนั่งรวมกับเพื่อนได้แล้วจ้ะ ไม่งั้นเพื่อนพี่ก็เริ่มกิจกรรมไม่ได้นะ" พี่แอมพูดเพราะเห็นว่าพวกเราสามคนยืนคุยกับพี่แอมอยู่นาน หันมองรอบตัวก็เห็นว่าเพื่อน ๆ ม.4/2 คนอื่นไปนั่งรวมกันเป็นกลุ่มก้อนแล้วจึงเดินไปนั่งรวมด้วย เมื่อพวกเราทุกคนนั่งรวมกันตรงกลางเรียบร้อยแล้วพี่ ม.5/2 ก็เดินเข้ามาล้อมเป็นวง แต่มีอีกส่วนหนึ่งยืนอยู่รอบนอก เท่าที่ฟังพี่ ม.5 ที่ยืนพูดอยู่ก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นพี่ ม.6/2 กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นด้วยการแนะนำตัวรุ่นพี่ ม.5/2 ทีละคน ตามด้วยรุ่นพี่ ม.6/2 ทีละคนเช่นกัน รุ่นพี่ทั้งสองห้องมีห้องละสามสิบหกคนเท่ากับพวกเรา ม.4/2 ฉันเห็นยุ้ยตั้งใจจดชื่อรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว ต่อไปพวกเราก็เริ่มแนะนำตัวเองบ้างโดยเรียงตามเลขที่ ฉันอยู่เลขที่สามสิบจากสามสิบหกคน คงต้องรออีกนานหน่อย เมื่อทุกคนแนะนำตัวเองกันเรียบร้อยแล้วพี่ ม.5 คนเดิมที่เป็นพิธีกรเมื่อกี้นี้ก็มาอธิบายกติกาของสายรหัสต่อไป "มีเวลาแค่สัปดาห์เดียวจะคิดออกเหรอว่าพี่ตัวเองเป็นใครน่ะ" ฝ้ายพูดขึ้นหลังจากที่พวกเราสามคนไปนั่งคุยกันที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำหลังจากเสร็จกิจกรรมสายรหัสแล้ว ตามที่พี่ ม.5 อธิบายกติกาไว้ พวกเรามีเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ตั้งแต่วันนี้จนถึงซ่วงบ่ายของวันพฤหัสหน้าหลังจากเสร็จกิจกรรมวันไหว้ครูที่จะไขปริศนาให้ได้ว่าพี่รหัสของตัวเองเป็นใคร โดยที่มีคำใบ้ให้สามคำใบ้ คำใบ้แรกเพิ่งได้มาตอนที่อยู่ที่ลานข้างตึก ส่วนคำใบ้ที่สองและสามนั้นจะต้องได้จากการเขียนจดหมายไปคุยกับพี่รหัสก่อนจึงจะได้คำใบ้ที่สองและสามมา คำใบ้ที่ได้มาทั้งหมดจะสื่อถึงชื่อของพี่รหัส ซึ่งอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็ได้ "ไม่ใช่แค่นั้นนะจ๊ะ" ยุ้ยเอ่ยเสียงเครียด "แถมสายรหัสของห้องเรายังมีกติกาประหลาดอีกด้วย ก็เพิ่งจะเคยเจอนี่แหละจ้ะว่าสายรหัสสามสายจะผูกโยงด้วยกันและต้องตามหาอีกสองคนที่ผูกโยงกับตัวเองให้เจอ ดูซับซ้อนจังเลยจ้ะ" "ฉันว่ามันน่าจะช่วยให้แก้ง่ายขึ้นนะ" ฉันออกความเห็น สองคนนั้นหันมาจ้องหน้าฉันด้วยความสงสัย ฉันจึงพูดต่อไป "เพราะกติกาก็บอกไว้ด้วยนะว่ารหัสของสายที่ผูกโยงกันจะมีวิธีแก้เหมือนกัน ไหนเอาคำใบ้ของเธอสองคนมาดูหน่อยสิ" ฉันรับกระดาษคำใบ้มาจากทั้งสองคน คำใบ้ของยุ้ยคือ "ENICUELOSILYNALALYNOIHTEM" ส่วนคำใบ้ของฝ้ายก็คือ "ENIGARAPSALYNALALYHPOTPYRTLYSYL" ฉันจึงลองเอาคำใบ้ของฉันมาเทียบดูบ้าง คำใบ้ที่ฉันได้มาคือ "ENILORPLYNOIHTEMLYNALA" ดูเหมือนฉันจะพอจับรูปแบบอะไรได้บ้าง "ฉันว่าพวกเราสามคนเป็นสายที่ผูกโยงกันนะ" "ทำไมมิ้งคิดแบบนั้นล่ะ" คนที่สงสัยคือฝ้าย "เพราะรหัสมันขึ้นต้นด้วย ENI เหมือนกันยังไงล่ะ พวกเธอดูสิ" ฉันส่งกระดาษคำใบ้กลับคืนเจ้าของ "อีกเหตุผลนึงคือในรหัสของพวกเรามี LYNALA เหมือนกันทั้งสามคน ถ้าคำใบ้พวกนี้สื่อถึงชื่อของพี่รหัส ตัวอักษร LYNALA มันก็น่าจะสื่อถึงตัวอักษรหรือกลุ่มตัวอักษรที่ในคำทั้งสามคำมีร่วมกัน" ทั้งสองคนดูเหมือนจะเข้าใจแล้วนะ "ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเราไขออกแล้วว่าใครเป็นสายรหัสที่ผูกโยงกับตัวเองสินะจ๊ะ" "ถูกแล้วละยุ้ย" "แต่รหัสพวกนี้มันก็ยังแก้ยากอยู่ดีนะเราว่า" ฝ้ายออกความเห็น ฟังดูออกไปในทางบ่นมากกว่า "ใจเย็น ๆ ก่อนจ้ะฝ้าย พวกเรามีโอกาสขอคำใบ้ได้อีก 2 ครั้งนะ" ฉันก็หันไปทางยุ้ย "ยุ้ย ฉันขอดูสมุดที่ยุ้ยจดหน่อยนะว่ามีอะไรบ้าง" "ได้จ้ะ" ยุ้ยหยิบสมุดจดประจำตัวออกมาจากเป้นักเรียน เปิดหน้าที่จดล่าสุดสองหน้าให้ฉันดู สิ่งที่ยุ้ยจดลงในสมุดคือชื่อเล่นของพี่แต่ละคนเรียงตามเลขที่ตั้งแต่เลขที่หนึ่งจนถึงเลขที่สามสิบหก พร้อมด้วยคำบรรยายลักษณะหน้าตาคร่าว ๆ ด้วย จะละเอียดไปไหนเนี่ยคุณยุ้ยคะ ฝ้ายชะโงกหน้าเข้ามาดูบ้างแล้วก็พูดขึ้นมา "มีแต่ชื่อเล่นแค่นั้นเองนะเนี่ย" "ตอนที่พี่เขาแนะนำตัวก็แนะนำด้วยชื่อเล่นอย่างเดียวเองนะ อีกอย่าง ถ้าอยากรู้ชื่อจริงก็หาได้จากใบรายชื่ออยู่แล้วไง" ฉันตอบ ดูเหมือนจะไม่มีรายละเอียดอื่นเพิ่มเติมที่น่าสนใจ รายละเอียดกติกากิจกรรมก็พูดคุยกันไปหมดแล้ว ส่งสมุดคืนให้ยุ้ยเลยก็แล้วกัน "ขอบใจมากนะยุ้ย" "ไม่เป็นไรจ้ะ" วันศุกร์ คาบพักกลางวัน วันนี้ฉันกลับมาที่ห้องคนเดียวเพราะว่าฝ้ายกับยุ้ยมีธุระที่ห้องสมุด เมื่อฉันกลับมาถึงห้องเพื่อนนักเรียนที่นั่งข้างหลังฉันก็เรียกทัก "มิ้ง พี่รหัสฝากจดหมายมาจ้ะ แล้วก็ของฝ้ายกับยุ้ยด้วย" "ขอบใจมากนะกิ๊ก" ฉันยิ้มตอบก่อนจะลงนั่งที่โต๊ะเรียนของฉัน เมื่อวานนี้ฉันกับฝ้ายและยุ้ยส่งจดหมายให้พี่รหัสผ่านทางพี่แอมตอนคาบชุมนุม เพราะพี่แอมเป็นพี่ ม.5/2 ที่พวกเราสนิทที่สุดแล้ว ฉันยังจำได้ว่าเมื่อฝากจดหมายกับพี่แอมไปพี่แอมยังหัวเราะคิก "แหม มาทีเดียวพร้อมกันสามคนเชียวนะ" "ก็พวกเราเจอกันทุกวันอยู่แล้วไงล่ะคะ" ฝ้ายตอบอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้พี่รหัสตอบจดหมายกลับมาแล้วพร้อมกับคำใบ้ที่สอง "คำใบ้ที่สองก็คือ เนื้อ นม ไข่" เนื้อ นม ไข่ งั้นเหรอ ถ้างั้นก็คงหมายถึงสารอาหารประเภทโปรตีนละมั้ง "มิ้งคิดออกยังว่าพี่รหัสเป็นใคร" กิ๊กชวนคุยมาจากด้านหลัง ฉันจึงเก็บคำใบ้กลับเข้าซอง หมุนตัวเก้าสิบองศาแล้ววางแขนบนพนักเก้าอี้ "ยังเลย แต่ว่าฉันรู้สึกเหมือนมาถูกทางแล้วละ" "งั้นเหรอ ดีจังนะ" "แล้วของกิ๊กเป็นไงบ้าง" กิ๊กถอนหายใจ "ก็ยังงง ๆ อยู่เลยจ้ะ จะคิดออกไหมเนี่ย" "พยายามเข้านะกิ๊ก" "ขอบใจจ้ะ" การสนทนาจบแต่เพียงเท่านั้น ฉันกลับไปสนใจกับคำใบ้ของตัวเองต่อไป สักพักฝ้ายกับยุ้ยก็กลับมาที่ห้อง "พี่รหัสตอบมาแล้วนะ" "จริงเหรอมิ้ง" ฉันยื่นซองจดหมายสองซองให้แทนคำตอบ "เนื้อ นม ไข่ งั้นเหรอ ของยุ้ยจังเหมือนกันไหม" ฝ้ายเปิดซองจดหมายของตัวเองออกอ่าน คำใบ้ที่ได้เหมือนของฉันเลยแฮะ "เหมือนกันเลยละจ้ะ" "ของฉันก็เหมือนกันนะ" ฉันเปิดของฉันแล้วส่งให้อีกสองคนดูบ้างและตั้งข้อสงสัย "สรุปก็คือคำใบ้ของคนที่สายรหัสผูกโยงกันจะเหมือนกันหมดเลยยังงั้นเหรอ" บ่ายวันนั้น หลังจากที่หลายคนในห้องเริ่มสงสัยกันว่าคำใบ้ของคนที่สายรหัสผูกโยงกันจะเหมือนกันหรือไม่ เพื่อนคนหนึ่งจึงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขียนชื่อตัวเองและคำใบ้ที่สองที่ได้ต่อกันไปเรื่อย ๆ รอบห้อง ผลสรุปที่ออกมาก็คือเป็นจริงตามนั้น กล่าวคือคำใบ้ของคนที่สายรหัสผูกโยงกันจะเหมือนกัน นี่เป็นความลับที่พี่ ม.5/2 ปล่อยให้พวกเรารู้เองอย่างนั้นสินะ วันจันทร์ หลังคาบชุมนุม ฉันคิดว่าจะไปที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำหลังเลิกคาบชุมนุมเหมือนที่เคย แต่ฝ้ายกลับเสนอให้ไปบ้านของใครสักคนในกลุ่มพวกเรามากกว่า "ถ้างั้นไปบ้านฝ้ายดีไหม" ฉันออกความเห็น "อย่าเลยจ้ะ บ้านเราสองคนค่อนข้างแคบนะ อีกอย่างนึงก็คือมิ้งเพิ่งมาอยู่นี่ไม่นาน ถ้าเกิดไปคุยกันที่บ้านเราหรือบ้านฝ้ายแล้วเรากลัวว่ามิ้งจะหลงจ้ะ" "แล้วถ้าฝ้ายกับยุ้ยมาที่บ้านฉันแล้วพวกเธอกลับบ้านตัวเองถูกเหรอ" "ถูกสิ" ฝ้ายตอบอย่างมั่นใจ "ก็เราอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กแล้วนี่นา รู้ทุกซอกทุกมุมแหละ ไม่ต้องห่วงว่าจะหลงทางหรอก" สถานที่นัดพบของพวกเราจึงเปลี่ยนจากสวนสาธารณะเป็นบ้านฉันแทน ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องนอนของฉัน ฉันนั่งเก้าอี้หมุนที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างเตียง ยุ้ยนั่งที่ปลายเตียง ส่วนฝ้ายนอนกลิ้งไปมาบนที่นอนอย่างสบายใจ ฉันเดินไปหยิบกระดาษ A4 สามสี่แผ่นออกมาจากกล่องกระดาษลูกฟูก แล้วจึงเริ่มประเด็นการสนทนา "ตอนนี้เรามีรหัสเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษยาว ๆ คนละ 1 รหัส ซึ่งสื่อถึงชื่อของพี่รหัส แล้วก็มีคำใบ้ร่วมกันก็คือ 'เนื้อ นม ไข่' ที่พวกเราลงความเห็นกันว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับโปรตีน แล้วก็อีกคำใบ้ที่เพิ่งได้มาวันนี้ที่ไม่รู้ว่ามันหมายความถึงอะไร" ฉันส่งกระดาษคำใบ้ของฉันให้ยุ้ย ส่วนยุ้ยก็หยิบกระดาษคำใบ้ของตัวเองออกมาจากกระเป๋าสตางค์ คราวนี้คำใบ้ที่สามของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันแล้ว คำใบ้ของฉันคือ "CCCFKLJKFE" ส่วนคำใบ้ของยุ้ยคือ "OFERXKLNNN" เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนด้วยปากกาหัวสักหลาดสีแดงบนกระดาษสีขาว "คำใบ้ของเราเหรอ รอแป๊บนึงนะ อยู่ในกระเป๋า" ฝ้ายลุกขึ้นจากที่นอนก่อนจะไปเปิดเป้นักเรียนหยิบซองจดหมายที่ใส่คำใบ้เอาไว้ออกมา ฝ้ายวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนที่นอนแล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ คำใบ้ของเธอคือ "HFPAOAPDRJ" "เดี๋ยวนะ เราว่าเราเห็นอะไรบางอย่างแน่ะ" ฝ้ายพูดแล้วก็หยิบกระดาษคำใบ้ของตัวเองกับของฉันมาลองต่อกันดู ฉันกับยุ้ยสงสัยขึ้นพร้อมกัน "อะไรน่ะฝ้าย" "อะไรเหรอจ๊ะฝ้าย" "ก็กระดาษสองแผ่นนี้มันเคยต่อกันเป็นแผ่นเดียวกันมาก่อนนี่นา นี่ไง" ฝ้ายวางกระดาษทั้งสองแผ่นบนที่นอน แล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางพวกเราสองคน "ฝ้าย ฉันว่าเธอลุกขึ้นนั่งน่าจะสบายกว่าไหม" "ไม่ละมิ้ง ที่นอนของคุณรองประธานชุมนุมนิ่มสบายจะตายไป ว่าแต่จะฟังต่อไหม" ถ้างั้นก็เชิญตามสบายเลยค่ะคุณฝ้าย "ตรงขอบด้านซ้ายของกระดาษของเรามีรอยจุดสีแดงเล็ก ๆ สามรอย แล้วรอยสามรอยนั้นก็ห่างกันพอ ๆ กับขีดสามขีดของตัว E บนกระดาษของมิ้งเลย ก็เลยลองหยิบมาต่อกันดูน่ะ" เข้าใจละ เมื่อวางกระดาษสองแผ่นนี้ต่อกันก็จะพบว่ากระดาษสองแผ่นนี้เคยต่อกันเป็นแผ่นเดียว แต่ถูกของมีคมบางอย่างทำให้ขาดออกจากกัน รอยตัดที่เกิดขึ้นเฉือนตัว E แหว่งไปเล็กน้อยสินะ มองดูทีแรกไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยด้วยซ้ำ "นอกจากนี้นะ" ฝ้ายหยิบกระดาษของยุ้ยมาวางต่อกับของตัวเอง "ขอบข้างขวาของกระดาษของเรามันเฉียงไปทางขวานิด ๆ แล้วขอบด้านซ้ายของกระดาษของยุ้ยจังก็เฉียงพอ ๆ กัน พอลองเอามาต่อกันดูแล้วก็เห็นชัดเลยว่านี่ก็รอยตัดเดียวกัน" จริงอย่างที่ฝ้ายว่า "ว่าแต่ฝ้ายมองเห็นละเอียดขนาดนั้นเลยเหรอน่ะ" ฝ้ายพลิกตัวกลับมานอนหงายพลางยกสองแขนขึ้นกอดอกอย่างมั่นใจ "เห็นฉันสายตาสั้น 900 แบบนี้นะ แต่เรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีพลาดอยู่แล้วละ" "ฝ้ายเขาเล่นเกมจับผิดภาพหรือค้นหาคำในตารางบ่อย ๆ น่ะจ้ะ เราสองคนเล่นด้วยกันทีไรฝ้ายชนะแทบจะทุกครั้งเลยละ ตั้งแต่ขึ้น ม.1 มาเราเพิ่งจะชนะฝ้ายแค่สองครั้งเองจ้ะ" "ยุ้ยจังชนะเราเพราะตอนนั้นเราต่อให้ด้วยนะ มิ้งสนใจจะลองแข่งกันหรือเปล่าล่ะ" "ดูท่าทางมั่นใจเหลือเกินนะ แต่ตอนนี้ฉันว่าพวกเรามาคุยกันเรื่องพี่รหัสต่อดีไหม" "จ้า.. จ้า..." ท่าทางเหมือนว่าวติดลมไม่อยากลงมาแฮะ เมื่อเรียงกระดาษทั้งสามแผ่นของพวกเราต่อกันก็ได้คำใบ้ที่สามที่สมบูรณ์ และคำใบ้ที่สามที่พวกเราก็ได้ก็คือ "CCCFKLJKFEHFPAOAPDRJOFERXKLNNN" ซึ่งแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย ฉันหมุนเก้าอี้กลับไปเปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะแล้วก็หมุนกลับมาทางเดิม หวังว่าจะได้ใช้ค้นหาข้อมูลอะไรบ้างนะ "เท่าที่เคยอ่านมานะ โปรตีนจะเป็นพอลิเมอร์ของหน่วยย่อย ๆ ที่เรียกว่ากรดอะมิโนซึ่งมีหลากหลายชนิด" "แล้วเวลามันมาต่อกัน มันต่อกันแบบไหนล่ะมิ้ง" ฉันลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษ A4 ที่ใช้ไปหน้าเดียวออกมาจากลังที่เก็บเอาไว้แล้วก็มานั่งบนที่นอนใกล้กับฝ้าย "ต้องอธิบายก่อนว่าโครงสร้างของกรดอะมิโนเป็นแบบไหน ลองจินตนาการว่ามีคาร์บอนอะตอมนึง ซึ่งสามารถสร้างแขนหรือพันธะต่อกับอะตอมหรือกลุ่มอะตอมอื่นได้สี่พันธะ เอาเป็นว่าเรียกว่าแขนก่อนแล้วกัน แขนข้างนึงต่อกับอะตอมไฮโดรเจน ข้างที่สองต่อกับหมู่คาร์บอกซิล ข้างที่สามต่อกับหมู่อะมิโน สองข้างนี้สำคัญมากฝ้ายต้องจำไว้นะ แล้วข้างที่สี่ต่อกับกลุ่มอะตอมต่าง ๆ ซึ่งกลุ่มอะตอมพวกนี้แหละที่ทำให้กรดอะมิโนแต่ละตัวแตกต่างกัน" ฉันหยิบปากกาที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากระโปรงออกมาวาดรูปประกอบไปด้วย ฝ้ายพยักหน้าตามหงึก ๆ ส่วนยุ้ยก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจดเช่นเคย "หลังจากนั้นแล้วเมื่อกรดอะมิโนสองตัวจะต่อกัน มันจะเอาหมู่อะมิโนตรงนี้ กับหมู่คาร์บอกซิลของอีกตัวนึงมาทำปฏิกิริยากัน แล้วโมเลกุลของน้ำก็จะหลุดออกมา ทิ้งให้สองหมู่นี้ต่อกันเกิดเป็นพันธะที่เรียกว่าพันธะเพปไทด์ ซึ่งจะเห็นว่าที่ปลายข้างนึงก็มีหมู่อะมิโนเหลือ ส่วนปลายอีกข้างนึงก็มีหมู่คาร์บอกซิลเหลือให้ไปทำปฏิกิริยาต่อไปได้ ปลายข้างที่มีหมู่อะมิโนเหลือก็คือปลาย N เพราะมีไนโตรเจน ส่วนปลายข้างที่มีหมู่คาร์บอกซิลเหลือก็คือปลาย C เพราะมีคาร์บอน" ฉันหันไปมองจอคอมพิวเตอร์ บูตเสร็จแล้วสินะ "แป๊บนึงนะ ขอล็อกอินเข้าคอมก่อน" ฉันลุกกลับไปพิมพ์รหัสผ่านเข้าคอมพิวเตอร์แล้วก็กลับมานั่งต่อที่เดิม "สายที่เกิดขึ้นจากการเอากรดอะมิโนมาต่อ ๆ กันเรียกกันว่าพอลิเพปไทด์ วิธีการเรียกชื่อจะเริ่มจากปลาย N ย้อนไปปลาย C เดี๋ยว! ฉันนึกอะไรออกแล้ว!" "อะไรเหรอจ๊ะมิ้ง" ยุ้ยสงสัย ฉันจึงชี้มือไปที่กระดาษสามแผ่นที่วางเรียงกัน "นั่นไง" "เข้าใจแล้วละจ้ะ ในคำใบ้นี้ก็มี C อยู่ที่ปลายข้างนึงและปลายอีกข้างก็เป็น N เหมือนกันเลยนะ" "เดี๋ยวนะ มิ้ง ยุ้ยจัง อะไรกัน ฉันตามไม่ทัน" ฉันเริ่มอธิบายอีกครั้งหนึ่ง "ในคำใบ้นี้มี C อยู่ที่ปลายด้านซ้าย และมี N อยู่ที่ปลายด้านขวา และวิธีการเรียกชื่อพอลิเพปไทด์จะเรียกจากปลาย N ไปหาปลาย C โดยเอาชื่อกรดอะมิโนมาเปลี่ยนท้ายเสียงเป็น -yl ให้หมดยกเว้นตัวสุดท้ายแล้วเรียงต่อกันไปจากปลาย N ถึงปลาย C นั่นแปลว่ารหัสที่พี่รหัสเราให้มาต้องอ่านจาก N ไปหา C ก็คือจากด้านขวาไปด้านซ้าย" ฉันเปิดเป้นักเรียนของฉันออกแล้วหยิบเอาซองจดหมายซองแรกสุดออกมา "เอาของฉันก่อนก็แล้วกันนะ ENILORPLYNOIHTEMLYNALA ถ้าอ่านจากขวามาซ้ายก็จะกลายเป็น ALANYLMETHIONYLPROLINE" ฉันเขียนข้อความนี้บนกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง "เห็นตัวอักษร YL ตรงนี้ใช่ไหม ขีดเส้นแบ่งข้างหลัง YL ตรงนี้แล้วก็ตรงนี้" บนกระดาษขณะนี้ปรากฏข้อความ ALANYL-METHIONYL-PROLINE "รอแป๊บนึงนะ" ฉันกลับไปนั่งที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดกูเกิลโครมขึ้นมาแล้วค้นหาเกี่ยวกับกรดอะมิโน สักพักก็ปรากฏรายชื่อกรดอะมิโนขึ้นมาบนหน้าจอ ฉันลุกขึ้นมาหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากบนเตียงและเรียกอีกสองคนมาดู "ALANYL มาจาก alanine METHIONYL มาจาก methionine ส่วน PROLINE ก็คือ proline ไม่ได้ดัดแปลงอะไรเพราะเป็นตัวสุดท้าย ดังนั้นพอลิเพปไทด์นี้จะประกอบด้วย alanine methionine และ proline โดยเรียงจากปลาย N มาหาปลาย C เวลาเราเขียนสัญลักษณ์มีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือเอาชื่อย่อที่เป็นสามตัวอักษรมาเรียงกันจากปลาย N มาหาปลาย C โดยมีเครื่องหมายขีดคั่น ส่วนแบบที่สองใช้ชื่อย่อแบบตัวอักษรเดียว เดี๋ยวฉันจะเขียนสาธิตทีละแบบให้ดูนะ" alanine ก็คือ Ala ส่วน methionine ก็คือ Met แล้ว proline ก็ Pro ได้ออกมาเป็น Ala-Met-Pro แล้วถ้าเป็นแบบตัวอักษรเดียวล่ะ alanine คือ A methionine คือ M และ proline คือ P A-M-P พี่แอม! "ฮะ ๆ ๆ" ฝ้ายหัวเราะ "คุณรองประธานชุมนุมได้ประธานเป็นพี่รหัสเหรอเนี่ย" "บังเอิญจริง ๆ เลยนะจ๊ะมิ้ง" ฉันยังตั้งตัวไม่ถูก "ว่าแต่พี่แอมเขาดูไม่ออกอาการอะไรเลยเนอะว่าได้คุณรองประธานชุมนุมเป็นน้องรหัสตัวเองเนี่ย" ฝ้ายยังกระเซ้าไม่หยุด "ก็บอกว่าอย่าเรียกว่าคุณรองประธานชุมนุมไงเล่า อย่ามัวแต่แซวคนอื่นสิฝ้าย ไขรหัสของตัวเองได้แล้ว ยุ้ยด้วย" หลังจากที่ฉันรู้ว่าพี่แอมเป็นพี่รหัสของฉันแล้ว ฝ้ายและยุ้ยก็ไขรหัสออกแล้วเช่นกันว่าพี่รหัสของตัวเองเป็นใคร "พรุ่งนี้ก็ต้องเข้าชุมนุมตามปกตินะ อย่าเพิ่งให้พี่แอมรู้ก็แล้วกันนะว่าพวกเราไขรหัสกันได้แล้ว" ฉันเตือนทั้งสองคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ "แต่คนที่ต้องระวังตัวที่สุดก็คือมิ้งละนะ" ไม่บอกก็รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วละค่ะคุณฝ้าย กิจกรรมชุมนุมในวันถัดมาดำเนินไปอย่างปกติ กิจกรรมวันนั้นเป็นการทดลองทางเคมีและพี่แอมกับอาจารย์ก็คอยดูแลพวกเราอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครพูดคุยกันเรื่องสายรหัสในชุมนุมเลย ฉันคิดว่าฉันไม่ได้แสดงพิรุธอะไรออกมานะ ในวันต่อมาซึ่งเป็นวันพุธไม่มีกิจกรรมชุมนุม เนื่องจากช่วงบ่ายวันนี้ถูกกำหนดให้เป็นการซ้อมกิจกรรมในหอประชุมเพื่อให้กิจกรรมในวันจริงดำเนินไปได้อย่างไม่สะดุด เสร็จแล้วพวกเราจึงมาจัดพานดอกไม้และพานธูปเทียนสำหรับวันไหว้ครู ห้อง ม.4/2 ของฉันเลือกยุ้ยไปเป็นตัวแทนถือพานดอกไม้ ส่วนตัวแทนถือพานธูปเทียนเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าห้องด้วย สองคนนั้นจึงไม่ต้องมาช่วยกันจัดพาน แต่ต้องอยู่ในหอประชุมต่อเพื่อซ้อมกิจกรรมเฉพาะตัวแทนถือพานดอกไม้ธูปเทียนต่อไป กิ๊กคนที่นั่งข้างหลังฉันในห้อง ม.4/2 อาสาเป็นคนออกแบบพาน ฉันเพิ่งรู้จากเพื่อนคนอื่นในห้องว่าที่บ้านของกิ๊กเปิดร้านจัดดอกไม้ด้วย ไม่แปลกใจหรอกที่จะมีหัวในด้านนั้น ที่จริงแล้วฉันไม่ค่อยถูกกับการฝีมือมากนัก แต่เพราะไม่อยากจะนั่งกินแรงเพื่อนอยู่เฉย ๆ จึงคอยถามคนนั้นบ้าง คนนี้บ้างว่ามีอะไรให้ช่วยไหม สุดท้ายก็ได้รับหน้าที่ให้เสียบหมุดสแตนเลสบนดอกบานไม่รู้โรยและลูกมะเขือพวงกับคอยไปเอาดอกไม้หรือของตกแต่งอย่างอื่นจากส่วนกลางมาเพิ่มเมื่อของขาด เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายหลังจากพยายามกันอยู่เกือบสามชั่วโมงพานดอกไม้และพานธูปเทียนของห้อง ม.4/2 ก็สำเร็จได้ด้วยดี และแล้ววันไหว้ครูและวันเฉลยสายรหัสก็มาถึง กิจกรรมในวันนี้จะแบ่งออกเป็นสองกิจกรรมใหญ่ ๆ ได้แก่กิจกรรมไหว้ครูในภาคเช้า และกิจกรรมรับน้องใหม่ในภาคบ่าย กิจกรรมวันไหว้ครูช่วงเช้านั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นอกจากนี้พานดอกไม้และพานธูปเทียนที่กิ๊กเป็นคนออกแบบก็ยังได้รางวัลที่ 1 ของระดับชั้น ม.4 และรางวัลที่ 2 ของระดับชั้น ม.ปลายด้วย เมื่อจบกิจกรรมวันไหว้ครูแล้วนักเรียนทั้งหมดจะถูกปล่อยไปกินข้าวกลางวันพร้อมกัน ทำให้โรงอาหารวันนี้คนแน่นผิดปกติ แต่กิจกรรมภาคบ่ายกว่าจะเริ่มก็บ่ายโมง ตอนนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงครึ่งเท่านั้นเอง ยุ้ยจึงเสนอให้ไปนั่งเล่นกันที่ห้องสมุดระหว่างรอเวลา พวกเราที่เหลือเห็นด้วยจึงไปที่ห้องสมุดด้วยกันทั้งสามคน เมื่อใกล้เวลานัดหมายที่กำหนดไว้บ่ายโมงแล้วพวกเราก็เดินออกจากห้องสมุดไปยังลานข้างตึก S ที่ใช้เป็นที่นัดหมาย เมื่อพวกเราไปถึงก็เห็นเพื่อน ๆ ม.4/2 หลายคนมารออยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนักทุกคนก็มากันครบ "เอาละค่ะ หลังจากนี้พี่ ๆ ม.5 ก็จะยืนล้อมเป็นวงกลมนะคะ ถ้าน้อง ๆ คิดว่าพี่คนไหนเป็นพี่รหัสของตัวเองก็ไปนั่งด้านหน้าพี่คนนั้นได้เลยค่ะ" พี่ ม.5/2 ยืนเป็นวงกลมโดยหันหน้าออกนอกวง ทุกคนคล้องป้ายชื่อที่ทำจากกระดาษแข็งสีฟ้าวาดรูปและเขียนชื่อด้วยปากกาเคมีสีดำอย่างง่าย ๆ "คิดว่าพี่เป็นพี่รหัสจริง ๆ เหรอเนี่่ย" พี่แอมถามหลังจากที่ฉันเดินตรงเข้าไปหาแล้วก็ลงนั่งขัดสมาธิด้านหน้าโดยไม่ลังเลใจ "ค่ะ" พี่แอมยังนิ่ง ชักไม่แน่ใจนิด ๆ ว่าตอนนี้พี่แอมคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ฉันก็ยังแน่ใจอยู่ว่าฉันตอบถูก ส่วนพี่คนที่ฝ้ายกับยุ้ยเลือกก็อยู่ใกล้ ๆ กับพี่แอมพอดี โดยพี่คนที่ยุ้ยเลือกอยู่ระหว่างกลางพี่อีกสองคนที่เหลือ เพื่อน ๆ หลายคนก็เดินวนดูสองสามรอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะเลือกคนไหน สุดท้ายทุกคนก็ลงนั่งที่ด้านหน้าพี่ที่ตัวเองสงสัยว่าน่าจะเป็นพี่รหัสของตัวเอง พี่บางคนไม่มีน้องมานั่งตรงหน้าเลย ในขณะที่พี่บางคนก็มีน้องมานั่งตรงหน้าถึงสองคน "ตอนนี้น้อง ๆ ม.4 ก็เลือกพี่ที่ตัวเองสงสัยกันหมดแล้ว ถ้างั้นพี่ ม.5 เฉลยเลยค่ะว่าน้องคนไหนทายถูกกันบ้าง" "กะแล้วว่าน้องมิ้งต้องเดาถูกว่าพี่เป็นพี่รหัส" พี่แอมส่งยิ้มหวานให้หลังจากที่ได้รับสัญญาณให้เฉลย "ตอนที่อยู่ที่ชุมนุมพี่เก็บอาการแทบตายแน่ะ กลัวน้องมิ้งจะจับได้ ว่าแต่น้องมิ้งทายถูกได้ยังไงเนี่ย" ฉันเล่ารายละเอียดการไขรหัสทั้งหมดตามความจริงนับตั้งแต่ที่ฉันเริ่มไขออกว่าฉัน ฝ้าย และยุ้ยอยู่ในสายที่ผูกโยงกัน "...จริง ๆ หนูว่ามันโชคช่วยด้วยส่วนนึงนะพี่แอม อีกอย่างคือพวกเราสามคนช่วยกันคิดด้วย" "งี้พี่ก็โดนทำโทษสิเนี่ย แย่จังเลยนะ แหะ ๆ" พี่แอมยิ้มแห้ง ๆ "ป้าแอมได้น้องในชุมนุมตัวเองเป็นน้องรหัสเหรอเนี่ย" พี่รหัสของยุ้ยเอ่ยทัก ทั้งยุ้ยและฝ้ายต่างก็ทายถูกเช่นกัน "อื้ม ใช่เลย คนนี้รองประธานชุมนุมเลยนะ" "ประธานเป็นพี่รหัสรองประธานเหรอเนี่ย" แล้วพี่รหัสของยุ้ยก็หัวเราะ "พี่ชื่อพี่ไหมนะ ส่วนพี่อีกคนชื่อพี่ขวัญเป็นพี่รหัสของน้องฝ้าย สายรหัสของเราสามคนผูกกันมาสิบสองรุ่นแล้วละจ้ะ" แล้วพี่ไหมก็ลดเสียงลงต่ำ "ว่าแต่เป็นน้องป้าแอมก็ดูแลเขาดี ๆ นะ" "พูดแบบนั้นหมายความว่าไงคะไหม นี่ น้องมิ้ง อย่าไปฟังพี่ไหมเขามากนะ" แล้วพี่แอมกับพี่ไหมก็หัวเราะพร้อมกัน พี่ ม.5 อีกคนกำลังจะประกาศกติกาต่อไป พี่ขวัญจึงเงื้อมือสะกิดพี่ไหม "ตอนนี้พี่ที่โดนน้องจับได้กับน้องที่จับพี่ไม่ได้ก็เข้าไปอยู่ในวงในคู่กับสายรหัสของตัวเองแล้วนะคะ ดังนั้นก็ขอให้คนที่อยู่วงในนั่งคุกเข่าลงค่ะ" ระหว่างที่พวกเราคุยกันอยู่นั้นฉันเห็นพี่ ม.5 หลายคนเดินมาหาเพื่อน ๆ ม.4 ที่ทายผิดพร้อมกับพากลับไปยังจุดเดิมที่ตัวเองยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ แต่คราวนี้เพื่อน ม.4 ที่ทายผิดกลับเข้าไปอยู่ในวงในด้วยกันกับพี่ ม.5 บางส่วนที่ถูกน้องจับได้ ฉันลองมองหาต้นเสียงก็พบว่ายืนอยู่ในวงนอกนั่นเอง เมื่อพี่คนนั้นพูดจบแล้วก็เดินออกจากวงเพื่อไปหยิบถุงดำขนาดใหญ่มา จากนั้นก็หยิบสิ่งของที่อยู่ในถุงส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ แป้งเด็กนั่นเอง ดูเหมือนจะกระป๋องใหญ่ด้วย น่าจะยังไม่ได้ใช้เลย แต่สติกเกอร์ที่ปิดปากกระป๋องถูกลอกออกไปหมดแล้ว "คราวนี้ขอให้คนที่ยืนอยู่วงนอกเปิดกระป๋องแป้งแล้วก็โรยใส่คู่ของตัวเองให้หมดกระป๋องเลยนะ เอาละ หนึ่ง สอง สาม" พอสิ้นคำว่าสาม แทบทุกคนที่ยืนอยู่ในวงนอกก็บีบกระป๋องแป้งใส่คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แต่ฉันยังไม่กล้าลงมือเพราะว่าพี่แอมยังสวมแว่นตาอยู่ "พี่แอมไม่ถอดแว่นเหรอคะ" "เอ่าเลยน้องมิ้ง พี่ค่อยเช็ดทีหลังก็ได้" "ถ้างั้นหนูขอโทษนะคะ" แล้วฉันก็เริ่มเทแป้งใส่พี่แอมจนเลอะทั้งตัว พอมองเห็นคนอื่น ๆ เดินอ้อมไปโรยแป้งใส่ด้านหลังของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยก็เลยทำตามบ้างจนกระทั่งแป้งหมดกระป๋อง "เอาละค่ะ หมดเวลาแล้ว" คนที่นั่งคุกเข่าอยู่ในวงในขาวโพลนไปหมดทั้งตัว แม้แต่กระโปรงนักเรียนตอนนี้ก็ปกคลุมไปด้วยแป้งเด็ก พี่แอมซึ่งอยู่ในสภาพเปรอะเปื้อนไม่ต่างกันกับคนอื่นหยิบผ้าเช็ดแว่นออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ถอดแว่นตาของตัวเองออกมาเช็ด "พี่แอม หนูขอโทษนะ" "ไม่เป็นไรจ้ะ ปีที่แล้วพี่รหัสของพี่ก็เละแบบนี้เลย ปีหน้าน้องมิ้งก็ระวังโดนบ้างนะ" "ค่า..." ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางหันไปสังเกตพี่ขวัญกับพี่ไหม สภาพของพี่ขวัญนั้นเลอะเทอะไม่ต่างกับพี่แอมเลย ส่วนพี่ไหมก็ขาวทั้งตัวเหมือนกัน แต่ดูเหมือนปริมาณแป้งบนตัวพี่ไหมจะน้อยกว่าอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ นะ "คนไหนแป้งยังไม่หมดกระป๋องชูกระป๋องขึ้นมาเลยค่ะ" เพื่อน ๆ ม.4 ประมาณเจ็ดถึงแปดคนชูกระป๋องขึ้นตามคำสั่ง ยุ้ยเป็นหนึ่งในนั้น "อ้าว ยุ้ย แป้งไม่หมดเหรอ" "จ้ะ ไม่กล้าเล่นเยอะไง แล้วมิ้งใช้หมดเลยเหรอ" "ก็พี่เขาบอกให้เทหมดเลยนี่นา" แล้วพี่คนที่ประกาศก็พูดต่อไป "เอาละค่ะ คนไหนที่แป้งยังไม่หมดขอให้เข้าไปนั่งแทนที่คู่ของตัวเองเลยค่ะ ส่งกระป๋องแป้งให้คู่ของตัวเองด้วย" ยุ้ยอึ้ง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งแทนที่พี่ไหมแต่โดยดี พี่ไหมลุกขึ้นมายืนระหว่างฉันกับฝ้าย "โชคดีนะยุ้ยจัง" ฝ้ายแกล้งพูดแซวหลังจากที่ยุ้ยนั่งคุกเข่าระหว่างพี่ขวัญกับพี่แอมเรียบร้อยแล้ว พี่คนเดิมออกคำสั่งต่อไปทันที "คราวนี้คนที่เทแป้งไม่หมดก็ต้องถูกทำโทษบ้างนะคะ เพราะไม่ยอมทำตามกติกาว่าต้องเทแป้งให้หมด เอาละ พี่ ๆ คะ ทำโทษน้องที่ไม่ยอมเทแป้งให้หมดได้เลย" "น้องยุ้ยไม่ถอดเสื้อเหรอ" พี่ไหมหมายถึงเสื้อกันหนาวตัวที่ยุ้ยใส่เป็นประจำ "ไม่เป็นไรค่ะ" แล้วยุ้ยก็เอาฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นคลุมหัว "อ๊ะ ๆ น้องยุ้ย อย่าคลุมผมสิ พี่ยังไม่คลุมเลยนะ" ยุ้ยยิ้มแห้ง ๆ พลางปลดเอาฮู้ดลง หลังจากนั้นพี่ไหมก็โปรยแป้งที่เหลืออยู่ในกระป๋องใส่ยุ้ยที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่จนหมด สภาพของยุ้ยเลอะเทอะมอมแมมเหมือนกับพี่สองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และน่าจะเลอะมากกว่าพี่ไหมอีก "ยุ้ยจังเป็นไงบ้าง" "รู้สึกดีมากเลยจ้ะฝ้าย มาลองบ้างไหมล่ะจ๊ะ" "ไม่เป็นไรละยุ้ยจัง ตามสบายเลย" หลังจากเสร็จกิจกรรมก็เป็นเวลาห้าโมงเศษ ๆ แล้ว พวกเราจึงตั้งใจจะไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับบ้านกัน แต่เมื่อพวกเราเดินหาห้องน้ำก็พบว่าทุกห้องมีคนใช้และเข้าคิวรออยู่เต็มไปหมด ฝ้ายจึงเสนอความเห็นขึ้นมา "ถ้างั้นพวกเรากลับกันทั้งสภาพแบบนี้ดีไหม" ฉันกับยุ้ยแย้งแทบจะพร้อมกัน "จะดีเหรอจ๊ะฝ้าย" "อย่าเลยนะฉันว่า อย่างน้อยก็ล้างหน้าล้างตากันสักหน่อยเถอะ" พวกเราตอนนี้หน้าตาเปื้อนไปด้วยดินสอพองสีขาวและยังเปื้อนล้นไปถึงผม คอ และแขน ใบหน้าของพวกเรายังมีรอยวาดด้วยลิปสติกเป็นหนวดแมวด้วย เสื้อนักเรียนมีรอยเปื้อนดินสอพองตามปกเสื้อ ไหล่ และแขนเสื้อ นอกจากนี้บนหัวของพวกเรายังสวมหมวกคลุมผมอาบน้ำสีม่วงซึ่งเป็นคณะสีของห้อง ม.4/2 ที่เพิ่งจับฉลากได้ตอนบ่ายนี้ พวงมาลัยริบบิ้นสีม่วงยังคล้องอยู่ที่คอ ข้อมือ และข้อเท้า ไม่นับว่ายุ้ยที่ถูกพี่ไหมโรยแป้งเด็กใส่จนขาวโพลนทั้งตัวตั้งแต่แรกอีกนะ "ถ้างั้นลองเดินดูกันอีกรอบไหมล่ะจ๊ะ เผื่อว่าพอจะมีห้องน้ำห้องไหนว่าง ๆ บ้าง" "ก็ได้นะยุ้ยจัง" พวกเราสามคนจึงเดินตระเวนรอบโรงเรียนอีกรอบ ระหว่างนั้นพวกเราก็เห็นเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่คนเดียวบนม้าที่โต๊ะหินโดยหันหลังพิงกับฝาโต๊ะ พวกเรารู้ว่าคนนั้นเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะตอนนี้เธอสวมเสื้อกันฝนสีชมพูคลุมทับชุดนักเรียนอยู่ ตามตัวมีเศษลูกโป่งสีดำกลัดติดเต็มทั้งตัว ข้างตัวยังมีมงกุฎกระดาษแข็งสีชมพูวางอยู่บนเป้นักเรียน ซึ่งฉันจำได้ว่านักเรียน ม.4 ที่อยู่คณะสีชมพูแต่งตัวแบบนี้ เมื่อพวกเราเดินเข้าไปใกล้เธอคนนั้นก็หันมาสบตาพวกเราพอดี "เธอคนนั้นที่เขียนหน้าเราที่ฐานสีส้มนี่นา" ฝ้ายร้องทักขึ้นก่อน ตอนนั้นที่ฐานของคณะสีส้ม ห้อง ม.4/2 แข่งเกมแพ้ห้อง ม.4/6 ซึ่งอยู่คณะสีชมพู จึงต้องถูกเพื่อนอีกห้องใช้ลิปสติกแต่งหน้าให้ "อื้ม จำได้ด้วยเหรอ เธอชื่อฝ้ายใช่ไหม" "ใช่แล้วละ เธอโดนจับเป็นตัวประกันที่ฐานสีเขียวสินะ" นักเรียนคนนั้นพยักหน้า "เราเป็นหัวหน้าห้องน่ะ ก็เลยโดนจับเป็นตัวประกันติดลูกโป่งเต็มตัว แถมห้องเราแพ้ด้วยเราก็เลยโดนเจาะลูกโป่งรอบตัวเลยละ" โชคดีที่ตอนที่ห้อง ม.4/2 เข้าฐานสีเขียวนั้นห้องฉันชนะ หัวหน้าห้องของเราก็เลยปลอดภัย ฉันสังเกตเธอคนนั้นดูท่าทางเครียดกับอะไรสักอย่างอยู่จึงถามออกไป "แล้วเธอเป็นอะไร ทำไมมานั่งคนเดียวตรงนี้ล่ะ" "ปากกาเราหายน่ะ ไม่รู้เราทำหล่นเอาไว้ตรงไหน" ปากกาด้ามเดียวหายแล้วต้องเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ "ปากกาด้ามเดียวทำไมต้องเสียใจขนาดนั้นล่ะ เธอ... เอ่อ..." ฉันลืมไปว่าฉันยังไม่รู้ชื่อคนที่ตัวเองกำลังพูดด้วยเลย ป้ายชื่อที่คล้องอยู่ที่คอก็กลับด้านหลังออกมาด้วย เธอคนนั้นคงเห็นว่าฉันกำลังพยายามอ่านชื่อบนป้ายชื่ออยู่จึงหันชื่อตัวเองออกมา "เราชื่อมีนนะ ปากกาด้ามนั้นพี่สาวเราให้มาเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ แล้วก็เพิ่งจะได้มาสองวันเอง" เข้าใจแล้วละ ถ้าของที่คนอื่นให้เป็นของขวัญยังไงก็ต้องเป็นของสำคัญอยู่แล้ว "ปากกาของมีนหน้าตาแบบไหนล่ะ" ฝ้ายถามบ้าง "ปากกาสีเขียวลายการ์ตูนน่ะ เป็นปากกาแบบฝาปลอก ตรงปลอกเป็นตุ้มสีเขียว" ฉันยืนคิดอะไร "ถ้างั้นมีนเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อพวกเราจะช่วยอะไรได้บ้าง" "จะดีเหรอ พวกเธอรีบกลับบ้านกันหรือเปล่า" "ไม่รีบหรอก บ้านพวกเราอยู่แค่นี้เอง" ฝ้ายว่า มีนจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "ถ้างั้นเราขอเล่าสั้น ๆ นะ เมื่อเช้าหลังจากที่เสร็จพิธีไหว้ครูแล้วเราก็ไปนั่งทำการบ้านที่ห้องสมุด จนถึงประมาณเที่ยงห้าสิบนาที การบ้านเรายังไม่เสร็จหรอกนะ แต่มันใกล้เวลาที่พี่เขานัดแล้วก็เลยรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้วก็ออกจากห้องสมุดมาเลย จนกระทั่งถึงฐานสุดท้ายที่ต้องใช้ปากกาเขียนชื่อ เราก็เปิดกระเป๋าออกมาจะหาปากกา แต่ก็หาไม่เจอ" ยุ้ยถามขึ้นมาบ้าง "มีนดูในกระเป๋ากระโปรงหรือยังจ๊ะ" "ดูแล้วนะ ในกระเป๋านักเรียนเราก็ดูทุกช่องทุกมุมด้วยแต่ก็ไม่เห็นเลย" ฉันออกความเห็น "เป็นไปได้นะว่ามันน่าจะอยู่ที่ห้องสมุด เพราะว่าตอนที่มีนรีบเก็บของใส่กระเป๋า ปากกาอาจจะตกอยู่ก็ได้ แล้วมีนก็อาจจะไม่ทันเห็น" ยุ้ยพูดขึ้น "ห้องสมุดจะปิดหกโมงเย็นนะจ๊ะ ตอนนี้ก็ห้าโมงครึ่งแล้ว ถ้าจะไปดูก็ต้องรีบไปละจ้ะ" "ถ้างั้นพวกเราไปกันเถอะ" มีนเดินนำพวกเราไปยังโต๊ะตัวที่เธอใช้ทำการบ้าน นักเรียนชั้นมัธยมต้นสองสามคนที่นั่งอ่านหนังสือกันอยู่เงยหน้าจากหนังสือมามองพวกเราแล้วก็หัวเราะกันคิกคัก คงคิดว่าเป็นเรื่องแปลกน่าดูที่มีนักเรียนม.ปลายแต่งตัวประหลาด ๆ เดินเข้ามาในห้องสมุด โชคดีที่เป็นเวลาใกล้ห้องสมุดปิดจึงไม่ค่อยมีนักเรียนเหลืออยู่มากนัก เมื่อพวกเรามาถึงโต๊ะตัวที่มีนทำการบ้านเมื่อตอนกลางวัน ตาทั้งสี่คู่ของพวกเราก็ไม่พบว่ามีปากกาตกอยู่แถวนั้นเลย "ไม่เจอเลย ทำยังไงดีล่ะจ๊ะ" ยุ้ยถามด้วยความเป็นกังวล เจ้าของปากกาดูจะเป็นกังวลมากกว่า "เดี๋ยวฉันเดินไปถามบรรณารักษ์ให้นะ" แล้วฝ้ายก็เดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังเคาน์เตอร์ยืม-คืนหนังสือ พวกเราสามคนที่เหลือค่อย ๆ เดินตามไป ที่เคาน์เตอร์นั้นไม่มีนักเรียนหรืออาจารย์อยู่ แต่มีนักเรียนคนหนึ่งนั่งประจำอยู่ที่คอมพิวเตอร์ที่ใช้จัดการระบบยืมหนังสือ ฝ้ายส่งเสียงเรียกนักเรียนคนนั้น "น้องคะ" "อะ... เอ่อ... มีอะไรกันเหรอคะ" นักเรียนคนนั้นดูเหมือนจะตกใจเมื่อเห็นสภาพของพวกเรา แต่ก็ตอบกลับตามหน้าที่ ดูจากเครื่องหมายบนหน้าอกเสื้อน่าจะเป็นนักเรียน ม.1 "บ่ายวันนี้มีใครเก็บปากกามาส่งที่นี่หรือเปล่าคะ" "หนูไม่เห็นนะคะ แต่เดี๋ยวหนูไปถามอาจารย์ให้ค่ะ รอสักครู่นะคะ" ไม่นานนักน้อง ม.1 คนนั้นก็กลับมาพร้อมคำตอบ "อาจารย์บอกว่าตลอดทั้งวันไม่มีใครเก็บอะไรมาส่งเลยค่ะ" สีหน้าของมีนดูแย่ลงไปอีก "เอายังไงดีล่ะมิ้ง" "มิ้งคิดอะไรออกบ้างไหมจ๊ะ" มีนใช้ปากกาครั้งสุดท้ายที่ห้องสมุด แต่ปากกาไม่ได้อยู่ที่ห้องสมุด และไม่ได้อยู่ในเป้ของมีนตอนที่มีนอยู่ที่ฐานสุดท้าย ถ้าอย่างนั้น... "ขอบคุณมากนะคะ" รีบออกจากห้องสมุดก่อนน่าจะดีกว่า หลังจากพวกเราออกมาจากห้องสมุด มีนก็บอกกับพวกเรา "ไม่เป็นไรจริง ๆ นะ ตอนนี้ก็ใกล้จะหกโมงแล้วด้วย พวกเธอกลับไปก่อนเถอะ" "แล้วมีนกลับยังไงล่ะจ๊ะ" ยุ้ยถาม "เดี๋ยวรอกลับพร้อมกับพี่น่ะ ตอนนี้พี่น่าจะเก็บฐานอยู่" ฝ้ายเสนอทันที "ถ้างั้นเราช่วยหาปากกาก็ได้นะ บ้านพวกเราอยู่แค่นี้ไม่ไกลหรอก งั้นพวกเราเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเมื่อกี้ก่อนก็แล้วกัน" มีนใช้ปากกาครั้งสุดท้ายที่ห้องสมุด แต่ปากกาไม่ได้อยู่ที่ห้องสมุด และไม่ได้อยู่ในเป้ของมีนตอนที่มีนอยู่ที่ฐานสุดท้ายอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าปากกาน่าจะหล่นออกจากรอยขาดบางจุดของเป้นักเรียน แต่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเป้ของมีนกับของฉันก็ใหม่พอ ๆ กัน น่าจะซื้อพร้อม ๆ กันตอนวันมอบตัวนักเรียนใหม่ เป้ของฉันก็ยังไม่ได้มีรอยขาดที่จุดไหนด้วย "เป้มีนขาดตรงไหนหรือเปล่า" คนที่ถามคือฝ้าย "ไม่มีนะ คิดว่า" อย่างที่คิดเลย "แล้ววันนี้หลังจากออกจากห้องสมุดแล้วเธอเปิดกระเป๋าตอนไหนหรือเปล่ามีน" "ก็แค่ตอนที่อยู่ฐานสุดท้ายครั้งเดียวเองนะมิ้ง" ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเหลืออยู่ที่เดียวที่เป็นไปได้ แต่ฉันก็ไม่แน่ใจมากนักว่าจะใช่ที่นั่นจริง ๆ หรือเปล่า มีนนั่งลงที่โต๊ะหิน เปิดกระเป๋าพลางหยิบหนังสือกับสมุดที่งับกันอยู่ออกมา ฉันจึงถามขึ้น "ทำอะไรเหรอมีน" "อ่านหนังสือน่ะ" มีนพูดจบก็เปิดหนังสือไปยังหน้าที่สมุดคั่นอยู่ "เรามีปากกานะ ยืมฉันใช้ทำการบ้านก่อนก็ได้จ้ะ อย่างน้อยการบ้านที่เหลือก็จะได้น้อยลงไงล่ะจ๊ะ" ยุ้ยเสนอ มีนตอบตกลง "เอาอย่างนี้ดีกว่า ฝ้ายไปกับฉันสองคน ส่วนยุ้ยอยู่กับมีนตรงนี้ก่อนนะ" ฉันเสนอขึ้นมาบ้าง ฝ้ายหันมาสบตาฉัน ฉันจึงขยิบตาให้ หลังจากที่ฉันกับฝ้ายเดินออกมาได้สักระยะหนึ่ง ฝ้ายก็ถามฉัน "คุณรองประธานชุมนุมคิดออกแล้วเหรอว่าปากกาอยู่แถวไหน" "ก็น่าจะเหลือที่เดียวแล้วละฝ้าย" ฉันชักจะเริ่มชินกับการที่ฝ้ายเรียกฉันว่า "คุณรองประธานชุมนุม" แล้ว ปล่อยให้ฝ้ายเบื่อเองน่าจะดีกว่าละมั้ง "ที่ไหนเหรอมิ้ง" ฉันเริ่มเรียบเรียงความคิดและพูดออกมาทีละประโยค "มีนบอกว่าหลังออกจากห้องสมุดเธอเปิดกระเป๋าแค่ครั้งเดียวคือที่ฐานสุดท้าย กระเป๋าเธอไม่มีรอยขาด ก็แปลว่าปากกามันก็น่าจะตกอยู่ที่ฐานสุดท้ายนั่นแหละ เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่ของที่อยู่ในกระเป๋าจะออกมาจากกระเป๋าได้" "แล้วฐานสุดท้ายของมีนอยู่ที่ไหนมิ้งรู้เหรอ" "ทำไมจะไม่รู้ล่ะ" ฝ้ายขมวดคิ้ว "นี่ฝ้ายไม่รู้จริง ๆ เหรอเนี่ย เอางี้ดีกว่า จำฐานสุดท้ายของห้องเราได้ไหมว่าไปที่ไหน" "ฐานสุดท้าย อ้อ! นึกออกแล้ว ของห้องเราก็กลับมาที่ฐานสีม่วงใช่ไหมล่ะ" ฉันพยักหน้า "โรงเรียนเราแบ่งออกเป็นเจ็ดคณะสี บ่ายวันนี้เลยมีเจ็ดฐาน พวกเราเจอห้องอื่นไม่ซ้ำคณะสีกันเลย แล้วมาจบฐานสุดท้ายที่คณะสีของตัวเอง ถ้าอาศัยหลักการนี้ไปเทียบกับห้องของมีนที่อยู่คณะสีชมพู ก็แปลว่าฐานสุดท้ายของห้องมีนคือคณะสีชมพู..." ฝ้ายพูดต่อโดยไม่รอให้ฉันพูดจบ "ตรงสนามหญ้านั่นสินะ" "ถูกแล้วละ กิจกรรมของฐานสีชมพูจัดที่สนามหญ้า" "แล้วทำไมมิ้งถึงได้ชวนฉันออกมาด้วยแล้วทิ้งยุ้ยจังไว้กับมีนล่ะ" "เพราะฉันอยากได้ตาของเธอไงล่ะฝ้าย" ฝ้ายสะดุ้ง หน้าซีด "มะ... หมายความว่าไงน่ะ คุณรองประธานชุมนุม" "นี่เธอคิดอะไรของเธออยู่เนี่ย" แปลว่าฝ้ายต้องคิดอะไรสยองขวัญอยู่แน่ ๆ ต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะเข้าใจผิดกันไปมากกว่านี้แล้วละ "ปากกาของมีนสีเขียว แล้วทำตกบนหญ้าสีเขียว คนทั่วไปคงมองไม่ออกหรอกว่าของสีเขียวบนพื้นสีเขียวมันอยู่ตรงไหน น่าจะมีแต่เธอแหละที่น่าจะมองออกได้สบาย ๆ" "โธ่... คุณรองประธานชุมนุมคะ แล้วก็พูดซะตกอกตกใจหมด" "ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะคิดอะไรแบบนั้นน่ะสิ ถึงแล้วละสนามหญ้า" ฐานของคณะสีชมพูไม่ได้ใช้อุปกรณ์มากมายนัก บริเวณฐานจึงถูกเก็บกวาดจนสะอาด ผิดกับฐานของคณะสีอื่นที่ฉันเดินผ่านมา บางคณะสียังกำลังขัดล้างพื้นอยู่เลย "ช่วยกันเดินหาเถอะฝ้าย" "พูดก็พูดนะ โจทย์นี้ยากเหมือนกันนั่นแหละ ปากกาสีเขียวบนหญ้าเขียว อ๊ะ! เจอแล้ว" ฝ้ายชี้มือไปบนสนามหญ้าแล้วเธอก็เดินไปหยิบวัตถุทรงยาวสีเขียวอ่อนขึ้นมา พอเธอเดินถือเข้ามาใกล้ ๆ จึงรู้ว่าเป็นปากกา "สีมันกลมกลืนจริง ๆ นั่นแหละนะมิ้ง ดูสิ" "ลองเดินดูรอบ ๆ อีกไหม เผื่อจะเจออันอื่นอีก" ฉันกับฝ้ายเดินสำรวจจนทั่วสนามหญ้าก็ไม่เจอปากกาด้ามอื่นอีก จึงตัดสินใจเดินกลับไปหายุ้ยกับมีนที่โต๊ะหิน "ใช่อันนี้หรือเปล่า" ฉันวางปากกาด้ามที่ฝ้ายหาเจอที่สนามหญ้าลงบนโต๊ะ "ใช่เลย ๆ อันนี้แหละ ขอบคุณมากนะ" มีนผุดลุกขึ้นจากม้าหินที่ตัวเองนั่งอยู่แล้วเดินตรงมาหาฉัน "ฝ้ายเป็นคนหาเจอนะ" "แต่ว่ามิ้งเป็นคนคิดออกนะว่าปากกาอยู่ที่ไหน" มีนพุ่งเข้ามากอดฉันกับฝ้ายพร้อมกัน "ขอบคุณพวกเธอมากนะ ขอบคุณพวกเธอจริง ๆ เลย" ดูเหมือนมีนกำลังร้องไห้ เธอคลายแขนออกจากฉันกับฝ้ายแล้วก็เดินไปกอดยุ้ยด้วย "พวกฉันกลับก่อนละนะ กลับบ้านดี ๆ ล่ะมีน" ฉันพูดกับมีนก่อนจะเดินจากมา ฝ้ายกับยุ้ยก็เดินตามออกมาด้วย ขณะนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว "ตอนนี้ห้องน้ำก็น่าจะว่างแล้วละนะ ลองไปดูกันดีไหม" ฝ้ายออกความคิดเห็น ฉันเห็นด้วย "ก็ดีนะ" แต่แล้วพวกเราก็พบกับความเป็นจริงที่โหดร้าย... "ห้องน้ำล็อกหมดทุกห้องเลยนี่นา" "ถ้ายังงั้นก็กลับบ้านกันทั้งสภาพนี้เลยแล้วกัน โอกาสที่จะได้เดินกลับบ้านด้วยกันในสภาพแบบนี้มีไม่มากเท่าไรหรอกนะ" "ก็จริงเหมือนกันนะจ๊ะ ไหน ๆ ก็ล้างหน้าไม่ได้แล้วนี่นา" "อย่างน้อยก็ถอดหมวกกับริบบิ้นนี่ก่อนเถอะนะ ฝ้าย ยุ้ย" "ไม่ต้องหรอก ๆ เอาไว้แบบนี้เลยก็แล้วกัน" ฝ้ายหัวเราะ ยุ้ยก็หัวเราะตาม "ก็ได้นะ แต่พวกเธอต้องเดินไปส่งฉันที่บ้านก่อนแล้วค่อยขึ้นรถตรงปากทางเข้าบ้านฉัน จะให้เดินกลับบ้านคนเดียวแบบนี้คนคงมองตลอดทางแน่ ๆ" ตอนที่ 1 - สวัสดีปี(การศึกษา)ใหม่
ฉันกำลังจะเป็นนักเรียนมัธยมปลายครั้งแรกในชีวิต เอาจริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ตื่นเต้นเพราะสาเหตุนี้หรอกนะ เพราะว่ามีเรื่องที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นกว่านี้อยู่อีก ฉันรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่นัก ที่นี่ ในความหมายของฉันไม่ได้หมายความถึงโรงเรียนนี้ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องจริง ๆ ก็ต้องพูดว่าฉันไม่คุ้นกับจังหวัดนี้เลย เพราะฉันเพิ่งจะย้ายมาอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนนัก แม่ของฉันตัดสินใจย้ายมาทำงานที่สาขาใหม่ของบริษัทเมื่อตอนต้นปีและฉันก็ย้ายที่เรียนตามมาด้วย โชคดีว่าฉันจบ ม.3 แล้วเลยไม่วุ่นวายเรื่องย้ายโรงเรียนใหม่มากนัก รู้สึกแย่นิดหน่อยก็ตอนที่ต้องลาจากเพื่อนที่เรียนด้วยกันตลอดสามปี บางคนก็ตลอดเก้าปีตั้งแต่ประถม หรือสิบสองปีตั้งแต่อนุบาล แต่ฉันก็รู้ว่าชีวิตจะต้องดำเนินต่อไป ทุกคนมีอนาคตที่รออยู่เสมอ หน้าที่ของเราคืออย่าพะวงกับอดีตและทำปัจจุบันให้เต็มที่ แม่สอนฉันแบบนั้น ฉันกับแม่ค่อนข้างสนิทกันเพราะว่ามีกันอยู่แค่สองคนแม่ลูก พ่อของฉันเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็กมาก ฉันจึงไม่เคยได้เห็นตัวจริงของพ่อเลย จะเห็นก็แค่รูปถ่ายจากงานศพที่แม่ตั้งเอาไว้ในบ้านเท่านั้น ถึงแม่จะบอกว่าอย่าพะวงกับอดีตก็จริง แต่แม่ก็เหมือนกับคนทั่วไปที่มักจะมีข้อยกเว้นกับบางอย่าง ทุกปีแม่จะพาฉันไปทำบุญถวายสังฆทานในช่วงวันครบรอบปีทุกครั้ง และมักจะเลือกวันที่ทั้งฉันและแม่สะดวกไปด้วยกันทั้งคู่ มิ้งไปก่อนนะแม่ ฉันยกมือไหว้พลางบอกลาแม่ก่อนออกจากบ้าน อื้อ ไม่ลืมอะไรแน่นะ ค่า... ฉันพอจะจำเส้นทางเดินจากบ้านไปโรงเรียนได้เพราะเป็นระยะทางไม่ไกลมาก และบ้านกับโรงเรียนก็อยู่บนถนนสายเดียวกันเพียงแต่อยู่คนละฟากถนนเท่านั้น รถยนต์หลายคันแล่นสวนกันเต็มถนน หลายคันเป็นรถสองแถวมีนักเรียนเต็มคันรถทั้งสองทิศทาง เด็กผู้ชายโหนท้ายรถกันจนล้อหน้าของรถแทบลอยจากพื้น นักเรียนบางคนก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของพ่อแม่ บางคนนั่งรถยนต์ หรือบางคนก็มากับรถตู้ที่จ้างเป็นรายเดือน แต่ก็เห็นหลายคนเดินบนทางเท้า ฉันพอจะได้ยินมาว่าในละแวกที่ฉันเพิ่งจะย้ายมาอยู่นี้มีโรงเรียนมัธยมใหญ่ ๆ หลายโรงเรียน คงจะจริง ฉันเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยประมาณสิบห้านาทีก็ถึงโรงเรียน ฉันยังจำตึกต่าง ๆ ในโรงเรียนไม่ได้มาก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมาตอนสมัครสอบ ตอนสอบเข้า ตอนประกาศผล หรือแม้แต่วันปฐมนิเทศเองก็เถอะ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังจำได้ว่าห้อง ม.4/2 ที่ฉันเรียนอยู่นั้นอยู่ที่ตึกไหน สวัสดีจ้ะ เธอชื่อมิ้งใช่ไหม ฉันได้ยินเสียงเรียกทักตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในห้อง เมื่อฉันหันมองตามต้นเสียงก็เห็นนักเรียนหญิงสองคนอยู่ที่แถวใกล้ประตู คนหนึ่งนั่งอยู่ที่แถวหน้าสุด ส่วนอีกคนนั่งถัดลงไปหนึ่งแถว ฉันจำได้ว่าเคยได้คุยกับสองคนนี้ตอนปฐมนิเทศ อื้ม นั่นยุ้ยใช่ไหม ส่วนอีกคน... ฉันหยุดเพื่อนึกชื่อ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก ขอโทษนะ เราจำชื่อไม่ได้จริง ๆ เพื่อนคนที่ฉันจำชื่อไม่ได้หัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มตอบ เราชื่อฝ้าย ฉันจำยุ้ยที่นั่งอยู่ข้างหลังได้เพราะตอนค่ายปฐมนิเทศยุ้ยเป็นคนเดียวที่สวมเสื้อกันหนาวสีขาวตลอดเวลาที่อยู่ค่าย ซึ่งเป็นเสื้อตัวเดียวกับที่ยุ้ยสวมอยู่ตอนนี้ด้วย ส่วนฝ้ายนั้นจบ ม.3 จากโรงเรียนเดียวกับยุ้ย ซึ่งฉันพอเดาออกเพราะในค่ายสองคนนี้แต่งชุดพละแบบเดียวกัน และในห้อง ม.4/2 ก็ไม่มีใครแต่งชุดพละแบบเดียวกับสองคนนี้ด้วย ดีเลย ฉันจะจำชื่อเธอสองคนไว้นะ ที่เราจำมิ้งได้เพราะมิ้งประแป้งเราสองคนซะเละทั้งตัวเลยยังไงล่ะ ได้ยินที่ฝ้ายพูดทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นขึ้นมาได้ทันที วันนั้นเป็นฐานที่ให้นักเรียนใหม่นั่งล้อมวงเพื่อเล่นเกมส่งของกัน คนที่ได้ของอยู่ในมือเมื่อเพลงหยุดจะต้องใช้ของที่ได้มานั้นทำโทษใครก็ตามที่อยู่ในคำสั่ง ในรอบสุดท้ายฉันได้ขันดินสอพองและคำสั่งก็คือให้ทำโทษเพื่อนที่อยู่ติดกับตัวเองทั้งสองคน ซึ่งฉันก็นั่งอยู่ระหว่างฝ้ายกับยุ้ยพอดี เนื่องจากเป็นรอบสุดท้ายแถมยังเป็นฐานสุดท้ายด้วย พี่ที่ฐานก็เลยสั่งให้ฉันละเลงแป้งตามตัวทั้งสองคนจนแป้งหมด งั้น... ฉันขอโทษอีกครั้งนะ ตอนนั้นพี่เขาสั่งนี่นา ยุ้ยหัวเราะ ฝ้ายก็หัวเราะ ฝ้ายเขาก็เป็นงี้แหละจ้ะ มิ้งอย่าไปถือสาเลยนะ ยุ้ยพูดปลอบใจ ส่วนฝ้ายหันมาค้อนยุ้ยวงหนึ่งก่อนจะหันมาคุยกับฉัน เมื่อกี้เราแกล้งแซวเฉย ๆ นะ อย่าคิดมาก ๆ" แกล้งแซวเฉย ๆ งั้นเหรอ ทำเอาตกอกตกใจหมด "ว่าแต่มิ้งจะนั่งด้วยกันหรือเปล่า เราชอบนั่งหน้าเพราะสายตาสั้นน่ะ ถึงจะอยู่ใกล้อาจารย์หน่อยก็เถอะ ฉันก็สายตาสั้นนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ปกติเราจะใส่แว่นแค่ตอนเรียนแหละ ตอนอื่นไม่ได้ใส่ แต่นั่งหน้ามันก็เห็นชัดกว่าน่ะนะ ของเราสั้นมากเลยละ ถ้าไม่ใส่แว่นมองไปกลาง ๆ ห้องก็เริ่มมัว ๆ แล้ว ฉันมองดูแว่นตาของฝ้ายก็เข้าใจทันที เพราะเลนส์แว่นตาของฝ้ายหนากว่าของที่ฉันใช้มากทีเดียว หลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระระหว่างรอสัญญาณเข้าแถว ระหว่างที่พวกเรานั่งคุยกันอยู่นั้นก็มีนักเรียนคนอื่น ๆ ทยอยเข้ามาในห้องเพิ่มขึ้น ฉันพยายามที่จะจดจำรูปร่างหน้าตาของเพื่อนใหม่ให้ได้จึงลองสังเกตดูไปเรื่อย ๆ ยุ้ยนั้นเป็นเด็กผู้หญิงผิวขาว รูปร่างน่าจะสูงพอ ๆ กับฉันเลย ผมของยุ้ยยาวและดำขลับเป็นมันรวบเป็นหางม้าทอดยาวลงมาเป็นกลางหลัง เธอผูกโบสีขาว ฉันคิดว่าหน้าตาของยุ้ยค่อนไปทางญี่ปุ่นมากกว่า ในขณะที่ฝ้ายนั้นเป็นเด็กผู้หญิงผิวออกดำแดงคล้ายกับฉัน เธอออกจะเป็นสาวตัวเล็กอยู่สักหน่อยเมื่อยืนเทียบกับยุ้ย ฉันลองคะเนแล้วน่าจะสูงแค่ไหล่ของยุ้ยเท่านั้น แว่นตาไร้ขอบรูปวงรีที่เธอสวมอยู่นั้นเข้ากับใบหน้าของเธอมากทีเดียว นอกจากนี้ ฝ้ายยังเป็นนักเรียนไม่กี่คนในห้องเท่านั้นที่ไว้ผมทรงนักเรียนแบบสั้นตามระเบียบเก่าในขณะที่คนอื่นปล่อยผมยาวกันหมดแล้ว รวมทั้งฉันด้วย ยุ้ยเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นหรือเปล่าน่ะ หน้าตาดูคล้าย ๆ นะ สุดท้ายฉันก็ถามเธอจนได้ ใช่แล้วละจ้ะ ยุ้ยพยักหน้า จริง ๆ พ่อเราเป็นคนญี่ปุ่นแล้วแม่เราเป็นคนไทยนะ ชื่อเล่นเราก็มาจากชื่อญี่ปุ่นของเรานั่นแหละจ้ะ ยุ้ยหยิบสมุดเล่มเล็ก ๆ น่ารักเล่มหนึ่งออกมาจากเป้นักเรียน พลางชี้ไปที่ตัวอักษรสามตัวที่เขียนด้วยปากกาเมจิกสีเขียวมุมบนขวาของปกสมุด ตัวอักษรสามตัวนั้นเขียนว่า 沢本 唯 ข้างล่างยังมีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า SAWAMOTO YUI อันนี้ชื่อภาษาญี่ปุ่นเราเองจ้ะ ซาวาโมโตะ ยุอิ แต่ตอนเข้าโรงเรียนหรือทำบัตรประชาชนเราก็ใช้ชื่อไทยที่แม่ตั้งให้จ้ะ พวกเราสามคนนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปจนได้เวลาสัญญาณเข้าแถวดัง หลังหมดคาบเรียนภาคเช้า ฝ้ายและยุ้ยชวนฉันไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหมมิ้ง ไปด้วยกันเหรอ ฉันถามกลับไปขณะที่เก็บแว่นตากลับเข้ากล่อง แน่นอนสิ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา ฝ้ายยิ้มอย่างมั่นใจ อีกอย่างก็คือเรากะจะให้ยุ้ยจังพาชมโรงเรียนสักรอบนึงด้วย ก็เลยอยากจะให้มิ้งไปด้วยกันอีกคนนึง ฉันตอบตกลง นึกขอบคุณในใจที่มีเพื่อนใหม่ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน ที่โรงอาหารนักเรียนค่อนข้างเยอะ ฉันกับเพื่อน ๆ วางกระเป๋าจองที่นั่งแล้วจึงไปซื้อข้าวกลางวันจากร้านที่ขายในโรงอาหาร ซึ่งฉันลองกะคะเนดูแล้วน่าจะประมาณยี่สิบร้าน เลือกไม่ถูกเลยนะว่าจะกินอะไร งั้นใช้วิธีการเราไหมล่ะมิ้ง วิธีอะไรเหรอฝ้าย ก็เริ่มวันแรกจากร้านที่ 1 พรุ่งนี้ก็ร้านที่ 2 ไปเรื่อย ๆ ไง ไม่ยุ่งยากดีนะ วิธีการจะแปลกไปหน่อยไหมคะคุณฝ้าย ฝ้ายเขาใช้วิธีการแบบนี้มาตั้งแต่ ม.2 แล้วละจ้ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปจำมาจากไหน ไม่ได้จำมาจากไหนสักหน่อยนี่ ยุ้ยจัง ฝ้ายหันไปตอบยุ้ย เราคิดของเราเองนี่แหละ อาจจะเป็นเพราะว่าฝ้ายเขาเป็นคนกินง่ายด้วยแหละจ้ะ อะไรก็กินได้หมด ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วถ้าเกิดลืมว่าเมื่อวานกินร้านไหนไป ฝ้ายทำไงล่ะ ไม่ยาก ฝ้ายกระแอมทีหนึ่ง ท่าทางเธอดูมั่นใจเต็มที่ ก็ตั้งต้นตั้งแต่ 1 ใหม่ไง ฟังดูเป็นแนวคิดที่สุดยอดมาก... ที่ไหนกันเล่า ถามยุ้ยดีกว่า ถ้าเป็นเราก็เดินดูสักรอบนึง คิดว่าร้านไหนน่ากินก็เอาร้านนั้นละจ้ะ งั้นฉันทำอย่างที่ยุ้ยทำก็แล้วกันนะ น่าจะเหมือนคนปกติทั่วไปกว่า แล้วกัน นี่มิ้งคิดว่าฉันผิดปกติเหรอเนี่ย ดูเหมือนฝ้ายออกจะงอนนิด ๆ แฮะ แล้วเธอก็ยักไหล่ ไม่เป็นไร ๆ งั้นเจอกันตรงที่โต๊ะเดิมก็แล้วกันนะ พูดแล้วฝ้ายก็เดินดุ่ม ๆ ไปยังร้านที่ 1 ส่วนฉันกับยุ้ยวนดูสักพักก่อนจะไปต่อแถวร้านข้าวราดแกงร้านหนึ่ง หลังจากที่พวกเรากินข้าวและเก็บจานเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินออกจากโรงอาหาร ระหว่างนี้ยุ้ยก็หยิบสมุดเล่มเดิมที่เอาออกมาให้ฉันดูเมื่อเช้าออกมา สมุดเล่มเมื่อเช้านี่ยุ้ย ใช่จ้ะ เล่มนี้เราใช้จดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แหละ ฝึกเป็นนิสัยมาตั้งแต่อยู่ ม.1 แล้วละจ้ะ ยุ้ยจังเขาจดอะไรละเอียดดีนะ เราเองยังขอยืมสมุดจดของยุ้ยจังไปอ่านอยู่บ่อย ๆ เลยละ ฝ้ายพูดขึ้นมาบ้าง แต่เราก็อ่านพวกสัญลักษณ์ในสมุดของยุ้ยจังไม่ค่อยเข้าใจสักทีเลยแฮะ ก็เวลาจดเล็กเชอร์มันต้องเร็วด้วยนี่นา ไม่อย่างนั้นก็จะจดสิ่งที่อาจารย์พูดไม่ทันนะ ถ้าฝ้ายคิดสัญลักษณ์หรือคำย่อมาแทนคำบางคำที่ยาว ๆ ก็จะจดได้เร็วเองแหละจ้ะ ฉันเองก็ให้ยุ้ยจังสอนวิธีจดเล็กเชอร์อยู่นะ แต่ก็ยังจดเก่งสู้ยุ้ยจังไม่ได้นี่สิ แล้วจะมาอวดทำไมน่ะ ดูไปดูมาฉันเริ่มรู้สึกว่ายุ้ยกับฝ้ายไม่น่าจะเหมือนเพื่อนกันสักเท่าไร ดูคล้าย ๆ จะเป็นพี่สาวกับน้องสาว ไม่ก็แม่กับลูกสาวมากกว่า และแน่นอนว่าคนที่ฉันคิดว่าเป็นน้องสาวหรือเป็นลูกสาวก็คือฝ้าย เมื่อพวกเราออกจากโรงอาหารแล้วก็เดินดูตึกต่าง ๆ ในโรงเรียนโดยมียุ้ยคอยอธิบายตามรายละเอียดที่เธอจดไว้ในสมุดเล่มเล็กเล่มนั้น ฉันต้องยอมรับว่านอกจากเธอจะจดบันทึกรายละเอียดได้ดีแล้ว เธอยังสามารถถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมดออกมาให้คนอื่นเข้าใจได้ดีอีกด้วย เมื่อกลับมาถึงห้อง ม.4/2 ฉันดูนาฬิกาที่หน้าห้องเรียนเห็นว่าเหลืออีก 15 นาทีจะเริ่มคาบต่อไป ระหว่างนั้นฝ้ายก็หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกจากเป้นักเรียน เมื่อเช้าตอนโฮมรูมอาจารย์พูดถึงเรื่องชุมนุมใช่ไหม ฉันพอจำได้ว่าคาบเช้าตอนเริ่มเรียนคาบแรก อาจารย์ก็พูดเรื่องการสมัครเข้ากิจกรรมชุมนุมเป็นเรื่องแรก และเอกสารแผ่นที่ฝ้ายหยิบออกมาดูนั้นคือใบรายชื่อชุมนุมที่เปิดรับนักเรียนในปีการศึกษานี้ อื้ม ใช่นะ เหลือบไปเห็นยุ้ยพยักหน้า ถ้างั้นฉันหยิบของฉันขึ้นมาดูบ้างดีกว่า มีชุมนุมนึงน่าสนใจนะเราว่า จะเข้ากันไหม ฝ้ายเอ่ยชวนพลางชี้ไปที่ชื่อชุมนุมหนึ่งบนกระดาษ อันที่ 8 นะ ฉันอ่านไล่ในเอกสารของฉัน ลำดับที่ 8 ในรายชื่อชุมนุมก็คือ... จัดสวนถาดเหรอฝ้าย ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ ๆ ดูเหมือนฝ้ายจะหัวเสียนิดหน่อย มันอยู่อีกหน้านึงน่ะ ฉันมองหัวกระดาษเห็นข้อความว่า ชุมนุมสายศิลปะและสังคม และเมื่อพลิกอีกด้านก็พบข้อความที่หัวกระดาษว่า ชุมนุมสายวิทยาศาสตร์ ยังงั้นเองสินะ แสดงว่าเมื่อกี้ฉันกับฝ้ายอ่านเอกสารคนละหน้ากัน ถ้างั้นก็ช่างเถอะ ชุมนุมเคมีหรรษาหรือจ๊ะฝ้าย ยุ้ยพูดขึ้นมาในขณะเดียวกับที่ฉันไล่เจอชื่อชุมนุมลำดับที่ 8 บนอีกหน้าของเอกสารพอดี เราว่ามันน่าจะสนุกนะ ยุ้ยจังกับมิ้งว่าไงอ้ะ เรายังไงก็ได้นะ เพราะเท่าที่ดูแล้วก็ไม่มีชุมนุมไหนน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเราจ้ะ ฉันคงต้องขอดูก่อน เห็นในใบนั้นเขียนว่าสามารถทดลองเข้าชุมนุมได้ 2 สัปดาห์ ก่อนจะสมัครเข้าชุมนุมนี่นะ ดูเหมือนว่ามีทั้งวันอังคารกับวันพฤหัส วันอังคารสำหรับชุมนุมสายศิลป์ส่วนวันพฤหัสสำหรับชุมนุมสายวิทย์จ้ะ เปิดโอกาสให้ลองแยกกันได้ ยุ้ยตอบ ช่วงเวลาที่เปิดให้ทดลองเข้าร่วมคือสองสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์สามารถทดลองเข้าร่วมได้สองวัน แปลว่าถ้านักเรียนคนหนึ่งเกิดอยากลองเข้าชุมนุมไม่ซ้ำกันเลยก็จะลองได้อย่างมากที่สุดคือสี่ชุมนุม ฉันคงไม่มีชุมนุมที่สนใจมากมายขนาดนั้นแน่ ๆ ลองอ่านรายละเอียดในเอกสารแผ่นนั้นอีกครั้งดีกว่า
เดี๋ยวนะ สมาชิกอย่างน้อย 1 คนก็ตั้งชุมนุมได้แล้วเหรอ นี่พวกเราอยู่โรงเรียนมัธยมปลายคามิยามะ1กันเหรอคะ ถ้ายังงั้นวันพฤหัสนี้ไปกันเถอะนะ ฝ้ายชวนทุกคนอีกครั้ง ดูท่าทางกระตือรือร้นเป็นพิเศษเลยนะ ชุมนุมนี้จัดกิจกรรมทุกวันเลยนะ มีใครสนใจจะเข้าชุมนุมอื่นด้วยหรือเปล่า ฉันลองโยนหินถามทางดู แต่ก็ไม่มีใครตอบอะไรเพิ่ม อันที่จริงแล้วฉันไม่ได้มีชุมนุมที่สนใจเป็นพิเศษ ถ้าจะไปเข้าชุมนุมกับฝ้ายฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร ยุ้ยเองก็คงคิดเช่นนั้นมั้ง วันพฤหัสบดี หลังเลิกเรียน วันนี้สองคาบแรกของวันเป็นวิชาพละ ทำให้นักเรียน ม.4/2 แต่งชุดพละมาโรงเรียนกันทั้งห้อง ชุดพละของโรงเรียนฉันนั้นเป็นเสื้อเชิ้ตโปโลสีน้ำเงินเข้ม ปักตราโรงเรียน ชื่อ และสัญลักษณ์ระบุชั้นปีด้วยด้ายสีขาว ท่อนล่างเป็นกางเกงวอร์มขายาวสีดำ ดูเป็นเครื่องแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ อย่างน้อยก็ดูคล่องตัวกว่าแต่งชุดนักเรียนนั่นแหละ เมื่อหมดคาบเรียนสุดท้ายแล้วฝ้ายดูจะกระตือรือร้นผิดปกติ รีบไปห้องชุมนุมกันเถอะ ห้อง N505 สินะ ฉันทวนหมายเลขห้องที่จะไป ว่าแต่มันอยู่ตึกไหนน่ะ ยุ้ยจำได้ไหม ตึกวิทย์ ชั้นห้าจ้ะ ยุ้ยตอบ ทุกครั้งที่เธอพูดอะไรเธอมักจะมีรอยยิ้มน้อย ๆ แถมมาด้วย จนฉันเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มของเธอเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งไปแล้ว การตั้งชื่อห้องของโรงเรียนนี้ค่อนข้างเป็นรูปแบบเดียวกัน ตัวอักษรตัวหน้าหมายถึงชื่อตึกที่ตั้งตามหมวดวิชาที่ใช้ตึกนี้เป็นที่ตั้ง แต่ก็ไม่ใช้ว่าตึกทุกหลังในโรงเรียนนี้จะเป็นไปตามกฎนี้เสมอไป จำได้ว่าเมื่อวันจันทร์ตอนที่ยุ้ยพาเดินชมโรงเรียน ยุ้ยบอกว่าตึก S ที่ห้อง ม.4/2 ตั้งอยู่เป็นที่ตั้งหมวดสังคมศึกษา ก็เลยได้ตัว S มาจาก Social ส่วนตึกเป็นที่ตั้งของหมวดวิทยาศาสตร์กลับใช้ตัว N แทน ยุ้ยจดเอาไว้ว่ามาจากคำว่า New เพราะว่าตึกนี้เพิ่งสร้างใหม่ล่าสุดในโรงเรียน ถ้าใช้คำว่า Science มันจะซ้ำกันกับตึก S ที่มีอยู่ก่อนแล้ว ตัวเลขหลักแรกในชื่อห้องคือชั้นของตึก ส่วนสองหลักข้างหลังนั้นเป็นเลขที่ห้อง อย่างเช่น ม.4/2 ที่ฉันเรียนอยู่นี้อยู่ที่ห้องที่ 2 ของชั้น 3 ของตึก S ห้องนี้จึงชื่อ S302 แต่นักเรียนมักจะชอบเรียกชื่อห้องตามห้องเรียนที่ใช้ห้องนี้เป็นห้องประจำมากกว่า เพราะว่าห้องเรียนประจำของแต่ละชั้นเรียนในโรงเรียนนี้จะถูกกำหนดตายตัวไว้แล้วไม่ว่าจะเป็นปีการศึกษาใดก็ตาม ไม่นานพวกเราก็มาถึงตึก N ตึกนี้สูงถึง 7 ชั้น เป็นตึกที่สูงที่สุดในโรงเรียน ทำให้ตึกนี้ต้องมีลิฟต์ด้วย แต่ในช่วงเวลาเปลี่ยนคาบเรียนมีคนต้องการใช้ลิฟต์มาก หลายคนจึงไม่อยากเสียเวลารอลิฟต์และยอมเหนื่อยเลือกขึ้นบันไดแทน ลิฟต์ว่างอยู่นะ ยุ้ยชี้มือไปทางลิฟต์ ขึ้นกันไหมจ๊ะ ที่หน้าลิฟต์บอกว่าลิฟต์จอดอยู่ชั้น 1 พอดี พวกเราจึงเลือกขึ้นลิฟต์ เมื่อพวกเราเข้าไปในลิฟต์แล้ว ดูเหมือนจะมีนักเรียนอีกคนหนึ่งต้องการจะขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน ยุ้ยซึ่งเดินเข้าลิฟต์เป็นคนแรกและอยู่ใกล้แผงควบคุมลิฟต์ที่สุดจึงกดสวิตช์เปิดประตูค้างไว้จนนักเรียนคนนั้นเข้ามา ชั้นไหนคะ ยุ้ยถาม ชั้นห้าค่ะ ขอบคุณค่ะ นักเรียนคนนั้นตอบ ยุ้ยไม่ได้ทำอะไรต่อกับแผงควบคุมเพราะก่อนหน้านี้เธอก็กดชั้น 5 อยู่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นมารยาททางสังคมอย่างหนึ่งไปแล้วที่คนที่เข้าลิฟต์เป็นคนแรกจะต้องเป็นคนคอยดูว่าจะมีคนอื่นต้องการใช้ลิฟต์ไปด้วยกันหรือไม่ และคอยกดเลือกชั้นที่คนที่เข้ามาใหม่ต้องการจะไป ฉันเพิ่งสังเกตว่าคนที่เข้ามาในลิฟต์เป็นพี่ ม.5 เพราะดูจากสัญลักษณ์บนหน้าอกเสื้อพละที่พี่คนนี้ใส่อยู่ ครู่หนึ่งลิฟต์ก็มาถึงชั้น 5 พวกเรารอให้พี่ ม.5 คนนี้ออกจากลิฟต์ไปก่อนจึงค่อยออกเดินตามไป ยุ้ยยืนกดปุ่มเปิดประตูค้างไว้จนฉันกับฝ้ายออกจากลิฟต์มาแล้วจึงเดินออกจากลิฟต์ ดูเหมือนนี่ก็น่าจะเป็นมารยาททางสังคมไปแล้วเช่นกัน หลังจากที่พวกเราสามคนออกมาจากลิฟต์แล้วก็เดินไปที่ห้อง N505 ซึ่งประตูห้องปิดอยู่ ฝ้ายลองชะเง้อเข้าไปในห้องพลางบิดลูกบิดประตู ไม่มีใครอยู่เลย ประตูก็ล็อกอยู่ พวกเรามาถูกห้องใช่ไหม ฉันถามย้ำอีกที ฝ้ายหยิบเอกสารรายชื่อชุมนุมมาดูอีกครั้ง ก็ห้อง N505 นะ ในใบนี้บอกว่าห้องนี้แหละ ถ้างั้นเราว่าพวกเรานั่งรอกันหน้าห้องไหมจ๊ะ ยุ้ยออกความเห็น อีกด้านของทางเดินหน้าห้องเรียนของตึกนี้มีม้านั่งยาวที่ทอดขนานไปกับระเบียง พวกเราจึงนั่งรอตรงนั้นตามที่ยุ้ยแนะนำ ไม่ถึงห้านาทีต่อมาก็มีนักเรียนคนหนึ่งเดินมาที่หน้าห้อง N505 ก่อนจะล้วงเอากุญแจในกระเป๋าเสื้อมาไขเปิดประตูห้อง ฉันจำได้ทันทีว่าเป็นพี่ ม.5 คนที่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกันนั่นเอง แต่ดูเหมือนพี่คนนั้นจะไม่เห็นพวกเรา เพราะเมื่อพี่ ม.5 เปิดประตูห้องเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในห้องเลย ฉันหันไปสบตากับฝ้ายและยุ้ย เข้าไปถามพี่เขาดีไหม ไปเลยก็ได้มิ้ง หรือยุ้ยจังว่าไง เราว่าเข้าไปถามเลยก็ดีจ้ะ พวกเราจึงลุกขึ้นพร้อมกัน ขออนุญาตค่ะ ยุ้ยกล่าวขออนุญาตก่อนเดินนำพวกเราเข้าไปในห้อง พี่ ม.5 คนนั้นรีบพูดตอบกลับมาทันที เอ่อ... คือน้องคนที่ขึ้นลิฟต์มากับพี่ใช่ไหม พี่จำน้องได้นะ น้องสนใจจะเข้าชุมนุมนี้สินะคะ เอ่อ... พี่จะพูดอะไรดีล่ะ จับอารมณ์ได้ทันทีว่าพี่เขาคงตื่นเต้นพอสมควรที่เจอนักเรียนสนใจอยากเข้าชุมนุมพร้อมกันถึงสามคน หลังจากที่พี่ ม.5 คนนี้พูดทักทายพวกเราแบบเขิน ๆ ไปแล้วก็สูดหายใจสองสามเฮือก ก่อนที่จะตั้งสติได้ ที่นี่คือชุมนุมเคมีหรรษานะคะ พี่ชื่อแอมค่ะ อยู่ ม.5/2 เรียกพี่แอมก็ได้นะ พี่เป็นประธานชุมนุมเคมีหรรษาเนื่องจากพี่เป็นสมาชิกที่เหลือเพียงคนเดียวของชุมนุมนี้ เพราะว่ารุ่นพี่ ๆ ของพี่จบ ม.6 ไปหมดแล้วละค่ะ แล้วชุมนุมนี้ทำอะไรกันบ้างเหรอคะ ฝ้ายถามขึ้นมา ถือว่าถามค่อนข้างตรงประเด็นทีเดียว อืม... จะอธิบายยังไงดีนะ พี่แอมทำท่านึก ดูเหมือนชุมนุมนี้ก็ทำทุกอย่างเกี่ยวกับเคมีเลยละค่ะ อย่างทดลองเอาสารนี้กับสารนั้นมาผสมกันแล้วดูว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นยังไง หรือบางวันก็พูดคุยกันเกี่ยวกับทฤษฎีทางเคมี อะไรแบบนั้นแหละค่ะ แต่ทุกครั้งที่เราทดลองอะไรกันอาจารย์จะเข้ามาดูแลนะ พวกความปลอดภัยไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเกิดคำถามขึ้นมา แล้ววันนี้อาจารย์ไปไหนเหรอคะ วันนี้อาจารย์มีธุระค่ะ ก็เลยไม่ได้เข้ามาดูแลที่ชุมนุม ฉะนั้นวันนี้ก็เลยทำอะไรไม่ได้มาก อาจจะแค่พูดคุยกันธรรมดาเฉย ๆ ก่อนน่ะค่ะ ฉันลังเลใจว่าจะกลับเลยดีไหม เพราะดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก แต่พอเหลือบเห็นแววตาและความมุ่งมั่นของฝ้ายแล้วก็รู้สึกอยากอยู่ต่อขึ้นมาทันที ถ้ายังงั้นก็อยู่ดูก่อนแล้วกัน ห้อง N505 เป็นห้องปฏิบัติการเคมี ในห้องจึงไม่ได้เป็นโต๊ะกับเก้าอี้แบบเดียวกับที่จัดในห้อง ม.4/2 หากแต่เป็นโต๊ะแบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ แต่ละตัวมีเก้าอี้กลมติดล้อล้อมรอบ 6 ตัว พี่แอมพาพวกเราสามคนมานั่งที่โต๊ะตัวที่ใกล้ประตูที่สุด พี่แอมนั่งที่หัวโต๊ะด้านหนึ่งหันหน้าไปทางหลังห้อง ยุ้ยนั่งที่หัวโต๊ะอีกด้านหนึ่งตรงกันข้ามกับพี่แอม ส่วนฉันกับฝ้ายนั่งตรงข้ามกันฝั่งที่ใกล้กับยุ้ย ย้ายมานั่งใกล้ ๆ พี่เถอะ พี่ไม่ดุนะ พี่แอมเอ่ยชวน ฝ้ายจึงขยับตัวเป็นคนแรกพลางดึงมือยุ้ยให้มานั่งข้างตัว ส่วนฉันก็ขยับไปนั่งตรงข้ามกับฝ้าย พวกเราสามคนกับพี่แอมนั่งคุยเรื่องทั่วไปไปเพลิน ๆ ประมาณสิบกว่านาที ระหว่างนี้ก็ไม่มีใครเพิ่มเติมเข้ามาที่ห้อง N505 เลย สักครู่หนึ่ง พี่แอมก็ลุกไปปิดประตูห้องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พี่ว่าไม่น่ามีใครเข้ามาในห้องแล้วนะ งั้นเราคุยกันแค่สี่คนก็แล้วกัน ดูจากลักษณะแล้วเรื่องที่จะคุยกันต่อจากนี้น่าจะเป็นความลับพอสมควร ถึงขนาดยอมปิดประตูไม่รับคนเข้ามาฟังเพิ่มเลยทีเดียว ถ้างั้นก็นั่งฟังสักหน่อยดีกว่า เวลาคาบชุมนุมเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ จริง ๆ แล้วห้อง N505 มันมีเรื่องราวลึกลับของมันอยู่ เป็นเรื่องที่รุ่นพี่ ๆ เล่าสืบต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว เรื่องเล่าตำนานสยองขวัญที่ทุกโรงเรียนมักจะมีอย่างงั้นเหรอ ฉันนึกในใจ ปกติเรื่องพวกนี้ฉันไม่ค่อยเชื่อหรือไม่ค่อยกลัวอยู่แล้ว แต่ถ้าจะขัดตอนนี้ก็คงจะเสียมารยาทน่าดู ถ้ายังงั้นก็นั่งฟังเฉย ๆ ไม่ออกความเห็นอะไรก็แล้วกัน เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ฝ้ายถามด้วยความสงสัย เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้วละ มีอยู่วันนึงพี่คนนึงลืมเสื้อกันหนาวไว้ที่ห้อง N505 ในคาบสุดท้าย นึกขึ้นได้ก็เลยกลับมาเอาที่ห้องตอนเย็น ช่วงนั้นช่วงหน้าหนาวด้วยก็เลยยิ่งมืดเร็ว ในห้องมันค่อนข้างมืดแต่ยังพอมองเห็นได้อยู่ พี่เขาก็เลยไม่ได้เปิดไฟ กะว่ารีบเข้าไปแล้วก็รีบออกมา แต่พี่คนนั้นดันเดินไปชนกับตู้เก็บของเข้า ยุ้ยถามถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น แล้วยังไงต่อเหรอคะ สักพักหนึ่งพี่คนนั้นก็เห็นว่ามีเลือดแดงไหลออกมาจากข้างในตู้ ตู้นั้นก็ล็อกอยู่ด้วย พี่คนนั้นตกใจมาก วิ่งหนีออกจากห้องไปเลย ละ... แล้ว... ตู้ที่ว่ามันอยู่ตรงไหนกันน่ะคะ เมื่อกี้ฝ้ายเป็นคนถาม เพิ่งรู้ว่าฝ้ายกลัวเรื่องพวกนี้ด้วยแฮะ พี่ไม่อยากบอกเลยแฮะ พี่แอมนิ่งนึกอยู่นานก่อนจะชี้มือออกไป มันคือตู้ข้างหลังน้องฝ้ายนั่นแหละ เป็นไปอย่างที่คิด ฝ้ายไถลเก้าอี้เข้าไปเกาะแขนยุ้ยแน่น ส่วนยุ้ยคอยลูบหัวปลอบโยน ฝ้ายเหมาะจะเป็นน้องสาวยุ้ยมากกว่าเป็นเพื่อนจริง ๆ นั่นแหละ หลังจากเลิกคาบชุมนุมแล้ว พวกเราก็ขอตัวออกจากห้อง N505 เพื่อกลับบ้าน ส่วนพี่แอมนั้นอยู่ต่อเพื่อล็อกห้องและเอากุญแจห้องไปคืนอาจารย์ คิดว่ายังไงกันน่ะ เรื่องในห้องที่พี่แอมเล่าน่ะ ฝ้ายถามหลังจากที่พวกเราลงบันไดพ้นชั้น 5 ลงมาแล้ว ก็ฟังเพลิน ๆ ดีนะ ฉันตอบตามสิ่งที่คิดไว้ในใจ เรื่องจำพวกนี้สำหรับฉันก็แค่ฟังฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ฝ้ายเขาเป็นคนขวัญอ่อนมานานแล้วละจ้ะ มันน่ากลัวจริง ๆ นะยุ้ยจัง ฝ้ายหันไปค้อนยุ้ย ฉันกลับคิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรมากเลยนะ เรื่องสยองจำพวกนี้ก็มักจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมากกว่า ฝ้ายหันมามองฉัน มิ้งคิดแบบนั้นเหรอ ฉันพยักหน้ารับ ฉันเคยอ่านเจอประโยคนึงในหนังสือนิยายแปลจากญี่ปุ่นนะ แรกเห็นเป็นผี พอมองดูดี ๆ กลับเป็นดอกหญ้าโรย หมายความว่าไงน่ะมิ้ง ฉันว่าให้ยุ้ยอธิบายน่าจะดีกว่านะ มันเป็นสำนวนในภาษาญี่ปุ่นน่ะจ้ะ ความหมายก็คือเรื่องที่ดูเหมือนจะสลับซับซ้อน แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีแล้วมันก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยจ้ะ และหลายต่อหลายครั้งที่เรื่องจำพวกนี้ก็มักจะลงเอยว่าคนเห็นนั่นแหละที่ตาฝาดหรือหูฝาดไปเอง ฉันพูดเสริม งั้นเหรอ... ดูเหมือนฝ้ายจะไม่ค่อยเต็มใจยอมรับความจริงนี้นัก เอาเถอะ เรื่องนี้มันก็แล้วแต่เจ้าตัวอยู่แล้วว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ จะให้บังคับกันก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไปหน่อย ค่ำวันนั้น หลังจากที่ฉันกินข้าวเย็นและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉันก็เปิดคอมพิวเตอร์นั่งท่องอินเทอร์เน็ตไปเรื่อย ๆ หลังจากที่ฉันเปิดเฟสบุ๊กของฉันขึ้นมา ก็เห็นมีคนสองคนส่งคำขอเป็นเพื่อนเข้ามา ฉันจึงคลิกเปิดเข้าไปดู คนหนึ่งใช้ชื่อว่า Suthasini Rattanawirot ส่วนอีกคนใช้ชื่อว่า Yui Sawamoto ชื่อที่สองฉันพอจำได้แน่นอนว่าเป็นยุ้ย เพราะเคยเห็นชื่อนี้บนปกสมุดเล่มเล็กที่ยุ้ยเคยเอาให้ดู ส่วนชื่อแรกนั้นฉันต้องคลิกเข้าไปดูให้แน่ใจก่อนเพราะฉันไม่คุ้นกับชื่อนี้ เมื่อกดเข้าไปดูแล้วก็รู้แน่ชัดว่าเจ้าของชื่อแรกก็คือฝ้ายนั่นเอง ฉันจึงตัดสินใจกดตอบรับคำขอของทั้งสองคน สักครู่ต่อมา ยุ้ยก็พิมพ์ข้อความทักมาทางเฟสบุ๊ก ดีจ้ะมิ้ง จ้า ฉันพิมพ์ตอบกลับไป เพิ่งรับแอดเหรอจ๊ะ ไม่ค่อยได้เข้าน่ะ ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วยุ้ยก็พิมพ์อีกข้อความตามมา อยากถามเรื่องที่พี่แอมเล่าหน่อยจ้ะ เรื่องตู้ที่มีเลือดไหลออกมานั่นน่ะเหรอ จ้ะ เอาจริง ๆ นะ ฉันพิมพ์ไปได้แค่นี้ก็เกิดติดขัดนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์อะไรขึ้นมา จึงกดส่งแค่นี้ไปก่อน แล้วค่อยเรียบเรียงคำพูดในหัวว่าจะพิมพ์อะไรต่อไป แล้วส่งไปทีละประโยค น่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่คล้ายกับเลือด มันแปลกเกินไปถ้าจะมีอะไรที่มีเลือดเข้าไปอยู่ในตู้นั้น น่าจะเป็นน้ำอะไรบางอย่างที่อยู่ในตู้และมีสีแดง อาจจะเป็นสารเคมีบางอย่างก็ได้ ยุ้ยไม่พิมพ์อะไรตอบกลับมา แต่ว่าบนจอขึ้นข้อความว่าอ่านแล้ว ยุ้ยน่าจะกำลังคิดว่าจะพิมพ์อะไรอยู่ มั้ง หลังจากผ่านไปประมาณสองสามนาทียุ้ยก็พิมพ์ตอบกลับมา คงงั้นละจ้ะ ฉันพิมพ์ตอบกลับไป ฉันคิดแบบนั้นนะ แล้วยุ้ยก็ไม่พิมพ์อะไรตอบกลับมา ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะพิมพ์ต่อไป คงต้องจบการสนทนาแต่เพียงเท่านี้ สัปดาห์ต่อมา วันอังคาร วันนี้เรียนวิชาเคมีเป็นวิชาแรกหลังจากพักกลางวัน ยุ้ยกับฝ้ายขอตัวไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดก่อน ฉันจึงล่วงหน้าขึ้นมาที่ห้อง N506 ที่นักเรียน ม.4 จะใช้เรียนวิชาเคมี ห้องนี้อยู่ใกล้กับห้อง N505 โดยมีห้อง N505A ที่ใช้เป็นห้องเก็บสารเคมีคั่นกลาง โชคดีที่ว่าวันนี้อาจารย์ที่สอนคาบก่อนพักกลางวันปล่อยนักเรียนเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ทำให้ที่โรงอาหารคนไม่มากนักเมื่อฉันและเพื่อน ๆ เดินมาถึง ตอนที่พวกเรากินข้าวกันเสร็จแล้วเวลาพักกลางวันเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ เวลาพักกลางวันยังเหลืออีกเยอะ หลายคนจึงแค่เอากระเป๋านักเรียนมาวางไว้ในห้อง N506 แล้วก็ไปนั่งพูดคุยเล่นกันหน้าห้องซึ่งลมพัดเย็นสบายกว่า ฉันลองเดินสำรวจดูในห้องเรียนนี้ซึ่งเพิ่งจะมาเป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่เปิดเทอมมา ตะกร้าพลาสติกใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะวางของติดผนังห้องด้านใน ในตะกร้านั้นมีขวดสารเคมีหลายอย่างวางอยู่ ส่วนใหญ่เป็นขวดแก้วสีชาที่ฝาปิดเป็นจุกยางต่อกับหลอดหยดสาร บางขวดเป็นขวดแก้วใสที่ฝาปิดเป็นหลอดหยดสารที่ทำพิเศษเสียบแนบสนิทกับปากแก้ว ใต้โต๊ะวางของนั้นมีตู้เก็บของอยู่สามจุด คือปลายด้านใกล้ประตูทั้งสองข้าง และตรงกึ่งกลาง ในนั้นจะมีอะไรอยู่นะ นึกแล้วก็ลองเปิดประตูตู้ดู ตู้เก็บของเป็นตู้พลาสติก มีช่องสำหรับไขกุญแจล็อกแต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ล็อก ในตู้ยังมีแผ่นพลาสติกหนาอีกแผ่นใช้กั้นแบ่งตู้เป็นสองชั้น บางตู้มีขวดสารเคมีแบบเดียวกับในตะกร้านั้นเก็บไว้อยู่ด้วย ดูเหมือนฉันได้ยินเสียงอาจารย์จากห้อง N505 ที่อยู่ถัดไปกำลังสอนนักเรียนออกทางไมโครโฟนแว่วเข้ามาในนี้ น่าจะเป็น พี่ ม.5 เพราะพี่ ม.6 กับพวกเราที่อยู่ ม.4 พักกลางวันพร้อมกัน แต่พี่ ม.5 จะพักช้ากว่าพวกเราหนึ่งคาบ ฉันจึงเข้าห้อง N505A ไปลองยืนสังเกตการณ์ดู ฉันเฝ้าดูอยู่ประมาณห้านาทีแล้วฉันก็รู้สึกเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก วันพฤหัสบดี หลังเลิกเรียน วันนี้เมื่อพวกเราสามคนมาถึงห้อง N505 ก็เห็นพี่แอมนั่งอยู่ก่อนแล้ว พวกเราจึงกล่าวทักทายก่อนนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับที่พี่แอมนั่งอยู่ วันนี้อาจารย์จะมาช้านิดนึง อยากฟังเรื่องต่อจากอาทิตย์ที่แล้วหรือเปล่าเอ่ย พี่แอมถามเป็นประโยคแรกหลังจากทักทายตอบพวกเราแล้ว เล่นเข้าประเด็นนี้เลยเหรอ ฉันเหลือบไปเห็นสีหน้าของฝ้ายสลดลงนิดหน่อย เห็นทีฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง พี่แอมคะ ถ้างั้นหนูขอลองเดาเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนี้เมื่อวันนั้นได้ไหมคะ หนูคิดว่าเรื่องจริง ๆ ไม่น่าจะเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างที่พี่เล่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พี่แอมพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย ได้สิ หนูคิดว่าการที่เห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากตู้เก็บของที่ล็อกอยู่ ก็ต้องแปลว่าต้องมี อะไรบางอย่าง ที่มีเลือดสีแดงเก็บอยู่ในตู้นั้นก่อนหน้านี้ อาจจะเป็นสัตว์บางชนิด หรือถุงใส่เลือดก็เป็นไปได้ ฉันมองดูอาการของคนอื่น ๆ แวบหนึ่ง พี่แอมยังไม่มีท่าทีอะไร ส่วนฝ้ายนั้นก็ยังกอดยุ้ยไว้แน่น ชักเริ่มน่าเป็นห่วงแล้วสิ ยุ้ย ฝ้ายไม่เป็นไรใช่ไหม จ้ะ ว่าต่อได้เลย เดี๋ยวเราดูแลฝ้ายเองจ้ะ ฉันจึงพูดสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไป เมื่อพี่คนนั้นเดินเข้าไปชนตู้ การกระทบที่เกิดขึ้นก็ทำให้ อะไรบางอย่าง เกิดบาดแผลหรือช่องที่ทำให้เลือดนั้นไหลออกมา แต่การกระแทกเพียงอย่างเดียวจนทำให้เลือดไหลออกมานั้นเป็นไปได้ยาก ถ้าจะทำแบบนั้นน่าจะใช้อะไรแหลม ๆ ไปแทง หรือสร้างกลไกให้เมื่อตู้ถูกกระทบแล้วของแหลมจะไปแทงให้เลือดไหล น่าจะทำได้ง่ายกว่าการกระแทกเพียงอย่างเดียว แต่ก็ถือว่าทำได้ยากอยู่ดีในทางปฏิบัติ เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาไม่น่าจะใช่เลือด หากแต่เป็นของเหลวอะไรบางอย่างที่มีสีแดงเหมือนกัน ถ้าที่นี่เป็นห้องเรียนวิชาเคมี สิ่งที่น่าจะถูกเก็บไว้ในห้องก็ควรจะเป็นสารเคมี ทีแรกหนูก็นึกไม่ออกหรอกค่ะว่าเป็นสารอะไร หนูคิดไปถึงโบรมีน2ด้วยซ้ำ แต่คิดว่าถ้าโบรมีนรั่วในห้องเรียนน่าจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ ที่จริงแล้วหนูก็เพิ่งจะได้คำตอบเมื่อวานซืนนี้เอง ในการเรียนวิชาเคมี จะต้องมีการใช้สารเคมีซึ่งเตรียมเอาไว้แล้วเป็นสารละลาย โดยอาจารย์จะเตรียมให้และเก็บเอาไว้ในขวดแก้วซึ่งมีปากเป็นหลอดหยดสาร หนูเห็นขวดแบบนี้ในตะกร้าที่ห้อง N506 เมื่อวานซืนนี้ตอนหนูมารอเรียนเคมี มีทั้งแบบที่ปากขวดเป็นฝาเกลียว และปากขวดเป็นแบบเอาหลอดหยดเสียบเข้าไปปิดปากได้พอดี ตอนนั้นที่ห้องนี้คือห้อง N505 กำลังเรียนวิชาเคมีของ ม.5 กัน หนูไม่มีอะไรทำก็เลยไปยืนฟังว่าห้องนี้ทำอะไรกัน แล้วก็ได้ยินว่าการทดลองในคาบเรียนของพี่ ม.5 นั้นเอาสารละลายสองอย่างก็คือไอร์ออน (III) คลอไรด์กับโพแทสเซียมไทโอไซยาเนตมาผสมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อเอาสารสองตัวนี้ผสมกัน สารละลายจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนเลือด หนูลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารสองชนิดนี้ พบว่าสารสองตัวนี้นิยมนำมาใช้ทำเป็นเลือดปลอมในการแสดง เพราะตัวสารที่นำมาผสมกันนั้นสีไม่ค่อยเข้ม แต่ผสมกันแล้วสีจะเข้มมาก วิธีใช้ไม่ยากเลย เพียงกะจังหวะเหมาะ ๆ ให้สารละลายสองอย่างนี้มาผสมกันบนผิวหนังคนก็สร้างเลือดปลอมให้คนตกใจได้แล้ว ฉันหยุดพักแวบหนึ่งก่อนจะพูดต่อไป ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์วันนั้น สารละลายสองชนิดนี้ถูกเตรียมเก็บเอาไว้เรียบร้อยในขวดแก้ว แต่เมื่อพี่คนนั้นเดินเข้าไปชนตู้ใบนั้น การกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ขวดแก้วทั้งสองใบล้มลง ถ้าสารละลายนั้นถูกเก็บไว้ในขวดชนิดที่ใช้หลอดหยดสารเสียบเอาไว้ เมื่อขวดล้มสารละลายข้างในจะไหลออกมาได้ เพราะไม่มีเกลียวฝาป้องกัน เมื่อขวดสองใบนี้ล้มลงและสารละลายผสมกัน สารละลายสีแดงที่เกิดขึ้นก็ไหลนองพื้นตู้และไหลออกมาจากตู้ด้วย ในช่วงเวลาใกล้ค่ำและห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ บรรยากาศก็ชวนให้น่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งมีอะไรสีแดง ๆ ไหลออกมาจากตู้ก็ทำให้มองผิดว่าเป็นเลือดไปได้ค่ะ พี่แอมยิ้มและปรบมือให้ ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงวันนั้นมากเลยละจ้ะ ฉันเพิ่งสังเกตว่าฝ้ายผละตัวออกจากยุ้ยแล้ว ได้ยินว่าเรื่องจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นคงทำให้หายกลัวแล้วมั้ง พี่แอมเล่าเรื่องต่อไป วันต่อมาอาจารย์ก็เข้ามาดูแล้วก็เปิดตู้ออก ก็เห็นว่าขวดสารสองใบนั้นล้มจนสารผสมกันอย่างที่น้องมิ้งว่า สุดท้ายอาจารย์ก็ต้องเตรียมสารใหม่หมด แต่ขวดที่ใช้เก็บสารปิดด้วยจุกแก้วธรรมดานะ ไม่ใช่จุกแก้วที่ต่อกับหลอดหยด แต่ก็ถือว่าน้องมิ้งวิเคราะห์ใช้ได้ทีเดียว ฉันรู้สึกเขินนิด ๆ เวลาที่มีคนชม แม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้พี่แอมกลับไปเท่านั้น สรุปเรื่องก็เป็นอย่างที่มิ้งว่าจริง ๆ สินะ ฝ้ายพูดด้วยสีหน้าเบิกบานผิดกับเมื่อครู่นี้ลิบลับ พี่แอมคะ หนูยังสงสัยอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ แล้วเรื่องราวมันเป็นยังไงต่อจากนั้นเหรอคะ ฉันลองถามพี่แอมดูเพราะมีบางอย่างคาใจนิดหน่อย ในเมื่อความจริงถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่าเรื่องสยองที่ว่ากันมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องเข้าใจผิด แล้วทำไมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องสยองขวัญที่เล่าต่อกันไปได้เรื่อย ๆ ล่ะ พี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจนะว่าต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะเรื่องสยองนี้พี่ได้ยินมาจากพี่ในค่ายปฐมนิเทศอีกที เรื่องนี้ก็เล่ากันปากต่อปากมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตำนานสยองขวัญ แต่เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นอาจารย์เป็นคนเล่าให้พี่ฟังเองละจ้ะ พี่แอมหยุดเว้นระยะนิดหน่อย เพราะรุ่นพี่คนที่เดินเตะตู้คนนั้นก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาชมรมเราเองแหละ อ้าว แอม เอาอะไรมาเล่าให้น้องฟังน่ะ ได้ยินนะ พี่แอมสะดุ้งแล้วค่อย ๆ หันหลังไป สวัสดีค่ะอาจารย์ พวกเราสี่คนพร้อมทั้งพี่แอมทักทายอาจารย์พร้อมกัน ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าตัวอาจารย์เองคงอายเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นแล้วก็เลยปล่อยให้เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญต่อไปโดยไม่ได้แก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ เอาเถอะ ไหน ๆ อาจารย์มาถึงห้องเรียนแล้ว ก็แปลว่ากิจกรรมชุมนุมฉบับทดลองกำลังจะเริ่มแล้วอย่างนั้นสินะ หลังเลิกคาบชุมนุม ฉัน ยุ้ยและฝ้ายส่งใบสมัครเข้าร่วมชุมนุมกับอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็เดินออกจากห้องไป ส่วนพวกเราสี่คนยังอยู่ในห้องชุมนุม น้อง ๆ อย่าเพิ่งกลับกันนะ เดี๋ยวคุยอะไรด้วยนิดหน่อยค่ะ มีอะไรเหรอคะพี่แอม คืองี้ พี่แอมกระแอมเล็กน้อย เพราะว่าตอนนี้ชุมนุมเรามี 4 คนแล้ว ตามกฎของโรงเรียนชุมนุมที่มีสมาชิก 4 คนขึ้นไปจะต้องมีทั้งประธานและรองประธานชุมนุม โดยประธานจะต้องเป็นสมาชิกที่เคยอยู่ในชุมนุมมาก่อนถ้าไม่ใช่ชุมนุมตั้งใหม่ พี่ก็เลยเป็นประธานไปโดยปริยาย พี่ก็เลยอยากถามน้อง ๆ ว่ามีคนไหนสนใจจะเป็นรองประธานชุมนุมนี้ไหมคะ คนนี้ค่ะ ให้มิ้งเป็นแล้วกันค่ะ ทำไมโยนมากันทั้งสองคนเลยล่ะ ฝ้าย ยุ้ย ถ้างั้นน้องมิ้งเป็นรองประธานชุมนุมนะ ตกลงตามนี้ค่ะ เย้... สรุปกันง่าย ๆ ไม่ถามกันก่อนเลย งั้นเดี๋ยววันจันทร์หน้าเรามาเจอกันที่นี่นะคะ อย่าลืมเสื้อกาวน์มาด้วย ถ้าวันนั้นใครมาถึงก่อนก็ไปเอากุญแจที่ห้องพักอาจารย์นะ ห้อง N500 ไม่ต้องรอพี่ แล้ววันนั้นพี่จะเตรียมของไว้ให้น้อง ๆ ด้วยนะคะ แล้วเจอกันค่ะ พวกเราสี่คนเดินออกมาจากห้องชุมนุม พี่แอมแยกตัวออกไปคืนกุญแจเหมือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฉันถามทั้งสองคนหลังจากที่พี่แอมแยกตัวออกไป ทำไมถึงให้ฉันเป็นรองประธานล่ะ ฝ้ายตอบเป็นคนแรก อ้าว ก็มิ้งเก่งนี่นา วิเคราะห์เหตุการณ์นั่นได้ถูกเผงเลยนี่ ใช่แล้วละจ้ะ ยุ้ยสนับสนุน เข้ากันดีเหลือเกินนะสองคนนี้ แต่ฉันไม่เคยเป็นรองประธานหรือเป็นประธานมาก่อนนะ พวกเราสองคนก็ไม่เคยมีใครเป็นประธานหรือรองประธานเหมือนกันจ้ะ ยุ้ยตอบกลับ แต่เพราะเราคิดว่ามิ้งเก่งที่สุดในบรรดาพวกเราสามคนแล้วละนะ ไม่มีอะไรจะคุยต่อเลยทีนี้ เอาเป็นว่าเลยตามเลยก็แล้วกัน สรุปก็คือฉันเป็นรองประธานชุมนุมเคมีหรรษาไปแล้วเต็มตัวทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเลยสักนิด จะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้ด้วยแล้วนะ อธิบายท้ายเรื่อง 1โรงเรียนสมมติจากนิยายชุด นักสืบแห่งชมรมวรรณกรรมคลาสสิก ของโยเนซาวะ โฮโนบุ (Yonezawa Honobu) ซึ่งต่อมาถูกสร้างเป็นอนิเมะชื่อ Hyouka หรือชื่อไทยคือ ปริศนาความทรงจำ ออกฉายทางโทรทัศน์ครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2555 โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่โดดเด่นและเปิดกว้างด้านกิจกรรมชมรมอย่างมากโดยเฉพาะชมรมสายศิลปะ และมีแม้กระทั่งชมรมที่มีสมาชิกเพียงคนเดียว 2ธาตุชนิดหนึ่ง เป็นของเหลวสีน้ำตาลแดง ระเหยได้ง่าย และมีฤทธิ์กัดกร่อน เรื่องราวกำลังจะเริ่มต้น คิดเห็นอย่างไรก็ออกความเห็นกันได้ครับ |
ตะกั่ว-หนึ่งสี่ศูนย์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] นักศึกษาเคมีที่กำลังจะกลายเป็นนักเรียนทุน สนใจเคมีพอ ๆ กับอนิเมะ ยินดีต้อนรับครับ Group Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |