...spring...summer...fall...winter... no matter how many seasons have changed , don't give up your dream!!
Group Blog
 
All blogs
 

เก็บตกจากอัมพวาจ้า...

เป็นภาพบรรยากาศที่ธนิชารีสอร์ทนะ เผื่อใครอยากไปพักบ้าง


































 

Create Date : 20 มิถุนายน 2550    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2550 18:46:32 น.
Counter : 1064 Pageviews.  

คำสัญญา...ของอัมพวา++

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปี จากครั้งแรกที่ได้ไปเยือนอัมพวา คงเพราะความประทับใจในครั้งนั้น พวกเราจึงได้สัญญากันไว้ว่าจะต้องกลับไปอีกให้ได้ และในครั้งนี้ก็จะต้องค้างที่อัมพวาด้วย เพื่อจะได้ซึมซึบบรรยากาศได้อย่างเต็มอิ่ม

...มากกว่าสามครั้งที่พวกเราได้วางแผนกันว่าจะไป แต่ด้วยอุปสรรคนานาประการ ทำให้ทริปนี้ไม่เคยลุล่วงสักที

แล้วเมื่อเปิดเรียนวันสุดท้าย ของเทอมท้ายสุดจบลง พวกเราก็รู้ในทันทีว่าจะต้องไปค้างกันที่อัมพวาให้ได้ คิดไปคิดมาก็เกือบจะได้ไปค้างปราณบุรีอีกคืน แต่ด้วยเวลาที่ไม่ลงตัวของชาวแก็งค์ 3'P ทั้งสามคน จึงต้องตัดทริปปราณบุรีออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ...และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเราจะได้มารวมตัวกันเที่ยวเล่นใช้ชีวิตนักศึกษาอย่างนี้อีก...

สถานที่แรกที่พวกเราได้ไปเยือนก็คือ วัดศรัทธาธรรม ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.เมือง ระหว่างทางไปดอนหอยหลอด

ความพิเศษของวัดนี้ก็คือพระอุโบสถทำจากไม้สักทอง ผนังด้านในฝังมุกทั้งหลัง ภายในเป็นภาพพุทธประวัติ ภาพรามเกียรติ์ หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด นอกจากนั้นพวกเรายังได้ไปชมการกวนกาละแมรามัญ ที่ต้องใช้เวลากวนถึงหกชั่วโมงทีเดียวกว่าจะได้ออกเป็นขนมที่เหนียวนุ่ม และหอมหวนน่ารับประทาน




แล้วก็ต่อด้วยการพักเที่ยงที่ดอนหอยหลอด



จากนั้นจึงได้ไปเที่ยวค่ายบางกุ้งซึ่งเป็นค่ายทหารที่มีชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารชาติไทย และเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เกิดวีรกรรมของชาวแม่กลองในระหว่างตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงธนบุรี ซึ่งทหารไทย-จีน โดยการนำของพระเจ้าตากสินมหาราชร่วมรบขับไล่กองทัพพม่าทำให้ข้าศึกแตกพ่าย และเป็นค่ายทหารไทยที่สร้างความเกรงขามให้กองทัพพม่าเป็นอย่างยิ่ง ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้รกร้างอยู่เกือบ 200 ปี จนมาถึงปี พ.ศ. 2510 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งเป็นค่ายลูกเสือขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระเจ้าตากสินมหาราช และได้สร้างศาลพระเจ้าตากสินไว้เป็นอนุสรณ์

ซึ่งข้างๆกันนั้นก็คือวัดโบสถ์และวัดบางกุ้งอันเก่าแก่ ความอัศจรรย์ของโบสถ์แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อทหารไทยเข้าไปหลบและสามารถรอดพ้นจากข้าศึกพม่ามาได้







แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องไปเที่ยวในสถานที่ที่เราไม่เคยคิดเลยว่าจะไปเยือนในช่วงชีวิตนี้ ...นั่นก็คือบ้านแมวไทย คือต้องขอออกตัวไว้เลยว่าไม่ค่อยจะถูกกับแมวเท่าไหร่นัก แต่ไม่รู้ทำไมไปๆ มาๆ ถึงได้ถ่ายภาพแมวมาได้ตั้งหลายภาพ นี่ถ้าได้ไปเยี่ยมบ้านหมาไทย สงสัยคงกดจนหมด memmory แหงๆ









ก่อนจะเข้าวัดบางกุ้ง พวกเราขับรถจนเกือบหลงเข้าเพชรบุรีก็หนนึงแล้ว ดีที่เห็นเทือกเขาอยู่ไกลลิบจึงกลับตัวทัน พอออกจากบ้านแมวไทยจะไปโบสถ์คริสต์ก็ขับอีท่าไหนไม่รู้เกือบหลงไปราชบุรีอีกจนได้...

จนต้องแวะถามทางชาวบ้าน.. และแล้วก็มาถึงอาสนวิหารแม่พระบังเกิด ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1890 โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส ใช้เวลาสร้างถึง 6 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบโคธิคของประเทศฝรั่งเศส ภายในประดับด้วยกระจกสีโมเสก มีรูปปั้นธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป ขาเทียนลักษณะต่าง ๆ และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติในพระคัมภีร์คริสตศาสนา











ในที่สุดก็มาถึงตลาดน้ำอัมพวาสักที... แม้ที่นี่จะดูเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็คงเป็นธรรมดาของกระแสการพัฒนา ที่ใดที่มีนักท่องเที่ยว ที่นั่นย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสนทุนนิยม ซึ่งสังเกตเห็นได้จากสองฟากฝั่งคลองที่บ้านเรือนดั้งเดิมเริ่มกลายเป็นร้านค้าเชิงพานิชย์มากขึ้น วิถีที่เคยสงบเรียบง่าย ...ก็ยังคงสงบ แต่บ่อยครั้งบ่อยคราวขึ้นที่เริ่มสอดแทรกการพานิชย์เข้ามาบ้าง

แต่ถึงอย่างไรเรายังคงรับรู้ได้ถึงวิถีของชาวอัมพวา









ยามค่ำคืนที่นี่มีสีสันชวนให้ถ่ายรูปไม่น้อยเลย และการกลับมาเยือนครั้งนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะถ่ายภาพบรรยากาศกลางคืนมาให้เยอะๆ เพื่อจะได้แก้มือเมื่อคราวก่อนที่พอตกค่ำปุ๊บก็หมดแรงปั๊บ เลยแทบไม่มีภาพ low light ติดกล้องไว้เลย

























นี่เป็นอีกร้านที่แนะนำนะ คุณพี่จิตรกรคนนี้เก่งมากใจดีด้วย แต่นางแบบที่ไม่ยิ้มนี่เพราะกลัวคุณพี่เค้าจะเสียสมาธิน่ะ

ส่วนร้านนี้ ก็ยอดฮิตสุดๆ คงเพราะการตกแต่งร้านที่แสนจะกิ๊บเก๋ สีสันสวยงาม อีกทั้งเมนูก็ชวนรับประทานซะ








 

Create Date : 01 มิถุนายน 2550    
Last Update : 19 มิถุนายน 2550 23:51:41 น.
Counter : 1137 Pageviews.  

เชียงดาว...เพียงดาว

ลมหนาวที่กำลังมาเยือนเหมือนจะส่งสัญญาณเตือนฉันและเพื่อนๆเหล่านักผจญภัยหัวใจอิสระให้ออกเดินทางกันอีกครา
ย้อนไปหลายปีก่อน ...เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวราวๆต้นเดือนพฤศจิกายน

...บ่ายอ่อนๆ ริมระเบียงหน้าห้องเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ฉันกำลังนั่งมองแม่น้ำเจ้าพระยา ...แม่น้ำสายหลักของคนไทย แม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตนับไม่ถ้วนบนผืนแผ่นดินไทย แม่น้ำที่ให้ความเย็น ความสบายตา และความสบายใจแก่พวกเราชาวธรรมศาสตร์เสมอมา

อาจเพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ความคิดยุ่งเหยิงต่างๆมันจึงวนไปมาในหัวฉันไม่หยุด

ชีวิตนักศึกษาปีสุดท้ายของฉันกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ชีวิตในโลกแห่งความฝันในรั้วมหาลัยแห่งนี้กำลังจะสิ้นสุดลง ฉันรู้สึกสับสนยิ่งนักเพราะตลอดเวลาสี่ปีในรั้วมหาลัยแห่งนี้ฉันพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาตัวเอง
แต่ทว่า...ฉันล้มเหลว เพราะท้ายที่สุด ฉันยังคงไม่รู้จักตัวเอง ... หรือบางที ฉันอาจไม่กล้าพอที่จะยืนหยัดในความเป็นตัวฉัน เพราะสิ่งนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นคาดหวังให้ฉันเป็น ...ก็เป็นได้
... ... ... ... ... ... ...
“....ตกลงจะไปเที่ยวด้วยกันรึเปล่า ต้องจองตั๋วแล้วนะ...”
... ... ... ... ... ... ...


ฉันตอบตกลงในทันที โดยไม่ได้ซักถามรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น รู้แค่เพียงว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการรวมตัวของเพื่อนๆ นักศึกษาจากหลากหลายสถาบันที่มีภูมิลำเนาแห่งเดียวกัน...และประสบชะตากรรมอย่างเดียวกัน ชะตากรรมที่ต้องพลัดพรากถิ่นฐานมาศึกษาอยู่ในเมืองกรุง ...แม้ฉันแทบไม่รู้จักเพื่อนร่วมทริปนี้ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้ คงเพราะกิตติศัพท์อันเลื่องชื่อของเชียงดาว
และการหนีออกไปจากสภาพที่เป็นอยู่คงทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องต่างๆที่รบกวนจิตใจได้ชั่วขณะ...ฉันเหนื่อยเหลือเกิน และฉันต้องการการพักผ่อน

ฉันและเพื่อนๆอีกกว่าหนึ่งโหลออกเดินทางทันทีในเย็นวันนั้น ...มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่
เช้าตรู่วันใหม่ฉันตื่นนอนขึ้นมาบนรถทัวร์ขณะที่กำลังแล่นฝ่าสายหมอกซึ่งทอดผ่านระหว่างหุบเขาเข้าสู่ตัวเมืองเชียงดาว

ณ ตัวเมืองเชียงดาว พวกเราเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมตลาดอยู่พักใหญ่ บรรยากาศยามเช้าสดชื่นมาก หมอกขาวโพลนปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง หลังจากกินมื้อเช้าและหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ต้านความหนาวกันแล้ว สถานที่แรกที่ได้เยี่ยมผลคือถ้ำเชียงดาว ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณวัดเชียงดาวนั่นเอง ความงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้อย่างลงตัวสร้างความอัศจรรย์ให้พวกเรายิ่งนัก

ณ ที่ทำการอุทยานเชียงดาว พวกเราต้องจัดการกับสัมภาระจำนวนมากที่ต้องใช้ประทังชีวิตให้อยู่รอดในอีกสามวันสองคืนข้างหน้า แม้จะได้พี่ๆลูกหาบมาผ่อนแรงถึงสี่คนแล้วก็ตาม แต่เป้ของพวกเราแต่ละคนก็ยังตุงไม่เป็นทรงและหนักอึ้งไปด้วยเสื้อผ้า อาหารและอุปกรณ์ทำครัว อีกทั้งสองมือยังต้องหอบหิ้วถุงใส่ขวดน้ำดื่มไว้อย่างพะรุงพะรัง เพราะการขึ้นดอยครั้งนี้ “น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีพ ทุกคนจึงต้องพกติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่าคนละสองขวดลิตร

พวกเราเริ่มต้นเดินเท้าเมื่อเวลาประมาณสิบเอ็ดโมง โดยเลือกใช้เส้นทางสายบ้านแม่นะ
แรกๆ นั้นทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส และตื่นตาตื่นใจกับการชมวิว แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาเสียงพูดคุยเริ่มขาดหาย แต่ละคนใช้สมาธิจดจ่อกับจังหวะการหายใจ เพื่อให้สัมพันธ์กับแต่ละก้าวย่าง

จากนานๆ ทีก็เริ่มถี่ขึ้นกับเสียงเรียกร้องให้หยุดพักและดื่มน้ำ ทางที่เดินนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเดินขึ้นบันไดดีๆ นี่เอง พวกเราจึงมักตะโกนถามทางเพื่อนที่อยู่แนวหน้าอยู่บ่อยๆว่าเมื่อไหร่จะถึงทางราบสักที แต่คำตอบที่ได้รับมักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เรายังคงอยู่บนทางที่ลาดชัน...ไปอีกหลายชั่วโมง

เกือบสี่โมงเย็น เราเลือกกางเต็นท์ค้างแรมค้นแรกที่บริเวณหุบเขาก่อนถึงป่าคา เพราะด้วยกำลังกายที่อ่อนล้าเต็มทีคงไม่สามารถหอบสังขารไปถึงลานพักอื่นได้อีกแล้ว พวกเราต้องรีบจัดแจงกางเต็นท์สี่หลังและทำอาหารกินกันเป็นการด่วนก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ทุกคนช่วยเหลือกันอย่างแข็งขันเพื่อจะได้ผ่านพ้นสภาวะหิวโซนี้ไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดอาหารมื้อแรกก็ถูกลำเลียงลงสู่กระเพาะน้อยๆ อย่างเอร็ดอร่อยภายในพริบตา

ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ยิ่งมืดก็ยิ่งหนาว พวกเราค่อยๆ ล้อมวงใกล้กันเข้ามามากขึ้น กองไฟถูกจุดท่ามกลางวงล้อม แล้วเรื่องเล่ามากมายก็พรั่งพรูออกมาจากพวกเราแต่ละคนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมสุข ความสนุกและเสียงหัวเราะที่ดังอยู่ค่อนคืนช่วยบรรเทาความหนาวไปได้ไม่น้อย ...บางคนจิบน้ำวิเศษที่คนทั่วไปรู้จักในนาม เหล้าขาว เพื่อนคลายความหนาวก่อนโบกมือราตรีสวัสดิ์ให้ดวงดาว

อรุณรุ่งวันใหม่ ทุกคนตื่นแต่เช้า แล้วก็เริ่มเล่าวีรกรรมในการพิชิตความหนาวเหน็บ บ้างก็คุยโวอย่างภูมิใจที่ได้แย่งถุงนอนของคนข้างๆ บ้างก็ตัดพ้อต่อว่าเพื่อนที่ไม่แบ่งปันผ้าห่ม มิพักต้องคิดถึงเรื่องการล้างหน้าแปรงฟันยามเช้าแต่อย่างใด เพราะน้ำที่เตรียมมานั้นคงมีไม่พอสำหรับการนั้นเป็นแน่...

หลังอาหารเช้าแล้วก็ต้องเก็บของเพื่อเดินทางต่อ คราวนี้พวกเราเริ่มรู้จังหวะการย่ำเท้าดีขึ้น ก้าวช้าลง แต่เพิ่มความถี่ในการพักมากขึ้น เดินไปชมนกชมไม้ไปตลอดทางเพื่อเบนความรู้สึกเหนื่อยออกจากจิตใจ
ต้นไม้ที่พบมากบริเวณนี้คือต้นค้อดอยและต้นเหยื่อจง นานๆ จึงจะเห็นดอกชมพูเชียงดาวมาเติมสีสันสักที

บ่อยครั้งที่เดียวที่พวกเราเพิ่มความสนุกให้การเดินด้วยการแซวกันไปเย้ากันมา เรื่องราวเก่าๆของเพื่อนเก่า ทำให้หวนรำลึกถึงบรรยากาศในวันวานยิ่งนัก

ระหว่างทางมีนักท่องเที่ยวที่เดินสวนทางไปมาไม่ขาดสาย และแทบจะกลายเป็นธรรมเนียมที่ต้องทักทายกันตามประสาเพื่อนร่วมทาง แม้จะเป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่การเดินทางบนรอยทางสายเดียวกันเส้นนี้ เราต่างล่าจุดหมายเดียวกัน ทำให้ทุกคนเป็นมิตรกันโดยปริยายเสมือนหนึ่งรู้จักกันมาเนิ่นนาน มันช่างเป็นมิตรภาพของคนตัวเล็กๆที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

อีกหกชั่งโมงถัดมา พวกเราก็มาถึงลานกางเต็นท์กันอีกครา บะหมี่สำเร็จรูปถูกปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานในไม่ช้าเพราะอาหารมื้อเที่ยงนั้นเป็นขนมปังเพียงสองแผ่น

เมื่อรอจนแดดร่มลมตก ก็ได้เวลาพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาวกันสักที แม้ต้องเดินขึ้นยอดดอยอีกไม่ไกลเมื่อเทียบระยะทางที่เดินมาทั้งวัน แต่ด้วยความชันของภูเขาหินปูนแห่งนี้อีกทั้งยังแหลมคมทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเดินและปีนป่ายมากโข

“...แชะ...” ในที่สุดรูปรวมบนยอดดอยที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศไทยก็ถูกบันทึกลงแผ่นฟิล์ม ...และถูกจากรึกไว้ในใจของพวกเราทุกคน
แม้ท้องฟ้าไม่โปร่งเท่าใดนัก แต่ภาพที่เห็นลางๆ ท่ามกลางกลุ่มหมอกเบื้องหน้าคงการันตีถึงความยิ่งใหญ่ของเชียงดาวได้ดียิ่งนัก เทือกเขาสูงตระหง่านมากมายทอดตัวสลับซับซ้อน แลดูเหลื่อมล้ำกันไปยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

ฉันพยายามยืนนิ่งๆ สูดลมหายใจเข้าปอดให้นานที่สุด ว่ากันว่าบนที่สูงมากๆ มักจะเป็นแหล่งรวมพลังแห่งพื้นพิภพ ...บัดนี้ฉันได้เติมเชื้อเพลิงให้ชีวิตมีแรงก้าวต่อ เพื่อกลับไปต่อสู้กับอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่

ไม่ว่าใครจะเรียกขานที่นี่ว่าอย่างไร
เชียงดาว... เปียงดาว... หรือเพียงดาว...
ฉัน...ฉันคงหลงรักที่นี่เข้าซะแล้วล่ะ

บนทางหลวงหมายเลข 107 รถทัวร์กำลังแล่นออกจากตัวอำเภอเล็กๆ มุ่งหน้าสู่มหานครอีกครา ภูเขาที่รายล้อมอยู่สองข้างทางกับถนนสายยาวเหยียดนี้กลับหลายเป็นเส้นเล็กๆ อยู่บนแผนที่มือของฉัน
“...คนเราล้วนอยู่ในโลกสมมติ...”
ฉันนึกถึงถ้อยคำที่ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ก่อนจะเอ่ยอำลาเชียงดาวอย่างเป็นทางการ แม้ไม่สัญญาใดๆ ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ แต่ความทรงจำดีๆ ระหว่างพวกเราและที่นี่จะยังคงอยู่เสมอ นานเท่านาน...


Special thanks: “ต้อ” หัวโจกจัดทริปนี้ และ “มุก” แม่ที่แสนดีของพวกเรา
“โบ” สาวมั่นแห่งยุด , และสุภาพบุรุษ “บอล” , “ปิย่า” , และ “วิดย่า” The gang “ยอด” , “จึ่ง” , “โบโบ้” และ “เพื่อนบิ๊ม” สำหรับทุกความฮา
“แอ้” , “แอ๊ด” และ “ทราย” ...ขอบคุณ

by pangfoto






 

Create Date : 30 ตุลาคม 2549    
Last Update : 30 ตุลาคม 2549 2:28:25 น.
Counter : 617 Pageviews.  

..อัมพวา..มาแว้ววว!!

หลังจากที่พวกเราเดินเล่นบริเวณวัดอัมพวันและอุทยาน ร.๒ จนหนำใจแล้ว ก็พากันมุ่งหน้าไปตลาดน้ำยามเย็น.. ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเวลาที่แดดร่มลมตก เหมาะแก่การเดินเล่นริมน้ำยิ่งนัก
ก่อนจะถึงริมคลอง พวกเรารู้สึกตื่นตากับร้านรวงสองข้างทางเป็นอย่างยิ่ง ร้านค้าจำนวนมากได้จำลองบรรยากาศโบราณไว้ อีกทั้งสินค้านานัปชนิดก็ล้วนเป็นของที่หาได้ยากในปัจจุบัน ที่สำคัญ... มีของกินเยอะมาก พวกเราจึงใช้เวลาไปกับการเติมพลังงานอยู่นานไม่น้อย ก็แหม...จะมองไปทางไหนก็น่ากินทั้งนั้นนี่นา
ตกเย็น...บรรยากาศริมน้ำดีมากๆ แม้ว่าวันนั้นจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน(จนแทบไม่ต้องออกแรงเดินเอง) ก็เพียงทำให้ความอยากเดินเที่ยวลดลง แต่มิได้ทำให้พวกเราท้อถอยหรอกนะ อุตส่าห์มาทั้งทีจะท้อง่ายๆได้ยังไงกันล่ะ


พวกเราจึงหลบฝูงชน จากตลาดน้ำยามเย็น เป็นการเดินชมวิถีชีวิตเลียบริมคลอง ที่ซึ่งบางเบาจากเหล่านักท่องเที่ยว



"...แวะชมก่อนสิครับ.. ..นั่งพักก่อนก็ได้.. ..ไม่ซื้อไม่เป็นไร หยุดพักหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินต่อ..." พวกเราได้คำพูดเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วน ผู้คนที่นี่ล้วนมีอัธยาศัยดี ..แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานภาพลูกค้ากับคนขายของ กระนั้นพวกเขาก็ยังยิ้มแย้มทักทายและพูดคุยกับคนแปลกถิ่นอย่างพวกเราด้วยมิตรไมตรี


ชีวิตของผู้คนสองฟากคลองนั้นมีอะไรให้ศึกษาอีกมากมาย ..แต่ส่งหนึ่งที่สัมผัสได้ทันทีขณะนั้นก็คือ ความสงบ
จริงอยู่...ที่แม้ว่าปัจจุบันนี้อัมพวาจะไม่ได้สงบเงียบเช่นเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีอีกหลายๆมุมที่ไม่โดนรบกวนจากสภาพสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์
อัมพวาเป็นอีกสถานที่ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนจิตใจยิ่งนัก หลายคนเดินทางมาพักผ่อนที่อัมพวานับครั้งไม่ถ้วน และอีกหลายคนหลงใหลอัมพวาถึงขนาดย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่นี่...


เราบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งหลงรักความเป็นอัมพวาเข้าอย่างจัง จึงได้ย้ายมาทำกิจการที่นี่ และถึงขนาดวางแผนระยะยาวจะตั้งรกรากที่นี่อย่างถาวร...



เราเดินเที่ยวไปถ่ายรูปไป เมื่อแสงหมด..กล้องจึงถูกบรรจุกลับเข้าไปไว้ในกระเป๋า
ย่ำค่ำ..พวกเราล่องเรือไปชมหิงห้อย... บรรยากาศในคืนเดือนแรมกลางคุ้งน้ำดีมาก อากาศสดชื่น บริสุทธิ์ เราสูดหายใจเข้าออกฟอดใหญ่หลายครั้ง เพื่อหวังจะชำระควันพิษในปอดที่สะสมมาจากกรุงเทพ ..แสงนวลจากดวงจันทร์ที่ส่องกระทบผิวน้ำ ยิ่งเสริมให้บรรยากาศคืนนั้นนุ่มนวลมากขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่าหิงห้อย จะเป็นสิ่งอัศจรรย์สำหรับใครหลายๆคน มันสร้างความตื่นตาตื่นใจและประสบการณ์ดีๆให้คนอีกไม่น้อย
...ทริปหิงห้อย... จบลงอย่างสมบูรณ์ เมื่อสมาชิกคนสุดท้ายในกลุ่มขับรถถึงบ้านอย่างปลอดภัยในเวลาเลยเที่ยงคืนนิดหน่อย เรานั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งประสบมา ช่างน่าประทับใจ... แม้ว่ารุ่งขึ้นและต่อไปอีกหลายสัปดาห์หลังจากนี้ จะมีภาระรอให้สะสางอีกมากมาย แต่อย่างน้อยคืนนี้เราก็หลับอย่างมีความสุข และยังจะคงสุขต่อไปทุกครั้ง ..เมื่อนึกถึง..อัมพวา
ขอโทษเพื่อนๆทุกคนที่ไม่มีรูปหิงห้อยมาฝากนะ ก็นั่นแหละนะ..ความทรงจำบางอย่างมันไม่สามารถบันทึกได้หรอกนะ ต้องประสบด้วยตนเองเท่านั้น


ป.ล. จำไว้นะ เราทุกคนน่ะเหมือนหิงห้อย!! เพราะ..เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง จงให้แสงสว่างนั้นนำทาง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแสงเล็กๆก็เหอะ



special thank;) ศิษย์น้องปิงๆ สำหรับการทำหน้าที่สารถีอย่างดีเยี่ยม บี๋ สำหรับการวางแผนเที่ยว เปี๊ยก สำหรับความ alert ตลอดเวลา และลาล่าสำหรับการจุดประกาย

โทษทีนะเพื่อนๆ รูปน้อยไปหน่อย บอกตรงๆว่าวันนั้นน่ะอยากนั่งชิวอย่างเดียว ขี้เกียจถ่ายรูปสุดๆ เลยไม่มีรูปอาหารอร่อยๆมาฝากแป๊บเลยน่ะดิ

ขอบคุณเจ้าของร้านขายโปสการ์ดร้านแรกในอัมพวา ..พี่โจ.. จริงๆแล้ว เมื่อหลายปีก่อนเราได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งเรื่องการถ่ายภาพจากคนๆนี้แหละ ไม่นึกว่าหลายปีต่อมาจะได้กลับมาเจอกันอีก ผลงานของพี่เยี่ยมมากเลยsimply the best!!

และขอบคุณคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ สำหรับข้อเขียน-ข้อคิดดีๆ และสำหรับประโยคสุดเท่ "เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง" และ "ไปตามเส้นทางของเรา" ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่ยอดเยี่ยมมากๆ




 

Create Date : 11 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 23:54:49 น.
Counter : 506 Pageviews.  

...อัมพวา...

ชีวิตช่วงนี้มันยุ่งๆ ยิ่งยุ่งก็ยิ่งอยากไปเที่ยว.. วางแผนทริปนี้กันไว้นานมากแล้ว เพื่อนๆอยากไปล่องเรือดูหิงห้อย แต่กว่าจะว่างตรงกัน...ในคืนข้างแรม ก็เล่นเอาต้องเลื่อนวันกันหลายครั้งเลยล่ะ
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพตอนเที่ยง โชคดีมากที่วันนั้นฟ้าแจ่ม (หลังจากที่ฝนตกทั่วกรุงซะหลายวัน) เราเห็นฟ้าแล้วก็อดไม่ได้ ต้องกดชัตเตอร์เก็บไว้สักหน่อย


นั่งรถแค่แป๊บเดียวก็เข้าเขตสมุทรสงคราม


..ถึงอัมพวา พวกเราก็ตรงดิ่งไปวัดอัมพวันฯ ถวายสังฆทาน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต(ที่แสนจะยุ่งและวุ่นวาย) แล้วเดินชมพระปรางค์กันต่อ


เดินไปเดินมาชักเพลีย แดดค่อนข้างแรง

เพื่อนๆก็ชักหมดแรง พวกเราเลยหลบแดดอยู่ที่นี่นานสักหน่อย


ใกล้ๆกันก็เป็นอุทยาน ร.๒ บรรยากาศร่มรื่น มีบ้านทรงไทยสวยมาก แถมยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจไว้อีกเพียบ


ติดตามตอนต่อไปจ้า..




 

Create Date : 10 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 1:45:16 น.
Counter : 567 Pageviews.  

1  2  

pangfoto
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง
...ไปตามเส้นทางของเรา!!
Friends' blogs
[Add pangfoto's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.