ดูจิตแบบ สมาธินำปัญญา หรือปัญญานำสมาธิ จากหัวข้อนี้ ในปัจจุบันนั้น มีการนำมาถกกันเป็นที่กว้างขว้าง เกิดจากข้ออ้างง่ายๆ แต่กลับไร้เหตุผลสิ้นดีครับ ทำสมถะ ก็เคยทำค่ะ ก็ได้ปีติชั่วครู่ชั่วยาม สลับกับความฟุ้งซ่านและความปวดหัว เพราะเพ่งอารมณ์ หรือเพ่งลมหายใจ จากข้ออ้างดังกล่าว ทำให้เกิดการเอาปัญญานำสมาธิ โดยอ้างว่าการดูจิตคือการเอาปัญญานำสมาธิ เป็นการแอบอ้าง โดยนำคำของครูบาอาจารย์มารับรองความถูกต้อง ทั้งที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ท่านก็สอนของท่านโดยจากฝึกฝนอบรมจิต(สัมมาสมาธิ) จนจิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวทั้งนั้น การที่จิตจะสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวได้นั้น เพราะจิตเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเรา สำหรับนักดูจิตที่ชอบอ้างนักอ้างหนาว่าปัญญานำสมาธินั้น ตอบให้กระจ่างด้วยครับว่า สติปัญญาเกิดขึ้นที่ไหน ถ้าไม่ใช่เกิดขึ้นที่จิต สติปัญญาเกิดขึ้นเองลอยๆไม่ได้หรอกครับ ทั้งสติปัญญานั้นล้วนต้องเพียรสร้างให้เกิดขึ้นมีขึ้น เกิดขึ้นเองหรือมีขึ้นเองนั้นไม่ได้แน่นอนครับ ถ้าคิดว่าได้ โปรดบอกด้วยว่าเกิดขึ้นมีขึ้นเองตอนไหน อย่าบอกนะว่า เกิดขึ้นเองมีขึ้นเองโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว(ฟลุ๊คๆขึ้นมาเอง) ถ้ายังมีแนวคิดเช่นนี้ ศาสนาพุทธของเราชาวพุทธ คงกลายเป็นเรื่องตลกชวนหัวไป สำหรับผู้คนที่ได้ยินได้ฟังไม่น้อย มีพุทธพจน์ใน สมาธิสูตร กล่าวรับรองไว้ว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความเกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ. ในพระสูตรก็เป็นที่ชัดเจนแล้วนะครับว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ.(ภาเวตัพพะ) พระบรมครูก็เน้นย้ำให้ชัดว่า จงเจริญสมาธิ จงเจริญสมาธิ จงเจริญสมาธิ พระองค์ท่านทรงกล่าวต่อว่า ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง รู้ชัดตามความเป็นจริง อันนี้คือปัญญาชัดๆ นะครับ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น(เป็นสมาธิ) จะรู้ชัดตามความเป็นจริงได้ไหม...ย่อมไม่ได้ แต่ทุกวันนี้เกิดความเข้าใจแบบผิดๆของนักดูจิตรุ่นใหม่ว่า การที่ตัวเองวางเฉยต่ออารมณ์ได้นั้น เป็นเพราะรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่เลย สืบเนื่องมาจากความคุ้นชินต่อการที่จิตรู้รับอารมณ์(ความคิด)มาโดยตลอด แต่พยายามที่จะรู้เฉยๆอยู่ โดยคิดว่าไม่ได้แทรกแซงอะไร จนกลายเป็นความกระด้างคุ้นชินกับความคิดดังกล่าวที่เกิดขึ้น เมื่อเวลาเกิดรอบใหม่อีก ก็เป็นแบบนี้ รอบแล้วรอบเล่า จนจิตติดคิด ปล่อยวางความคิดไม่เป็น โดยเฉพาะความคิดที่คิดว่าเฉยๆที่ติดอยู่อย่างเหนียวแน่นนั้น จนหลงเข้าใจผิดๆว่าตัวเกิดปัญญา ... แท้ที่จริงแล้วเกิดสัญญา แล้วสัญญาที่ไหนที่จะนำสมาธิได้ จากหัวข้อดังกล่าวข้างต้น เราพอจะสรุปได้ว่า ทั้งปัญญานำสมาธิหรือสมาธินำปัญญานั้น ล้วนเป็นอัญญะมัญญะปัจจัย ที่จะต้องเกื้อหนุนกันและกันให้เกิดขึ้น แต่ต้องเริ่มต้นที่เจริญสมาธิให้ได้ก่อน เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว จึงเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นดังนี้ เมื่อจิตมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า ขันธ์๕ไม่ใช่เรา(จิต) เรา(จิต)ไม่เป็นขันธ์๕ ขันธ์๕ไม่ใช่ตนของเรา(จิต) ย่อมเกื้อหนุนให้จิตตั้งมั่นได้รวดเร็วขึ้นโดยลำดับ จิตที่ตั้งมั่นก็กลับมาเกื้อหนุนให้ปัญญาเฉียบคมมากขึ้น เป็นอัญญะมัญญะปัจจัยซึ่งกันและกันครับ เจริญในธรรมทุกๆท่าน ธรรมภูต แวะมาทักทายค่ะ ขอไป post ต่อค่ะ
โดย: Elbereth วันที่: 22 มิถุนายน 2552 เวลา:16:42:40 น.
ขอถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าจิตเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ
แล้วรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้จิตไม่เป็นสมาธิ..ต้องทำสมถะก่อน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้จิตเป็นสมาธิแล้ว.เจริญวิปัสนาต่อได้ ท้งหมด..คือการดูจิตไปแล้วโดยไม่รู้ตัว โดย: palmgang IP: 119.42.70.128 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:16:37 น.
ท่านpalmgangครับ
สมถะและวิปัสสนานั้น เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ ต้องมีและดำเนินไปด้วยกัน ในพุทธวจนะนั้นตรัสไว้ชัดเจนว่า "ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้นเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ" เมื่อท่านยังไม่รู้จักจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์แล้ว ยังจะคิดดูจิตที่ติดความคิดไปเพื่อประโยชน์อะไร ละอารมณ์ก็ละไม่เป็น แล้วจะเกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ได้อย่างไร??? ธรรมภูต โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:20:03:15 น.
ขอถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่าจิตเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ
แล้วรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้จิตไม่เป็นสมาธิ..ต้องทำสมถะก่อน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้จิตเป็นสมาธิแล้ว.เจริญวิปัสนาต่อได้ ท้งหมด..คือการดูจิตไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ................................................................ เอาอะไรมาพูดเนี่ย เอะอะ ก็ดูจิตๆ เค้ามีแต่สมาธิอบรมปัญญา กับปัญญาอบรมสมาธิ การจะเห็นสติปัฏฐาน 4 ที่แท้จริง ต้องทำความสงบเข้ามาก่อน สติปัฏฐานของจริงจึงจะปรากฏให้เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วค่อยพิจารณา ที่สอนกันปาวๆ น่ะ สติปัฏฐานของเก๊ สติปัฏฐานกิเลสน่ะเส่ะ เอาสติแบบโลกๆ สกปรกมอมแมมนี่นะไปเจริญสติปัฏฐาน ก็โดนกิเลสหลอกไปทุกๆ ชาตินั่นแหละ โดย: พุทโธ IP: 124.122.163.51 วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:14:25:23 น.
ถูกต้องครับท่านพุทโธ
ยังไม่ทันรู้จักจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ จากการภาวนา(พุทโธ)เลย ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการดูกาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อจิตรู้จักฐานกายคตาสติแล้ว ย่อมกระเทือนถึง เวทนา จิต ธรรม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่บางท่านกลับสะเพร่า สอนข้ามขั้นตอน โดยอ้างว่าเป็นทางลัดสั้น ทั้งๆที่ในพระพุทธศาสนามีทางลัดสั้นเสียที่ไหนหละ? มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเท่านั้น จึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ครับ ธรรมภูต โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:9:56:18 น.
|
ในความฝันของใครสักคน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์ Group Blog All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |