ทำไมต้องดูจิต การดูจิตนั้นสำคัญไฉน???
ก่อนอื่นนั้น พวกเราต้องยอมรับกันว่า
คนเราทุกคนนั้นย่อมมีธาตุรู้(จิต) ประจำตนของแต่ละคน
ซึ่งยืนตัวรู้อยู่ตลอดเวลา


ไม่ว่าเราจะทำอะไรไปนั้น เราย่อมระลึกรู้ได้ในภายหลัง
เร็วบ้างช้าบ้าง แล้วแต่กำลังการระลึก(สติ)ของแต่ละคน

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เราย่อมพูดได้ว่า
ธาตุรู้ของแต่ละคนนั้น เป็นของๆ ตน
จะเป็นของคนอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นของแต่ละคน
เพราะเป็นของตน เราจึงรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น


ในสิ่งที่เรารู้ ถ้าเราไม่บอกออกไปแล้ว
ใครก็รู้สิ่งที่เรารู้ไม่ได้หรอกว่าเรารู้อะไร
ที่เรียกว่ารู้เฉพาะตน ไม่ใช่เรียกว่าปัจจัตตัง

ทุกวันนี้คนทั่วไปนั้น มีความนึกคิดถึงเรื่องราวต่างๆอยู่ตลอดเวลา
มีบ้างบางเวลาเท่านั้นที่วางจากความนึกคิด
ก็จะเป็นความว่างที่มีอารมณ์เฉยๆอยู่เท่านั้น
โดยแทบจะไม่เคยว่างเว้นจากอารมณ์ได้เลย

จนมีอาจารย์บางท่าน ที่สอนลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในปัจจุบันนี้ว่า
เมื่อมีจิต ย่อมต้องมีอารมณ์อยู่ประจำจิตเสมอ

จนกระทั่งลูกศิษย์ลูกหาเหล่านั้น เข้าใจผิดๆไปว่า
จิตนั้นเป็นของเหลวไหล ย่อมเกิดดับไปตามอารมณ์ต่างๆ


โดยหารู้ไม่เลยว่าตัวเองนั้น ก็รู้เห็นไปตามความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น
โดยที่ไม่เคยได้พิจารณาตริตรองให้รู้เห็นตามความเป็นจริงเลยว่า

ที่เห็นไปว่าจิตเกิดดับนั้นใครเป็นผู้เห็น
ถ้าไม่ใช่จิตซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นผู้รู้เห็นแล้ว ใครเล่าจะรู้เห็นได้อีกหละ


เอาความเชื่อถือศรัทธานำหน้า โดยขาดเหตุผลไตร่ตรองให้รอบคอบ

พุทธศาสนาของเรานั้น เป็นศาสนาที่เต็มไปด้วยเหตุและผล
มีพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นหัวใจพุทธศาสนาว่า

๑.สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำบาปให้เกิดขึ้น
๒.กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
๓.สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตให้บริสุทธิ์


พวกเราทุกๆท่านที่เป็นชาวพุทธ
ย่อมต้องเคยได้ยินได้ฟังคำสอนหัวใจพุทธศาสนากันมาแล้วเกือบทั้งนั้น

การที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องชำระจิตให้บริสุทธิ์นั้น
ก็เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่า เรื่องจิตนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในพุทธศาสนา

ไม่เช่นนั้นแล้ว พระองค์ท่านจะทรงสอนให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ไปเพื่ออะไร???

การชำระจิตให้บริสุทธิ์นั้น
ก็เพื่อให้จิตมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
จนกระทั่งกิเลสไม่สามารถเป็นแขกจรเข้ามาทำให้จิตเศร้าหมองได้


ส่วนวิธีการนั้นพระองค์ทรงตรัสสอนไว้ในมหาสติปัฏฐาน๔
(สติที่ตั้งอยู่ที่ฐานอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย)
มีฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม

ท่านทรงตรัสว่าทางนี้เพียงทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว

เมื่อพูดถึงทางแล้ว เราย่อมต้องนึกถึงอริยมรรค๘(ทางอันเอก)
ซึ่งเป็นทางเดินของจิตเพื่อให้ถึงความเป็นอริยะบุคคล
ไม่ใช่เพียงแค่คิดๆนึกๆดูจิตเอาเท่านั้น แล้วจะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้

ในปัจจุบันนี้นั้น ถึงกับมีการสอนโดยความเข้าใจผิดๆของตัวเองว่า
จิตนั้นเป็นสิ่งเหลวไหล ไม่เที่ยง บังคับบัญชาไม่ได้

แต่แล้วกลับสอนให้ตามดูจิตที่เหลวไหลนั้น
เมื่อให้ตามดูแต่เรื่องเหลวไหล โดยไม่แทรกแซง
ทุกวันนี้จึงมีพวกดูจิตที่พูดจาแต่เรื่องเหลวไหล ไร้สาระ


ส่วนจิตที่ไม่เหลวไหลนั้น กลับไม่รู้จัก
เพราะไม่เคยลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิกรรมฐานภาวนา


ซึ่งเป็นการกระโดดข้ามขั้นตอนที่สำคัญยิ่ง
โดยไม่เอะใจสักนิดเลยว่า ถ้าจิตเป็นของเหลวไหลแล้ว
พระองค์ทรงตรัสให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ไปเพื่ออะไร

การจะดูจิตให้ได้ผลจริงๆนั้น
เราต้องมาฝึกฝนอบรมจิตตามหลักอริยมรรค ๘

โดยให้เริ่มที่สัมมาสมาธิ และประกอบด้วยมรรคอีก ๒ องค์ คือ
สัมมาวายามะ(เพียรประคอง)
สัมมาสติ(ระลึกชอบอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายที่ฐาน)
ซึ่งเป็นฐานที่เราอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อดูจิตที่ฐานกาย
เพื่อให้รู้จักจิตที่ไม่เหลวไหลเป็นจิตที่มีสติกำกับสงบตั้งมั่น


เมื่อรู้จักจิตที่สงบตั้งมั่น ย่อมทำให้เรามีข้อเปรียบเทียบ
ระหว่างจิตที่สงบตั้งมั่นกับจิตสังขารนั้นว่ามีความแตกต่างกันยังไง

จิตที่แท้จริงนั้น มีปกติรู้ว่าง วางเฉย(ปล่อยวางอารมณ์)
ส่วนจิตสังขารนั้นรู้อารมณ์เป็นต้องยึดอย่างเหนียวแน่น
เกิดตายไปตามอารมณ์ที่เข้าไปยึดโดยปล่อยวางอารมณ์ไม่เป็น


เริ่มเห็นแล้วนะครับว่า ดูจิตต้องเห็นจิตในจิตให้ชัดเจน
กับการดูจิตที่ติดคิด เห็นเพียงจิตสังขารมาตลอด

โดยไม่รู้ตัวว่าที่วางเฉยได้นั้น เกิดจากการที่จิตคุ้นชินต่ออารมณ์เหล่านั้น
โดยคิดเองเออเองไปว่าสามารถวางเฉยได้
ไม่ใช่เกิดจากการเฉยเพราะปล่อยวางอารมณ์ออกไปได้


การเริ่มดูจิตนั้นต้องเริ่มด้วยการปฏิบัติสัมมาสมาธิเท่านั้น
เป็นการฝึกฝนอบรมให้รู้จักจิตที่สงบตั้งมั่นอย่างแท้จริง


ทำอย่างไรนั้น
เริ่มจากต้องรู้จักจิต ที่ไม่มีรูปร่างกายให้เราจับต้องได้ก่อน

การที่จะเห็นจิตได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
ต้องเริ่มหลับตานั่งสมาธิเพ่งดูจึงจะเห็นจิตได้

โดยใช้วิธีที่พระองค์ทรงสอนไว้ในมหาสติปัฏฐาน๔
หาสิ่งมาผูกจิตให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก

สิ่งที่จะผูกจิตได้นั้นต้องเป็นสิ่งที่จิตมีความสัมพันธ์อยู่ด้วย
ไม่ใช่อื่นไกลที่ไหน ก็ ลมหายใจเข้าออก(กายสังขาร)นี่เอง

เราเอาปลายข้างหนึ่งผูกที่จิต(ธาตุรู้)
ส่วนอีกข้างนั้นต้องหาหลักมาตรึงจิตไว้
ถ้าให้สะดวกควรเป็นจุดที่ลมหายใจเข้าออกกระทบถูกชัดเจนที่สุดเป็นหลัก
เพื่อสะดวกในการดูจิตที่ดิ้นรนกลับกลอก ซัดส่ายไปมา
เพื่อผูกจิตให้สงบนิ่งตั้งมั่นอยู่ที่ฐานที่จุดลมกระทบที่เราอุปโลกน์ไว้

เริ่มจาก นั่งคู้บัลลังก์ดูลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องตามลม
จิตก็จะดิ้นรน(จิตสังขาร)เป็นระยะๆให้เรา(จิตที่มีสติกำกับ)เห็น

พอระยะเวลานานเข้าๆ จิตก็จะเริ่มดิ้นรนน้อยลงๆ
เพราะเชือกที่ผูกจิตอยู่นั้นพันหลักเข้ามาจนกระทั่งจิตติดอยู่กับหลัก

ขณะเดียวกันนั้นลมหายเข้าออกก็จะสงบลงโดยลำดับ
เป็นอัญญะมัญญะปัจจัยกับจิตที่สงบนิ่งตั้งมั่นลงด้วยเช่นกัน
เข้าสู่ฌาน(ความเพ่ง) การที่จิตจะเข้าสู่ฌานได้นั้น
จิตจะต้องสงัดจากกามารมณ์ และอกุศลธรรมทั้งหลาย จิตจึงจะเข้าสู่ฌานได้

เห็นกันแล้วนะครับว่า เมื่อเดินตามวิธีปฏิบัติของจอมศาสดานั้น
การฝึกฝนอบรมสัมมาสมาธินั้นเป็นการปฏิบัติที่รวมวิปัสสนาไปด้วยในตัว
มิฉะนั้นแล้วจิตไม่สามารถปล่อยวางกามารมณ์และอกุศลธรรมได้หรอกครับ


เราต้องฝึกฝนอบรมจิตให้ชำนาญคล่องแคล่วจนเป็นวสี
เพียงแค่จิตเกิดการไหวตัวเมื่อกระทบกับอารมณ์เท่านั้น
ก็สามารถประคองจิตสู่ความสงบตั้งมั่นได้อย่างรวดเร็ว
เป็นการฝึกปล่อยวางอารมณ์ได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ

มีอาจารย์บางท่านสอนว่า
อย่าไปแทรกแซงจิตเพื่อต้องการรู้ความจริงของอารมณ์


มีความจริงอะไรอีกหละที่ต้องรู้ หรือว่ารู้ทุกข์ที่มีมายังไม่พอ

ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ สัมผัสเข้าล้วนเป็นทุกข์เพราะยึดทั้งนั้น
ขึ้นชื่อว่าปุถุชนพบอารมณ์แล้วไม่ยึดเป็นไม่มี


การปฏิบัติสัมมาสมาธิในอริยมรรค๘ นั้น
เพื่อทางเดินไปสู่ความเป็นอริยะ

ดังพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
ตราบใดที่ยังมีการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์๘
โลกย่อมไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์



ฉะนั้นพอสรุปได้ว่า
การที่จะดูจิตให้ได้ผลนั้น ห้ามข้ามขั้นตอน
ควรมีหลักคือกรรมฐาน(ฐานที่ตั้งเพื่อการงานทางจิต)ให้มั่นคง
เป็นที่ๆจิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เมื่อมีอารมณ์มากระทบ
ทำให้ปล่อยวางอาการของจิตหรือจิตสังขาร(อารมณ์)ได้อย่างรวดเร็ว


แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการดูจิตในปัจจุบัน
ที่สอนให้เพิกเฉยต่อการฝึกฝนอบรมสัมมาสมาธิ
ซึ่งเป็นหลักใหญ่ใจความในการเห็นสัมมาทิฐิได้ชัดเจน


เมื่อขาดซึ่งพื้นฐานที่สำคัญเสียแล้วนั้น
ย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดในขณะดูจิต
ทำให้รู้เห็นเฉพาะจิตสังขารที่ปรวนแปรไปตามสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่นั้น

พอนานวันเข้า ทำให้รู้เร็วขึ้นเนื่องจากจิตคุ้นชินต่ออารมณ์เหล่านั้น
จึงสามารถดูเฉยเพราะคุ้นชินและกระด้างต่ออารมณ์เหล่านั้น

ที่ดูเฉยได้นั้นไม่ใช่เกิดจากการปล่อยวางอารมณ์ออกไปได้
เกิดจากการบอกตัวเองว่าให้ดูเฉยๆ
จนกระทั่งจิตเคยชินคุ้นชินกับการดูเฉยๆเท่านั้น

จนกว่าจะมีอารมณ์ใหม่เข้ามา ก็ว่ากันใหม่ ปล่อยวางไม่ได้สักที
ทำได้เพียงรู้อารมณ์เร็วขึ้นและสามารถดูเฉยๆได้โดยไม่แทรกแซง
เพื่อรออารมณ์ใหม่เข้ามาแทนที่เท่านั้น หมุนวนเวียนเป็นวัฏฏะ
แกะออกยากมากๆ เพราะเนื่องจาก “ติดดี(ในการดูเฉย)ในดี”เสียแล้ว

ซึ่งเป็นการหลงอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
เพราะเมื่อถึงคราวทำกาละมาถึงนั้น จิตย่อมปล่อยวางอารมณ์ไม่เป็น
ถูกอารมณ์(ดูเฉย)พาไปในภพภูมิที่จิตติดอารมณ์เหล่านั้นอยู่

ซึ่งแตกต่างจากการที่จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงตามขั้นตอนว่า
การฝึกฝนอบรมจิตให้สงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวได้นั้นเพราะ
เกิดจากการที่จิตปล่อยวางอารมณ์ต่างๆออกไปจากจิตโดยสิ้นเชิงนั่นเอง


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 16:36:44 น.
Counter : 588 Pageviews.

7 comments
  
โดย: wbj วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:06:14 น.
  
ธรรมภูต..กำลังยึดสภาวะธรรมบางอย่างว่าเป็นตัวเรา
ตัวที่กำลังเห็นว่าเป็นเรา.เป็นทิฐิของเรา...อยู่นั้นก็เป็นเพียงสภาวะธรรมที่ละเอียดขึ้นไปเท่านั้น..ปล่อยมันเสีย

จิตไม่เคยว่างจากอารมณ์จริงๆ..สภาวะรู้กับธาตุรู้คนละอย่างกัน

ธาตุรู้..รู้สภาวะรู้(จิตผู้รู้)

โดย: palmgang IP: 119.42.101.63 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:04:21 น.
  
ท่านpalmgangครับ
จิต คือ ธาตุรู้
ผู้รู้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากจิต

เมื่อผู้รู้ไปรู้อารมณ์ก็ยึดติดอารมณ์ว่าเป็นเรา

เมื่อผู้รู้ปล่อยวางอารมณ์ได้นั้น /ใช่เราปล่อยวางอารมณ์ได้ ใช่มั้ยครับ???

เมื่อมีผู้รู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้
มีผู้รู้โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ /จะมีผู้รู้ไปเพื่ออะไร???
มีแต่สภาวะที่ถูกรู้ /โดยไม่มีผู้รู้ /จะรู้สภาวะนั้นได้อย่างไร???

เมื่อจิตเป็นธาตุรู้ /จะยึด /ไม่ยึด /มันก็รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนั้นครับ

ธรรมภูต
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:20:17:04 น.
  
มาอ่านค่ะ

โดย: พ่อระนาด วันที่: 15 สิงหาคม 2552 เวลา:19:35:52 น.
  
ขอบคุณครับ

โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 17 สิงหาคม 2552 เวลา:9:19:32 น.
  
ฝากความจริงหน่อยครับ
ประกาศสวนสันติธรรม โกหกล้วน
ดูอวดอุตริได้ที่
//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_xwd_xutri1.html
อันนี้พยากรณ์
//www.antiwimutti.net/Antiwimutti/peidpong_phra_pramothy_pramoch_cho_phyakrn_1.html

เปิดโปง พระ ปราโมทย์ ปราโมชฺโช อวดอุตริ พยากรณ์ ใส่ร้ายคุณไสย แอบอ้างหลวงพ่อมนตรี อีกทั้ง เปิดโปงดังตฤณ พระปราโมทย์ ดังตฤณพยากรณ์ด้วย ไม่ใช่ต้วเองพยากรณ์คนเดียว
ดูความจริได้ที่ //www.antiwimutti.net
โดย: antiwimutti.net IP: 209.107.217.5 วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:10:53:44 น.
  
อนุโมทนากับความเห็นข้างบน
โดย: เยี่ยมครับ IP: 64.62.196.24 วันที่: 12 มีนาคม 2553 เวลา:19:59:32 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์