เอกจรํ จิตดวงเดียวเที่ยวไป ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ เย จิตฺตํ, สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิตซึ่งมีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปสู่ที่ไกลๆได้ ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำเป็นที่อาศัย นี้ไว้ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากการพันธนาการของมาร(คือกิเลส)ได้ เนื่องในวโรกาสดิถีวันวิสาขบูชา เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง เพื่อเป็นการรำลึกนึกถึงวันที่มีเรื่องราวสำคัญๆ คือ เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรูู้ และเป็นวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เราชาวพุทธพึงต้องจดจำนำมาพิจารณา เพื่อปฏิบัติบูชาธรรมตามสมควรแก่ธรรมในกาลอันควร โดยเฉพาะในข้อที่ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้นั้น เป็นหัวข้อธรรมที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้เรื่องอะไร? เมื่อได้ศึกษาพระธรรมตามพระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมเข้าใจและรู้ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ "สัจธรรม" เป็นธรรมนำไปสู่ความจริงแท้ ที่เรียกว่า "อริยสัจ ๔" คือ สัจธรรมความจริงแท้ที่นำไปสู่ความเป็นอริยบุคคล ๔ ประการ มีดังนี้คือ ๑.ทุกข์ ๒.สมุทัย ๓.นิโรธ ๔.มรรค กล่าวคือ ทุกข์ พึงกำหนดรู้(ปริญฺเญยฺยํ) สมุทัย รู้แล้วพึงละ(ปหาตพฺพํ) นิโรธ พึงกระทำให้แจ้ง(สจฺฉิกาตพฺพํ) มรรค พึงเจริญให้มาก เจริญให้ยิ่งๆขึ้น(ภาเวตพฺพํ) ทั้งหมดนี้ข้อใหญ่ใจความสำคัญรวมลงที่ข้อ ๔ "อริยมรรค" คือ ทางปฏิบัติ(เดิน)ไปสู่ความเป็นอริยบุคคลที่จิตของตน ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว (พระพุทธพจน์) เพิ่อความรอบคอบโดยไม่ประมาท พึงนำข้อธรรมมาตรวจสอบ สอบสวน เทียบเคียงว่าลงกันได้กับหัวใจพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "โอวาทปาฏิโมกข์" คือ ๑.ละชั่ว ๒.ทำความดี ๓.ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าทั้งหลาย ทั้ง ๓ ข้อที่ได้กล่าวมานี้ ล้วนเป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมทาง "จิตของตน"(มรรค)ล้วนๆ ข้อที่ว่า มรรค พึงเจริญให้มาก เจริญให้ยิ่งๆขึ้นนั้น เป็นไปเพื่อชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายนั่นเอง เพื่อให้จิตบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง อันเป็นการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา ที่เรียกว่า "อานาปานสติ" เมื่อกระทำให้มาก เจริญให้มาก ย่อมยังให้สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์ (พระพุทธพจน์) เมื่อพูดถึงการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนา เป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมทาง "จิตของตน" มีทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว (พระพุทธพจน์) เราย่อมต้องศึกษาให้รู้จัก คำว่า "จิต" นั้น คืออะไร? มีสภาวะธรรมเช่นใด ขอยกพระพุทธพจน์ที่เป็นพระบาลีที่ได้ทรงตรัสไว้ชัดๆว่า ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คูหาสยํ เย จิตฺตํ, สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิตซึ่งมีดวงเดียว ท่องเที่ยวไปสู่ที่ไกลๆได้ ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำเป็นที่อาศัย นี้ไว้ได้แล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากการพันธนาการของมาร(คือกิเลส)ได้ จากพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ชัดเจนโดยไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้น แต่เพื่อเป็นการพิจารณาให้รอบคอบ และเพื่อป้องกันความสับสนที่จะเกิดขึ้นในภายหลังในเรื่องของ"จิต" เนื่องจากจิตเองไม่มีรูปร่างให้จับต้องได้ แต่มีรูปร่างกายเนื้อเป็นที่อยู่อาศัย(ถ้ำ) จิตผู้รู้ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในทุกๆคน คนละดวง ส่วน "จิตมาร หรือ สังขารมาร" มีอยู่มากมายเป็นร้อยดวง (หลวงปู่สิม พุทธจาโร) จิตดังกล่าวนี้เราเรียกว่า "จิตสังขารหรืออาการของจิต" นั่นเอง ที่เราสามารถพูดได้ว่า ใครมี "จิตใจดีงาม หรือ จิตใจต่ำช้าเลวทราม"นั้น เกิดจากการเราที่ได้สังเกตเห็นอาการของจิต(จิตสังขาร) ที่แสดงออกมาให้เห็นทางกาย วาจา ใจ ประจักษ์ชัดด้วยอายตนะภายในของตน แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? จึงจะสำรวมจิตที่มีดวงเดียว เที่ยวไปสู่ทีไกล เปลี่ยนแปรเป็นไปตามอารมณ์ที่มากระทบ อารมณ์ที่เป็นกุศลก็เป็นกุศลจิต อารมณ์ที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศลจิต หรืออัพยากฤตคือจิตยังไม่รู้จักอารมณ์นั้นๆ จึงรู้สึกเฉยๆ ที่เรียกเฉยโง่อยู่ เมื่อพิจารณาตามข้อธรรมที่มีมาใน อริยมรรคมีองค์ ๘ พระพุทธองค์ทรงยกให้ "สัมมาสมาธิ" เป็นใหญ่ แวดล้อมด้วยมรรคอีก ๗ องค์ และมรรคทั้ง ๗ ที่แวดล้อม "สัมมาสมาธิ" อยู่นั้น พระพุทธองค์ทรงยกให้ "สัมมาทิฐิ" เป็นประธาน (มหาจัตตารีสกสูตร) การปฏิบัติธรรมกรรมฐานใน "สัมมาสมาธิ" หรือที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา คือการฝึกฝนอบรมสำรวมจิตให้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากการพันธนาการของมาร(คือกิเลส) นั่นเอง เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน ธรรมภูต |
ในความฝันของใครสักคน
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์ Group Blog All Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |