FWD™

ต่อ : แสงสว่างจากสีฟ้า

เพราะอะไรคุณจึงทาตัวสีฟ้าเวลาเล่นคอนเสิร์ต


ชอบสื่อสัญลักษณ์ สีฟ้าบนตัวผมเป็นตัวแทนของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ทุกคนมี 'ศักยภาพ' ที่จะเรืองแสง อันนี้มันเป็นแค่สัญลักษณ์นะ คือสามารถที่จะรู้ตัวเอง สามารถส่องสว่างเป็นดาวฤกษ์ พูดอย่างง่ายๆ-- ทุกคนสามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นฆาตกร ไม่ว่าคนนั้นจะเลวบัดซบขนาดไหน คนเหล่านั้นมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ฉะนั้นใครจะไปว่าใครก็คิดให้ดี อะไรก็ตามที่เกิดเป็นมนุษย์ย่อมมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้ เข้าใจธรรมชาติของจักรวาลหรืออะไรก็ตามแต่ แล้วสามารถหลุดออกจากความทุกข์ไปได้ นี่คือ 'ศักยภาพ' มีคำที่บอกว่าเกิดเป็นคนน่ะเกิดยาก มันก็คือคำนี้เลย แต่ว่ามันจะมีหลายเฟส ทุกคนเกิดมาอาจจะรับรู้ไปก่อน ตายไปแล้วเกิดใหม่ก็ว่ากันไป แต่นั่นคือคุณสมบัติของมนุษย์ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง คือเราอยากจะบอกว่าคนทุกคนมีค่า เพียงแต่ว่าคนบางคนอาจมองไม่เห็นว่าเกี่ยวอะไรกับเรา อันนี้ก็อีกเรื่อง ถ้าคนคนหนึ่งเกิดมาเพื่อกิน-อยู่-หลับ-นอน มันก็ไร้ค่า! แต่หากเขาแสวงหาขวนขวายอะไรบางอย่าง ซึ่งมนุษย์มีศักยภาพอย่างนั้นอยู่ในตัวเอง

เราเป็นดาวฤกษ์…

ใช่-- เราน่าจะเป็นดาวฤกษ์ แต่คนบางคนก็อาจจะยากหน่อย เพราะพยายามไม่อยากจะเป็น แต่จริงๆ มันก็เป็นภาวะหนึ่งของเขา ในวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็น (ดาวฤกษ์) คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ (หัวเราะ) แต่อย่างน้อยๆ-- คนบางคนเขารู้ว่าสามารถสร้างพื้นฐานตัวเองจากการปฏิบัติ หรือจากความเชื่อ เขารู้ว่าเขาโชคดี แต่ในความโชคดีของเขา ใช่ว่าจะโรยรื่นด้วยดอกกุหลาบ-- ต้องประสบความสำเร็จอย่างเดียว ไม่ใช่!! วันที่เราแย่ โดนไล่ออก-ไม่มีเงินกินข้าว-เมียหย่า นั่นคือความโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์มันต้องรู้ต้องเจอของจริง-- ถึงจะเห็นมัน

ส่วน ใหญ่แล้ว เพลงของคุณมักพูดถึงความเศร้า ความหดหู่ ความมืดในชีวิต คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ทำไมพูดถึงสิ่งเหล่านี้มากมายอย่างนั้น

ความเศร้ามันเป็นอารมณ์ที่อยู่ในระดับที่เห็นว่า มันค่อนข้างบั่นทอนศักยภาพของเรา เพราะสังเกตดูเวลาคนเศร้า มันจะทำอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวนัก แต่เรากลับมองว่า ความเศร้ามันมีพลังซ่อนอยู่ มองในมุมอีกมุมหนึ่ง แม้ว่ามันจะยังไง หนักหนาขนาดไหน เราก็ต้องเอามาใช้ให้ได้ คือพลังงานของสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันสามารถนำกลับมาใช้ได้ เพลงเราถึงมันเศร้าขนาดไหน มันก็มีความหวังเหมือนมันสะท้อนกับตัวเราว่า จะยอมไม่ได้!! ทุกครั้งที่ทำเพลงออกไป เหมือนเป็นการร้องเพลงให้ตัวเองฟัง ร้องเพลงปลอบใจตัวเอง แล้วมันก็กลายเป็นว่า 'เฮ้ย มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ เหมือนกับเราเลย' เพียงแต่ว่าเขาไม่มีโอกาสได้พูด เราอาจเป็นเสียงร้องในใจของเขา ในวันที่ทดท้อๆ-- อย่าเพิ่งยอม และอย่าท้อแท้ เพราะในความมืดมันก็ยังสวยงาม ซึ่งเราเห็นจริงๆ ว่ามันสวยงาม

ในฐานะที่เป็นนัก ดนตรี ที่ทำเพลงออกมาด้วยสุ้มเสียงความหดหู่ เศร้าหมอง บางเพลงเกรี้ยวกราดรุนแรงอย่างที่ยกตัวอย่างไป บางคนฟังอาจมองเพลงของคุณในแง่ลบ แม้กระทั่งคนฟังอาจตีความไปผิดๆ คำถามคือในความเห็นของคุณอะไรคือพันธกิจของนักดนตรี

ความรับผิดชอบในการแต่งเพลง ผมว่ามันเหมือนกันในทุกสาขาอาชีพ อย่างศิลปะ--สมมุติ คนถ่ายรูปโป๊ ในมุมมองใดมุมมองหนึ่งก็ตาม มันเป็นสื่อ หรือส่งผลลักษณะไหนก็ตาม จรรยาบรรณก็คือถ่ายรูปโป๊!!! มันอาจจะโป๊แบบอุจาดเลยก็ได้ ในมุมของอีกคนอาจจะมองว่ามันเป็นศิลปะ แต่ไอ้คนเสพก็มีหลายระดับ ซึ่งเขาก็จะดูว่าอันนี้ใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าคนทำหลุดออกไปมากๆ คนก็ตามไม่ทัน สมมุติจะถ่ายรูปโป๊ ถ้าถ่ายอวัยวะเพศเลย คนก็มองว่าน่าเกลียด แต่คนถ่ายอาจจะอยากสื่อถึงความน่าเกลียด--นั่นก็เป็นอีกมุม ฉะนั้น จรรยาบรรณมันจะคาบเกี่ยวอยู่สองอย่าง แต่ท้ายที่สุด--คนทำต้องรู้ว่าสิ่งที่เขาทำออกไปแล้วมีผลร้าย เช่น คำนั้นอาจจะทำให้เกิดความรุนแรง หรือจินตนาการในด้านลบ ผลที่ได้มันน่ากลัว แต่ถามว่า... มันเป็นเพราะเหตุนี้เหตุเดียวหรือ มันคงไม่ใช่ เหมือนอย่างที่บอกว่า เพลงเพลงนี้ทำให้คนอยากฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่หรอก มันมีหลายอย่างมาประกอบกัน หรือเพลงเพลงนี้ทำให้คนมีความคิดรุนแรง มันก็ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่มันอาจมีส่วน อย่างที่ผมแต่งท่อนหนึ่งว่า 'ฆ่ามัน ฆ่ามัน ทำลายมันๆ' (ท่อนฮุกในเพลง ปีศาจ จากอัลบั้มเจ้าชายแห่งทะเล) ลึกๆ แล้วผมรู้ไงว่ามันคืออะไร 'ฆ่ามัน' ในที่นี้คือการที่เราย้อนกลับมาฆ่าบางสิ่งซึ่งอยู่ในตัวเรา แต่คนฟังอาจจะไม่ได้ฟังลึกซึ้งขนาดนั้น แต่ลึกๆ แล้ว เรารู้ว่าเราไม่ต้องการไปฆ่าใคร เราไม่ได้ฆ่าข้างนอก เราฆ่าข้างในของเราเอง

แต่เมื่อฟังบริบทโดยรอบของเพลง คนฟังก็น่าจะเข้าใจเจตนา

ผมว่าคนที่ตั้งใจฟัง มันต้องเข้าใจ แต่บางครั้งมันต้องให้เวลา เพราะเราเขียนเพลงก็ใช่ว่าฟังครั้งเดียวจบ บางเพลงมันก็ไล่มาตั้งแต่ชุดที่แล้ว บางเพลงมันอาจจะไม่น่าฟังเลย ทั้งเพลง—อาจจะมีประโยคน่าฟังเพียงประโยคเดียว

ทำไมไม่แต่งเพลงให้คนฟังเข้าใจง่ายๆ ขายได้ ดังด้วย

มันไม่ใช่ว่าที่เราทำแบบนี้เราจะอยากให้เขาฟังไม่ได้ มันไม่ใช่! สมมุติเพลง '...ก่อน' ที่เราแต่ง ถึงเราไปร้องมันก็ไม่ดังอยู่ดี มันเป็นลักษณะของมันอย่างนั้น มันไม่เกี่ยวว่าแต่งเพลงแล้วคนรับไม่ได้ แต่มันอาจจะเกี่ยวกับหลายๆ อย่าง แต่มันเป็นลักษณะที่ดีนะ แม้แต่ตุล (ตุล ไวทูรเกียรติ—นักร้องและมือเขียนเพลงประจำวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า) ที่เขาแต่งเพลง 'ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ' แล้วร้องเองไม่ดัง แต่พอคนอื่นเอาไปร้อง มันกลับดัง!! มันก็เป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกัน หรือมันอาจเป็นคลื่นอะไรที่มันใกล้ๆ กันก็ได้ (ยิ้ม) ทำเหี้ยอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าให้คนอื่นทำจึงจะประสบความสำเร็จ แต่สำหรับผม ผมมองว่านั่นคือประสบความสำเร็จของเรานะ เมื่อก่อนจำได้ว่าเคยฟังเพลง '...ก่อน' มันดังมาก ขึ้นชาร์ต--ขับรถฟังวิทยุก็เปิดตลอด มันเกิดเป็นอารมณ์ความรู้สึกข้างในเราว่า 'มันไม่ยุติธรรม!!' แต่พอผ่านมาได้... ผ่านมันมาได้ถึงตอนนี้ มันก็ยุติธรรมดีแล้วสำหรับเรา เพราะเพลง '...ก่อน' ก็เป็นเพลงที่คนร้องได้ทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้าอยู่กับเรามันอาจเป็นเพลงที่ไม่มีใครรู้จัก ถึงบอกว่าธรรมชาติยุติธรรมที่สุดแล้ว ยิ่งเรายอมรับมันได้เร็วเท่าไหร่... เหมือนศาสนาที่บอกว่า ถ้าคุณเปิดใจรับพระเจ้า พระเจ้าก็จะอยู่กับคุณ--ก็เหมือนกัน ถ้าคุณยอมรับว่ามันมีความเป็นจริงของสัจธรรมอยู่แล้ว มันก็จบ และง่ายขึ้น แต่มันไม่ง่าย!! เพราะเรายอมรับมันไม่ได้ เรื่องพวกนี้มันต้องฝึก เจอเหตุการณ์จริงเข้ามากระทบ แล้วเราก็ต้องรู้ ต้องอ๋อ

เมื่อยอมรับได้ แล้วคนคนนั้นจะเจอกับอะไร

ยอมรับมันก็แค่เชาวน์ปัญญา! ยอมรับว่าอกหักเว้ย! เขาไปหาคนอื่นแล้ว แต่พอกลับบ้านนอนร้องไห้ เพราะในใจลึกๆ แล้ว-- มันไม่รับ! แล้วถามว่าไอ้ใจลึกๆ จะให้มันรับได้ไหม? ได้-- มันเป็นไปได้ ขึ้นอยู่ที่การฝึกฝน แล้วต้องเข้าใจว่าที่เราไม่ยอมรับ ก็เพราะเราคิดอย่างนี้นะ ไอ้ใจที่มันไม่ยอมรับยังคงซ่อนอยู่นะ ถามว่าไอ้ใจที่ไม่ยอมรับเราจะทำยังไงกับมัน เราก็ลองทำอย่างอื่น เหมือนเราถ่ายรูปอยู่ แก้ไขรูปเดิมอย่างนั้นแหละ-- มันก็เซ็ง ไม่มีประโยชน์แล้ว บางทีลองวางกล้องแล้วไปทำอย่างอื่นค่อยกลับมาทำใหม่ มันอาจจะดีขึ้น คล้ายๆ อย่างนี้-- คือเปลี่ยนไปหาอย่างอื่นก่อนแป๊บนึง

ความที่เราจดจ่อกับสิ่งที่เราทำมากเกินไป บางครั้งมันก็คาดหวังว่าจะต้องออกมาดี บางทีเราอาจจะถ่ายไปด้วยความรู้สึกสบายๆ มันกลับได้รูปที่ดีกว่า หรือถ้าเราพูดคุยสบายๆ มันอาจจะได้ประโยคที่ดีกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำให้มันเป็นไปโดยธรรมชาติของตัวเอง ไม่ต้องไปบีบคั้นมันมาก มันก็จะเป็นอะไรที่สบายขึ้น เหมือนเราอ่านหนังสือบางเล่มของศิลปินรุ่นเก๋า เราไม่เข้าใจเลยว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่พอผ่านไป-- เราถึงเริ่มเข้าใจ ฉะนั้น แต่ละคนเกิดมาก็เพื่อมีประสบการณ์ในแต่ละเรื่องเพิ่มขึ้นๆ เข้าใจมากขึ้นๆ แต่บางคน ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ว่าคนคนนั้นใฝ่หาความเป็นจริงของสัจธรรมมากแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่หาเลย ปัญหาเขาจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาไขว่คว้าหาสัจธรรมของตัวเอง ชีวิตก็จะง่ายขึ้นๆ ตามลำดับ ศิลปะมันก็เป็นอย่างนี้ มันจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่งไปถามว่าชื่อเสียงกับเงินทองมันจะมาพร้อมกันไหมนะ

ช่วงที่คุณหายไปนาน คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าที่ยังไม่ออกอัลบั้ม เพราะยังไม่มีแรงบันดาลใจ ขณะที่ในปีนี้คุณก็ออกมาประกาศว่ากำลังจะทำงานเพลง 5 อัลบั้มพร้อมกัน มันเกิดอะไรขึ้น แรงบันดาลใจมาจากไหนมากมายขนาดนั้น

แรงบันดาลใจมันมาจากเพื่อนเรา จากคนที่รักเรา เมื่อก่อนเราก็รู้เหมือนกันว่ามีคนรักเรา แต่ไม่คิดว่าเขาจะเข้มแข็งกัน เพราะคนที่รักและฟังเพลงเรา เขาต้องแอบฟัง ในยุคที่เพลงเราทำออกไปเขาต้องแอบฟัง เพราะจะถูกตำหนิว่าฟังไปได้ยังไง ฟังอะไร เป็นลักษณะนี้ แต่พอเวลาผ่านไป คนที่ฟังเพลงเราเขาโตขึ้น เขามีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มีอาชีพการงาน และรู้แล้วว่าเขาต้องการฟังอะไร เขาไม่มีความกลัว ขณะที่ความกล้ามากขึ้น สังคมยอมรับเขามากขึ้น ทีนี้-- แรงบันดาลใจมันคงมาจากความที่เรามีแนวคิดของชีวิตที่ค่อนข้างจะสดขึ้นมา เราเลยอยากให้เขารับรู้ด้วยว่าเราไปถึงไหนแล้ว แล้วเขาควรจะได้รับรู้อะไรในจิตใจเรา แต่ตอนนี้คงเหลือสามอัลบั้ม เพราะที่จะทำกับโมเดิร์นด็อกชุดหนึ่งก็ไม่ได้ทำแล้ว แล้วอัลบั้ม 'ศาสดา' เป็นสิ่งที่ยาก ด้วยค่าใช้จ่ายที่มันสูงหรืออะไรต่างๆ ก็ตัดใจทำได้สามอัลบั้มก็น่าพอใจแล้ว

รู้สึกยังไงกับคนที่ต้องแอบฟังเพลงคุณ

สงสารเขา และเข้าใจเขาว่าบางทีเขาก็ไม่มีพลังไปต่อสู้กับกระแส สมมุติเขาชอบกางเกงม่อฮ่อมแล้วเขาจะไปต่อสู้กับเพื่อนที่ใส่ลีวายส์ มันคล้ายๆ อย่างนี้น่ะ แต่ของเรามันก็ไม่อนุรักษนิยมขนาดนั้น แล้วไม่ได้ใหม่ขนาดนั้นด้วย เพียงแต่เรามีแนวความคิดอยู่ในเพลง มีเรื่องบางเรื่องอยู่ในนั้น แล้วเพลงมันก็ออกมาไม่ใช่แบบเป็นที่ยอมรับ ฉะนั้น-- คนที่ฟังเพลงเรา เขาก็จะมีมุมมองของเขาพอสมควร แต่เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า คนที่ฟังเพลงเราจะต้องมีแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งในจิตใจที่มันสื่อสารเชื่อมโยง กับเราได้ เมื่อก่อนเราเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีปัญหาในจิตใจ ฉะนั้นเพลงมันจะมีคลื่นคล้ายๆ กัน ไอ้คนที่คล้ายๆ กันมันเลยมาฟัง มันก็เป็นไปได้ ซึ่งเราจะไปโทษคนอื่นก็ไม่ได้ที่เขาบอกเพลงเราไม่ดี เพลงอะไร? ฟังทำไม?! เพราะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว มีชีวิตที่ดี เขามองขาดจากพวกเราไป พวกเราอาจจะเป็นพวกสลัวๆ อยู่ (หัวเราะ) ยังงงๆ อยู่

ในบทเพลงสำหรับคนที่ยังสลัวๆ อยู่เหล่านั้น อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไปอย่างที่คุณบอก คุณกำลังค้นหาอะไร

แสงสว่าง…

คือมนุษย์เราเกิดมาใช้ชีวิต-- ถ้าจะถามคำถามในชีวิตมันก็เป็นพวกปรัชญา ซึ่งเราก็ชอบอยู่แล้วเรื่องปรัชญา แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ปรัชญามันให้คำตอบเราไม่ได้นะ ไม่ว่าเราจะศึกษาขนาดไหน มันเป็นเหตุเป็นผลเท่านั้นเอง มันไม่ได้ตอบคำถามในใจเราหมดทุกเรื่องว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร? ทำสิ่งนี้เพื่ออะไร? มันจะเป็นคำถามค้างคาอยู่ในใจตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรมันจะมีคำถามวนเวียนอยู่อย่างนี้ จุดมุ่งหวังสุดท้ายเพื่ออะไร? นี่คือคำว่า 'แสงสว่าง' มันไม่มีแสงสว่างให้เราเห็นชัดๆ ว่ามันเป็นยังไงในยุคนั้น

เรียกว่าการหาคำตอบให้ข้างในใช่ไหม อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณพบช่องทางในการหาคำตอบให้ข้างในตัวเอง

ในสมัยเด็กๆ ผมมีความสนใจเรื่องการเมือง เรื่องคอมมิวนิสต์ คือเรารู้สึกว่ามนุษย์ที่ชูกำปั้นขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า เขาเหล่านั้นคือวีรชน เราจะยืนข้างเขา ในเมื่อเขาชูกำปั้นต่อสู้กับรถถัง มันต้องมีอะไรบางอย่าง เขาไม่กลัวตาย มันทำให้มีเลือดอะไรบางอย่างในตัวเราให้อยากจะทำสิ่งเหล่านั้นออกมา...
แล้วช่วงทำอัลบั้มชุดที่ 2 (พราย-2534)



ตอนนั้นเริ่มไม่เอาศาสนาแล้ว ไม่สนใจด้วย แต่รู้อยู่ว่า เราต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นไทย บนรากเหง้าของเรา แม้ว่าดนตรีของเราจะเป็นดนตรีฝรั่ง ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินนี้ เราจะสามารถสร้างอะไรให้กับแผ่นดินได้บ้าง นั่นก็คือความคิดที่เป็นอิสระของเรา ซึ่งเรายังคงชูกำปั้นต่อสู้กับรถถังอยู่ พอเข้าใจใช่ไหม? 'เพราะกูไม่กลัวมึงหรอก แต่ว่าสุดท้ายกูต้องกลัวมึง เพราะกูต้องแอบทำ กูจะว่ามึงเผด็จการไม่ได้ กูต้องแอบทำ เพราะถ้าด่ามึงตรงๆ มึงก็เล่นกู' นั่นคือสิ่งที่แอบทำแฝงไว้ตรงนั้น แล้วคนที่ต่อสู้กับอำนาจที่ไม่ถูกต้องในมุมมองตอนที่เราเป็นวัยรุ่น นั่นคือฮีโร่ของเรา

พอย้อนกลับมาวันนี้มันไม่ใช่คำตอบเดียวกันแล้วนะ ผมเคยมองสิบสี่ตุลาฯ เก่งมากเลย แต่พอมามองตอนนี้กลับพบว่ามันก็เป็นไปตามเหตุผลของมัน ไม่ได้คิดว่าใครจะมาต่อสู้เพื่ออะไร ทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง วันนี้ผมมาในฐานะนักร้องตัวเล็กๆ ที่จะมาพูดในมุมมองของตัวเอง ซึ่งเมื่อก่อนผมไม่ชอบพูด แต่ก็ทำออกมาเป็นเพลงแล้ว 10 กว่าปี มันก็ยังคงอยู่ เพราะผมพูดความจริง ไม่ได้โกหก แล้วถามว่าตอนนี้ผมจะทำอะไรให้กับสังคมไทย มันก็กลายเป็นว่าความรุนแรงที่ยังอยู่ภายในลึกๆ ของเรามันยังคุกรุ่นอยู่มาก ยิ่งเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ยิ่งคุกรุ่นมากขึ้น แต่ถามว่าจะเหมือนเมื่อก่อนไหม ขอบอกว่าเหมือนเมื่อก่อน แต่สั้นลง

…สมมุติเรื่องการเมืองในวาระที่เราเกิดพันธมิตรฯ กับรัฐบาล ซึ่งมันก็อยู่ในเพลงที่ชื่อว่า 'กลาง' (อัลบั้มเพื่อนของฉัน--2551) ถามว่าแล้วเพลงนี้มันไปบอกอะไรให้คนฟังคิด ก็เปล่าเลย แค่ฟังเฉยๆ เพียงแต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อนที่บอกต้องทำนู่นทำนี่ ไม่ใช่-- แค่อยากบอกว่าเราตื่นขึ้นมาไม่อยากได้ยินข่าวพวกนี้หรือได้ยินก็ไม่รู้สึก อะไร ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งที่อินเดีย เมื่อก่อนเขาอยู่ในหมู่บ้านร่วมกันมีความสุขมาก วันหนึ่งคนที่เคยนับถือศาสนาเดิมหันไปนับถืออีกศาสนา อีกไม่กี่ปีเขาฆ่ากันเลย ไอ้ความเชื่ออย่างนี้ มันเป็นความเชื่อการเมืองนั่นแหละ เพราะแค่ความคิดเห็นไม่ตรงกันก็จะฆ่ากัน มันไม่มีอะไรเลย

ผมอยากจะบอกว่า วันนี้กูไม่ใช่คนไทยแล้ว!! กูไม่อยากเป็นคนไทย!!! กูเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งบนโลกนี้ แค่อยากทำหน้าที่มนุษย์ ซึ่งควรจะเรียกร้องสันติภาพ (เน้นเสียง) ไม่ใช่ทะเลาะเบาะแว้ง ที่ผมอยากพูดคือผมไม่ใช่คนไทย ผมอยากเป็นมนุษย์ ผมพูดออกไปอย่างนี้ก็จะมีคนด่าผม 'มึงไม่อยากเป็นคนไทยก็ไปอยู่ประเทศอื่น' ก็เรื่องของมึง แต่กูก็ทำหน้าที่มนุษย์ต่อแผ่นดินที่มีบุญคุณกับกู มีต้นไม้ให้ร่มเงา เราทำความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์

มนุษย์แบบที่คุณบอก เขาควรทำอะไรให้กับโลก

เขาก็ควรไม่รังแกตัวเองและโลก ไม่รังแกคนทุกคน เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์เริ่มเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเป็นมนุษย์มันก็น้อยลง มันจะเป็นแค่สัตว์ที่มีกำลังแล้วเอาเปรียบเขา

ในมุมมองของคุณ--ระหว่างมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่กับมนุษย์ที่ดี เราควรให้น้ำหนักเพื่อไปยืนฝั่งไหน

วันนี้เราต้องยอมรับว่ายูเรเนียมมันต้องแตกต่างจากเพชรอยู่แล้ว ขณะที่คนให้ค่ายูเรเนียมกับเพชรก็แตกต่างเหมือนกัน เขาอาจเห็นค่าไม่เท่ากัน มันเปรียบเทียบกันไม่ได้ คุณทำหน้าที่ของคุณไป ต่อให้คุณเป็นดินวันนี้หรือเป็นขี้หมาสักก้อนก็ตาม จงทำหน้าที่ของขี้หมาไปเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่าถ้าคุณยอมรับมันนะ คุณจะสุดยอดแม้ไม่มีใครสรรเสริญคุณ แต่คุณสุดยอดด้วยตัวคุณเอง คุณก้มหน้าทำงานของคุณไปด้วยความชื่นชม และรู้ว่านี่คือมุมมองของคุณในช่วงเวลานั้นนะ ขอให้มีสัจธรรมในงานตัวเอง แค่นั้นพอแล้ว


Create Date : 07 พฤษภาคม 2552
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:19:18 น. 0 comments
Counter : 370 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

night prayer88
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Bookmark and Share

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add night prayer88's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.