FWD™

“ฟุตปาธ แบนด์” เพื่อชีวิตรุ่นใหญ่+สองสาว(สวย)รุ่นใหม่ กับเพลงเพราะผิดสมัย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2553 17:25 น.: บอน บอระเพ็ด(skbon109@hotmail.com)


ปกหน้า อัลบั้ม"เป็นตัวเอง" ของ ฟุตปาธ แบนด์
แม้ชื่อชั้นของอิทธิพล วาทะวัฒนะ หรือน้าอี๊ด ฟุตปาธ จะ ไม่โด่งดังในวงการเพลงเพื่อชีวิตเท่าบรรดาขาใหญ่อย่างน้าหงา น้าแอ๊ด น้าหว่อง น้าหมู หรือพี่ปูที่เริ่มจะกลายเป็นน้าแล้ว แต่น้าอี๊ด ฟุตปาธ ก็จัดเป็นขุนพลเพลงเพื่อชีวิตในระดับบิ๊กเนมคนหนึ่ง

เขาคนนี้เติบโตมาจากดนตรีเปิดหมวก ณ ท้องสนามหลวงเมื่อราวปี พ.ศ. 2527 ยุคนั้น อี๊ด ฟุตปาธ สร้างความฮือฮาด้วยการทั้งร้องทั้งเล่นดนตรีที่ไม่ธรรมดาเอามากๆ เพราะเขาคนเดียวสามารถเล่นดนตรีเป็นเพลงเพราะๆเพลงสนุกๆไปพร้อมๆกันด้วย เครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 ออกอัลบั้มใต้ดินชุด“ไกด์สนามหลวง”ออกมา มีน้าหว่อง คาราวาน มงคล อุทก เป็นโปรดิวเซอร์ สร้างชื่อเสียงได้ในระดับหนึ่ง

พอ เริ่มมีชื่อเขาถูกแกรมมี่มาฉกตัวดึงเข้าค่ายใหญ่ทำอัลบั้มชุด “บ้านนอกซอกตึก” ออกมาในปี พ.ศ. 2532 แต่ประทานโทษ งานนี้แป๊ก!!! ซึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แม้จะมีทุนหนา แต่ว่าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเพลงออกมาประสบความสำเร็จเสมอไป

น้าอี๊ดจึงต้องกลับเข้าสู่วิถีดนตรีใต้ดินอีกครั้ง ออกอัลบั้ม“น้ำพักน้ำแรง”ออกมาในปี พ.ศ. 2534 มีเพลง“จดหมายถึงพ่อ” เป็นไฮ ไลท์ โดยได้ 2 ลูกสาวตัวน้อยอย่าง น้องเปรียว อายุ 5 ขวบ และน้องปิ๊คอายุ 3 ขวบกว่ามาช่วยร้องด้วยสรรพสำเนียงน่ารัก แต่ได้อารมณ์คิดถึงพ่อจากแดนไกลที่กินใจมาก

และเพลงจดหมายถึงพ่ออันโด่งดังเป็นอมตะนี่เองที่ทำให้ อี๊ด ฟุตปาธ กลายเป็นหนึ่งในบิ๊กเนมแห่งวงการเพลงเพื่อชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้

หลัง จากนั้น อี๊ดมีผลงานออกมาอีก 2 ชุด คือ “คืนสู่บ้าน” และ “ดูนี่ดูนี่สิ” ที่นำลูกสาว 2 คนมาร่วมเล่นดนตรีด้วย ซึ่งต้องถือว่าน้าอี๊ดแกเป็นพ่อที่วางรากฐานทางดนตรีให้กับลูกสาว 2 คนได้อย่างยอดเยี่ยม

เพราะวันนี้เมื่อลูกสาวทั้งคู่โตเป็นสาว(สวย)แล้ว พวกเธอมีฝีไม้ลายมือในทางดนตรีที่จัดอยู่ในประเภท(เยาวชน)มือต้นๆของเมือง ไทย โดยน้องเปรียว(สรีวันท์)เป็นมือไวโอลิน น้องปิ๊ค(สมรรถยา)เป็นมือเชลโล ทั้งคู่เป็นนักดนตรีในวง ดร.แซ็ก แชมเบอร์ ออร์เคสตร้า(ก่อตั้งโดย รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข) วงดนตรีเยาวชนไทยฝีมือเทพที่คว้ารางวัลในระดับโลกมาแล้วมากมาย

และด้วยฝีไม้ลายมือของน้องปิ๊คน้องเปรียวที่ถือว่าจัดอยู่ในขั้นไม่ธรรมดา ทำให้ผลงานเพลงชุดใหม่ “เป็นตัวเอง“ของ น้าอี๊ดที่ห่างหายจากการออกอัลบั้มไปนานไม่ธรรมดาไปด้วย เพราะงานชุดนี้น้าอี๊ดแกมาไม่ได้ฉายเดี่ยวหากแต่มาในนาม“ฟุตปาธ แบนด์” กับสมาชิก 3+1 ประกอบด้วยน้าอี๊ด ร้องนำ เล่นกีตาร์ เป่าเม้าออร์แกน, น้องเปรียว เล่นไวโอลิน, น้องปิ๊ก ร้องนำ เล่นเชลโล ร่วมด้วยฮิเดกิโมริ สมาชิก+1 ที่เหมือนกับเป็นสมาชิกคนที่ 4 ของฟุตปาธแบนด์ไปกลายๆ

สำหรับน้าฮิเดกิถือเป็นแกนหลักสำคัญในผลงานชุดนี้ เพราะนอกจากจะรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์แล้ว ยังร่วมเล่นดนตรีทั้งเล่นเบส แบนโจ เล่นกีตาร์ แอคคอเดี้ยน รวมไปถึงร่วมแต่งทำนองในอีกหลายเพลง นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของไอเดียให้เจ้าของผลงานเขียนบันทึกบอกเล่าความใน ใจไว้ในปกอัลบั้ม

อ้อ งานชุดนี้ยังมีศิลปินรับเชิญอีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ที่มาโชว์ลีลาพญาขลุ่ยแห่งสยาม แต่มันก็มีเรื่องให้ผมอดแปลกประหลาดใจไม่ได้ว่า ทำไม? หลังจากวงคาราบาวชุดรุ่งโรจน์แยกวง เสียงขลุ่ยของ อ.ธนิสร์เดินทางไปปรากฏในบทเพลงของขุนพลเพลงเพื่อชีวิตมากมาย แต่ไฉนกลับไม่มีสรรพเสียงขลุ่ยของแกในงานเดี่ยวของน้าแอ๊ด คาราบาวเลย

เอาล่ะ เมื่อเห็นหน้าคร่าตาทีมงานนักดนตรีกันแล้ว ทีนี้ก็เข้าสู่โหมดการฟังเพลงของน้าอี๊ดกัน

อัลบั้มชุดนี้น้าอี๊ดให้ความสำคัญกับลูกสาว 2 คนเป็นพิเศษ ด้วยการมีเสียงของไวโอลินและเชลโล โซโลเล่นล้อคลอประสานไปในหลากหลายบทเพลง เริ่มตั้งแต่เพลงแรก “ลูกน้ำของ”(น้ำโขง)ที่เปิดตัวยังกับเพลงคลาสสิคด้วยเสียงไวโอลินและเชลโล ก่อนส่งต่อด้วยเสียงเกากีตาร์เพราะๆนำเข้าสู่เนื้อร้องสรรพสำเนียงปนลูกทุ่ง ของน้าอี๊ด

จากนั้นเพลงก็ไล่เรียงเล่นไป มีเพลงเพราะๆเด่นๆอย่าง “หิ่งห้อย” เนื้อหาเปรียบเปรยหิ่งห้อยเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่เข้ามาเผชิญชีวิตในกรุงเทพฯ ที่มากไปด้วยแสงสี เพลงนี้ขับร้องโดยน้องปิ๊ค มีเสียงขลุ่ยของ อ.ธนิสร์ เข้ามาช่วยสร้างสีสัน ก่อนส่งท้ายกันในท่วงทำนองอันสวยงามและเสียงร้องเพราะๆของน้องปิ๊ค ที่ฟังแล้วอดนึกถึงเสียงเด็กน้อยใสๆน่ารักๆในเพลงจดหมายถึงพ่อไม่ได้ แม้ว่า วันนี้พวกเธอจะโตเป็นสาวแล้วก็ตาม

“หมากปิ่น” มาในจังหวะสนุกๆสไตล์คันทรีกระชับ โซโลท่อนท่อนกลางเจ๋งมาก นำทางด้วยเสียงไวโอลินเพราะๆจากน้องเปรียว ก่อนส่งต่อให้อ.ธนิสร์โชว์ลีลาพญาขลุ่ยสร้างท่วงทำนองของตัวเอง ก่อนตบท้ายเสียงไวโอลินและเชลโลอย่างไพเราะสนุกน่าฟัง

“แอบเมตตา”เนื้อหาว่าด้วยคุณป้าคนหนึ่ง เฝ้าเพียรดูแล ให้อาหาร เลี้ยงดูหมาแมวจรจัดข้างถนน แต่สุดท้ายกลับถูกมนุษย์ใจอำมหิตบางคนวางยาเบื่อหมาแมวเหล่านั้นตายเกลื่อน สร้างความเสียใจใหญ่หลวงต่อุณป้าผู้ใจดี เพลงนี้หากใครอยากได้อารมณ์มากกว่านั้น ขอแนะนำให้อ่านข้อความในใจที่อธิบายเพลงประกอบ แล้วจะน้ำตาซึมเลย

“ภาพวาดวัยเยาว์”มาในอารมณ์เร็กเก้ น้องปิ๊คร้องออกมาฟังติดสำเนียงฝรั่งแต่ฟังน่ารักดี โซโลท่อนกลางน้องปิ๊คโชว์เป่าปิ๊กโกโลเล่นล้อกับไวโอลิน ซึ่งเธอเคยโชว์ฝีมือมาแล้วในสมัยเป็นเด็กในบทเพลงฮิตจดหมายถึงพ่อ

ส่วนเพลง“เป็นตัวเอง”เนื้อหาพูดถึงความเป็นตัวเองของน้า อี๊ด ฟุตปาธ(แต่ให้น้องปิ๊คร้อง)ที่ยืนหยัดต่อสู้สร้างชื่อจากวงดนตรีข้างถนนจน กลายมาเป็นวงฟุตปาธแบนด์ในวันนี้

นอกจากเพลงร้องเด่นๆ แล้วงานชุดนี้ยังมีเพลงบรรเลงจากฝีมือ 2 สาว ใน 2 เพลงสุดท้าย นำด้วย“Siboney” ของ Ernesto Lecuona,Polly Morse และปิดท้ายอัลบั้มกันด้วย “Zigeunerweisen”(Gypsy) ของ P.sarasate

สองเพลงท้ายนี้แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าพวกเท่าไหร่ แต่ว่าก็แสดงถึงความสามารถอันเป็นเอกอุในการเล่นดนตรีของทั้งสองคน โดยเฉพาะในเพลง Zigeunerweisen(Gypsy) นี่น้องเปรียวสีไวโอลินได้พลิ้วไหวได้อารมณ์มาก นับเป็นการเล่นดนตรีคลาสสิคเองจริงๆของทั้งคู่ไม่เหมือนกับผู้อำนวยเพลงบาง คนที่เอารูปตัวเองขึ้นปกอัลบั้ม สร้างความกำกวมให้คนฟัง แต่ว่ากลับเป็นการนำเพลงของคนอื่นมาไม่ได้กำกับเพลงเองจริงๆ...เฮ้อ ทำไปได้

และนั่นก็คือความน่าสนใจของงานเพลงชุดเป็นตัวเอง ที่มีพัฒนาการทางเพลงอย่างชัดเจนด้วยดนตรีที่ใส่ใจในรายละเอียด ละเมียดละไม นุ่มลึก ดนตรีสะอาดสวยงาม ทำให้หลายเพลงที่ออกมามีความไพเราะน่าฟังไม่น้อย

นอกจากนี้เป็นตัวเองยังเป็นการผสมซาวน์แบบเก่าและใหม่เข้าด้วยกันโดย ธรรมชาติ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจของคนทำเพลงหรือเปล่า โดยซาวน์เก่านั้นมาจากการร้องเพลงน้าอี๊ด คุณพ่อที่มีกลิ่นของลูกทุ่งความเป็นเพื่อชีวิตเจืออยู่อย่างสูง ส่วนซาวน์ใหม่นั้นคือเสียงร้องของน้องปิ๊คที่น่าฟังมาก ด้วยสไตล์คนรุ่นใหม่เจือกลิ่นตะวันตก แต่ออกเสียงภาษาไทยชัดเจน ฟังไม่โหลเป็นแพทเทิร์นเดียวกันเหมือนกับ นักร้องใน 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ หรือนักร้องเวทีประกวดจากผลโหวต ที่ตามล่าหาฝันกันจนบางคนหลงลืมโลกแห่งความเป็นจริง

ส่วนที่ถือว่าขาดไปในงานชุดนี้ คือในเมื่อมีซาวน์ใหม่ๆของสองสาวเข้ามาแล้ว แต่เนื้อร้องของเพลงยังคงเป็นเนื้อในมุมมองของคนรุ่นเก่า เพราะคุณพ่อน้าอี๊ดเป็นผู้รับเหมาเขียนเนื้อเพลงทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งไหนๆเมื่อลูกสาวทั้งสองมีทักษะทางดนตรีแน่นปึ๊กแล้ว คุณพ่อน่าจะให้พวกเธอแต่งเพลง เขียนเนื้อร้อง ทำนอง ในอัลบั้มบ้าง เพื่อจะได้ต่อยอดไอเดียระหว่างคนสองรุ่น

ในขณะที่สิ่งที่ถือว่ามีความโดดเด่นเป็นตัวเองมากในผลงาน เพลงชุดนี้ คือสรรพเสียงอันงดงามของเครื่องสายไวโอลินและเชลโลจากฝีมือของ 2 สาว ที่แม้ทั้งคู่จะมีพื้นฐานอย่างหนาแน่นของดนตรีคลาสสิค แต่เมื่อปรับแนวทางมาเล่นในสไตล์เพื่อชีวิต ติดกลิ่นลูกทุ่ง พื้นบ้าน ก็สามารถเล่นถ่ายทอดออกมาได้อย่างดี

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่างานอัลบั้มเป็นตัวเองชุดนี้จะมีดนตรีสวยๆ มีบทเพลงไพเราะอยู่เกินกว่าครึ่ง แต่ว่าในยุคสมัยที่ดนตรีเพื่อชีวิตอ่อนละโหย จึงน่าเห็นใจที่บทเพลงเพราะๆของฟุตปาธแบนด์ในชุดนี้มันค่อนข้างผิดยุคสมัยไป หน่อย




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2553 9:20:09 น.
Counter : 2506 Pageviews.  

วงเนื้อกับหนัง‏ flesh&skin ในตำนาน

ผู้บุกเบิกวงการเพลงเฮฟวี่ภาคภาษาไทยวงแรกในตำนาน และคุณวิฑูร วทัญญู คือผู้มีส่วนในการจุดประกาย

สมัยนั้น เป็นการยากมากที่จะให้คนฟังยอมรับในยุคนั้นของเมืองไทย ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันที่ดนตรีเฮฟวี่ต่างประเทศกำลังรุ่งเรือง ซึ่งขณะนั้นบ้านเรากำลังเข้าสู่ยุค อ๊อด คีรีบูน,ชมพู ฟรุตตี้ เนื้อกับหนังจึงฟังกันในวงแคบๆ

และจวบจนปัจจุบัน ยุค 2552 วงดนตรีนี้ ได้ยังคงเป็นตำนานผู้ปลุกกระแสดนตรีแนวนี้ ของแท้ที่หาฟังยาก และนักสะสมต้องการ(เพื่อนผมที่อยู่ต่างแดนอีกซีกโลกนึง เจอกันโดยบังเอญในระบบโซเชียลเน็ตเวอร์ค ยังขอเพลงกันข้ามทวีป เลยจัดให้ซ้ะ )

ชุดแรกชื่อ ฆาต-กัญชา สมัยที่ก่อนเทปจะออก มีการโปรโมททางรายการวิทยุของคุณวิฑูรเอง ด้วยลักษณะากรบบรยายที่โด่ดเด่น แปลกหูไม่ซ้ำใคร ทำให้ปัจจุบัน เสียงสปอร์ต ยังลอยคลอมากระทบส่วนประสาทเมือยามคิดถึงวงๆนี้
และยุคนั้นผมก็ฟังมันทั้งวันทั้งคืน ยังจำได้ว่าแกพูดเองในสป็อต จำไม่ได้หมด แต่ประมาณว่า...

"วงเฮววี่ ฮาร์ทฮ้อต วงแรงของเมืองไทย เนื้อกับหนัง..... วิฑูร วธัญญู ศิลปิน บรรยาย"
"ศิลปินไทย ในนามคณะเนื้อกับหนัง flesh&skin.....ฆาต-กัญชา......ออนป้าจัดจำหน่ายทุกแผงเทป"


สมาชิกวง

จุมพฏ เลขะพันธุ์ (Jumpot) - Guitar/ Vocals
ชนินท์ กัทลีนดะพันธุ์ (Charnin) - Drums/ Guitar/ Vocals
ชานนท์ ทองคง (Charnon) - Bass/ Vocals

" ดนตรี HEAVY METAL แต่เดิมเริ่มแรกในเมืองไทยเราใช้คำว่า UNDERGROUND MUSIC แล้วก็ค่อยมีคำว่า HARD ROCK มาแทน จนภายหลังถึงกลับมาเรียก HEAVY METAL "

คณะเนื้อกับหนัง" แรกเริ่มมาจาก " จุมพฏ เลขะพันธ์ " (ปู) หรือที่กันว่า " สาย " ซึ่งเป็นมือกีต้าร์
ในตอนนั้นเขาอายุ ประมาณ 10 ขวบ เป็นเด็กที่ชอบในดนตรีเฮฟวี่ เข้าไปหา " คุณวิฑูร " ซึ่งเป็น ดีเจ จัดรายการวิทยุเพลงสากลในแนวเฮฟวี่ ที่สถานีวิทยุทหารอากาศ ทุ่งมหาเมฆ
ขณะนั้น " จุมพฏ " ยังเรียนอยู่ที่ รร.สาธิต จากนั้นจนโตแล้วก็หายไป กลับมาอีกครั้งในตอน " จุมพฏ " อายุประมาณ 20 ปี แล้วก็บอกกับ" คุณ วิฑูร " ว่าตั้งวงดนตร ีกับเพื่อน ในแบบ เฮพวี่เนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดยแต่งเนื้อ และทำนองเอง ร่วมกับเพือนอีก 2 คน
มี ชนินท์ กัทลีนดะพันธ (กลอง) และ ชานนท์ ทองคง (เบส)
คุณวิฑูร ก็ให้การสนับสนุน แล้วก็เข้าห้องอัดเสียงเล่นๆ ที่โรต้า ซึ่งเป็นห้องอัดแบบถูกๆ วันละ 1500 บาท ใช้เวลาอัดไป 10 วันก็เสร็จ ลงทุนไป 10000 กว่าบาท ก็ปล่อยออกมาชุดแรกของ เนื้อกับหนังที่มีรูปปกทลายกำแพง ชุด ฆาตกัญชา (จัดจำหน่ายโดย ออนป้า) ในประมาณปี 2527 และ มีเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ที่มีคนมากมายรู้จัก

หลังจากนั้นก็ปล่อยอัลบั้มออกมา อย่างต่อเนื่อง
~2528 : ท่านคือ....ผู้ยิ่งใหญ่ (จัดจำหน่ายโดย โรต้า)
~2529 : อตฺต หิ อตฺโน นาโถ (จัดจำหน่ายโดย อาร์เอสซาวด์) ,
~2532 : ฟ้าประกาศิต (จัดจำหน่ายโดย อามีโก้) เป็นอัลบั้มรวมเพลง มีเพิ่มเพลงใหม่ 2 เพลง คือ เพลง"ฟ้าประกาศิต" และ "น้ำท่วม-น้ำใจ" ส่วนงานคอนเสิร์ตก็มีเล่นบ้างตามงาน ที่สนามหลวงและงานอื่นๆ หลังจากนั้นก็เงียบไปนาน

จนประมาณ ปี 2536 ก็ออกอัลบั้มเต็มชุดที่ 4 " มโน สาเร่ " ออกในสังกัด ท็อปไลน์มิวสิค (จัดจำหน่ายโดย ไดมอนด์ซาวด์) หลังจากนั้นก็ถึงสิ้นสุดของวง เมื่อสมาชิกวงต้องเสียชีวิตไป
คือมือกลอง และร้องนำ " ชนินท์ " ทำให้ทางวงต้องเงียบหายไปทิ้งไว้เฉพาะผลงาน 4 อัลบั้มเต็ม, 2 อัลบั้มรวมเพลง และ 3 อัลบั้มเพลงบรรเลง กีต้าร์(มีเพิ่มเพลงร้อง เป็นเพลงดังใน เวอร์ชั่นใหม่ ในแต่ละอัลบั้มเพลงบรรเลง)
ซึ่งทั้งหมดเป็นงานในแบบ อันเดอร์กราวด์ โดยแท้ ในการลงทุนทำเองแทบทั้งหมด และแทบไม่มีสื่อใดๆในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ มากมายนัก

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน (2536) ทางสังกัด Top Teen Talent ของคุณวิฑูร ได้ปล่อยอัลบั้มทุกชุด (ยกเว้นชุดที่ 4) ออกมาอีกครั้งจัดจำหน่ายโดย อามิโก้ (โดยบางอัลบั้มได้มีการเปลี่ยนปก แต่ก็ใกล้เคียงปกเดิม) และหวังว่าสมาชิกที่เหลือ และคุณวิฑูร ยังไม่ละทิ้งอุดมการณ์ และกลับมาอีกครั้ง สำหรับวง Heavy Hard Hot ภาคภาษาไทย วงแรกของประเทศสยาม

วงดนตรีที่สมาชิกวงเคยร่วมงาน:
จุมพฏ เลขะพันธ - Guitar, Vocals:

- (ช่วงประมาณปี 2524 - 2526) วง NAON ( นาอ้อน ) มีสมาชิก
โป่ง ปฐมพงษ์ ( ร้องนำ ), พิทักษ์ ศรีสังข์ (เบส) , จุมพต เลขะพันธ์ (กีตาร์) และ มือกลอง ไม่แน่ใจว่าเป็นพี่ชายของ พิทักษ์ ศรีสังข์ ที่ ชื่อ เทพ หรือเปล่า?
วงนี้เคยไปเล่นในงานดนตรีที่คุณ วิฑูร วทัญญู จัดขึ้นที่โรงหนังเอเธนส์ ทุกเช้าวันอาทิตย์ ในสมัยนั้น เล่นในสไตล์เฮฟวี่

ชานนท์ ทองคง - Bass, Vocals :
- (ช่วงประมาณปี 2532 - 2535) วงของ เทียรี่ เมฆวัฒนา เล่นเป็นแบ็คอัพในงานเดี่ยวของเทียรี่
- (ช่วงประมาณปี ???? - ????) เคยถูกทาบทามให้ไปร่วมวง Hi-Rock สมัยก่อนออกเทปชุดแรก ตอนนั้น ชานนท์ เล่นอยู่คอกเทลเลานจ์แถมพระราม 9 เงินดีพอสมควร จึงไม่ได้ไปเล่นด้วย อีกอย่างอาจเพราะวัยต่างกันนิดๆเลยไม่ไปก็เป็นได้

ชนินท์ กัทลีนดะพันธุ์ - Drums, Guitar, Vocals:
- (ช่วงประมาณปี ???? - ????) (ข้อมูลจากปกเทปวง Silly Fools ชุดแรกที่ออกกับ Bakery) เข้าใจว่ามีสายสัมพันธ์กันกับวงพอสมควร ถึงมีการกล่าวไว้ในปกเทปเช่นนั้น บางทีวง Silly Fools อาจได้รับการสอนมาจากมือกลอง เนื้อกับหนัง ก็เป็นได้

เนื้อร้อง
ฆาต-กัญชา (ฆาตกรรม-กัญชา)

อยากจะไปนครพนม เค้าลือกันว่ามีกัญชา
อยากจะไปหาซื้อมา จะได้เอามาดูดกัน
อยากจะเป็นสิงห์อมควัน พี้เนื้อกันสบายอุรา
อยากจะได้ยา… ไม่ได้มาข้าต้องตาย

ฆาตะกัญชา... ลา...
ฆาตะกัญชา... ลา... ลา ลา ลา

บ้องที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร คราวต่อไปถึงที่เพื่อนกัน
บ้องที่สองก็ชักจะมัน ตาของฉันก็เริ่มจะลาย
บ้องที่สามชักลำบากกาย สนุกเหลือใจที่ได้ดูดกัน
บ้องที่สี่เหมือนดังฝัน ตัวฉันนั้นลอยตามลม

ฆาตะกัญชา... ลา...
ฆาตะกัญชา... ลา... ลา ลา ลา


solo:

หัวใจคล้ายหยุดเต้น

หลุดกระเด็นออกจากตัว

ร่างกายสั่นระรัว

หมุนไปทั่วรอบตัวเรา

หัวใจคุณอาจจะวาย ทุกคนอาจตายได้เพราะมัน
นี่แหละคือโทษมหันต์ หนีให้ทันเจ้ากัญชา...

ฆาตะกัญชา... ลา...
ฆาตะกัญชา... ลา... ลา ลา ลา




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 15:12:16 น.
Counter : 6185 Pageviews.  

25 ปี "พงษ์เทพ" : เมื่อ ‘เพลงเพื่อชีวิต’ สู่เบญจเพส

นานมาแล้ว ณ ที่ห่างไกลจากเมืองหลวงอันจอแจ มีเด็กหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งทำหน้าที่เคาะกลองโทนสร้างความบันเทิงให้กับคน ในละแวกบ้าน โดยที่ไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า ในอนาคตชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้จะเกี่ยวยึดผูกติดกับเสียงดนตรีชนิดที่ไม่ สามารถพรากจากกันได้แม้แต่วินาทีเดียว

วันเวลาเปลี่ยนเด็กหนุ่มจากที่ราบสูงคนนั้นให้กลายเป็น ‘นายพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ’ หรือ ‘น้าหมู’ ของใครต่อใคร ซึ่งในเวลาต่อมา นายพงษ์เทพคนนี้ก็ได้ซึมรับคำสอนของอาจารย์ศิลปะในรั้ววิทยาลัยที่บ้านเกิด จนวิญญาณของหนุ่มชาวห้วยแถลงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ซึ่งส่งผลต่องาน ของเขาในกาลต่อมา

“ผมโชคดีที่ได้เรียนศิลปะอยู่ 2-3 ปี เลยมีโครงสร้างทางความคิดจากอาจารย์ที่ถ่ายทอดว่า ถ้าจะทำงานศิลปะต้องออกมาจากข้างใน เพราะมันไม่ใช่การเย็บกระเป๋าเพื่อไปขายให้ใครหิ้ว แกคิดอะไรต้องออกมาอย่างนั้น อย่าไปเสแสร้ง แกจะเขียนรูปอะไร คนอื่นดูไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่มันต้องออกมาจากข้างใน อาจารย์เขาเปิดวิธีคิดตรงนี้ให้ การเขียนเพลงก็เหมือนกัน ต้องเขียนจากข้างใน ไม่ใช่อยู่ๆ เอ้า วันนี้เขามีข่าวอะไรวะ อ๋อ ไข้หวัดหมู เอ้า (ร้องเป็นเพลง) ไข้หวัดหมู อย่าอยู่ใกล้กัน ผมทำอย่างนั้นไม่ได้”

ด้วยวิธีคิดดังกล่าว ทำให้ ตังเก, คนกับหมา, คิดถึงบ้าน, ยิ้มเหงาๆ และอีกสิบร้อยบทเพลงของพงษ์เทพ ดังติดใจและฮิตติดปากนักฟังเพลงยาวนานข้ามทศวรรษ หลายคนยกย่องว่าเพลงของพงษ์เทพมีเสน่ห์ตรงกลิ่นบ้านไร่ที่อวลอยู่ทุกวรรคตอน บางคนบอกว่าการได้ฟังเพลงของพงษ์เทพเหมือนการได้สดับบทกวีชิ้นดีบทหนึ่ง

แม้แต่ ‘นายผี – อัศนี พลจันทร์’ ปัญญาชนชื่อดังก็ยังกลั้นความชื่นชมที่มีต่อบทเพลงของพงษ์เทพเอาไว้ไม่อยู่ จนต้องยกสมญา ‘กวีศรีชาวไร่’ ให้เขาถือครอง

นับจากวันที่พงษ์เทพยืนรัวกลองในหมู่บ้านเล็กๆ ผ่านวันที่เขากับสมาชิกวงคาราวานพ่ายแรงปืน จนต้องถอยไปเล่นดนตรีกล่อมตัวเองอยู่ในป่าทึบทึม จนถึงวันที่เดินออกจากป่า คืนสู่เมืองที่ไม่เหมือนเดิมแห่งนี้ บทเพลงที่นิยมเรียกกันว่า ‘เพลงเพื่อชีวิต’ ก็มีพลวัตเคลื่อนไปตลอดเวลา มิได้นิ่งงันอยู่ในบริบทเดิมๆ เหมือนวันแรกที่พวกเขาเดินเข้าป่าอีกต่อไป

การเปลี่ยนแปลงของเพลงเพื่อชีวิตในยุคคืนเมืองอาจเทียบไม่ได้กับความผันแปร ของเพลงเพื่อชีวิตในปัจจุบันสมัย เพราะบทเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึงการเมืองแบบชัดแจ้งดังที่วงคาราบาว หรือวงคาราวานเคยประพันธ์เอาไว้ในอดีตเริ่มถดหายไป เพลงเพื่อชีวิตในพุทธศักราชนี้กลับมีเนื้อร้องที่ข้องแว้งอยู่กับสังคมที่ จับต้องได้มากกว่าจะไปวิพากษ์หรือเปรียบเปรยประชดประชันชนชั้นปกครองเหมือน ก่อน

สำหรับพงษ์เทพ สิ่งที่ทำให้เพลงเพื่อชีวิตของเขาเริ่มถอยห่างไปจากผิวของรัฐ ก็คือความซับซ้อนและขมุกขมัวของสิ่งที่เรียกว่า ‘การเมือง’ ซึ่งเป็นความพร่าเลือนที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความรู้สึกของเขา
“ผมคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับการเมืองในวิถีปัจจุบัน ซึ่งมันจะเป็นวิถีไหนก็แล้วแต่ แต่ผมไม่เหมาะกับการเมืองในรูปแบบนี้ แต่ถ้ามีชาวบ้านจากโคกปลากั๊ก มาเดินขบวนเรื่องรัฐไม่ดูแลมันสำปะหลัง แบบนี้ผมเห็นด้วย ผมจะร่วมร้องเพลงให้ฟัง แต่การเมืองในรูปแบบปัจจุบันนี้ผมไม่ถนัด ไม่ได้หมายความว่าใครถูกใครผิดนะครับ แต่ผมไม่ถนัด แต่ถ้ากรรมกรเดินขบวนเรียกร้องค่าแรง ถูกกดค่าแรง ถูกเอาเปรียบ แบบนี้ผมถนัด มันเป็นภาพที่ชัดเจน เห็นชัด ไม่ซับซ้อน แต่ปัจจุบันนี้มันสลับซับซ้อน เงื่อนไขเยอะมากจนผมรู้สึกว่าตัวเองคงไม่เหมาะ”

แม้จะออกตัวว่าไม่สันทัด แต่การปรากฏตัวบนเวทีพันธมิตรในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ของพงษ์เทพ เกิดจากสำนึกที่สามัญที่สุดของมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งไม่ต้องการนับญาติกับความรุนแรง

“วันที่ผมขึ้นไปร่วมกับเขาคือวันที่เขายิงประชาชน แล้วมีคนขาขาด มีคนตาย ที่ผมขึ้นไปไม่ใช่เพราะผมเห็นด้วยกับกลุ่มนั้น แต่ผมแค่อยากจะบอกว่า อย่าฆ่ากันได้ไหม แค่นั้นเอง อย่างอื่นผมไม่ยุ่งอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมายิงใส่ประชาชน ประชาชนเขาก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เป็นธรรมดา มีคนรู้ทัน คนโง่ คนฉลาด คนเข้าใจ ไม่เข้าใจ ถ้าคุณแก้ปัญหาโดยการยิงปืนใส่กันเนี่ย ผมว่าใครๆ ก็รับไม่ได้"

“ต่อให้เป็นโจรคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะไปยิงเขาตาย นอกจากจับมาสอบสวนว่าเขาผิด แล้วก็ติดคุกติดตาราง แล้วนี่คนที่เขามาเดินขบวน เขาไม่ใช่โจร ไม่ใช่ขโมย ฉะนั้นเรื่องรุนแรงนั้นผมไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนโดน ผมก็เข้าใจ และเห็นใจฝ่ายนั้น แต่เรื่องรูปลักษณ์การเมืองทั้งหมดที่จะเคลื่อนไป ผมขอไม่เข้าร่วม เพราะมันซับซ้อนเกินไป”

เมื่อการเมืองเป็นเรื่องที่มีเงื่อนปมขมวดยุ่งกันเกินกว่าที่เขาจะทำความ เข้าใจได้ บทเพลงในระยะหลังของพงษ์เทพจึงฟุ้งหอมไปด้วยกลิ่นปรัชญาและการให้กำลังใจ เป็นท่วงทำนองที่เขาประสงค์ให้ใครก็ตามที่ได้ฟังรู้สึกอิ่มใจและมีกำลัง ต่อสู้กับปัญหาชีวิต
“ตอนนี้หลักๆ ที่ผมเขียนคือ เพลงในเชิงปรัชญาชีวิต ในเชิงการให้กำลังใจ การดูแลจิตวิญญาณของกันและกัน อย่างเช่น เพลงอย่าโกรธความมืด ผมมองว่าชีวิตคนเราบางจุดมันมีความมืดมนในจิตใจ ถ้าเรายิ่งไปหงุดหงิดหรือโกรธมัน ความมืดก็จะมืดมิดลงไปเรื่อยๆ มืดจนมองไม่เห็นช่องทางอะไร แต่ถ้าเราไม่โกรธ ตั้งสติแล้วจุดเทียนสักเล่ม หรือเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ช่วยจุดเทียนให้สักเล่มหนึ่ง"

"ซึ่งหนึ่งแรงเทียนบางทีก็สว่างไสวในใจได้ ไม่จำเป็นจะต้องวาดความหวังว่าจะต้องมีสปอร์ตไลท์สักห้าดวงสิบดวงจะได้สว่าง ทั้งบ้าน ชีวิตเราไม่น่าจะหวังขนาดนั้น แค่เทียนเล่มเดียวก็พอ
“แสง เทียนเป็นแสงที่บริสุทธิ์ มันสามารถช่วยส่องประกาย ช่วยเติมใจให้สว่างได้ ถ้าคุณทำความคุ้นเคยกับความมืด ทำความเข้าใจกับมัน ยอมรับกับความมืดนั้น เวลามีเทียนขึ้นมาสว่างสักเล่มหนึ่ง มันจะสว่างในใจเลย เพลงของผมจะออกมาโทนนี้”

นอกจากต้องการเพิ่มกำลังใจให้คนท้อแล้ว สิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในหัวและเวียนว่ายอยู่ในใจของกวีศรีชาวไร่คนนี้มาตลอด หลังจากที่ได้ขับรถเข้าเมืองเพื่อเล่นดนตรีตามผับบาร์ และได้นั่งยันคันเร่งอยู่หลังพวงมาลัยกลับคืนไร่ที่จังหวัดนครราชสีมา ก็คือ วิถีชีวิตของคนชนบทซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่บิดเบี้ยวจากอดีตอย่างน่าใจหาย

“ชีวิตคนบ้านเราถูกสังคมที่ใช้จ่ายเกินกำลังเข้ามาครอบงำมากเกินไป ชาวนาไม่จำเป็นจะต้องมีทีวี 45 นิ้วก็ได้ แต่ถ้าเป็นนักธุรกิจเขาอาจจะต้องดูหุ้นดูอะไร เขาจะมีแปดจอสิบจอมันก็เรื่องของเขา ผมว่าตรงนี้ เราน่าจะช่วยกันมองเมืองไทยว่า เมืองไทยควรจะอยู่อย่างไร คนชนบทควรจะอยู่อย่างชนบทแบบไหน ไม่ใช่อยู่อย่างชนบทแร้นแค้น หรือไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นคนนะ อยู่อย่างไม่แร้นแค้น และมีศักดิ์ศรีนั่นแหละ แต่ไม่ใช่อยู่แบบมีรถเท่ากับคนในเมือง"

“สังคมชนบทถูกยัดเยียดให้มีความคิดเหมือนคนในเมือง แล้วคนในเมืองก็พยายามจะออกไปซื้อที่ในชนบท ไปซื้อที่ที่เขาใหญ่ ที่เกาะสมุย แต่ว่าไปซื้อที่แล้วก็สร้างบ้านแบบมีแอร์นะ หรืออยากอยู่บนภูเขาก็ต้องไปอยู่บนยอดเขา ลมก็แรง ฝนฟ้าก็ผ่า แล้วก็ต้องติดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แล้วก็นั่งอยู่ในตู้ อยู่ในห้องกระจกเหมือนขังตัวเอง วิธีคิดแบบนี้ มันกลายเป็นว่า คนในเมืองก็อยากได้แบบนี้ คนชนบทก็คิด โอ้ย ถ้ากูถูกล็อตเตอร์รี่กูจะซื้อรถเบ็นซ์สักคัน มันเป็นความคิดเดียวกันที่สวนทางกันน่ะ และนี่คือปัญหา”

ปัญหาที่พงษ์เทพมองเห็นนี้เอง ที่เป็นกระดูกชิ้นโตทอดตัวขวางสะพานไม้เล็กๆ ซึ่งเคยเชื่อมวิญญาณของเพลงเพื่อชีวิตกับเลือดเนื้อของคนชนบทเอาไว้ ทำให้การถ่ายความคิดลงกระดาษของกวีเพลงคนนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือน ก่อน
“เวลาเราจะเขียนเพลงให้คนชนบทเขาฟัง เขาก็อาจจะคิด โอ้ย ไม่ใช่หรอกน้าหมู เราก็อยากรวยบ้างแหละ เราก็อยากมีทีวีจอใหญ่ๆ เหมือนคนในเมืองเขาบ้าง กลายเป็นอย่างนั้นไป ดีไม่ดีเราผิดอีก เขียนยากกว่าสมัยก่อนมาก มันซับซ้อน สมัยก่อน เราเขียน (ร้องเป็นเพลง)ชื่อยายพร แกนอนใต้ต้นหูกวาง ก็รู้เลย สมัยนี้ โอ้ย เพลงอะไรดีวะ ชาวบ้านเขาบางทีไม่ฟังเลยนะ (หัวเราะ)"

“แต่เพลงแบบ (ร้องเสียงเลียนแบบนักร้องวัยรุ่น)ร้ากเธอ เข้าใจม้าย ช้านมีความฝัน โอ้ย บ้านนอกนี่ฟังกันเต็มเลย เพราะเขาอยากมีความฝันแบบคนในเมือง หรือถ้าเกาหลีมา ผมแดง เอียงไปข้างนึง บ้านนอกนี่มีเต็มไปหมดเลยนะ ฝุ่นเกรอะเต็มเลย(หัวเราะ) มันไม่ได้ไง ผมว่าเราต้องสังคายนาเรื่องวัฒนธรรมกันครั้งใหญ่เลยว่า เมืองไทยควรจะให้คนมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีแบบไหน”

หลังจากได้ฟังถ้อยคำของศิลปินในตำนาน ที่ทางของเพลงเพื่อชีวิตในจินตภาพก็ตีบแคบลงทุกขณะ จนรู้สึกว่าคงไม่มีใครสนใจฟังเพลงเพื่อชีวิตกันต่อไปแล้ว แต่พงษ์เทพกลับหัวเราะร่วนแล้วบอกว่า แม้เพลงเพื่อชีวิตในวิถีปัจจุบันจะไม่ได้รับใช้สังคมในฐานะเพลงการเมือง หรือเพลงยกระดับสังคมชนบท แต่เพลงเพื่อชีวิตก็ยังมีที่ทางที่สวยงามอยู่ในร้านอาหาร ผับ และบาร์ ซึ่งแม้จะไม่ใช่ภัตตาคารหรูหรา แต่ก็เป็นแหล่งรวมพลของคนคอเดียวกันไปแล้ว
“ตอนนี้ในบาร์ ในผับ เพลงเพื่อชีวิตขึ้นป้ายทั่วประเทศเลย มากกว่าเพลงทั่วไปด้วยซ้ำ แล้วร้านที่เป็นตำนานเพลงเพื่อชีวิตก็เปิดกัน ตะวันแดง ตะวันขาว ร้านหมูกระทะก็มี ร้านลาบ ร้านก้อยยังมีเพลงเพื่อชีวิต ฉะนั้นผมว่าแต่ก่อนมันรับใช้สังคมทางด้านการเมือง หรือด้านจิตสำนึกทางด้านการเมืองเป็นหลัก พอมาถึงตรงนี้คนรุ่นนั้นเขาโตแล้ว มีงานมีการทำกันแล้ว เขาก็อาจจะ แหม อยากย้อนอดีต อยากฟังเพลงคนกับควายจังเลย แต่ว่าฟังแบบเต้นไปด้วยนะ ไม่ได้ฟังแบบ โอ้ย พรุ่งนี้เราจะต้องไปล้มรัฐบาล ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจ ว่า เออ แต่ก่อน เราฟังเพลงนี้ตั้งแต่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่เลยนะ"

“ตอนนี้ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมด มีไม่กี่วงหรอก เป็นเพลงเพื่อชีวิตที่ปลอบโยนจิตวิญญาณของคนที่ทำงาน แล้วเหนื่อยล้าอยู่ เพราะคนที่ฟังเพลงเพื่อชีวิตส่วนมากจะเป็นคนที่ทำงานแล้ว บางคนเริ่มฟัง อายุ 25 , 28, 30 พอได้ฟังเพลงเพื่อชีวิต เฮ้ย มีกำลังใจว่ะ มีแรงจัง บางคนบอกผมนะ พอได้ฟังเพลงลมรำเพย โห น้า นี่ชีวิตผมเลยนะ หรือบางคนเพิ่งอกหัก ฉะนั้นเพลงเหล่านี้มันตอบสนองอารมณ์ของคนที่ทำงาน ของคนที่อยากมีกำลังใจ แต่ไม่ใช่ตอบสนองอารมณ์ของสังคมทางการเมืองเหมือนสมัยก่อนแล้ว ยุคมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว”

การรำลึกอดีตของพงษ์เทพไม่ต่างอะไรกับคนที่เดินผ่านคืนวันมาจนเมื่อยเท้า แม้อายุของผู้แต่งจะเริ่มยื่นเข้าสู่ช่วงปัจฉิมวัยแล้ว แต่บทเพลงของเขาเพิ่งจะมีอายุครบเบญจเพสไปเมื่อปีที่ผ่านมา แน่นอนว่า ถ้าเป็นคน 25 ปีคือวัยหนุ่มจัดที่เพิ่งจะเริ่มสร้างตัว แต่สำหรับการทำงานเพลงอย่างต่อเนื่องจริงจัง 25 ปีคือช่วงเวลาที่เนิ่นนานหนักแน่น และมีค่าเพียงพอที่จะทำอะไรพิเศษเพื่อฉลองให้กับวาระดังกล่าว

“พอทำงานครบ 25 ปี เราก็คิดว่ามันเป็นตัวเลขสากลที่น่าจะบันทึกความทรงจำ หรือคุยกันไว้บ้าง แล้วรุ่นผมเขาก็จัดกันไปหลายคนแล้วนะ ก็คงคิดคล้ายๆ กันว่ารุ่นพวกเราก็ประมาณนี้ ทีนี้ 25 ปีมันก็เป็นเวลาที่เหมาะสมพอสมควร ที่งานมันทำมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่ใช่น้อย ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะชวนเพื่อนๆ มาหรือประกาศบอก บางคนอาจจะไม่รู้ว่าเราทำงานมา 25 ปี บางคนอาจจะจำไม่ได้ หรือบางคนอาจจะคิดไม่ถึง เฮ้ย แป๊บเดียว 25 ปีแล้วเหรอ ก็อยากจะบอกว่า ฉันทำงานมา 25 ปีแล้วนะเพื่อนนะ แล้วจะคัดเพลงที่ทำมาทั้งหมด ทุกอัลบั้ม อัลบั้มละเพลงสองเพลง มาร้องให้ฟัง บางเพลงอาจไม่เคยได้ฟังเลย มีหลายเพลงที่ไม่เคยได้เล่นเลย เพราะว่ามันเล่นตามงานทั่วไปไมได้ ต้องเฉพาะ ต้องนั่งลง ตั้งใจฟัง อะไรแบบนั้น”

25 ปีจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Exclusive Acoustic Concert พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ Live in Bangkok คอนเสิร์ตชื่อฝรั่งที่ศิลปินไทยชาวไร่จะบรรทุกบทเพลงกว่า 40 บทและบทกวีอีกจำนวนหนึ่งไปขับขานบนยกพื้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่งผู้ชมของหอ ประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันพุธที่ 13 และ พฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
“ผมอยากบอกเพื่อนว่า ผมทำงานมา 25 ปีแล้วนะ อันไหนไม่ดีก็ขออภัยแล้วกัน อันไหนดีก็ยินดีให้เพื่อนเก็บซึมซับเข้าไปในความฝัน ความคิด หรือว่าต่อเนื่องอะไรได้ก็ต่อไป ถ้าเพลงผมทำให้เพื่อนรู้สึกคลายเหงา คลายกังวลได้บางเวลา ก็มีความสุขแล้ว ถ้ายิ่งเพลงบางเพลงทำให้เพื่อนรู้สึกว่า หลุดออกจากความทุกข์ความโศกได้ ยิ่งดีใจ แต่ไม่ได้หวังว่า ต้องให้ทุกคนพอใจในผลงานทุกเพลง เพียงแต่ว่า 25 ปีนี่ตั้งใจจะร้องเพลงให้เพื่อนฟัง ให้มากเพลงที่สุดเท่าที่จะทำได้ และร้องอย่างตั้งใจด้วยครับ”

อดีต เด็กชายชาวโคราชจบเรื่องเล่าเกี่ยวกับบทเพลงของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่หลายคน คุ้นเคย ถัดจากบรรทัดนี้ เรื่องที่เขาจะเล่าต่อไป จะกระหึ่มอยู่บนเวทีที่หอประชุมเล็กๆ แห่งนั้น หลังจากโมงยามแห่งการรอคอยได้เคลื่อนตัวผ่านพ้นเราไปแล้ว



Exclusive Acoustic Concert พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ Live in Bangkok บัตรราคา 1,000 บาท ทุกที่นั่ง จองบัตรได้ที่กลุ่มดินสอสี โทรศัพท์ 0-2623-2838-9 พิเศษ! รับ ‘สมุดภาพเพลง 25 ปีกวีศรีชาวไร่’ ทุกที่นั่ง
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 17:27:42 น.
Counter : 578 Pageviews.  

" บ๊อบ มาร์เลย์ กัญชา อัตถีเพศ เเละ ศาสดาขบถ "



กำเนิด เมื่อ วัน พุธ ที่ 6 กุมภาพันธ์ 1945 ในครรถของ นาง ซีเดลล่า กับ ร้อยเอก นอร์วัล มาร์เลย์ ในชุมชนคนผิวดำ ณ. เมืองเชนต์เเนน์ เป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ระหว่างหลักไมล์ที่แปดกับเก้าระหว่างทางมุ่งสู่อัลวา เรียกตามภาษาคนท้องถิ่นว่า หลักเก้า ประเทศ จาไมก้า มีชื่อเต็มว่า"เนสตา โรเบอร์ติ มาร์เลย์"
เติบโตท่ามกลางชุมชนทาสเเละครอบครัวที่เเตกเเยก ปี 1957 มารดาพาอพยบสู่เมืองหลวงกรุงคิงสตัน อาศัยในสลัม "เทรนช์ทาวน์"ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนจน มีวิถีตามความเชื่อดั่งเดิมของคนดำคือ เชื่อว่าตนเป็นลูกหลานของกษัตริย์ โซโลมอน เเละ เป็นชนชาวยิวพลัดถิ่นรอวันกลับสู่เเผ่นดินของตนถิ่นนี้เป็นเเหล่งกำเนิด วัฒนธรรมและลัทธิ รัสตาฟาเรียนิสม์ (rastafarianism)
ชีวิตวัยเด็กบ๊อบมีนิสัยเห็นเเก่ตัว เเต่ไม่มีนิสัยลักขโมยเเบบเด็กสลัมทั่วไปเขารักเพื่อนเเททุกอย่างเพื่อ เพื่อน อายุ 17 ปีก้เริ่มทุ่มเทให้กับการร้องเพลงฝึกฝนอย่างจริงจัง
เริ่มจากการร้องในโรงภาพยนต์ เเละไช้เวลาหลังจากเลิกเรียนหัดร้องเพลงกัเพื่อนๆเเทนการทำการบ้าน
ได้มีโอกาสเรียนรู้ด้านดนตรี จาก โจฮิกก์ส ศาสตราจารย์ข้างถนนที่มีความสามารถทางดนตรีอย่างเยี่ยมยอด เริ่มก่อตั้งวงดนตรีกับ บันนี เเละ ปีเตอรื เเมคอินทอช เล่นเพลงปีอปอเมริกาเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพในระหว่างฝึกฝนด้านดนตรี เเละมีเเผ่นเสียงของตนเองออกจำหน่ายในปี 1962
ปี 1963 ก่อตั้งวง เดอะ เวลลิง รูดบอยสื กับเพื่อน 6 คน
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1966 เเต่งงานครั้งเเรกกับ ริต้า เเอนเดอร์สัน
ปี 1960 จังหวะเพลงสกาเริ่มช้าลงเปลี่ยนเป็น ร็อค สเตดี จนผสมผสานระหว่างอเมริกากับจาไมก้ากลายมาเป็น ดนตรีที่เรียกว่า"เร็กเก้"เเต่ยังไม่เป้นที่นิยมเพราะกระเเสเพลงร็อคยังร้อน เเรงอยู่
เวลาผ่านไปบทเพลงเร็กเก้เริ่มเป็นที่นิยมเเละออกสู่ตลาดใน ปี 1968 เป้นผลงานของทูตสื ฮิบเบิร์ต เเห่งวง เดอะ เมย์ตัลส์
จัง หวะเร็กเก้เป็นจังหวะที่เน้นความสำคัญของกลองเเละเบส การไห้จังหวะของกลองเเละเครื่องเป่าจังหวะการเคาะที่เเตกต่างจากจังหวะร็อค คืออยู่ที่จังหวะ 1-3 ไนขณะที่ร็อคอยู่ที่ 2-3
เนื้อหาของบทเพลงสะท้อนถึงลัทธิรัสตาฟาเรียน เเละ วิพากษ์วิจารณ์สังคมตามมุมมองของชาวรัสตา
ปี 1966 ประเทศจาไมก้าตกอยู่ในภาวะร้อนระอุบทเพลงเนื้อหาเริ่มร้อนเเรงขึ้นอันเป็นผล มาจากการปราบจราจลระหว่างผิวในปี 1965 ติดตามด้วยกระเเสต่อต้านคนดำ เเละการไล่รื้อสลัมทำหมู่บ้านจัดสรรในเดือนกรกฎาคม 1966
เเละการประทะของกลุมชนที่เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลเเละฝ่ายค้านอันได้เเก่พรรคอนุรักษ์นิยมเเจเเอลพี เเละพรรค สังคมนิยมพีเอ็นพีฝ่ายค้าน

ธันวาคม ปี1976บ๊อบเเละเพื่อนร่วมวงถูกลอบยิงระหว่าซ้อมดนตรีเพื่อนเเสดงในคอนเสิร์ต smaile jamaicaเพื่อปรองดองความขัดเเย้งของฝ่ายต่างไนจาไมก้าตามคำขอของ นาย เเมนเลย์ เเห่งพรรคสังคมนิยมพีเอ็นพี ที่ บ๊อบ ถือหางอยู่

วันที่ 17 เมษายน 1980 บ๊อบได้รับเชิญไห้ร่วมเล่นดนตรีในพิธีเฉลิมฉลองเอกราชของประเทศ ซิมบับเวที่เคยป็นอาณานิคมของอังกฤษตั้งเเต่ปี 1965

ซิมบับเว เป็นประเทศเอกราชลำดับที่ 50 ของทวีปอัฟริกา

วัน จันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 1981 เวลา 11.45 น. บ๊อบ มาร์เลย์ ราชาเร็กเก้ เสียชีวิตที่ โรงพยาบาลชีดาร์ ออฟ เลบานอน ในไมอามี่ อเมริกา รวมอายุ 36 ปี ด้วยสาเหตุ คือโรคมะเร็ง ที่เริ่มจากเเผลที่นิ้วเท้าจากการเตะฟุตบอลกีฬาที่เขาชื่นชอบ
ศพของบ๊อบ มาร์เลย์ ถูกนำไปฝังที่หลักเก้า บ้านเกิด ศพนอนภายในโลงสีบรอนซ์สวมเจ็คเก็ตผ้าเดนิม นิ้วมือขวาวางบนคัมภีร์ไบเบิลเปิดกางไว้ที่ บท psalm 23 ส่วนมือซ้าย วางทาบบนกีตาร์ กิ๊บสัน - เลสพอล สีเเดงเพลิงกีตาร์คู่ใจของเขา...................................อำลาเจ้า นกสันติภาพ
ที่มา : หนังสือ"ศาสดาขบถ" อัคนี มูลเมฆ เเปล




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:16:08 น.
Counter : 2642 Pageviews.  

บทอวสานของปีศาจ

ถึงวันนี้อะไรคือสิ่งที่คุณขับเคี่ยวอยู่

กิเลสมั้ง-- แม้แต่คำว่า 'เราจะรักษาคำพูด' ถ้าเราเน้นมากที่จะรักษาคำพูดให้ได้ มันก็เหนื่อยมาก แต่... แต่มันก็คือบารมี ในเมื่อเราพูดอย่างนี้เราก็ต้องตั้งใจทำให้ได้ ยากลำบากขนาดไหนก็จะทำ มันจะได้อีกระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็ทำด้วยความทุกข์ระทม แต่ถ้าเรามีปัญญา อ๋อ... โอเค มันต้องได้ แต่ต้องรออีกแป๊บนึงนะ มันก็ทำให้เรามีหวังขึ้น

ในอัลบั้ม 'เจ้าชายแห่งทะเล' มีเพลงที่พูดถึงปัญหาของคนอยาก 'ตื่นเช้า'

เกิดสงสัยว่าคุณเคยมีปัญหากับการตื่นเช้าหรือเปล่า
มาก... ทุกคนแหละ มีปัญหากับการตื่นเช้า แล้วเมื่อก่อนผมก็จะชอบตั้งโจทย์ของตัวเอง เช่น บอกว่าเราจะทำอย่างนี้ให้ได้ เราต้องทำตามกฎของตัวเองให้ได้ ถ้าเราทำไม่ได้ เราจะไปทำตามกฎของคนอื่นได้ยังไง ก็จะบอกตัวเองอย่างนี้ แล้วเราทำไม่ได้ ผมก็ไม่เข้าใจว่า ก็ในเมื่อเราเลือกเองว่าจะทำอย่างนี้ แล้วเราเสือกทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันดีกับเราแท้ๆ เมื่อก่อนไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้-- อ๋อ มิน่าล่ะ ทำไมถึงทำไม่ได้ เพราะมนุษย์เราไม่รู้ว่าตัวเราที่อยู่ข้างในอีกส่วนมันคืออะไร นี่คือสัจธรรมที่ต้องไปหากันของแต่ละคน

เหมือนคำพระที่บอกว่า มนุษย์เรามีสองคนในร่างเดียว

ผมเชื่อว่าแรงผลักดันจากส่วนลึกของมนุษย์ในการที่เราทำอะไรไป น้อยคนนักที่รู้ว่าเขาทำไปเพราะอะไร แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนั้นรู้ว่า แรงผลักดันนั้นมันมีอยู่ แล้วค่อยๆ รู้ว่า ในบางครั้งแรงผลักดันนั้นมันมีทั้งดีและไม่ดี และบางครั้งก็รู้ว่าไม่สามารถคอนโทรลมันได้ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้ววันหนึ่งคนคนนั้นจะรู้ว่าแรงผลักดันนั้นมันเกิดจากเหตุอะไร ถ้ามันเป็นเหตุที่ไม่ดีหรือแรงผลักดันที่ไม่ดี ซึ่งมาจากการที่เขาสะสมมา เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ แม้แต่ลายมือ--เขาสามารถเปลี่ยนลายมือได้ หมอดูไม่สามารถมาทำนายลายมือเขาได้อีกต่อไป แม้หมอดูคนนั้นจะเก่งขนาดไหนก็ตาม มีอภิญญาก็ไม่สามารถ เพราะคนคนนั้นสามารถรู้จากตัวเองได้แล้ว เขาเลือกทางของเขาได้แล้ว

ถ้าให้ประเมินตัวเอง จากวัยหนุ่มจนถึงตอนนี้คุณเปลี่ยนไปเยอะไหม

เราเปลี่ยนทุกขณะ เราไม่รู้ตัวเอง ตั้งแต่เราคุยกันมาเราเปลี่ยนแปลง เกิด-ดับมาไม่รู้กี่รอบแล้ว คือเราไม่ได้รู้โดยประสบการณ์ แต่รู้โดยเชาวน์ปัญญา แน่นอนประสบการณ์ก็มี เราไม่ได้ถึงขั้นนั้น แต่รู้ว่าความจริงแล้วมนุษย์เราเกิดมาเพื่อความทุกข์โดยแท้เลย เราพูดได้เท่านี้ ที่เหลือก็ต่างคนต่างวิธีรอดไปให้ได้ คนเราเกิดมาแล้วมีเพื่อนที่เจอกัน เขาเรียกว่า 'เพื่อน' หรือกัลยาณมิตร คือให้ตัวเองหรือเพื่อนหลุดออกจากความทุกข์โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง คือเขาหลุดโดยตัวของเราไม่ได้ แต่เขาหลุดโดยการแนะนำจากเราได้ เช่น ตอนนี้คุณกำลังเกลียดใครอยู่ก็เลิกเกลียดเขาไปเลย แค่นี้จบ เลิกเกลียดเขาแล้วมองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ผมเคยเกลียดพ่อ เคยเกลียดเป็นสิบปียี่สิบปี วันหนึ่งถามว่าเราจะหายเกลียดเขาไหม คือลึกๆ แล้วเรายังมีความรู้สึกโดยประสบการณ์ก็ตาม แต่พอเรารู้แล้วเราฝึกตัวเอง พอเข้าใจแล้ว--อย่าว่าแต่พ่อเลย เม็ดกรวดเม็ดทรายเรายังเป็นหนี้เขาเลย คนนี้พ่อเราแม่เราญาติพี่น้องต่อให้เขาทำร้ายเราขนาดไหน ชีวิตเรามีค่ามาก เรามีหน้าที่ชดใช้กับทุกคนที่มีบุญคุณกับเรา พอเราคิดมุมนี้มันก็สบายใจขึ้น แต่มุมนี้ใช่ว่ามันจะคิดได้ตลอด เพราะอารมณ์ไง อย่างเมื่อกี๊มีคนตายขึ้นมาก็เดือดแล้วก็ค่อยๆ ทยอยลงเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา เช่นเดียวกับทุกปรากฏการณ์มันจะค่อยๆ คลี่คลาย แต่ที่จะช่วยได้เราต้องเอาตัวเองก่อน ไม่ไปอะไรมากมาย แต่ในสถานการณ์ที่ได้ยินข่าวร้ายอย่างนั้น ก็ทำใจไม่ได้ แค่ได้ยินข่าวว่าคนแก่ล้ม แค่ได้ฟังเราก็จินตนาการไปก่อนแล้ว ทั้งที่ความจริงอาจจะแค่ล้มแล้วเข่าถลอก ที่พูดมาไม่ใช่ว่าทำได้ ถ้าทำได้ไม่มาพูดแล้ว (หัวเราะ) แต่รู้ได้เลยว่าผมมีความสุขขึ้น

เท่าที่นั่งคุยกันมา ดูเหมือนว่าคุณพยายามพูดถึงความสุขตลอดเวลา…

ก็นี่ไง นั่งคุยกัน ปกติสัมภาษณ์ไม่มีความสุขขนาดนี้นะ รู้สึกแปลกใจตัวเอง คุยเรื่องเครียดๆ แล้วก็กลับมาแฮปปี้

เหมือนคุณประกาศตัวว่าคุณเจอความสุขแล้ว แล้วคุณก็อยากจะพูดให้คนอื่นฟังว่าคุณเจอความสุขแล้ว…

คุณรู้สึกอย่างนั้นไหมล่ะ แล้วมันจะเขียนออกมาเป็นข้อความแล้วคนอ่านๆ แล้วรู้สึกอย่างนั้นได้ไหม... ได้ไหม

ผมเชื่อว่าได้…

ถ้าได้-- ผมก็คือละออง คุณก็คือละออง ที่มาช่วยกันกระจายกันว่ามีความสุขนะ แม้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเราก็ยังยิ้มได้ ต้องฟ้ามืดจริงๆ เพราะถ้าฟ้าไม่มืดจริงๆ ดาวไม่สวยหรอก ขนาดมีแสงนิดหนึ่งจากนีออน มันก็ไม่แจ่มแล้ว

แต่บางคืนฟ้ามืดก็มองไม่เห็นดาวสักดวง…

บางทีชีวิตมันต้องอดทน... บางครั้งแต่งเพลงออกไปน้ำตามันต้องไหลออกมา มันต้องแบบนั้นเลยนะ แม่งเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วเราก็รู้ อ๋อ... ที่เราบอกตัวเองอย่างนั้นมันก็เป็นจริงนะ เราผ่านได้ ไม่ได้ตาย ไม่ได้ทรมาน

คุณอายุขนาดนี้ ต้องพยายามเลี้ยงความเป็นหนุ่มให้อยู่ให้ได้นะ ไม่อย่างนั้นมันเฉานะ คุณสัมภาษณ์คุยกับคนเยอะแยะใช่ไหม พูดตรงๆ ความรู้มากกว่าผมเยอะในเรื่องต่างๆ เพราะมันฟังมาหลากหลาย ปัจเจกบุคคลทั้งนั้น ถูกไหม ยังมีโอกาสที่จะสะสมและตกตะกอนมากมาย แต่ถามว่าแล้วไง…

มันก็แค่เชาวน์ปัญญา…

เออ... ก็แค่เชาวน์ปัญญา ก็รู้ว่าบุหรี่ไม่ดี อย่าไปดูดนะมึง! แต่เชาวน์ปัญญามันทำอะไรไม่ได้ มันต้องมีประสบการณ์จริง แล้วคุณต้องรู้ก่อนว่า ทำไมคุณจึงสู้มันไม่ได้ แล้วตอนที่สู้มันไม่ได้ ก็ไปอยู่ใกล้ๆ มันก่อน เอาหัวอิงพิงมันหน่อย แต่ว่าไม่ใช่ยอมมันหมดนะ พิงมันหน่อย เสร็จแล้วต้องลุก มันต้องมีเทคนิค เทคนิคไม่ได้หากันง่ายๆ นะ ไม่อย่างนั้นยุคนี้ก็มีพระพุทธเจ้ากันหลายองค์แล้ว เรารู้แค่นิดหนึ่งแล้วเอามาใช้ มันก็เป็นประโยชน์มหาศาลแล้ว

บุหรี่ใครว่ามันธรรมดา บุหรี่มันไม่ธรรมดานะ เราไม่ได้ติดบุหรี่ เราติดความรู้สึกทางร่างกายของเรา แล้วความรู้สึกเรามันไม่ได้อยู่ที่บุหรี่นะ บุหรี่มันแค่เหมือนเป็นตัวอะไรบางอย่าง ความรู้สึกที่เราไขว่คว้าหามัน บางทีมันยิ่งกว่าเมียเราอีก บางคนบอกกูตัดใจทีเดียวก็จบ บางคนได้ บางคนไม่ได้ แต่อย่าดูถูกตัวเอง!! เรารู้ว่าสู้มันไม่ได้ เราก็ยอมรับมันไปก่อน แต่หาวิธีเล่นกับมันให้สนุก ให้มันมีเทคนิค แล้วกลับมาเรื่องแรกเลย-- คือลมหายใจเข้าก็คือดูดเข้าไปใช่ไหม พ่นออกมาก็หายใจออก นี่ไง-- ก็รู้แล้วว่าลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตรงไหน นี่ไง-- หายใจแบบนี้แล้วสบายใจใช่ไหม แต่มันต้องทำทุกครั้ง ก่อนจะสูบ-- ลองหายใจก่อนว่ามันหายใจยังไง เล่นกับมันไง มันเรียกร้องปฏิกิริยาทางร่างกาย แล้วเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่บุหรี่ แต่มันเป็นปฏิกิริยาทางร่างกาย พอเรามีความรู้สึกทางร่างกาย-- อาการมันคล้ายๆ กัน
เราแพ้มันอยู่แล้ว อย่าบังอาจ!! ต่อให้เลิกบุหรี่ได้ก็ไปติดเรื่องอื่น มันเป็นกระแสกรรม กระแสกรรมคือไม่ใช่กรรมที่เราเห็นว่าดีไม่ดีนะ แต่เป็นกระแสการกระทำที่ติดยึดไม่สามารถออกมาเป็นอิสระได้ โดยธรรมชาติของจิตมันต้องโดดเด่นออกไปเลย แต่ด้วยธรรมชาติของกรรม มนุษย์มันจะเป็นแบบนี้

คำก็แพ้สองคำก็แพ้ แถมห้ามอย่าไปหือกับมันอีก หรือท้ายที่สุดแล้ว ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่มนุษย์จะตาย เขาก็ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ แค่นั้นหรือ

ถ้าเขายอมรับได้ มันไม่แค่นั้นนะ การยอมรับตรงนั้น ความเจ็บปวดจะรุนแรงมาก ถ้าเราขาหัก โดนรถชน หรือกัดลิ้น ไอ้วินาทีที่จะตายนั้นมันเป็นร้อยเป็นพันเท่า จิตมันไม่สามารถจะยอมรับความเป็นจริงได้ มันจะกระเสือกกระสนให้มันรอด แต่คนที่องอาจยอมรับความตาย เหมือนนักรบที่โดนยิง นั่นองอาจจริงๆ แต่คนไม่ฝึกก็ยาก ถึงไม่ฝึกแล้วเขาทำได้ ก็ต้องยอมรับว่าเขามีศักยภาพ การยอมรับความจริงคือธรรมะขั้นต้นเลยนะ จิตของเราด้านใดด้านหนึ่ง เรามันสู้เขาไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นเราไม่เป็นไปตามกระแสหรอก ทำไมความทุกข์ถึงรุนแรงนัก ทั้งๆ ที่บางเรื่องมันไม่มีเหี้ยอะไร ทำไมทุกข์ขนาดนั้น เพราะจิตมันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราไปฝืนเขา (จิต) มาก เช่น ตัดเลย บางคนโชคดีตัดได้

กรณีบุหรี่ อย่าไปหือกับมัน เอาหัวพิงไว้ (ยิ้ม) อย่างผู้หญิงก็เหมือนกัน อย่าไปหือเชียวนะเธอ พระที่แบบว่าตัดได้แล้วไปอยู่ตรงนั้น นั่นแค่ตัดนะ ธรรมชาติของมนุษย์เกิดมาเพื่อผสมพันธุ์ ไปฝืนได้ไง! ฉะนั้นท่านต้องมีศิลปะชั้นสูงมาก จะเอาไปอิงมันยังไง จะรู้มันได้ขนาดไหน เขาถึงบอกว่าคนเราต้องมีวิหาร คนที่มีวิหารคือวิหารธรรม หมายถึงว่าจิตมันควรจะไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ นั่นคือวิหาร แต่คนอย่างเราไม่ใช่วิหาร เราเป็นพวกอบายทั้งหลาย ซึ่งไปเกาะอยู่กับอบายทั้งหลาย แล้วเราต่างยอมรับมัน

นี่หรือที่เรียกว่าศิลปะการใช้ชีวิต

ไม่เรียกศิลปะจะเรียกว่าอะไร ก็ศิลปะมันคือแบบนี้ มันมีความสวยงาม ขณะเดียวกันมันบ่งบอกเส้นทางไปสู่สัจธรรมได้ด้วย แต่ถ้าคุณจะพบสัจธรรม แต่นี่คือศิลปะทั้งทางโลกและทางธรรม คุณต้องเข้าใจมัน และยอมรับมัน ผมจึงบอกเสมอว่าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้เพราะมันสะอาดเกินไปสำหรับผม แต่เรารู้ว่าอย่างไหนสะอาดหรือสกปรก เราก็รับมันได้ แล้วปรับเปลี่ยนตัวเอง ในเมื่อเราเกิดมาไม่เกินร้อยปี ในวันที่เราจะตายทำไมเราไม่ตายด้วยจิตใจที่เบิกบานไม่สกปรก

ศิลปะเป็นคำที่ไพเราะสำหรับผมมาก พอๆ กับคำว่าหนุ่มสาว ผมตีตามความหมายของตัวเองต่อคำว่าศิลปะ 'ศีล' คือข้อบังคับ ไม่ใช่ข้อบังคับของศาสนา แต่เป็นข้อบังคับของกฎธรรมชาติ 'ปะ' แปลว่าโดยรอบ แล้วมารวมกันมันก็แปลว่า 'ข้อบังคับโดยรอบของกฎธรรมชาติ' แล้วถ้าคุณอยู่ในนี้นะคุณก็จะปลอดภัย นี่ตีความเอาเองนะ (หัวเราะ)

ฟังจากชื่ออัลบั้มปีศาจอวสานที่คุณกำลังทำ ราวกับคุณต้องการบอกว่า ปีศาจในคุณมันกำลังจะอวสานแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า

ไม่-- มันไม่ได้บอกอะไรตัวผมเลย ต้องเข้าใจก่อนว่า เราก็เป็นแค่คนเล็กๆ คนหนึ่ง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้โด่งดัง แต่เมื่อก่อนไม่คิดอย่างนี้หรอก เมื่อก่อนคิดว่ากูต้องยิ่งใหญ่มาก (หัวเราะ) คือถึงคุณคิดว่าผมไม่ยิ่งใหญ่ แต่ผมยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดเยอะ

ถึงวันนี้ ความกราดเกรี้ยว ความแรงของคุณตกลงไปเยอะไหม

มันไม่ได้ตกหรอก มันเปลี่ยนรูป เมื่อก่อนอาจจะมุ่งหน้าไปทางที่อยากจะทำอะไรที่เป็นตัวเรา ความคิดของเรา ตอนนี้เราก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ แต่วิธีที่จะเอาออก เรารู้แล้ว รู้วิธีที่จะเอาออกแล้ว พูดง่ายๆ เหมือนกับที่เราจะไปถ่ายรูปกัน (ถ่ายภาพประกอบบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้) ไม่ต้องไปคาดหวังมันมาก สบายๆ ออกมาดีก็ดี แต่ถ้าต้องมาเดินแบบนั้น ทำแบบนี้ มันก็ไม่ได้ ในวันนั้นเราเคยทำแบบนี้แล้ว-- มันไม่ได้ไง แล้ววันนี้จะไปเป็นเหี้ยอะไร เราก็ไม่ต้องไปซีเรียสกับมัน เราทำแค่เรามีความสุข คือแค่เปลี่ยนมุม ต้องทำให้ดีนะ แต่ไม่ต้องไปซีเรียส

เมื่อก่อน ผมต้องแปลก กูต้องไม่เหมือนใคร แต่ความธรรมดาก็ไม่เห็นเป็นไรเลย คือถ้าเรารีแล็กซ์ มันอาจจะต้องเกิดจากตัวเราเอง แล้วเป็นไปได้ว่ามันจะเกิดเฉพาะช่วงเวลาห้านาทีสิบนาที แต่เราต้องฝึกบ่อยๆ เหมือนเราสูบบุหรี่ ไอ้วินาทีที่เราพ่นควันออกไปนั่นน่ะรีแล็กซ์แล้ว แต่ทำให้มันยาวขึ้น แต่มันก็เกิดรีแล็กซ์จากปฏิกิริยาของเคมี ไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาจากตัวเราเอง โดยธรรมชาติของเราเอง ถ้าเกิดจากปฏิกิริยาโดยธรรมชาติของตัวเราเองนะ บางทีเราเหนื่อยๆ มากเลย เดินไปเงยหน้าขึ้นเห็นใบไม้กับลมไหวๆ มันก็รีแล็กซ์ได้เลยนะ ถ้าใจมันจะรีแล็กซ์นะ อยู่ตรงไหนมันก็รีแล็กซ์ ถ้าเครียดอยู่ไหนมันก็เครียด

ทุกเช้าตอนตีสี่ เมื่อตื่นขึ้นมาส่องกระจก คุณมองเห็นอะไร

เห็นความแก่ ความเหี่ยวเยอะขึ้นเยอะ บางคนเราไม่เจอกันนานๆ มาเจออีกทีทำไมแก่จัง แต่ถ้าเราเจอกันทุกวันก็ไม่รู้ เหมือนเพลง 'พรุ่งนี้' (จากอัลบั้มเพื่อนของฉัน) ที่บอก 'ลืมตาอยู่ ก็ไม่รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง' คือมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลืมตาก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลง เพราะมันเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ไง มันเปลี่ยนไปในระดับที่เล็กมาก เหมือนกับไฟ มันเป็นกระแสแต่เรามองไม่เห็น ก็เห็นแค่มันนิ่งๆ อยู่ มันเร็วมาก สัจธรรมมันเร็วประมาณนั้น แล้วสายตามนุษย์มันหยาบ มันมองไม่เห็น แต่ถ้าเรารู้เราเข้าใจว่ามันเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ ถ้าเราฝึกปฏิบัติให้มันได้ขนาดนั้น แต่มันต้องฝึกไง มันยาก แต่มันก็สนุก แล้วมันก็ดีกับตัวเอง ดีกับคนอื่น

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถฝึกแบบนั้นได้ มันจะ new ทุกอย่าง เราจะรู้สึกถึงพลัง ผมก็หวังว่าชาตินี้คงทำได้บ้างนะ ผมอาจจะกลายเป็นคนที่น่าอิจฉาคนหนึ่ง อ่ะ!! อีก 10 ปีเจอกัน (หัวเราะ)




ปฐมพร ปฐมพร เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2505 เขาเป็นคนไทยแต่ไปเกิดที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว ก่อนจะกลับมาที่ชลบุรี เข้าศึกษาปริญญาตรี สาขาการตลาดที่กรุงเทพฯ ในช่วงนั้น เขาตั้งวงดนตรีกับเพื่อนในนามวง GAY เข้าประกวดวงดนตรีของสโมสรผึ้งน้อยจนได้รางวัลชนะเลิศ ได้เซ็นสัญญากับทางสโมสร ทางวงได้บันทึกเสียงเดโมเทปโดยมีโปรดิวเซอร์อย่าง อัสนี-วสันต์มาดูแลให้ และได้เปลี่ยนชื่อวงมาเป็น May 21st หลังจากนั้นอีก 2 ปี ได้เซ็นสัญญากับค่ายรถไฟดนตรีในฐานะศิลปินเดี่ยว เขาพยายามที่จะเอาวงเข้าไป แต่ก็ไม่สำเร็จ นั่นเป็นที่มาของสีดำที่คาดใต้ดวงตาเป็นการไว้อาลัยแกเพื่อนๆ ร่วมวง เขาได้ออกอัลบั้มแรกชื่อชุด 'ไม่ได้มามือเปล่า' จนกระทั่งวันนี้ยังคงผลิตงานเพลงออกมาในนาม pry under poet's mind project ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่รองรับงานของเขาโดยเฉพาะ ในวัย 46 ของพราย เขากำลังสนใจและมุ่งหน้าฝึกปฏิบัตินั่งวิปัสสนากรรมฐาน




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2552 13:17:27 น.
Counter : 464 Pageviews.  

1  2  

night prayer88
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Bookmark and Share

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add night prayer88's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.