|
||||
Test
หายไปนาน ไม่ได้อัพอะไรซักอย่าง... ทริปกินและนอน ณ ภูเก็ต(อีกแล้ว) Holiday Inn ไม้ขาว & Dream Hotel Phuket
ชีวิตนี้ก็ไม่คิดว่าจะได้ไปเที่ยวภูเก็ต 3 ครั้งติดในรอบ 2 ปี เพิ่งพาพ่อกับแม่ไปเมื่อเดือนตุลาคม 2559 ถัดมาอีกไม่กี่เดือนก็ไปอีกครั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ถามว่าภูเก็ตมีอะไรดี ทำไมต้องไปถี่ขนาดนั้น คำตอบคือ ได้ที่พักฟรีและโปรตั๋วเครื่องบินราคางาม ![]() 1. ที่พักฟรีจากเพจกาลครั้งหนึ่งฉันเคยไป ได้ที่พัก 1 คืน โรงแรม Holiday Inn หาดไม้ขาว 2. ตั๋วเครื่องบินไทยสไมล์ ราคาขาละ 750 บาท รวมไปกลับคนละ 1500 บาทถ้วน 3. ซื้อวอชเชอร์โรงแรมดรีมโฮเทลภูเก็ต ในราคาคืนละ 2600 บาท ![]() ทริปภูเก็ตคราวนี้เดินทางเมื่อวันที่ 19-21 กุมภาพันธ์ 2560 คราวนี้ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหน เพราะด้วยความที่เคยมาแล้ว เลยไม่รู้จะไปซ้ำอีกทำไม เลยไปหาอะไรกินแล้วก็เข้าโรงแรม เล่นน้ำและนอนเล่นเท่านั้น . . เริ่มต้นการเดินทางด้วยสายการบินไทยสไมล์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นไทยสไมล์ ส่วนตัวก็ประทับใจในระดับหนึ่ง ของว่างอร่อยดี พนักงานก็บริการดี มีจอทีวีให้ดูด้วย แต่ไม่มีเสียง มีแต่ภาพ ![]() ![]() ช่วงนั้นที่ไป สนามบินภูเก็ตกำลังปิดบางส่วนเพื่อปรับปรุงสนามบิน ทำให้สถานที่ดูงงๆไปหน่อย ออกมาจากตัวอาคารเลยดูงงๆ ไปไม่ค่อยถูก แถมที่รอรถก็ร้อนด้วย คราวนี้เช่ารถของ Poo&Bell เจอใน facebook เจ้าของบริการดี พูดจาดี รถก็ใหม่ดี ได้เป็นยาริสตัวใหม่ ในราคาวันละ 800 บาท แต่มีมัดจำ 2000 บาท เจ้าของจะขับมารับที่สนามบิน เพื่อไปเซ็นสัญญาที่บ้าน อาจจะไม่สะดวกสำหรับบางคน ![]() พอทำสัญญาเช่ารถเสร็จ ก็ขับไปหาอะไรกินที่ร้านพิเศษ แถวย่านเมืองเก่า ที่ไปกินร้านนี้เพราะ ได้วอชเชอร์มา 500 บาท เลยไปกิน รสชาดก็โอเค อร่อยดี ใครมากินร้านนี้ต้องสั่งเลยก็คือชาเย็น แก้วเบ้อเริ่มเทิ่มมาก กิน 2 คนยังไม่หมดเลย ![]() พอบ่ายๆก็เข้าที่พักเลย เพราะไม่รู้จะไปไหน จึงขับรถไปยังหาดไม้ขาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม Holiday Inn ไม้ขาว หาดไม้ขาวอยู่ติดกับสนามบินภูเก็ต จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาดูเครื่องบินขึ้นลง นี่ก็เป็น 1 ในนั้นที่มาดู 555 แดดร้อนมาก ไม่สู้ เลยได้รูปมาแบบกากๆ ![]() ![]() แล้วก็เดินทางมาถึงโรงแรม Holiday Inn ไม้ขาว เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่ สถานที่กว้างขวางดี ที่จอดรถจะอยู่ด้านขวาของบริเวณทางเข้า ลงไปใต้ดิน ก็ดูเป็นสัดส่วนดี จอดรถเสร็จก็เข้ามาเช็คอิน บริเวณ Lobby จะดูโปร่ง โล่งดี ![]() ![]() ![]() จากนั้นจะได้คีย์การ์ดและพนักงานจะพาไปที่ห้องพัก ![]() ![]() ![]() ความโชคดีของการเข้าพักในวันนี้คือ นอกจากจะได้พักฟรีแล้ว ทางโรงแรมยังได้อัพเกรดห้องพักให้ จากเดิมเป็นห้อง Deluxe เป็นห้อง Kid's Suite หมายเลข 7407 เหมาะกับครอบครัวที่เด็กเล็ก ห้องแบบแฟมีลี่สุดๆ กว้างขวาง ![]() ![]() ![]() ตอนแรกไม่รู้ว่าทางโรงแรมอัพเกรดห้องพักให้ เพราะพนักงานไม่ได้แจ้งอะไร พอเข้าห้องมาถึงได้รู้ เพราะห้องมันกว้างมาก ก็งงว่าทำไมมีประตูเยอะจัง 555 ห้องพักก็กว้างขวางมากมาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ![]() ![]() ![]() ![]() เตียงนอน หมอน ผ้าห่ม ดูดวิญญาณสุดๆ แทบไม่อยากตื่นเลย ชอบที่มีโซฟาอยู่ปลายเตียง ไว้นั่งนอนดูทีวี แต่โซฟาแอบเปื้อนเยอะเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ห้องสำหรับเด็กๆ มีเตียงสองชั้น ที่นอน หมอน ผ้าห่ม นุ่มมากกกกกก นี่เป็นผู้ใหญ่ยังอยากนอนเลย มีเครื่องเล่นเกม PS4 สามารถยืมแผ่นเกมได้ที่ Kid's Club ![]() ![]() ![]() ห้องน้ำจะแยกส่วนที่อาบน้ำกับส่วนที่เป็นส้วมคนละห้องต่างหาก ![]() มีทั้งแบบอ่างอาบน้ำและฝักบัว ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ตู้เสื้อผ้าจะอยู่ตรงกลางห้อง ติดกับห้องอาบน้ำ สามารถเปิดบานเลื่อนได้ทั้งสองฝั่ง จะมีชุดคลุมอาบน้ำ รองเท้าแตะใส่ในห้อง เตารีด ตู้เซฟ ![]() ![]() ![]() ![]() ระเบียงห้องจะมีโซฟาและโต๊ะ ไว้นั่งชิวๆ ![]() ด้านล่างจะเป็นห้องที่แบบพูลแอคเซส สามารถเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย ![]() ![]() เก็บของ สำรวจภายในห้องพักเสร็จ ก็เปลี่ยนชุดลงมาเดินเล่นบริเวณโรงแรม ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สระว่ายน้ำที่นี่ก็กว้างพอประมาณ มีเค้าท์เตอร์เครื่องดื่มและห้องอาหาร ตอนค่ำจะมีดนตรีสดให้ฟังด้วย และสามารถยืมผ้าเช็ดตัวและเสื่อไปปูนอนที่ชายหาดได้ มีกิจกรรม เกมให้เล่นเยอะมาก ทุกมุมของโรงแรมเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Kid's Club มีกิจกรรมสำหรับเด็กๆเยอะมาก และสามารถยืมแผ่นเกมได้ที่นี่ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() แล้วก็ยืมเสื่อไปปูนอนเล่นที่ชายหาดกันดีกว่า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() นั่งดูพระอาทิตย์ตก ก็ชิวๆดี แล้วก็มี Happy Hour สั่งเครื่องดื่ม 1 ฟรี 1 แก้ว ![]() สระว่ายน้ำตอนกลางคืน คนน้อยมาก แทบไม่มีคนเล่นเลย แต่ตอนเช้าถึงเย็นนี่คนเต็ม ![]() ![]() ![]() สำรวจบริเวณรอบโรงแรมตอนกลางคืนกันต่อ ที่บริเวณ Lobby จะมีโซฟาให้นั่งเยอะดี ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() มีแผ่นดีวีดีหนังให้ยืมไปดูที่ห้องพักด้วย หนังค่อนข้างใหม่พอสมควรเลย ![]() ![]() แล้วก็เครื่องแมคให้นั่งเล่น ![]() คาเฟ่เล็กๆ มีเครื่องดื่มและขนม รวมถึงของฝากต่างๆ ![]() ![]() ![]() ![]() เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาอาหารเช้า ณ ห้องอาหาร J's cafe & restaurant ไลน์อาหารเยอะดี อร่อยดีด้วย แขกเยอะเลยไม่กล้าถ่ายมาก กลัวจะรบกวนท่านอื่น ![]() ![]() ![]() กินอาหารเช้าเสร็จ ก็เดินเล่น นอนเล่น พอเที่ยงก็เช็คเอ้าท์ เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมดรีม ภูเก็ตต่อไป . . Dream Hotel Phuket อยู่ที่หาดบางเทา ซึ่งตัวโรงแรมไม่ติดชายหาด อยู่ห่างจากชายหาด 4 กิโลเมตร นั่งรถประมาณ 5 นาที โดยจะมีรถตู้ของโรงแรมรับส่งให้ ซึ่งโรงแรมจะมีบีชคลับ ซึ่งเป็นจุดขายของที่นี่ เมื่อไปถึง เช็คอิน ก็ได้รับเวลคัมดริ๊งค์เป็นน้ำลิ้นจี่และพวงมาลัยเล็กๆน่ารัก ![]() ![]() ![]() ![]() จากนั้นก็เข้าห้องพัก ห้องที่ได้จะอยู่ที่ชั้น 3 ห้องหมายเลข 3301 ![]() ห้องที่พักเป็นห้อง Deluxe ขนาดไม่กว้างมาก ห้องพักจะเป็นธีมสีฟ้าน้ำเงิน พรมสีสวยดี ด้วยขนาดห้องที่ไม่กว้างมาก เตียง เก้าอี้และอุปกรณ์ต่างๆจึงเหมือนวางอยู่เต็มห้อง แต่ก็ไม่แคบมากจนถึงขนาดเดินชนกัน 555 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ภายในตู้เสื้อผ้า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() จะมีสายชาร์จซึ่งมีหลายหัวให้เลือก ก็สะดวกดี ![]() ห้องน้ำที่นี่จะแยกห้องอาบน้ำกับห้องส้วม และมีอ่างอาบน้ำ โดยมีประตูบานเดียวค่อยเลื่อนเอา ประตูก็มีช่อง สามารถแอบดูได้ 555 ![]() ![]() ครีมอาบน้ำ โลชั่น แชมพูและครีมนวดผมของที่นี่ใช้ของยี่ห้อ Elle Spa ซึ่งชอบมาก กลิ่นหอมแบบสดชื่น สามารถขอได้ตลอดเวลาถ้าใช้หมด ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ระเบียงห้องก็จะมีเก้าอี้ให้นั่งเล่น ![]() ห้องด้านล่างเป็นแบบพูลแอคเซส เดินลงสระได้เลย ไม่กว้างมากแต่ก็ว่ายไปมาได้ ![]() ![]() ![]() เก็บของ เปลี่ยนชุด ลงไปเดินเล่นบริเวณรอบโรงแรม ที่ดรีมโฮเทลภูเก็ต สระว่ายน้ำกว้างขวางดี มีเก้าอี้ให้นอนเล่นเยอะแยะเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ที่นี่จะมีสระว่ายน้ำ 2 ที่ ด้านล่างตรงกลางของโรงแรมกับที่ดาดฟ้า ซึ่งชั้นบนจะเป็นสระแนวยาว ไม่กว้างมาก แต่ก็สามารถว่ายไปมาได้ มีเค้าท์เตอร์เครื่องดื่มให้ฟังนั่งจิบเบาๆ ด้านบนวิวดีมาก เห็นภูเขาอยู่ลิบๆ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() และจุดเด่นที่เป็นจุดขายของที่นี่คือดรีมบีชคลับ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 5 นาที จะมีรถตู้รับส่งจากโรงแรมทุกชั่วโมง สามารถแจ้งกับทางโรงแรมได้เลย มาถึงก็แจ้งกับพนักงานว่ามาจากโรงแรม โดยบอกหมายเลขห้อง คนทั่วไปก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สั่งเครื่องดื่มกับอาหารมากินเล็กน้อย ราคาก็แอบสูงตามสไตล์โรงแรม ![]() ![]() ![]() ![]() อยู่บีชคลับถึงประมาณ 6 โมงเย็นก็กลับมาโรงแรม เล่นน้ำที่สระว่ายน้ำโรงแรมต่อ ตอนกลางคืนไม่มีคนเล่นเลย สบาย ชิวๆ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() บรรยากาศของโรงแรมตอนกลางคืน เปิดไฟสวยดี ![]() ![]() ตื่นเช้าก็ลงมากินข้าวเช้าที่ห้องอาหาร อาหารก็มีพอประมาณ แขกเยอะดี ![]() ![]() ![]() เที่ยงก็เช็คเอ้าท์เตรียมตัวกลับ ![]() ก่อนกลับก็ไปกินอาหารร้านดังของภูเก็ต ร้านหมอมูดง อาหารอร่อยมาก ![]() เสร็จแล้วก็ขับรถไปที่บ้านของเจ้าของรถเช่า เพื่อให้เจ้าของไปส่งที่สนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับ เป็นทริปที่ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย 555 กิน นอน เล่นน้ำที่สระว่ายน้ำของโรงแรม แค่นี้จริงๆสำหรับทริปภูเก็ตครั้งนี้... ![]() หนีงานไปติดเกาะที่"Castaway Resort เกาะหลีเป๊ะ"
จองตั๋วโปรแอร์เอเชียข้ามปี ไปกลับกรุงเทพ-หาดใหญ่ คนละ 6xx บาท ไปไฟลท์แรกเพราะถ้าสายกว่านั้นจะไม่ทันรถและเรือ เช็คอินที่สนามบินตี 5 ครึ่ง เครื่องออก 6.30 น. ถึงสนามบินหาดใหญ่ 8.00 น. จองรถตู้และเรือสปีดโบ้ท์ของ Sealection ไปกลับในราคาคนละ 1400 บาท ระหว่างรอรับกระเป๋า คนขับรถตู้ก็โทรมาบอกว่าถึงแล้วให้ออกมาได้เลย ยืนรอสักพักก็ได้ขึ้นรถ ผู้โดยสารมีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้น มีคนไทย 4 คน ระยะทางจากสนามบินถึงท่าเรือปากบาราใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. นั่งกันจนเบื่อ ระหว่างทางรถตู้จะจอดพักที่ปั้ม PT แห่งหนึ่งประมาณ 30 นาที ไปถึงท่าเรือปากบาราประมาณ 10 โมงกว่า ก่อนเวลาที่คิดไว้เยอะมาก ![]() ![]() ก็ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ รับสติ๊กเกอร์ติดหน้าอกและริบบิ้นมัดกระเป๋า จากนั้นก็ไปหาข้าวหมกไก่และชาชักกินที่ร้านบังวร อยู่ตรงใกล้ๆท่าเรือเลย เห็นเขาว่าเป็นร้านดังของที่นี่ รสชาดก็ใช้ได้ ชาชักเข้มข้นดี ![]() ![]() หมดค่าเสียหายไป 110 บาท จากนั้นก็ไปซื้อของที่ 7-11 ตุนไว้ไปกินบนเกาะ ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ไป 3 ขวด ขนม มาม่า ยาสีฟัน ฯลฯ ซึ่งไม่รู้ว่าจะหอบไปทำไมเยอะแยะ ราคาบนเกาะก็ไม่ได้สูงเว่อร์มาก ถ้าไม่อยากหอบหิ้วให้หนัก ไปซื้อเอาบนเกาะจะสะดวกกว่า อีกอย่างขนม มาม่า หอบไปก็ไม่ได้กิน เอากลับมากินที่บ้าน... . . พอได้เวลาน้องพนักงานก็พาเดินมารอเรือที่ด้านในท่าเรือ ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท ![]() ![]() ![]() ![]() แล้วก็เข้ามานั่งรอด้านใน รอเวลาเรือออกตอน 11.30 น. ระหว่างนั้นน้องพนักงานก็จะเอาบัตรคิวลงเรือมาให้ถือไว้ เพื่อเวลาเรือมาจะได้ลงเรือตามลำดับ ก็ดีนะไม่ต้องแย่งกันขึ้น ใครมาก่อนได้ขึ้นก่อนได้เลือกที่นั่งบนเรือก่อน ![]() ![]() เวลา 11.30 น. เรือก็ออก ผู้โดยสารเต็มเรือเลย นั่งเรือยาวไปๆ ซึ่งจุดแรกที่จะแวะให้ลงไปเดินเล่น ถ่ายรูปคือ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ณ จุดนี้เราจะต้องเสียเงินค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท เสียครั้งเดียวแต่เข้าได้ทุกเกาะ หมายถึงว่าหากเราไม่เสียตรงนี้ เวลาเราถึงหลีเป๊ะ เราก็ต้องเสียที่หลีเป๊ะอยู่ดี ไหนๆเสียเงินแล้ว และไม่เคยมา ก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูป สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ ![]() ![]() เรือจะแวะที่ตะรุเตาประมาณ 15 นาที จากนั้นก็ไปแวะที่เกาะไข่ เกาะไข่ เป็นเกาะขนาดเล็ก เป็นเส้นทางเดินเรือระหว่างตะรุเตา-หลีเป๊ะ ซึ่งที่เกาะไข่นี้จะมีซุ้มประตูหินที่เกิดเองตามธรรมชาติขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า "ซุ้มรักนิรันดร" ว่ากันว่าคู่รักคู่ไหนมาต้องไปถ่ายรูปที่นี่ แต่นี่ไม่ได้สนใจซุ้มรักนิรันดรอะไรนี่เลย ที่ชอบคือน้ำทะเลใสแบบใสมาก หาดทรายขาว เนียนนุ่ม เห็นแล้วอยากเล่นน้ำ ณ ตอนนั้นเลย ![]() ![]() ![]() จากนั้นก็นั่งเรือมุ่งหน้าไปที่เกาะหลีเป๊ะต่อทันที โดยไม่แวะที่ไหนอีกแล้ว ตอนเราไปโชคดีที่เรือไม่ต้องไปจอดที่ท่าเรือกลางทะเล เพราะเห็นหลายคนบอกว่า ตอนมาแล้วเรือสปีดโบ้ทจะจอดที่ท่าเรือกลางทะเล แล้วนั่งเรือหางยาวเข้าไปต่อ แต่คราวนี้สปีดโบ้ทไปจอดที่หน้าหาดเลย สะดวกดี ![]() สปีดโบ้ทจะจอดหน้าหาดของบุหงารีสอร์ท ตรงจุดนี้จะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานมาคอยตรวจดูตั๋ว หากใครยังไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานจากตรงเกาะตะรุเตา ก็ต้องมาจ่ายที่นี่ คนละ 40 บาท เราเสียตรงตะรุเตาแล้ว ตอนนี้ก็แค่ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ดูเฉยๆ แต่ก็ต้องเก็บตั๋วนี้ให้ดีๆ ไว้เที่ยวที่อื่นอีก ![]() ![]() รอรับกระเป๋าจากเรือสปีดโบ้ทเสร็จ ก็นั่งรถพ่วงรับจ้างเพื่อไปที่พัก รถรับจ้างของที่หลีเป๊ะจะเป็นมอไซค์พ่วง ซึ่งคนขับเฟี้ยวมาก ซึ่งดี 555 ![]() ![]() อัตราค่าโดยสารตามนี้ คนละ 50 บาท ![]() ระหว่างทางพี่คนขับก็แนะนำดี บอกว่าซอยนี้คืออะไร ถนนคนเดินไปทางไหน บลาๆ แล้วก็มาถึงที่พักที่จะมาติดเกาะ 4 วัน 3 คืน ที่ "Castaway Resort" อยู่หาดซันไรซ์ ทางเข้าอาจจะไม่สวยงาม แต่พอเข้าไปถึงบริเวณรีสอร์ท เหยยยย สวยดีอะ ชอบเลย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ที่ Castaway แขกส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติกว่า 90% ที่เหลือจะเป็นคนไทยและเอเชีย ไปถึงพนักงานก็ให้นั่งรอเพื่อเช็คอิน โดยมีเวลคัมดริ๊งค์เป็นน้ำตะไคร้ เย็นชื่นใจ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดยทำการจองห้องพักกับทาง Lovely Satun Travel เพราะถูกกว่าหากจองกับเว็บโดยตรง จริงๆก็ไม่ได้ถูกกว่าเท่าไรหรอก แต่แค่จองกับเอเจนซี่จะได้รับอาหารเช้า หากจองกับทางเว็บของรีสอร์ทโดยตรงจะมีค่าอาหารเช้าเพิ่ม โดยจองห้อง Big Garden View ไป 3 คืน ในราคา 9600 บาท รวมอาหารเช้า แต่ตอนเช็คอินเกิดผิดพลาด เพราะพนักงานของรีสอร์ทแจ้งว่าราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า เลยต้องรีบทำการติดต่อไปยัง Lovely Satun Travel ทราบว่าทางสำนักงานที่กทม. ไม่ได้ทำการประสานกับทางรีสอร์ทโดยตรงก่อน เลยทำให้เข้าใจผิดคลาดเคลื่อนกัน แต่ทาง Lovely Satun Travel ก็ได้ทำการแก้ไขปัญหาให้โดยดีลกับทาง ซานอมรีสอร์ท ซึ่งอยู่ติดกับ Castaway โดยให้เราไปกินอาหารเช้าที่นั่น 3 วัน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีทีเดียว จากที่อาจจะทำให้เราเสียความรู้สึก แต่เป็นการสร้างความประทับใจให้ในระดับหนึ่งเลย สำหรับการบริการของ Lovely Satun Travel . . เช็คอินเรียบร้อย พนักงานก็พาเดินมายังห้องพัก บ้านพักจะมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องน้ำ ส่วนชั้นบนเป็นที่นอนและมีระเบียงหน้าห้อง และชั้นล่างมีเปลให้นอนเล่น 2 อัน ถ้าเป็นห้องที่ติดทะเล จะฟินมาก ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ที่นี่ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ไม่มีไวไฟ ไม่มีตู้เย็น ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีแต่พัดลมและมุ้ง อยู่แบบดิบๆ อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับอะไรดั้งเดิม ก็ฟินไปอีกแบบ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พอเก็บของเสร็จก็เดินเล่นสำรวจบริเวณรีสอร์ท ที่ Castaway จะมีสอนดำน้ำลึกด้วย และมีแพคเกจดำน้ำแถมฟรีห้องพัก และแน่นอนว่าชาวต่างชาติสนใจกิจกรรมดำน้ำลึกกันมาก เท่าที่อยู่มา 3 คืน จะมีเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปดำน้ำทั้งวัน ![]() ![]() ![]() ![]() มีโยคะ มีสปา มีนวด มีครบทุกอย่างเลยที่นี่ ![]() บริเวณด้านหน้ารีสอร์ท ติดทะเล จะมีห้องแบบบีชฟร้อท์ แพงสุดของที่นี่ ![]() ![]() ![]() ![]() ห้องพักแบบ Comfy ราคาถูกสุดของที่นี่ ไม่ติดทะเล อยู่ในโซนการ์เด้น ![]() ![]() ที่นั่งเล่น นอนเล่น ปกติจะมีชาวต่างชาติมาจับจองที่กันแต่เช้าจนเย็นเลย ![]() โดยเวลา 4 โมงเย็นถึง 6 โมงเย็นจะมีคอกเทล 1 ฟรี 1 คอกเทลของที่นี่รสชาดดีมาก แถมถั่วมาให้เคี้ยวเพลินๆ ![]() พอค่ำๆ ก็ได้เวลาอาหารเย็น จึงได้เดินเท้าจากรีสอร์ทไปที่ถนนคนเดิน ที่นี่ร้านนวดเต็มสองฝั่งข้างทาง ร้านอาหารทะเลก็เยอะ ร้านขายโรตีชาชักก็หลาย ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ระหว่างที่หาร้านอาหารที่ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะกินร้านไหน ก็เดินไปจนสุดทางถึงทางลงชายหาด เดินเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตก สวยดี ![]() ![]() ![]() จนมาเจอร้านรักษ์เล ร้านอาหารที่คนมากินเยอะมากร้านหนึ่งของที่นี่ ด้วยความที่มีอาหารทะเลสดๆวางอยู่หน้าร้าน ติดป้ายราคาชัดเจน แบ่งใส่จานเป็นเซ็ทๆตามราคา ซึ่งราคาก็สูงตามมาตรฐานเกาะหลีเป๊ะ แต่ก็ไม่ได้สูงมากจนกินไม่ลง ส่วนรสชาด อร่อยใช้ได้เลย อาหารสดดี น้ำจิ้มแซ่บ ![]() ![]() ![]() ตลอดเวลา 3 คืนที่หลีเป๊ะ อาหารเย็นจะต้องเดินมากินที่ร้านนี้ทุกวัน เพราะไม่รู้จะกินอะไร ด้วยความที่กินครั้งแรกแล้วติดใจ เลยต้องมากินทุกวัน และเมนูที่สั่งซ้ำๆคือ กุ้งเผาและหอยนางรม ![]() ![]() ![]() ![]() ของคาวอิ่ม ก็ต้องตามด้วยของหวาน มาที่เกาะหลีเป๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้ต้องกินให้ได้เลย คือ โรตีและชาชัก ซึ่งเรามากินที่ร้านเตอร์บิลังสตูล เท่าที่กินมาหลายร้าน ร้านนี้อร่อยที่สุดแล้ว ชาชักเข้มข้นดี ![]() ![]() ![]() ![]() กินอิ่มก็เดินกลับรีสอร์ท นอนหลับพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเที่ยวเกาะวันรุ่งขึ้น . . เช้าวันที่ 2 บนเกาะหลีเป๊ะ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินไปกินอาหารเช้าที่ซานอมรีสอร์ท ข้างๆกันเลย หลังจากเอเจนซี่ดีลเรื่องอาหารเช้าไว้ให้ ![]() จากนั้นประมาณ 9 โมง ลุงไข่ อภัยทัวร์ ที่เราจองเรือหางยาวนำเที่ยวรอบเกาะไว้ก็มารอเราที่หน้ารีสอร์ท (เอาเบอร์มาจากในพันธ์ทิพย์ เขาว่าลุงไข่ใจดีมาก) ลุงแกมาตรงเวลาแบบเป๊ะๆเลย มาถึงก่อนแกก็โทรตาม แกก็มาจอดเรือรอเรา ![]() แล้วลุงไข่ก็พาเราออกเที่ยวรอบเกาะ Let's Go ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เรือของลุงไข่จะมีน้ำอัดลมและน้ำเปล่าให้กิน ซึ่งลุงเตรียมมาให้พร้อมทุกอย่าง (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าลุงแกไม่คิดเงินค่าน้ำเลย แกรวมอยู่ในค่าเช่าเหมาเรือแล้ว) ![]() ผ่านอะไรที่น่าสนใจ ลุงก็จะจอดเรือแนะนำอย่างดี ให้ถ่ายรูปจนกว่าเราจะพอใจ ลุงจึงออกเรือไปต่อ ![]() ![]() ![]() จุดแรกที่ลุงไข่พาแวะคือเกาะราวี เกาะนี้ลุงจอดเรือให้เล่นน้ำ ถ่ายรูปและกินข้าวกลางวัน ตอนที่เราไปโชคดีมากที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากัน มีแค่เราสองคนบนเกาะ(ไม่รวมเจ้าหน้าที่ของอุทยาน) ที่เกาะนี้จะมีเจ้าหน้าที่ขอดูบัตรผ่านอุทยานว่าเราจ่ายเงินหรือยัง ถ้ายังเจ้าหน้าที่จะเก็บเงิน ให้เราเก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ เพราะต้องให้เจ้าหน้าที่ดูทุกครั้ง ![]() ![]() ![]() จุดเด่นของเกาะราวีคือหาดทรายที่ขาวสะอาด นุ่มเท้าและน้ำทะเลที่ใสกิ๊ง ความรู้สึกเหมือนอยู่มัลดีฟยังไงยังงั้น ฟินลืมเลยที่นี่ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อยู่เล่นที่เกาะราวีสักพักใหญ่ๆ เห็นนักท่องเที่ยวเริ่มมากันเยอะ เราก็ไปที่อื่นต่อ จุดต่อไปที่ไปคือเกาะหินงาม ณ จุดนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่อุทยานคอยดูแลอยู่ ที่เกาะหินงามนี้จะมีป้ายตั้งไว้ว่าห้ามวางซ้อนหินกัน เพราะอาจเกิดอันตรายได้ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() จากนั้นก็ไปที่ร่องน้ำจาบัง จุดดำน้ำยอดฮิต ![]() ![]() จนเวลาประมาณบ่าย 3 ลุงไข่ก็ถามอยากไปที่ไหนต่อมั้ย นี่ก็ไม่รู้จะไปไหน เพราะไม่ดำน้ำ ชอบแค่เล่นน้ำ นอนลอยน้ำเล่นเฉยๆ เลยบอกให้ลุงพากลับรีสอร์ทเลย ตอนออกมาจากรีสอร์ทว่าตื่นตาตื่นใจกับน้ำทะเลแล้วขากลับตื่นยิ่งกว่าอีก เพราะทะเลสวยมาก น้ำใสกิ๊งเลย คิดว่าอยู่มัลดีฟ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() มาถึงรีสอร์ทก็จัดการจ่ายค่าเหมาเรือหางยาวให้ลุงไข่ในราคา 1000 บาท มารู้ทีหลังว่าลุงต้องหักให้ทางรีสอร์ทที่ลุงจอดเรือประจำอยู่ 500 บาท ลุงได้ 500 บาท แถมค่าน้ำลุงก็ไม่คิดอีก ใจดีเกิ๊น ลงจากเรือก็มานอนเล่นที่ชายหาดหน้ารีสอร์ท เจอน้องหมาเจ้าถิ่น มานอนเป็นเพื่อน น่ารักชะมัด ![]() ![]() วันที่ 3 บนเกาะหลีเป๊ะ วันนี้ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน นอนเล่น นั่งเล่นที่รีสอร์ท ด้วยความที่คืนก่อนฝนตก ลมพัดแรง ทำให้ตอนเช้าของวันที่ 3 น้ำทะเลใสมาก คลื่นแรง อากาศดี วิวสวย ฟินสุดๆ เหมาะแก่การเล่นน้ำมาก ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ตอนบ่ายก็เดินไปที่ Serendipity รีสอร์ทสุดหรูของหาดซันไรซ์ ไม่มีปัญญามาพัก แต่ก็ขอกินอาหารซะหน่อยละกัน ไหนๆก็มาแล้ว ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() สั่งพิซซ่ากับกุ้งผัดซอสมะขาม และน้ำปั่นไป 2 แก้ว ราคาก็เกือบพัน สูงเอาเรื่อง 555 ![]() ![]() ![]() ![]() วิวจากด้านบน ![]() ชอบตรงบริเวณรีสอร์ทนี้ เพราะเหมือนมีหาดส่วนตัว ![]() ![]() ![]() บรรยากาศตอนกลางคืน นั่งจิบคอกเทลริมทะเล ฟินสุดๆ ![]() ![]() วันที่ 4 วันสุดท้ายของการติดเกาะ ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความจริง ภาพจากในมุ้ง แทบจะไม่อยากตื่นนอนเลยจริงๆ ![]() แต่ก็ต้องบอกลา Castaway Resort ซะแล้ว ![]() 9 โมงก็เช็คเอ๊าท์เรียกให้รถรับส่งมารับที่รีสอร์ทเพื่อไปส่งที่บุหงารีสอร์ท เพื่อให้ทันขึ้นเรือสปีดโบ้ทรอบ 9.30 น. ซึ่งขากลับมาช้า ได้ขึ้นเรือคนสุดท้าย หาที่นั่งไม่ได้ ได้นั่งท้ายเรือ เซ็งมาก... ![]() บายนะเกาะหลีเป๊ะ แล้วจะกลับมาอีกแน่นอน ขอกลับไปทำงานหาเงินก่อน ![]() แหลมเกตอินฟินิท...บุฟเฟ่ท์ทะเลแบบไม่อั้น
ด้วยความที่อยากกินร้านนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนเปิดร้านใหม่ๆ สมัยอยู่แถวอารีย์ ตอนนั้นหัวละ 555 บาท แต่ไม่ได้ไปกินซักที จนได้ข่าวว่าย้ายร้านมาอยู่ที่ใหม่ ไฉไลกว่าเดิม(เขาว่ามา) โดยย้ายมาอยู่ที่ชั้น 2 ตึก SJ Infinite ใกล้ห้าแยกลาดพร้าว ใกล้ BTS หมอชิต เดินทางสะดวก เอารถมาก็มีที่จอดสบายๆเลย . . แต่ก็ด้วยความโชคดีของตัวเองที่เล่นเกมในเพจ Ps story ได้รางวัลกินฟรี 1 ที่ ไปกับ"เค้าเอง"คนดีคนเดิม คนที่ชอบพาไปหาอะไรอร่อยๆกิน ![]() ตกคนละ 333 บาท คุ้มเกินคุ้ม . . หน้าตาวอชเชอร์ โหยยย สวยงามมาก นี่แค่วอชเชอร์ยังหรูขนาดนี้ เป็นการ์ดกระดาษอาร์ตมันแบบแข็ง ยังกะการ์ดเชิญการแต่ง 555 ![]() ![]() การจองก็คือโทรไปจองกับทางร้านโดยตรง แล้วทางร้านจะส่งข้อความ sms มาให้ทางโทรศัพท์ ซึ่งโอเคมากกับการจองร้านอาหารแบบนี้ มันดูเว่อร์วังดี แถมพอใกล้วันจะมี sms มาถามเราอีกครั้ง ว่าเราคอนเฟิร์มที่จะมาทานตามวันและเวลาที่จองไว้หรือไม่ เราก็คลิ๊กคอนเฟิร์มไป . . ร้านจะเปิดเป็นรอบ จำนวน 4 รอบ ได้แก่ 11.30-13.00,13.30-15.00 17.30-19.00 และ 19.30-21.00 ในราคาท่านละ 666 บาท กินได้ไม่อั้นในเวลา 90 นาที มีเมนูให้เลือกทั้งหมด 24 เมนู+น้ำชาดอกไม้(ฟรี) หูยยย คุ้มมมมม . . การตกแต่งร้านตั้งแต่ทางขึ้นบันไดเลื่อนยันในร้าน หรูหรา เว่อร์วีว่ามาก มีพรมแดงให้เดินเข้าร้าน ยังกะมางานกาลาดินเนอร์ยังไงยังงั้น(แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา) มาถึงบริเวณด้านหน้าร้าน จะมีเค้าเตอร์ให้เราไปบอกชื่อที่จองกับพนักงาน แล้วพนักงานจะให้เมนูซึ่งเหมือนหนังสือพิมพ์ แล้วเราก็ติ๊กเครื่องหมายลงไปในนั้น พร้อมกับให้เซ็นสัญญาในการทานอาหาร ว่าถ้าหากเรากินเยอะเกินไปหรือแพ้อาหารทะเล ทางร้านจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น(เห็นบางคนบอกว่าตรงนี้ไม่ค่อยแฟร์เท่าไร) แต่นี่ก็เฉยๆ เพราะเป็นคนที่กินได้ทุกอย่าง ไม่ค่อยแพ้อะไร ง่ายๆคือตะกละนั่นเอง 555 ระหว่างนั่งรอร้านเปิด ก็ถ่ายรูปบริเวณด้านหน้าทางเข้ามาเล็กน้อย ![]() ![]() แล้วเวลา 11.30 น. พนักงานก็ออกมาแจ้งว่าให้เข้าร้านได้ ก็เลยเข้าไป เข้าไปเห็นจุดแรกคือสวยงามดีมาก กับการตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวเต็มร้าน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() แล้วก็มานั่งที่โต๊ะ อย่างแรกที่พนักงานมาเสิร์ฟคือน้ำจิ้มซีฟู๊ด น้ำจิ้มที่นี่อร่อยและแซ่บมาก ![]() ![]() แล้วพนักงานก็มาเสิร์ฟอาหารจานแรก ซึ่งจะได้ทุกโต๊ะโดยที่ไม่ต้องสั่ง แต่คืออะไรก็ไม่รู้ แต่อร่อยดี ![]() อาหารชุดแรกที่สั่งไปก็หลายอย่าง แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่ได้สั่ง เพราะกลัวกินไม่หมด อย่างปลาทอดน้ำปลาก็ไม่ได้สั่ง เพราะเห็นมาเสิร์ฟทั้งตัว กลัวกินไม่หมด ข้อดีของร้านนี้ที่ชอบก็คือ อาหารทะเลสดดี และเป็นบุฟเฟ่ท์ที่ไม่ต้องเดินไปตักเอง นั่งสวยๆสั่งอยู่ที่โต๊ะ รอไม่เกิน 5 นาที พนักงานก็จะเดินมาเสิร์ฟถึงโต๊ะทันที อาหารมาเร็วมาก เร็วจนไม่รู้จะกินอะไรก่อนดี 555 ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() และไฮไลท์สำคัญที่โปรดปรานมากที่สุดคือ หอยนางรม มาแบบสดๆ มาเป็นรถเข็น เป็นอย่างเดียวที่สั่งซ้ำไป 3 รอบได้ อยากกินมากกว่านี้แต่กลัวอึ๊ 555555 ![]() ![]() ![]() หอยตัวใหญ่ๆ สดๆ กินกับหอมเจียวและยอดกระถิน ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ด หือออออ ฟินลืมมมม ![]() ![]() ของคาวอิ่มก็ต้องมีของหวาน ตบตูดด้วยโรตีแบบกรอบและแบบนุ่ม ![]() และไอติมชาไทย อร่อยดี ![]() สรุปเป็นร้านบุฟเฟ่ท์อาหารที่อยากกลับไปซ้ำมากอีกร้านหนึ่ง เพราะอาหารสด สะอาด อร่อย ![]() 1 วันกับอาหาร 2 สัญชาติ ญี่ปุ่น(Kinshiro) สเปน(Tapas Y Vino)
ด้วยความที่ได้รับวอชเชอร์ฟรีจากเพจ 2 เพจเลยทำให้ได้ทานอาหาร 2 สัญชาติในวันเดียว . . เริ่มจากร้านแรก Kinshiro (คินชิโร) ได้รับวอชเชอร์จำนวน 500 บาทจากเพจ wongnai Kinshiro (คินชิโร) เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นจากนางาซากิ ตั้งอยู่โครงการ Rain Hill สุขุมวิท 47 โครงการ Rain Hill ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าบีทีเอส ระหว่างสถานีพร้อมพงษ์และทองหล่อ ร้านจะอยู่บริเวณชั้น 3 ของโครงการ มีที่จอดรถอยู่ชั้นใต้ดิน ทานอาหารแล้วประทับตาจอดฟรี ภายในร้านจะมีแบบโต๊ะ หรือจะนั่งที่เค้าท์เตอร์ หรือจะห้องส่วนตัวก็มี พนักงานต้อนรับดีมาก พูดจาดี อัธยาศัยดี ถ้าเป็นคนไทยไปทานจะได้รับการแนะนำอย่างดี เราไปกัน 2 คนเลยได้นั่งแบบโต๊ะธรรมดา ติดกระจกมองเห็นรถไฟฟ้า . . นี่คือหน้าตาของวอชเชอร์ที่ได้มาก มูลค่า 500 บาท ขอบคุณเพจ wongnai ค่ะ ![]() บนโต๊ะก็จะมีอุปกรณ์ดังนี้ทุกโต๊ะ ![]() เค้าท์เตอร์เครื่องดื่ม ![]() น้ำชาแบบรีฟิล ![]() เมนูที่นี่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ แต่มีภาษาไทยกำกับอยู่ด้วย ลูกค้าประมาณ 80% จะเป็นคนญี่ปุ่น พนักงานบอกว่าส่วนน้อยที่คนไทยจะมาทาน ![]() สั่งชุดข้าวหน้าแซลมอน 1 เซ็ตกับข้าวหน้าปลาไหล 1 เซ็ตและเกี๊ยวซ่า 1 จาน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() จริงๆมีแตงโมและน้ำส้มด้วย แต่ลืมถ่าย และเนื่องด้วยคนข้างๆ กินไม่อิ่ม และอยากกินเนื้อเลยสั่งเนื้อมากิน เป็นเนื้อ Thai French Chuck Roll Beef มากิน Sukiyaki สั่งมา 1 ชุด 450 บาท ถ้าเนื้อวากิวจะแพงกว่านั้น ![]() สักพักก็จะมีเชฟเดินเข็นรถเข็นออกมายืนข้างๆโต๊ะเพื่อทำให้เราทานทันที ตอนแรกที่สั่ง คิดว่าจะทำแล้วมาเสิร์ฟที่โต๊ะทีเดียว ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เออ รู้สึกดี เหมือนได้กินทันทีที่เชฟทำเสร็จใหม่ๆ ![]() กินพร้อมไข่ดิบ ซึ่งคำแรกที่ได้กิน อื้อหือออออ หอมเนย หอมเนื้อ หอมมากๆ เนื้อนิ่ม อร่อยแบบฟินสุดๆ นี่แค่เนื้อไทยนะ ถ้าเป็นเนื้อวากิวของญี่ปุ่นจะขนาดไหน ![]() ![]() ![]() 1 เซ็ตก็ได้หลายจานอยู่ กินคนเดียวก็จะอิ่มเกินไป กิน 2 คนน่าจะกำลังดี เช็คบิลออกเสร็จสรรพประมาณ 13xx หักจากวอชเชอร์ 500 บาท ก็ตกคนละ 4xx บาท ซึ่งก็โอเค รสชาดอาหารอร่อย โดยเฉพาะเนื้อวัว ยังไงก็จะต้องมาซ้ำแน่นอนกับเนื้อวัวร้านนี้ อร่อยมากจริงๆ ![]() ........... พอประมาณ 6 โมงเย็นก็ขับรถมาโรงแรม Pullman Grand Sukhumvit Bkk เพื่อมาทานอาหารสเปน ที่ห้องอาหาร Tapas Y Vino ที่ได้รับวอชเชอร์ 1000 บาท มาจากเพจ SOtraveler.com ขอบคุณมากค่ะ ![]() ![]() ห้องอาหาร Tapas Y Vino (ทาปาส วาย วีโน) ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม ขึ้นบันไดเลื่อนมาเจอเลย ![]() ไปถึงก็ 6 โมงเย็นพอดี ห้องอาหารเปิดตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป เป็นแขกคนแรกของวันนี้เลย (รู้สึกตื่นเต้นจะได้กินอาหารสเปน 555) ![]() บริเวณเค้าท์เตอร์ที่ทำอาหารของเชฟ ตอนไปจะเห็นเชฟ 2 คน แต่ไปๆมาๆ เหลือเชฟคนเดียว ![]() โคมไฟของที่นี่สวยดี เหมือนเป็นเทียนมาปักไว้รอบๆ เข้ากับสีแดงของห้องอาหาร ดูร้อนแรงดี ![]() ห้องอาหารที่นี่จะเน้นไวน์ซะส่วนใหญ่ เพราะไวน์เยอะมาก วางเรียงเต็มเลย ![]() เรามาโต๊ะแรก ยังไม่มีแขกมาเลย ![]() ![]() เมนูของห้องอาหาร จะมีแยกเป็นอาหารกับเครื่องดื่ม ![]() สั่งคอกเทลเป็น Virgin Mojito ไป 1 แก้ว ราคา 190 บาท รสชาดดีใช้ได้เลย ![]() สักพักพนักงานก็จะเสิร์ฟขนมปังทาด้วยมะเขือเทศ เหมือนจะเป็นออเดิร์ฟไว้กินเล่น รสชาดก็โอเค แปลกๆดี เหมือนขนมปังฝรั่งเศสทาด้วยมะเขือเทศ เปรี้ยวๆเค็มๆ ![]() สั่งอาหารไป 3 อย่างได้แก่ มินิแฮมเบอร์เกอร์ ชิ้นเล็ก ทานง่าย อร่อยดี ![]() ![]() ไส้กรอกโชริโซ เสิร์ฟพร้อมกับมันบด อันนี้อร่อยดี ชอบเลยล่ะ ![]() และแซลมอนย่าง (จำชื่อจริงไม่ได้ ยาวเกิน -*-) แต่อันนี้ก็อร่อย รสชาดดีมากอีกแล้ว ![]() ตบท้ายด้วยของหวานอย่างชูโรส หรือปาท่องโก๋สเปน โรยเกล็ดน้ำตาล ราดด้วยซอสช็อคโกแลต อันนี้เด็ดมากของที่นี่ อร่อยดี แป้งจะกรอบนอกนุ่มใน กินตอนร้อนๆ ฟินนนนน ![]() ![]() รวมค่าเสียหายเบ็ดเสร็จประมาณ 16xx บาท หักจากวอชเชอร์ 1000 บาท ก็ตกคนละ 3xx บาท ก็โอเค ราคาก็สูงตามมาตรฐานอาหารโรงแรม แต่ก็พอรับได้ ไม่ได้สูงเว่อร์อะไร รสชาดก็ดี ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์กับอาหารสเปน . . ขอบคุณเพจ Wongnai และ SOtraveler.com สำหรับวอชเชอร์ ทำให้ได้มากินอาหารดีๆ อย่าง 2 ร้านนี้ "ขอบคุณค่ะ" |
nikrem
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ชอบถ่ายรูป ชอบเที่ยว ชอบกิน
Group Blog All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |