Group Blog
  •  
  •  
  •   
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
[CR] Diary & Review ใครกันล่ะจะอยากเป็นยัยหน้าสิว (Part III สกินแคร์)

ตอนนี้เป็นเรื่องของสกินแคร์แล้วนะคะ  แต่พอดีเมเมยังไม่มีเวลาเขียนให้  เนื่องจากช่วงนี้มีตารางต้องทำหลายอย่าง  เมเมขอโทษทีค่ะ  เลยขออัพเป็นคลิปไปให้แทนแล้วกันค่ะ  






มีคำถามหรืออยากรู้จักเมเมมากขึ้น  ติดตามได้ช่องทางดังนี้ค่ะ

FB
//facebook.com/​memehme
คลิปอื่นๆ
https://www.youtube.com/user/me0memeh?feature=mhee
บล๊อก
//meismeme.bloggang.com
เมเมใน Spokedark
//meismeme.spokedark.tv/





Create Date : 16 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 5:41:59 น.
Counter : 3088 Pageviews.

1 comment
[CR] Diary & Review ใครกันล่ะจะอยากเป็นยัยหน้าสิว ( Part II)

ในขณะที่สิวยังไม่ยุบ เวลาที่ต้องออกไปธุระหรือไปพบเจอผู้คนข้างนอกจริงๆทำยังไง ? เมเมใช้วิธีการแต่งหน้าค่ะ แต่ถ้าถามว่าการแต่งหน้าปกปิดได้หมดหรือเปล่า ตอบได้เลยว่าไม่ได้ค่ะ แต่เมื่อจำเป็นก็แต่งแบบ พอประมาณ ให้คนมองไกลๆ ไม่นึกว่าเราเป็นอีสุกอีใสก็พอ นั่นคือ นวัตกรรมการโบกหน้าให้งาม 500 เมตร งามผงะหงายหลังกันเลยทีเดียว แต่งหนาแค่ไหนไม่เป็นไรแต่ที่สำคัญคือต้องล้างให้สะอาดทุกรูขุมขนจริงๆ

ถ้าหากจำเป็นต้องแต่งหน้า สิ่งสำคัญคือ รองพื้นที่ปกปิดดี และ ไม่แพ้ แป้งผสมรองพื้น คอนซีลเลอร์ บรัชออน ลิปสติก และที่สำคัญ เมคอัพรีมูฟเวอร์ดีๆ ซึ่งตอนนั้นเมเมยังไม่รู้จัก Bioderma เลยใช้ La Prairie Cellular Cleansing water eyes & face ซึ่งเป็นรีมูฟเวอร์ชนิดน้ำ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีน้ำหอม และ ไม่แพ้


สถานะการโบกให้ดูไม่เหมือนเป็นอีสุกอีใสและทุเรศมากเกินไปนักในตอนเป็นสิว เมเมโบกฉาบขนาดนี้เลย  ทั้งๆที่จริงๆไม่ดีนะ  ยิ่งเสี่ยงต่อการแพ้และอุดตัน  แต่มันไม่ไหวอ่ะ  ทนเห็นหนังหน้าตัวเองไม่ได้



ก่อนปรับสิ่งที่บำรุงจากภายนอก  ควรปรับภายในร่างกายก่อน 

เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนพฤติกรรม

หากอยู่ดีๆ เกิดเป็นสิวทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นหมายความว่าร่างกายเรากำลังบอกอะไรเราบางอย่าง ต้องมีอะไรในพฤติกรรมของเราที่ไม่เหมาะกับภายในร่างกายของเรา เราต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองก่อน

ทำไมเมเมไม่ไปหาหมอรักษาสิว

จริง ๆ เมเมเป็นคนที่หาหมอรักษาสิวที่คลินิกมาตั้งแต่อายุ 14 จนกระทั่งอายุ20 เรียกได้ว่าก็ดูแลมาตลอด ก็เลยไม่เคยเป็นสิว ไปหาหมอที่เป็นคลินิกที่มีสาขาทั่วประเทศเยอะๆ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นสิวอะไรเลย หลักๆที่หมอจะให้มาทาก็คือ ยาทาก่อนล้างหน้า เจลล้างหน้า น้ำที่เป็นลักษณะเหลวๆคล้ายๆคลินด้าเอ็ม ยาทาลดรอยสิว ยาทาปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กันแดด และก็มีการจ่ายยาโรแอคคิวเท็นให้ทานบ้างบางช่วงที่รู้สึกผิวจะมันมากและเริ่มมีสิวอุดตันเม็ดเล็กมากกว่าปกติ ซึ่งปกติก็จะไปหาหมอ 2-3 สัปดาห์ครั้ง ค่าใช้จ่ายโดยประมาณก็เฉลี่ย 500 บาทต่อครั้ง ด้วยความที่หาหมอมาตลอด เลยทำให้การเป็นสิวมากๆครั้งนี้ ก็เลยตัดสินใจไม่ไปหา เพราะว่าเคยไปหาแล้วมักเสนอให้ทำคอร์สโน่นนี่ ทั้งๆที่เราก็แอบคิดว่า หน้าแหกขนาดนี้จะไปทำคอร์สบ้าอะไรได้เล่าสิวยังไม่หายเลย เลยเริ่มที่จะสนใจที่จะใส่ใจตัวเองมากขึ้น

สิ่งที่เมเมสำรวจหลังจากที่ปรับมุมมองของตัวเองใหม่แล้วก็คือ การรักษาความสะอาดและสิ่งของที่ต้องสัมผัสใบหน้ารวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ที่นอน ผ้าห่ม ตุ๊กตา ซักและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อครั้ง ปลอกหมอนหากเปลี่ยนได้อาทิตย์ละครั้งยิ่งดี ส่วนตุ๊กตา บางคนอาจจะแพ้ฝุ่นที่อยู่ในตุ๊กตาค่ะ นอกจากการซักและผึ่งแดดแล้ว แนะนำให้ส่งซักอบความร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิดที่หมักหมมไว้ในนั้น สำรวจที่นอนว่าเป็นแหล่งที่อยู่ของไรฝุ่นหรือเปล่า หากใช่ควรเปลี่ยนที่นอนใหม่ สำรวจว่าห้องนอนชื้นไปหรือเปล่า เพราะหากห้องนอนชื้นมากไปก็อาจจะเป็นที่เพาะเชื้อโรคชั้นดี

นอกจากผ้าปูที่นอนแล้ว ยังต้องลองสังเกตตัวเองดูว่าเราแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือใม่ โดยลองซักปลอกหมอนไม่ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มดูสัก 1 เดือน แล้วสังเกตุความเปลี่ยนแปลงดูค่ะ

ผ้าเช็ดตัว กับ ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดผม ควรแยกกัน ผ้าที่ใช้เช็ดหน้าควรมีหลายๆผืน ใช้แยกกับการเช็ดตัวและเช็ดผมค่ะ มีหลายคนที่เมเมรู้จัก ใช้ผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวกัน พอลองแยกใช้ให้เป็นส่วนๆ กลับพบว่าสิวลดลงก็มีนะ

ถ้าชอบบีบสิว กรุณาตัดเล็บให้สั้นและห้ามเอามือไปถูกหน้าหรือจับสิวเด็ดขาด

จริงๆช่วงเป็นสิวไม่แต่งหน้าได้จะดีมาก เพราะการแต่งหน้าเป็นการเสี่ยงต่อการแพ้เครื่องสำอางและแพ้สิ่งต่างๆเพิ่มขึ้น หากจำเป็นต้องแต่ง ก็ต้องเลือกเครื่องสำอางที่ไม่อุดตันรูขุมขน ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์และควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกครั้ง

อาหารการกินก็มีส่วนสำคัญ การทานของหมักดอง ของแช่อิ่ม ของทอด น้ำอัดลมเป็นสาเหตุให้เกิดสิวทั้งนั้น ควรทานผักและผลไม้เพิ่มแทนของจำพวกนี้ รวมทั้งการทานอาหารให้ตรงเวลาด้วยค่ะ เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย

ระบบขับถ่าย สังเกตระบบขับถ่ายของตัวเอง หากพบว่าท้องผูกบ่อยก็ต้องหาวิธีการทำให้ขับถ่ายทุกวันอย่างเป็นกิจวัตร เช่น การดื่มน้ำเพิ่มขึ้น ทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ทานผลไม้

การนับรอบประจำเดือน ลองนับรอบประจำเดือนของตัวเองดูค่ะว่ามาโดยเฉลี่ยตรงกันทุกรอบหรือเปล่า หากประจำเดือนมาขาดๆหายๆ นั่นก็เป็นอีกสาเหตุนึงของการเกิดสิว ซึ่งกรณีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ค่ะ

น้ำหนัก น้ำหนักมากมีผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกายและประจำเดือนค่ะ รวมถึงน้ำหนักที่น้อยไปด้วยเช่นกัน

การออกกำลังกาย หากได้ออกกำลังกายนั่นหมายความว่าร่างกายเราได้ระบายของเสียออกทางเหงื่อด้วย ควรออกกำลังกายบ้างสัปดาห์ละ 2-3ครั้งก็ยังดีค่ะ ใครที่อ้างว่าแพ้เหงื่อ เมเมว่าไม่ใช่ข้ออ้าง หากคุณแพ้เหงื่อตัวเองก็ต้องพยายามอดทนกับภาวะนั้นเพราะตลอดชีวิตคุณจะห้ามไม่ให้เหงื่อออกเลยคงเป็นไปได้ยาก แต่ให้หาผ้าเช็ดหน้านิ่มๆสะอาดๆติดไว้ เมื่อมีเหงื่อออกมาบนใบหน้าก็ให้เอาผ้าเช็ดหน้านิ่มๆซับเหงื่อออกเบาๆ

อีกสิ่งที่สำคัญอย่างที่บอก  คือ  ปรับนาฬิกาชีวิตใหม่  เมเมได้มีโอกาสได้รับหนังสือจากคนรู้จัก  ชื่อหนังสือ นาฬิกาชีวิต เล่ม 1 (เค้ามีหลายเล่มนะคะ  เมเมไปตามซื้อครบทุกเล่มเลย)  ในหนังสือเล่มนี้มีหลักการคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ  


การแพทย์ตะวันออกถือว่ากลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออกโดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วยอวัยวะตัน และ อวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจเยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต

อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหารถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก

กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย

การไหลเวียนของพลังชีวิต ลมปราณที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 2อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า
“นาฬิกาชีวิต”


ตัวอย่างเช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น. และสูงสุดในช่วงประมาณ 04.00 น. จากนั้นจะค่อยๆลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เวลา 05.00 น. การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา03.00
– 05.00 น.

การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืน ปราศจากโรคโดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

ช่วง 01.00
– 03.00 น.เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดี หลับสนิท หลับลึกเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัยนอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็วหน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย

2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหารถ้ากินอาหารช่วง 01.00
– 03.00 น.จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลักเป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

ช่วง 03.00
– 05.00 น.เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอน ลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น

ช่วง 05.00
– 07.00 น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระ ทำให้เป็นนิสัยทุกเช้าถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวโดยใช้น้ำ 1 แก้ว+น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+มะนาว 4 – 5 ลูกทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออกเอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

ช่วง 07.00
– 09.00 น.เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงานควรกินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรงถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวลขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

ช่วง 09.00
– 11.00 น.เป็นช่วงเวลาของม้าม ควรพูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้ายมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมันคนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้ามอาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ

- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่ายผอมเหลือง ตาเหลือง

สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย

- ม้ามชื้นอาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย

ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00
– 11.00 น.ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้นจึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง

ช่วง 11.00
– 13.00 น.เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดเหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้

ช่วง 13.00 – 15.00 น.เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงานลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บีโปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอสร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือนผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุตเพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชายเมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1ซี่

ช่วง 15.00
– 17.00 น.เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ควรออกกำลังกายแนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่ม...หัวตา ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขาหัวเข่า น่อง ส้นเท้า นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด (เป็นข้อมูลของแพทย์แผนตะวันออกซึ่งอาจแตกต่างจากแพทย์แผนตะวันตก) ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออกอาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวังถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย ป้องกันเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม(ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็วหัวใจอาจวายได้ง่าย)

การอั้นปัสสาวะบ่อยๆปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง เป็นต้นเหตุให้ท่านมีกลิ่นตัวที่น่ารังเกียจโดยไม่รู้ตัวฉะนั้น พยายามอย่ากลั้นปัสสาวะนาน ต้องพยายามหาทางปลดปล่อยเมื่อปวดปัสสาวะ

ช่วง 17.00
– 19.00 น.เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อแสดงว่าอาการหนักมาก
- ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวาซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัวและเป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้ายซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาวผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า

ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมากอาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไตเป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่ายมีเสลดในคอ

การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็นตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้าแต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชายอย่างใดอย่างหนึ่ง

ช่วง 19.00
– 21.00 น.เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอดต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าแช่เท้าในน้ำอุ่น

ช่วง 21.00
– 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลมเพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

ช่วง 23.00
– 01.00 น.เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรดื่มน้ำก่อน 23.00 น.(ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำจะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อมเหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม(ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ(ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)


อ่านแล้วรู้สึกเหมือนทำยาก  และ  สงสัยกันใช่มั้ยคะ  ว่าเกี่ยวจริงหรือ  เมเมบอกได้เลยว่าเกี่ยวค่ะ  ช่วงแรกๆอาจทำไม่ได้ตามตารางเป๊ะๆก็จริง  แต่พยายามอย่านอนดึก  อย่าทานอะไรดึกๆ   ค่อยๆเริ่มดู อาจไม่ทำตามตารางเป๊ะๆทั้งหมดแต่ก็ลองพยายามดูค่ะ  คนที่ลองทำถึงรู้ถึงผลของการเปลี่ยนแปลง  เพราะต่อให้เมเมรีวิวบอกเล่าแทบตาย แต่คุณอ่านเฉยๆแล้วไม่ลองทำ สุดท้ายรีวิวก็สูญเปล่า เพราะคนที่ได้ผลคือ เมเมคนเดียว  แค่อ่าน รู้ แล้วจะหายสิว  นั่นไม่มีทางเป็นไปได้ค่ะ  หากไม่อยากพึ่งหมอ  ไม่อยากอยู่กับยาหรือครีมของคลินิกไปตลอดชีวิต  อยากให้ผิวหน้าเริ่มฟื้นฟูตัวเองต้องลองเปลี่ยนแปลงค่ะ  


คราวหน้าเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องสกินแคร์  การเลือกใช้ และ อะไรที่เมเมใช้แล้วเวิร์ค 

อ่านต่อ (Part III  นะคะ)

Radarat Meme Rattanaruangwirote | Create your badge




Create Date : 03 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 5:51:23 น.
Counter : 3491 Pageviews.

4 comment
[CR] Diary & Review ใครกันล่ะจะอยากเป็นยัยหน้าสิว ( Part I)

มีใครที่ไหนกันจะอยากเป็นสิว เมเมว่าคงไม่มีหรอก แต่หากวันนึงโชคชะตาเล่นตลกฮอร์โมนกลับ ดันให้เกิดสิวระเบิดไปทั่วทั้งหนังหน้า จะทำยังไงกับชีวิตหน้าเฟะๆดี เมเมเขียนรีวิวกึ่งไดอารี่นี้ไว้เป็นแนวทางของผู้ที่เป็นสิวแบบไม่คาดฝัน

( ต้องอ่านและใช้สตินะคะ ผิวเมเมกับผิวคุณไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นบางสิ่งที่เมเมใช้แล้วดี คุณอาจจะแพ้ก็ได้ )


จริงๆเมเมเป็นสิวมาตั้งแต่ประมาณปี 2010 ค่ะแต่มาเป็นหนักๆมากๆจริงก็ปลายปี 2010 ต้นปี 2011 ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น เมเมไม่เคยเป็นสิวเลย พออยู่ดีๆชีวิตต้องมาเป็นสิวระเบิดแบบนี้ก็เกิดอาการจิตตกค่ะ รับไม่ได้ ไม่อยากส่องกระจก หงุดหงิด ไม่อยากพบเจอผู้คน ไม่อยากเข้าสังคม อยากเก็บตัวเงียบๆไม่ต้องมีใครมาเจอแล้วมาทักทายเราด้วยประโยคที่ว่า เมเมหน้าไปทำอะไรมา ?


ช่วงที่เมเมเริ่มเป็นสิวประมาณ ปี 2010 ค่ะ แต่ว่าตอนแรกเป็นไม่มากก็เลยยังคงใช้สกินแคร์ตัวเดิม ซึ่งก็คือ BHA ป้าพอลล่าโดยข้อมูลที่ทราบมาว่า มันจะผลักสิวออกมาจนกว่าจะหมด ในขณะที่ก่อนจะมาใช้ป้าพอลล่าตัวนี้เมเมไม่ได้มีสิวอักเสบ แต่แค่รู้สึกว่าหน้ามีสิวอุดตันเล็กน้อย และสิวเสี้ยนนั่นแหล่ะ เลยดั้นด้นหามาลองใช้ 2เดือนแรกใช้ก็หน้าใสกิ๊งเลย แต่พอหลังจากนั้น เข้าเดือนที่ 3– 4 – 5 – 6 – 7 – 8 – 9 ไม่ไหวแล้วค่ะ ตัดสินใจหยุดใช้เพราะสิวมีทีท่าว่าจะระเบิดไม่จบสิ้นรวมทั้งรู้สึกแสบหน้าทั้งๆที่ทากันแดดตลอดทุกครั้งที่ต้องออกไปโดนแดดซึ่งเมเมไม่ค่อยได้โดนแดดเท่าไหร่ แต่ผิวก็ยังแสบมากมายอยู่ดี  (ซึ่งอาการแพ้ขึ้นอยู่กับบุคคลแต่ละบุคคลนะคะ )


สภาพช่วงที่สิวระเบิดค่ะ ภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่ตอนที่เป็นสิวเยอะที่สุดเพราะตอนเป็นเยอะกว่านี้บอกตรงๆค่ะว่าร้องไห้จิตตก ไม่อยากพบใคร ไม่กล้าเจอใคร และ ไม่ถ่ายรูป เพราะทำใจไม่ได้ (นี่เป็นรูปที่ถ่ายตอนพอทำใจได้บ้างแล้ว)

ช่วงที่เป็นสิวเป็นช่วงเวลาที่หดหู่และทรมานใจอย่างที่สุดจริงๆ เพราะทำให้เราไม่อยากออกไปเจอหน้าใครที่เราเดาคำทักทายของเค้าได้เลยว่า “ไปทำอะไรมา ทำไมเป็นสิวเยอะแบบนี้” หรือ “ใช้เครื่องสำอางเยอะเกิน” หรือ อื่น ๆ รวมทั้งคำแนะนำให้ใช้ครีมโน้น สบู่นี้ กินยาสมุนไพรอันนั้น อยากจะกรี้ด กรีดร้องในใจ หนูก็อยากลองแต่กลัวลองแล้วหนักไปกว่านี้ ใครจะรับประกันหน้าหนูได้เล่า เมเมเลยตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลโรคผิวหนัง ซึ่งก็ดูๆแล้วก็บอกว่าเมเมน่าจะเป็นสิวฮอร์โมน แล้วก็จ่ายยามาตามที่เคยได้ๆมา คือเบนแซค ดิฟฟารีนเจล แล้วก็ครีมอะไรอีกอย่างนี่แหล่ะ เมเมทาเบนแซคมาก่อนที่จะมาหาหมออยู่แล้ว ดิฟฟารีนเจลก็ใช้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่เห็นผลอะไรเลย เลยสรุปว่าได้ยามาก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยทา

หลังจากนั้น เมเมเกิดอาการแพ้เบนแซคทั้งๆที่ไม่ได้ทาทิ้งไว้นาน และ ก็ใช้แค่ 2.5% เท่านั้น แต่แสบหน้าและหน้าแดงตลอด เลยหยุดใช้ยาทั้งหมดดีกว่า ตัดสินใจเอง เออเอง ว่าจะหยุดทายา ทาไปก็ไม่หาย จะทาทำไม ?

หลังจากหยุดทายาทุกอย่าง ใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้า กันแดดก็ไม่ทา ไม่ทาอะไรทั้งสิ้น ในระหว่างนั้นก็หาข้อมูลว่าจะใช้ครีมอะไรดี เพราะจะให้ไม่ทาครีมเลย มัน เห้ย!!! ไม่ไหวนะ

มีน้องคนนึงแนะนำให้ลองใช้เซรั่มของออริจิ้น Origins™ Mega-Mushroom Skin ReliefAdvanced Face Serum เมเมเรียกเซรั่มเห็ดเน่า ด้วยเพราะเหตุที่ว่า ก็มันเหม็นเหมือนกลิ่นเห็ดหมักจนเน่าจริงๆอ่ะ แต่เพื่อความงามถึงจะมีกลิ่นเห็ดเน่าอยู่บนหน้าก็ย๊อมมม

ในระหว่างที่รักษาสิว เมเมไม่เคยหยุดแต่งหน้า ด้วยเหตุที่ว่า ออกไปเจอชาวบ้านเค้าไม่ได้ แต่งแล้วก็ดีขึ้นนิดนึงแต่ก็ปิดรอยระเบิดสิวไม่ไหวหรอกค่ะ นั่นแหล่ะ สิวระเบิดทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งหน้า รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของการบ้าซื้อรองพื้นทุกยี่ห้อที่คิดว่าปกปิดดี ตั้งแต่ราคา ไม่กี่ร้อย ถึง พันต้นๆ สองพันกว่า สามพันกว่า หนักข้อสุด ห้าพันกว่า เพื่อหวังให้ทุกสิ่งอย่างดูดีขึ้นและออกไปเจอโลกภายนอกได้บ้าง

เมื่อแต่งหน้า ทุกอย่างดูโอเคขึ้นนิด กล้ามองตัวเองขึ้นอีกหน่อย แต่หลังจากล้างหน้าก่อนจะนอนตอนกลางคืน นั่นแหล่ะ น้ำตาร่วงหยดเหมะๆ ทุกวันไป หน้าที่เป็นสิวมันอาจจะเป็นเรื่องที่แย่สำหรับชีวิต แต่สิ่งที่แย่กว่าคือสภาพใจที่มันรับตัวเองไม่ได้ต่างหาก นั่นแหล่ะคือสิ่งที่แย่ที่สุดของชิวิต

ผิวไม่มีทางดีขึ้นแน่ๆ ถ้าใจเราไม่มองตัวเองในแง่ดีกว่านี้ ก่อนจะรักษาสิว รักษาใจก่อน เพราะทุกสิ่งอย่างมันจะต้องเกี่ยวข้องกัน นอกจากใจและทัศนคติที่ดีที่ควรมีกับตัวเองแล้ว อีกสิ่งที่ต้องมีคือ นาฬิกาชีวิตของเรา เราคงต้องมาจัดระเบียบชีวิตและเวลาที่ใช้ในชีวิตกันใหม่

สกินแคร์ที่ใช้ในช่วงนั้นคือ เซรั่มเห็ดออริจิ้น อย่างเดียว ทั้งเช้า และ ก่อนนอน ไม่ทากันแดด เพราะไม่ยอมออกแดด (แต่ถ้าต้องโดนแดดต้องทานะคะ) โฟมล้างหน้า ใช้ OriginsChecks & Balances™ Cleanser (แน่ะเริ่มหลงไปกับออริจิ้นทีละอย่างสองอย่าง)

นอกจากนั้นเราต้องจัดระเบียบชีวิตใหม่ค่ะ จัดยังไง เคยนอนดึกหรือเปล่า ต่อจากนี้ต้องนอนไม่เกินเที่ยงคืน เพราะปกตินอนเช้า T^T ตอนแรกๆก็ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยว แต่อยากจะบอกว่าในระยะยาว มันส่งผลแน่นอนค่ะ หลังจากค่อยๆปรับเวลานอนแล้ว เวลาที่ดีที่สุดของเมเม (ย้ำนะคะว่าเฉพาะของชีวิตเมเม) คือ 5 ทุ่ม แล้วตื่นนอน 7-8 โมงเช้า

สังเกตมั้ยคะ ว่าพอเป็นสิวมาก ปากจะแห้งลอก แตก และ เจ็บมาก นั่นมาจากการดื่มน้ำน้อยค่ะ เลยกลายเป็นสิ่งที่ต้องปรับอีก 1อย่างในชีวิตค่ะ คือดื่มน้ำวันละมากๆ มากที่สุดเท่าที่จะกระดกลงไปได้ อย่างน้อยตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย 1-2 แก้วค่ะ

*** ถึงตรงนี้ สิ่งที่ต้องปรับมีกี่อย่างแล้วล่ะ ***

ใจ ปรับใจให้มองเห็นตัวเองในด้านบวก หากใจหดหู่ หรือเป็นลบกับตัวเอง ย่อมส่งผลต่อร่างการและการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ

เปลี่ยนเวลานอน เปลี่ยนนาฬิกาชีวิตของตัวเอง ยิ่งนอนดึกเท่าไหร่ยิ่งเป็นสิวได้ง่าย

ดื่มน้ำมากๆ ตื่นเช้ามาดื่มน้ำเลยฝึกให้ชิน

( อ่านต่อ Part II )

Radarat Meme Rattanaruangwirote | Create your badge




Create Date : 02 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 5:53:07 น.
Counter : 7465 Pageviews.

5 comment
[CR] Diary & Review ใครกันล่ะจะอยากเป็นยัยหน้าสิว

จริงๆ  ใครกันจะอยากเป็นสิวไปทั้งหน้า  เมเมว่าคงไม่มีหรอก  แต่อยู่ดีๆวันนึงผิวเล่นตลกกับเรา จากคนที่หน้าไร้สิวกลับกลายเป็นสิวระเบิดทั้งหน้า  จะทำยังไงดี ?

เป็นไดอารี่เรื่องเล่าชีวิตสิวๆของเมเม ซึ่งมีหลายตอน  

ความเป็นสิวนี่แหล่ะ เป็นที่มาของการหัดแต่งหน้าจากผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้าเลยสักนิด

เขียนให้อ่านกันเป็นการแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตและประสบการณ์นะคะ เมเมไม่ได้มีความรู้ด้านสกินแคร์เท่าไหร่  

ตั้งแต่เป็นสิวจนถึงปัจจุบันเมเมยังไม่เคยได้ทำการไปคลินิกเพื่อรักษาใดๆทั้งสิ้น ผลที่ได้ คือ ผลจากการทาครีมและปรับพฤติกรรมชีวิตเท่านั้นค่ะ 



ติดตามอ่านได้ที่บล๊อกของเมเมนี้นะคะ  


ส่วนใครที่อยากถาม หรือ อยากรู้จักกันมากขึ้นก็แอดเฟสบุ๊กได้เลยค่ะ 






Create Date : 01 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 กรกฎาคม 2555 5:54:49 น.
Counter : 1689 Pageviews.

4 comment

meismeme
Location :
พิษณุโลก  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



"คุณเสียอะไรที่คุณไม่เคยมีไม่ได้"
Radarat Meme Rattanaruangwirote

New Comments