REVIEW : HIFU นวัตกรรมใหม่ ยกกระชับใบหน้าโดยไม่เจ็บตัว















REVIEW : HIFU นวัตกรรมใหม่ ยกกระชับใบหน้าโดยไม่เจ็บตัว





ฮัลโหลลล ลล สวัสดีนะคะทุกคน

สำหรับกระทู้วันนี้ วันนี้เมย์ก็จะมาพูดถึงนวัตกรรมใหม่

ที่กำลังเป็นที่นิยมกันอย่างมาก ในคลินิกเสริมความงามต่างๆเลยก็ว่าได้

โดยนวัตกรรมตัวนี้เนี๊ย มีชื่อว่า HIFU นั่นเองค่ะ



HIFU เอาแบบกันเอง เข้าใจง่ายๆภาษาชาวบ้านทั่วไปก่อนก็แล้วกัน 555

มันก็คือ โปรแกรมที่จะช่วย ยกกระชับใบหน้าให้หน้า ตึงขึ้น กระชับขึ้น ใบหน้าไม่หย่อนคล้อย ดูเรียวและก็วีเชพขึ้น โดยที่ไม่ต้องเจ็บตัว …



เจ็บตัว? ทำไมต้องเจ็บตัว ?

ก่อนหน้านี้ ถ้าเราอยากที่จะให้หน้าเรียวขึ้น เล็กลง เราก็ต้องฉีดโบท็อก

อยากให้แก้มหาย ไขมันสลายไป หน้าเล็กลง ก็ต้องฉีด เมโสแฟต

ละถ้าหน้าหย่อนคล้อย ไม่ตึง มีเหนียง กรอบหน้าไม่ชัด ก็ต้องร้อยไหม

ซึ่งการร้อยไหมเนี๊ย หลายๆคนก็กังวล ไม่กล้าทำ เพราะคิดว่ามันเจ็บ และก็ต้องพักฟื้นหลังทำเนื่องจากหน้าบวม บ้างก็กลัวเข็มไม่กล้าทำ บลาๆก็ว่ากันไป

เจ้าตัว HIFU เนี๊ย ก็จะมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง …

ให้สำหรับคนที่มีปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ ให้ใบหน้ากระชับเต่งตึงขึ้น

กรอบหน้าชัดขึ้น ดูเรียวขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรมหรือเจ็บตัวนั่นเอง





การทำงานของ HIFU

นวัตกรรม HIFU ตัวที่เมย์ทำ เป็นการปล่อยพลังงานคลื่นอัลตร้าซาวด์

ด้วยความเข้มข้นสูง จึงทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

ผิวหนังเราจึงเกิดการยกกระชับ

ขณะทำก็จะรู้สึกอุ่นๆบริเวณที่ทำ คล้ายๆการทำเลเซอร์ค่ะ จะจี๊ดๆนิดๆ

แต่ไม่เจ็บเลยค่ะ ระยะเวลาในการทำก็ 30-45 นาที



ของเมย์หลังจากมาปรึกษาเรื่องปัญหารูปหน้า

ละช่วงแก้มด้านล่างที่ดูจะเยอะขึ้น 555 กับคุณหมอฝ้าย

ที่ เอยาคลินิก คุณหมอเลยแนะนำให้เมย์ทำ เป็นตัว HIFU

ในส่วนของการยกกระชับแก้ม กรอบหน้า และเหนียง พร้อมกับฉีดโบท็อกลดกราม ไปด้วยเลย หลังครบกำหนด หรือเลยกำหนดมา 7 เดือนกว่าแล้วค่ะ อิอิ




ขั้นตอนการทำ HIFU

อย่างที่บอกค่ะ ว่าคล้ายๆการทำเลเซอร์เลยยยย

นอนสบายๆเลยค่ะ คุณหมอจะลงเจลเย็นๆบริเวณที่จะทำ

หลังจากนั้นก็ยิงโลดด ดด จิ๊ดๆ รู้สึกไปยันกระดูก 55555









มาดูผลที่ได้หลังจากการทำกันดีกว่า

อันนี้คุณหมอฝ้ายทำไปให้ ข้างนึง คือข้างซ้าย ให้เห็นความแตกต่างนะค่ะ

คุณหมอบอกว่าหลังทำ HIFU หน้าจะยกกระชับขึ้น เห็นผลทันที 30%






สังเกต วงรี ที่เมย์วงไว้ให้ฝั่งขวาที่ยังไม่ได้ทำนะค่ะ

จะเห็นเลยว่ามีเนื้อแก้มที่เลยเส้นประมาอย่างชัดเจน แต่ฝั่งซ้าย ไม่มีละค้า

>____________<




HIFU เหมาะสำหรับ

• ผู้ที่ต้องการยกกระชับ ปรับหน้าเรียว โดยไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น

• ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ

• ผู้ที่มีปัญหาแนวคิ้วตก ใบหน้าไม่ได้สัดส่วนที่ดี กรอบหน้าไม่ชัดเจน

• ผู้ที่มีปัญหาหน้าใหญ่ เนื่องจากไขมันสะสมบริเวณแก้ม

• ผู้ที่มีปัญหาคาง 2 ชั้น และมีไขมันสะสมส่วนเกิน

• ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส

*ที่สำคัญไม่ต้องพักฟื้น สามารถแต่งหน้า ไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ


(ข้อมูลบางส่วนจาก : SonoQueen)



เรามาดูผลที่ได้หลังจาก 1 เดือนกันดีกว่า

ภาพแรกเมย์ถ่ายที่คลินิกวันที่ทำ HIFU เลยค่ะ

ภาพที่สองคือภาพตอนปัจจุบัน ที่กำลังเขียนรีวิวนี้อยู่

เอาเป็นว่า ภาพตอบทุกอย่าง 55555

สังเกตได้เลยว่ากรอบหน้าชัดขึ้น หน้าดูเล็กลง

โอเคส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เมย์ฉีดโบท็อกไปด้วยหลังทำ HIFU

แต่ในส่วนของแก้มด้านหน้า และกรอบเหนียง ส่วนนี้ที่เล็กลงเพราะ การทำ HIFU

ยิ่งตรงช่วงคางชัดสุด คือหน้าดูวีเชฟขึ้นมาก

จริงๆที่รอนานมาก กว่าจะมารีวิวให้ดูกัน ก็เพราะอย่างนี้ คืออยากให้ได้เห็น

ความแตกกต่างกันอย่างชัดเจนเลย เพราะของพวกนี้มันต้องใช้เวลา

คุณหมอฝ้ายบอกว่า หน้าเราจะค่อยๆได้รูปขึ้น

จะเริ่มเห็นชัดเลยก็คือ 1 เดือนหลังทำ

วันนี้เมย์ก็ เอามารีวิว และให้ชมกันแล้วน้า

สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลอยู่ ก็หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์

สำหรับใครที่กำลังสนใจทำ HIFU อยู่นะค่ะ




ใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรืออยากปรึกษาคุณหมอ

ก็เข้าไปปรึกษาก่อนได้เลยที่ AYA CLINIC

ทั้งสาขายูเนี่ยนมอล ชั้น F2 และสาขาซีคอนสแควร์ศรีนครินทร์ ชั้น 3

หรือทาง FB และ IG : AYA CLINIC ได้เลยค้า










Create Date : 18 ธันวาคม 2559
Last Update : 23 ธันวาคม 2559 15:29:57 น.
Counter : 4123 Pageviews.

3 comment
BOTOX เมโสแฟต ทำหน้าเรียว ไม่ต้องบินไปทุบหน้าไกลถึงเกาหลี!









สวัสดีค่ะทุกคนนนนน ^^ วันนี้เมย์จะขอมารีวิว การฉีดโบท็อกซ์กรามของเมย์กัน

หลังจากที่เราเองถูกถามเรื่องนี้มาตลอด ซึ่งจริงๆก็เคยรีวิวเอาไว้ในเพจและก็ตอบไปบ้างแล้ว

แต่ก็นานนนนนมากแล้ว ที่เคยเขียนไว้ ตอนนี้ก็น่าจะประมาณ 2 ปีละ ที่เคยฉีดโบท็อกซ์มา

อย่าถามค่ะว่ากี่ครั้ง!!! 5555 เพราะก็หลายอยู่ เอาเป็นว่า มาลุยกันเลย ... ไปโลดค่ะ




ก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จักกับโบท็อกซ์กันก่อนเนอะ

เพราะก่อนเมย์เลือกทำโบท็อกซ์เนี๊ย ก็ศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจอยู่พักนึงเลยเหมือนกัน

เพราะเมื่อก่อน โบท็อกซ์มันก็ยังไม่บูมหรือแพร่หลายมากเท่าตอนนี้

คลินิกที่จะทำก็ต้องเลือกที่ดี ไว้ใจได้ และได้มาตรฐาน งั้นเรามาทำความเข้าใจกันเกี่ยวกับ

 โบทอกซ์กันก่อน จากที่เมย์ได้สอบถามความรู้มาจากคุณหมอนะคะ







โบท็อกซ์ คืออะไร?

"โบท็อกซ์" (BOTOX) เป็นชื่อทางการค้าหรือยี่ห้อของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A)

ของบริษัท Allergan อเมริกา ซึ่งสารนี้เป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย

ชื่อ Clostridium botulinum โดยคุณหมอบอกว่า ยี่ห้อจากอังกฤษก็จะใช้ชื่อ Dysport 

ยี่ห้อจากเกาหลีก็มีหลายยี่ห้อเช่น Neuronox ,Botulax หรือ Nabota เป็นต้น

แต่ด้วยความที่ BOTOX เป็นยี่ห้อแรกของอเมริกาที่มีการศึกษาวิจัยมานาน

จนใช้กันอย่างแพร่หลาย คนจึงเรียกเหมารวมและติดปากชื่อยี่ห้อนี้

ซึ่งตัวเมย์เองก็เคยฉีดมาหลายยี่ห้อ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังค่ะ



โบท๊อกซ์ ออกฤทธิ์ อย่างไร?

โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์ที่ส่วนปลายของเซลล์ประสาท จึงออกฤทธิ์ให้กล้ามเนื้อ

บริเวณที่เราฉีดนั้นมีการคลายตัวจึงทำให้เกิดการลดเลือนริ้วรอยที่หดเกร็งอยู่และถ้าฉีดที่กล้ามเนื้อกราม 

ก็จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง จึงทำให้หน้าเรียวเล็กลงนั่นเองค่ะ 

โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 5-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ 7-14 วัน



ผลของการฉีด โบท๊อกซ์ อยู่นานเท่าใด?

ผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน ซึ่งตัวเลขไม่ตายตัวในแต่ละบุคคล

ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพผิว การแสดงสีหน้าบนใบหน้า หรือสภาวะการใช้ชีวิตประจำวัน 

จากนั้นก็ต้องทำการฉีดซ้ำซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละบุคคล




อย่างที่บอกไปว่า ปัจจุบันการฉีดโบท็อกซ์มีความนิยมอย่างแพร่หลายมาก 

ซึ่งปริมาณในการฉีด  หรือ ราคา ก็ต่างกันไปแล้วแต่คลินิก บางคนฉีดแล้วได้ผล

บางคนไม่ได้ผล ทำไม? และเพราะอะไร

เอาเป็นว่า เมย์ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่จากประสบการณ์ 2 ปี

กับรูเข็มที่นับไม่ถ้วนนี้ 555 เมย์จะยกเอาคำถามที่คนส่วนใหญ่ถามเมย์มาตอบ 

เป็นข้อเป็นข้อไป ตามประสบการณ์ที่เมย์ได้ทำมาละกันนะคะ




1. ทำไมถึงเลือกการฉีดโบท็อกซ์มากกว่าการทำศัลยกรรมตัดกราม

ตอบ : ก่อนหน้าเราหาข้อมูลมาพอสมควร ทั้งเรื่องการตัดกรามและโบท็อกซ์

สรุปคือ การตัดกรามถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ เจ็บตัวมากกว่าและต้องใช้ระยะเวลา

ในการพักฟื้นนาน ซึ่งเราไม่มีเวลาพักนานขนาดนั้น เพราะต้องทำงาน

และราคาก็ค่อนข้างสูง ดีที่ตัดครั้งเดียวแล้วเรียวเลยแหละ 5555

แต่กับการฉีดโบท็อกซ์นั้น มันไม่ต้องใช้เวลาในการฟักฟื้น เห็นผลรวดเร็วไม่ต่างกัน

เจ็บน้อยกว่า แถมราคาก็ไม่สูงมาก (ยิ่งราคาโปรนี่ รีบวิ่งไปรอเลยค่ะ)

แต่ข้อเสียก็อาจจะต้องฉีดซ้ำบ่อยๆ แค่นั้นเอง



2. โบท็อกซ์กรามต้องฉีดกี่ยูนิต ?

ตอบ : คำถามนี้มีคนถามมาบ่อยมาก (ตอบ ไปถามหมอค่ะ 5555 ล้อเล่น!)

โดยปกติที่เมย์ฉีดโบท๊อกซ์อเมริกาหรือเกาหลี ก็จะอยู่ที่ 50-70 ยูนิต ซึ่งแล้วแต่ขนาดกล้ามเนื้อ

ของแต่ละคน บางคนกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ บางคนขนาดกล้ามเนื้อเล็กกว่า 

ซึ่งคุณหมอก็จะเป็นคนประเมินให้เราเอง โดยการให้เรากัดฟันแล้วปล่อย กัดแล้วปล่อย

มันก็จะมีก้อนกล้ามเนื้อปูดๆขึ้นมาตรงกรามข้างเวลาเรากัด (ลองทำดูสิๆๆๆ อิอิ)

ซึ่งบางคนก็ขึ้นมาน้อย ก็ฉีดน้อย บางคนก็ขึ้นมาเป็นลูกเลยจ้า นั่นคือฉันเอง

ก็ฉีดไป 50-60 ยู แต่.... ปริมาณในการฉีด ก็ขึ้นอยู่กับอีกปัจจัยด้วย นั่นก็คือ

ยี่ห้อที่เราเลือก เพราะคุณหมอบอกว่ายี่ห้ออเมริกาและอังกฤษก็มีความเข้มข้นของตัวยา

แตกต่างกันในหน่วยวัดยูนิต จึงต้องใช้เทคนิคการผสมยาและจำนวนยูนิตที่แตกต่างกัน



3. ฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้อไหนดีกว่ากัน ?

ตอบ : จริงๆ อันนี้ตอบอยากนะ ว่าอันไหนดีกว่าอันไหน

ตัวเมย์เองก็ลองฉีดมาแล้วหลากหลายยี่ห้อ 5555

ไม่ว่าเป็น ยี่ห้ออเมริกา Botox Allergan ซึ่งราคาก็ค่อนข้างสูงกว่าตัวอื่น

ถัดลงมาหน่อยก็เป็นพวกยี่ห้อเกาหลี Neuronox , Botulax ซึ่งราคาจะเบาลงหน่อย 

หรือจะเป็น Nabota ที่เค้าว่ากันว่า เห็นผลชัดเจนรวดเร็วในสองสัปดาห์ก็ลองมาแล้ว ส่วนตัวแล้ว 

เราว่า ถ้าเป็นของแท้ ก็ให้ผลเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกันหมดนะ อย่างที่บอก 

ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีดในแต่ละครั้ง ความเหมาะสม 

ในการฉีด และการผสมตัวยาของแต่ละคลินิกค่ะ



4. ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?

ตอบ : ฉีดย้ำทุกๆ 4-6 เดือนค่ะ แล้วแต่คน สังเกตได้เลยนะ ว่าเมย์ย้ำคำว่าแล้วแต่คนบ่อยมาก

เพราะของพวกนี้มันจะมากำหนดตายตัวไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณเลือกจะทำแล้ว ก็ต้องหมั่นสังเกตตัวเอง

 และดูแลตัวเองหลังการรักษาด้วย ที่บอกว่า 4-6 ก็คือ เมื่อเราฉีดโบท็อกซ์ไปแล้ว

 เราจะเริ่มเห็นผลชัดเจนใน 2 สัปดาห์ - 1 เดือน หลังจากนั้น ตัวยาจะยังคงอยู่และค่อยๆสลายไปเอง

แต่กราม ไม่ใช่สิ่งที่จะฉีดแล้วหายไปเลยตลอดชีวิต บ๊ายบาย ลาแล้วลาเลยไม่ใช่

กล้ามเนื้อกรามจะกลับมาอีกแน่นอน ช้าเร็วขึ้นอยู่กับการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณส่วนนั้น

ยกตัวอย่าง อย่างเมย์ ที่กรามใหญ่เพราะเป็นคนชอบกินเนื้อมาก กกกกกกกกกกกกกก

ซึ่งเนื้อเนี๊ยมันเคี้ยวยากอยู่แล้ว ทั้งเหนียวทั้งแข็ง เนื้อย่างเอย ข้าวเหนียวเอย ส้มตำเอย 555 หิว

พวกนี้ที่ว่ามา หรือจะเป็นอาหารที่ต้องใช้แรงในการเคี้ยวมากๆ  เป็นเป็นจัยหลักอย่างนึง

ที่ทำให้กล้ามเนื้อกรามเรา กลับมาเร็วค่ะ แต่ถ้าบางคน ทานอาการง่ายๆ 

เคี้ยวง่าย ใช้กล้ามเนื้อน้อย กรามก็กลับมาช้า หน้าก็เรียวอยู่ได้นานนั่นเอง



5. ทำไมบางคนฉีดแล้วลง บางคนไม่ลง

ตอบ : จริงๆแล้ว ลงไม่ลงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยนะ สำหรับเมย์

เพราะบางคนดูจากหน้าตัวเอง ว่าหน้าเราใหญ่ ก็เลยไม่ฉีด โบท็อกซ์

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หน้าใหญ่เกิดจากลายสาเหตุนะทุกคน

บางคนหน้าใหญ่จากโครงกระดูกตัวเอง อันนี้โบท็อกซ์คงช่วยไม่ได้

บางคนหน้าใหญ่เพราะไขมันแก้มเยอะ เพราะเป็นคนเจ้าเนื้อ อันนี้ฉีดโบท็อกซ์อย่างเดียว

ก็ช่วยได้แค่ในระดับนึงเท่านั้น ฉีดให้ตายก็ไม่เล็กค่ะ ถ้าไม่ฉีดสลายไขมันออกไปด้วย 

อย่างที่บอกว่า ต้องให้คุณหมอดูให้จริงๆ บางคนมีกรามนะ ไม่เยอะมาก แต่แก้มนี่แบบเยอะเลย 

พอฉีดโบไป บอกหน้าไม่ลดๆ แต่พอให้ลองกัดฟันดู อ้าว!!! กรามไม่มีละหนิ 

ละจะมาบอกว่า ฉีดโบไม่ลง อันนี้ก็ไม่ได้ เพราะเหตุผลหลักที่หน้าไม่เล็กลงคือยังมีไขมันอยู่นั้นเอง

ส่วนคนที่ฉีดลงและเห็นผลชัดเจน อย่างเมย์ เป็นตัวอย่าง เพราะ… เมย์มีกรามที่ใหญ่มาก

และไม่ค่อยมีไขมันแก้มเลย พอฉีดกรามปุ๊ป มันเลยลงปั๊ปชัดเจนอย่างที่เห็นค่ะ





อะ … ยืดยาวมาก พยายามอธิบายสุดๆ เพื่อคนที่กำลังหาข้อมูลนะค่ะ

ตอนนี้ เรามาดูรีวิวกันดีกว่า ว่าที่เมย์ฉีดโบท็อกซ์ที่ผ่านมา เห็นผลยังไงกันบ้าง

ส่วนตัวแล้ว เมย์จะฉีดโบท็อกซ์ย้ำทุกๆ 5 เดือนนะค่ะ เป็นระยะเวลาคร่าวๆ ที่กรามจะกลับมาเต็มที่ของเมย์

 แต่รอบล่าสุดเนี๊ย ไม่ได้ฉีดกรามมาประมาณ 10 เดือนเต็มละ เพราะในครั้งแรก 

คุณหมอแนะนำเมย์ว่า อยากให้มาฉีดย้ำอย่างต่อเนื่อง ทุกๆ 4-6 เดือน

 ประมาณ 4-5 ครั้ง หลังจากนั้น ก็ค่อยทิ้งระยะห่างออกไปได้เรื่อยๆ ค่ะ










เมย์ทำที่ไหน ทำมานานหรือยัง ?

อันนี้เมย์ฉีดที่ เอยา คลินิก ( AYA Clinic ) นะคะ เป็นคลินิกที่เมย์ฉีดอยู่ประจำมา 2 ปีแล้วค่ะ

คุณหมอชื่อคุณหมอฝ้าย คุณหมอจะคอยให้คำแนะนำทุกครั้งที่เมย์มาทำหน้า

อันไหนควรทำก่อน หลัง ยังไงคุณหมอแนะนำหมด เพราะรูปหน้าคนเราต่างกันเนอะ

บางคนอยากได้แบบนั้นแบบนี้ แต่มันจะเหมาะกับเราไหม หรือส่วนอื่นของใบหน้าไหม

คุณหมอจะช่วยดูความต้องการของเรา และปรับให้เข้ากับรูปหน้าเราค่ะ

 ใครสนใจก็เข้ามาปรึกษาคุณหมอที่คลินิกก่อนได้เลย ^^

คุณหมอสวยและใจดีมาก ก กก ก ก ที่สำคัญมือเบาสุดๆ อันนี้คอนเฟิร์ม อิอิ

พิกัด : ยูเนี่ยนมอล ชั้น F2 ฝั่งหน้าห้างค่ะ




มาค่ะ มาดูล่าสุด 10 เดือนที่ห่างหายจากเข็มไปนั้น + น้ำหนักขึ้นด้วย 3 โล

กรามจึงมา แก้มจึงมี ดังรูปค้าาาาาาาา






Befor : หลังไม่ได้ฉีดมา 10 เดือน + แก้มออก After : หลังครบ 1 เดือน + ฉีด Fat ลดแก้ม 1 ครั้ง

       ฉีดไปวันที่ 11 เมษายน ปัจจุบันฉันกลับมาหน้าเรียว





จะเห็นได้เลยว่า แก้มหาย กรามหดกันเลยทีเดียว 1 เดือน เป๊ะ หน้าเป๊ะตามตรงการค้า ^^

ที่เหลือก็อยู่ที่การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์ นั้นก็คือ หลังฉีด 

ให้เคี้ยวหมากฝรั่งหรือบริหารกล้ามเนื้อกราม บ่อยๆ ประมาณ 30 นาที

เพื่อให้ตัวยากระจายตัว งดโดนความร้อนจัด พวกอบซาวน่า นวดหน้า 

หรืออะไรที่ต้องโดนความร้อนจัดๆ และงดดื่มแอลกอฮอลก่อนสัก 1-2 อาทิตย์ ค่ะ

เพื่อให้ตัวยาทำงานอย่างเต็มที่และไม่สลายไปกับความร้อนหรือแอลกอฮอล์นะค่ะ

นอกนั้นก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย ถ้าใครกลัวกรามกลับมาไวก็พยายามลด 

หรืองดการเคี้ยวอาหารแข็งๆลงก็จะช่วยได้ในระดับนึงน้า




และไหนๆจะไหนแล้ว มีหลายคนที่อาจไม่ได้รู้จักเรามาก่อนหน้า

เราจะพามาชมหน้าสวยๆของเค้าก่อนรู้จักคำว่า Botox กัน พรีชีพอีกแล้ว วววว ไปค่ะ !!!!








เห็นได้ชัดถึงกรามก้อนใหญ่บนใบหน้า 555



ปัจจุบัน โบท็อกกราม + ฉีดฟิลเลอร์คาง 1 cc.

(คาง ไว้จะมารีวิวให้อีกทีน้า วันนี้ยาวมากละ เดี๋ยวหลับกัน 555)

ปัจจุบันเวลาทำหน้านิ่งๆ หน้าจะดูเรียวมาก แต่เวลายิ้ม ก็จะมีลูกแก้มหน่อยๆ

 อันนี้เราชอบมาก เวลาฉีดแก้มพวกนี้ก็จะบอกคุณหมอว่าเราอยากได้แบบมีแก้มลูกส้มไว้ 

ฉีดลดแค่ช่วงแก้มล่างที่มันคล้อยๆพอ จ้า
















โอเคน้าาา หวังว่าข้อมูลนี้คงเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังอยากฉีดโบท็อกซ์ไม่มากก็น้อยนะค่ะ 

( พูดเหมือนเขียนคำนำส่งคุณครู 555) ปล. ตัวเท่าฝาบ้าน กระทู้นี้เป็นเพียงอีกหนึ่งรีวิว 

เพื่อให้คนที่สนใจอยากฉีดโบท็อกซ์ให้เป็นอีกตัวเลือกในการศึกษาก่อนการตัดสินใจทำเท่านั้น

เมย์ไม่ได้มีเจตนาให้คนนิยมเสพติดความหน้าเรียว หน้าวีเชฟแต่อย่างใด

การตัดสินใจในการทำก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความชอบส่วนบุคคลเนอะ ^__^

ใครที่สวยธรรมชาติก็ดีอยู่แล้วค่ะ ใครๆก็อิจฉา แต่ถ้ามีโอกาส อยากลองทำ 

อยากปรับเปลี่ยนรูปหน้าตัวเอง ก็ขอให้เลือกศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจนะค่ะ

วันนี้ไปแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยืดยาวค้า ^________^




ติดตามกันได้ที่

IG : maybedong


หรือเฟสบุ๊คติดตามกันได้ที่

www.facebook.com/maybefc


ไปละจ้า จุ๊บๆ





Create Date : 21 พฤษภาคม 2559
Last Update : 21 พฤษภาคม 2559 20:04:20 น.
Counter : 1602 Pageviews.

1 comment
REVIEW : Calza C นวัตกรรมใหม่เพื่อคนมีสไตล์
ฮัลโหลลล ล สวัสดี ^___^

วันนี้เมย์มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงร่างกาย มารีวิวและแนะนำให้เพื่อนๆได้รู้จักกันค่ะ

ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่า ช่วงที่ผ่านมา เมย์มีอาการปวดขา บริเวณข้อเข่า มาสักระยะนึงละ

อาจจะเนื่องด้วย ใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟบ่อย บวกกับเป็นคนที่ชอบทำงานแล้วนั่งไขว่ห้างตลอดทั้งวัน

ทำให้เวลาเมย์นอนหรือเหยียดขาตรง จะรู้สึกมีอาการเมื่อยๆ ชา และปวดที่เข่าตลอดเวลา






จนมาได้รู้จักกับผลิตภัณฑ์ของ “แคลซ่า ซี” ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นแคลเซียมนวัตกรรมใหม่เพื่อคนมีสไตล์

ส่วนประกอบหลักๆคือแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต 1500 มก. 

+ Calcium Ascorbate หรือ วิตามินซี ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

ซึ่งสาร L-threonate (สารแอล ทรีโอเนต) จะช่วยยับยั้งกระบวนการสลายกระดูกในร่างกาย

ช่วยสร้างคอลลาเจนในกระดูก เพื่อการยึดเกาะของแคลเซียมในโครงกระดูกที่ดี 

รวมถึงช่วยยับยั้งการสลายของกระดูกอีกด้วย

Vitamin C ก็จะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นการทำงานของ Procollagen และเร่งการสร้าง Collagen 

ซึ่งสำคัญกับการสร้างและการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างกระดูก

ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นหวัดง่าย

และจากการศึกษา ยังพบว่าการให้ Vitamin C ในรูป Calcium Ascorbate

คู่กับ L-threonate จะช่วยเสริมกระบวนการ

สร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างคอลลาเจน และช่วยเพิ่มการสะสมตัว ของแคลเซียมในกระดูก

มากกว่าการได้รับ Calcium ascorbate เดี่ยวๆ ถึงร้อยละ 85 อีกด้วย 







ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ จะมาในรูปแบบ ผง ไว้ชงละลายน้ำเย็น หรืออุณหภูมิปกติเพื่อดื่ม 

โดยใช้ปริมาณน้ำ 100 มล. หรือหากเพื่อนๆ ชอบรสชาติเข้มข้นหรือเจือจางกว่านี้

ก็สามารถปรับลด-เพิ่มน้ำตามชอบได้

แพคเกจของ Calza C จะเป็น1 กล่องใหญ่สีส้ม ที่บรรจุกล่องเล็กข้างใน 3 กล่อง 

และมีซองเล็กกระทัดรัดขนาดพกพา อยู่ 10 ซอง สามารถนำติดตัว เวลาไปไหนมาไหนได้

เมย์ว่าเป็นการเสริมแคลเซียมที่สะดวกมากๆเลยล่ะค่ะ






Calza C เป็นแคลเซียมแอลทรีโอเนต ที่สามารถแตกตัว และละลายในน้ำได้ดี 

ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากถึง 95% โดยไม่ต้องพึ่งวิตามินดี ไม่ทำให้ท้องผูก 

ที่สำคัญไม่มีสารตกค้างในร่างกาย จึงทำให้ไม่เป็นนิ่วในไต (เนื่องจากมีการดูดซึมสูงด้วย)

ต่างจากพวก แคลเซียมคาร์บอเนตโดยทั่วไป ที่ละลายน้ำค่อนข้างยาก

ดูดซึมสู่ร่างกายได้เพียง 10 – 15% เท่านั้น และต้องพึ่งวิตามินดี ในการดูดซึม


Calza C ยังเป็นแคลเซียมแอลทรีโอเนต ที่ปราศจากเกลือโซเดียมและน้ำตาล 

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานก็ที่ต้องการเสริมแคลเซียมสามารถทานได้

 ในส่วนของรสชาติตัวนี้ จะออกเป็นรสส้ม กลิ่นหอม ทานง่าย อร่อย

สามารถทานเวลาไหนก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ กรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัว

แต่ในการทานแต่ละครั้งเนี๊ย เค้าก็แนะนำว่า เราควรจะทานให้เป็นเวลา

อย่างเมย์ จะทานช่วงตอนเช้า หลังอาหารเช้า หรือสักช่วง 8 - 10 โมงเช้า จะทานเวลานี้ประจำ เพราะจะช่วยให้ได้ผลที่ดีกว่า และก็ไม่จำเป็นต้องทานคู่กับวิตามินดี ที่ช่วยในการดูดซึมด้วย

ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า เพราะ Calza C แคลเซียมแอลทรีโอเนต เค้าสามารถดูดซึมแคลเซียมได้เอง

และได้มากถึง 95%(เทียบเท่ากับการดื่มนมถึง 3 แก้ว!!!)








*** รู้มั้ยคะว่าเหตุใดการดูแลกระดูก ให้แข็งแรงอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ ความแข็งแรงของกระดูกนั้นเป็นหลักสคัญในการเคลื่อนไหว และทกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน

เมย์เชื่อนะคะว่า ถ้าหากกระดูกของเราขาดความแข็งแรงแล้ว เราคงพบกับความลำบาก

ในการดำเนินชีวิต และทำกิจกรรมอื่นๆอย่างแน่นอน



เมย์ลองคิดดูเล่นๆนะคะว่า ถ้าตัวเมย์เองประสบกับปัญหากระดูกพรุน 

เมย์คงไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตประจำวันแน่ๆเลยค่ะ แล้วไหนจะสถานที่ต่างๆที่อยากจะไป 

หรือแม้แต่การเดินชอปปิ้ง อัพเดทเรื่องความสวยงามที่ตัวเมย์เองชื่นชอบ ก็คงจะทำไม่ได้

เหมือนอย่างที่เคย แค่คิดก็เศร้าแล้วล่ะค่ะ ฮือออ:T^T:เพราะฉะนั้น เมย์ว่าเราควรป้องกัน 

และดูแลกระดูกของเราตั้งแต่วันนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากๆ แล้วค่อยใส่ใจหรอกค่ะ 

ตามธรรมชาติแล้วร่างกายจะสะสมแคลเซียม เพื่อทำให้มวลกระดูกแข็งแรงได้สูงสุด

(ธนาคารแคลเซียม) จนถึงอายุ 30 ปีหลังจากนั้นร่างกายจะไม่มีการสะสมแล้ว 

หากร่างกายได้รับแคลเซียมมา ก็จะเป็นเพียงการใช้เท่าที่จำเป็น ส่วนเกินก็จะถูกขับออก

ไม่สามารถเอาไปสะสมในธนาคารแคลเซียมได้เหมือนเดิมแล้ว




หลังจากลองทาน 1 เดือน : ผลที่ได้รับ





อย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้เมย์มีอาการ ปวดบริเวณเข่า มาสักระยะนึงอยู่แล้ว

พอได้ลองทานตัว CALZA C ตัวนี้ อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาประจำ ก็รู้สึกว่า

อาการปวดบริเวณข้อเข่าลดลง แต่ก็อาจจะไม่ถึงกับหายขาดไปเลย

แต่อย่างปกติ เวลาเมย์นอน หรือเหยียดขาตรง จะรู้สึกชา และปวดเข่าบ่อยในหลายๆคืน

จนต้องนอนเปลี่ยนท่านอนตลอดเวลา แต่ตอนนี้อาการชา ปวด หายไปพอสมควร

ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไงก็คงต้อง ทานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อดูผลในระยะยาวกันต่อไป

และก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย รวมถึงหาสาเหตุหลักของอาการปวดที่เกิดขึ้น

เพื่อแก้ให้ตรงจุดต่อไป อย่างที่เมย์บอกตลอดๆๆๆ เรื่องการทานอาหารเสริมว่า

ทุกอย่าง จะเห็นผล มาก น้อย ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย การทานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

การดูแลตัวเองหลังการทาน ทุกอย่างจะส่งผลดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับวินัย

และความเอาใจใส่ของตัวเราเองนะค่ะ








ยังไงก็ให้รีวิวนี้เป็นอีกตัวเลือกนึง สำหรับคนที่กำลังมองหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่องของการเสริมสร้าง

กระดูกและฟันให้แข็งแรง หรือคนที่ต้องการป้องกันโรคกระดูกพรุน คนที่มีความเสี่ยง

อย่างยืนนานๆ ต้องเดินบ่อยๆหรือคนที่ชอบนั่งทำงาน แล้วนั่งไขว่ห้าง

ใส่กางเกงขาเดฟบ่อยๆแบบเมย์ ได้ลองรับประทานดูกันค่ะ








Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2559 21:20:20 น.
Counter : 1673 Pageviews.

1 comment
REVIEW : อาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับสาวๆที่ชอบดูแลตัวเอง


REVIEW : อาหารเสริมเพื่อสุขภาพสำหรับสาวๆที่ชอบดูแลตัวเอง



สวัสดีค่ะ วันนี้เมย์มาพร้อมกับอาหารเสริมหลายตัวเลย ซึ่งไม่ได้พูดถึงกันมานานแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ ซึ่งน่าสนใจมากสำหรับคนที่รักสุขภาพและความสวยความงาม
ตัวผลิตภัณฑ์จะเน้นไปที่เรื่องของสุขภาพล้วนๆค่ะ ซึ่งเหมาะกับทุกคนในครอบครัว
ด้วยส่วนผสมที่ใส่เต็มมาก (เม็ดก็ใหญ่มาก 555 ) ไม่ต้องทานเยอะเหมือนแบรนด์ท้องตลาดทั่วไป
แต่เน้นที่ส่วนผสมที่ครบถ้วน สารอาหารแบบจัดเต็ม แพคเกจก็ดูดีเหมือนของนอกน่าสนใจมากๆค่ะ













มาที่ตัวแรกกันเลยดีกว่า
BewelEvening Primrose Oil 1000 mg
บีเวล นํ้ามันพริมโรสออย 1000 มก.









ตัวนี้ส่วนประกอบหลักคือ อีฟนิ่งพริมโรสจากเนเธอแลนด์
EPO มีสารที่เป็นส่วนประกอบหลักของเยี่อหุ้มเซลล์
เหมาะกับคนที่ต้องการตัวช่วยในการดูแลสุขภาพของผู้หญิงเป็นหลัก 
สำหรับใครที่ชอบปวดท้องประจำเดือน ปรับฮอร์โมนตัวนี้ช่วยได้เลยค่ะ
และได้ในเรื่องของความชุ่มชื้น เพิ่มวิตตามินอี ดูแลผิวให้ผิวสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย





ตัวที่สอง BewelRice Bran Oil & Rice Germ Oil plus Wheat Germ Oil1000 mg
บีเวล นํ้ามันรำข้าวและนํ้ามันจมูกข้าว ผสมนำมันจมูกข้าวสาลี 1000 มก.










ตัวนี้จุดเด่นคือประโยชน์จากน้ำมันรำข้าว ที่มี โอเมก้า 6 และ 9 วิตามินอี
ช่วยให้ผิวแข็งแรง พร้อมทั้งเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี
บวกกับมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันเซลล์ผิวของเราจากการถูกทำลาย
ด้วยแสงแดดได้ และยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้อีกด้วย









ตัวสุดท้าย BewelWhite Kidney Beanบีเวล ไวน์ คิดนี บีนพลัส
ควบคุมนํ้าหนักด้วย 4 กลไก จากสารสกัดจากธรรมชาติ










ตัวนี้จะเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนัก สกัดจากธรรมชาติ แบบไม่ใช่ยา
ที่เป็นยาลดความอ้วนทั่วไป มันเป็นเหมือนคล้ายๆเราเลือกทานอาหารคลีนมากกว่า
เพราะเชื่อว่าสาวๆหลายคนคง เป็นกังวลกับการเลือกทานอาหาร การห้ามปากไม่ให้กิน
หรือใครที่มีปัญหาน้ำหนักลดยาก ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เมย์ว่าตัวนี้น่าจะเป็น
ทางเลือกที่ดีให้กับสาวๆกลุ่มนี้ได้เลย ปลอดภัยไม่โยโย้ด้วย


ตัวนี้จะสกัดจากถั่วขาวและแอล-คาร์นิทีนซึ่งเป็นสารสกัดหลักที่ช่วยควบคุมแป้ง
และเร่งการเผาผลาญไขมัน มีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและช่วยในการ
สร้างเนื้อเยื่อเอ็นกระดูกอ่อนด้วย ตัวนี้ทานแล้วเมย์ว่ามันช่วยทำให้เราอิ่มเร็วขึ้นด้วยนะ
ดีงามสุดๆ 555

^_____________^








ยังไงใครชอบหรือเหมาะกับอาหารเสริมตัวไหนก็ลองไปหาทานกันดูได้นะค่ะ
สุขภาพที่ดีของเรา เริ่มที่ตัวเราดูแลตัวเองนะ ^___^



 ตอนนี้แบรนด์เปิดตลาดออนไลน์ก่อน และจะมีขายตามร้านค้าชั้นนำเร็วๆนี้แน่นอน
สามารถหาสั่งซื้อได้ที่
www.bewel-life.com   https://www.facebook.com/BewelLife 


**ใครอยากทดลอง จัดเลยค่ะแบรนด์ขอแนะนำช่องทางซื้อที่นี่เลย
โปรโมชั่นพิเศษ(โค๊ดส่วนลดพิเศษ) ซื้อ  1แถม1 + แถมส่งฟรีทุก order สั่งซื้อคลิกเลย 
www.108tohome.com/supplements/by-brand/bewel







Create Date : 22 กันยายน 2558
Last Update : 4 ตุลาคม 2560 22:52:28 น.
Counter : 1482 Pageviews.

0 comment
REVIEW : ขั้นตอนการทำเมโสบริ้ง เพื่อหน้าขาวใส เอยาคลินิก



สวัสดีค่ะทุกคน

วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของความสวยความงามกันคะ
ปกติแล้ว เมย์เข้าคลินิกพวกบำรุงผิวหน้า ผิวพรรณประมาณเดือนละครั้ง
ถ้าช่วงแรกๆหรือช่วงไหนที่ ต้องการ การบำรุงเป็นพิเศษหน่อย
หรือเพิ่งไปออกแดดมา จนผิวเสียต่างๆนาๆ หรือเรื่องของการปรับรูปหน้า
ก็จะเข้าอาทิตย์ละครั้ง อย่างเป็นประจำ เพื่อความต่อเนื่อง

ครั้งก่อน เมย์เคยรีวิวเรื่อง การปรับรูปหน้า V Shape ไว้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็น เมโสแฟต ลดไขมันแก้มและก็โบท็อกลดกราม
ที่ก่อนหน้านี้เรียกได้ว่ากรามเมย์ใหญ่มากกกกก 5555
แต่ตอนนี้ กลายเป็นสาวหน้าเล็ก V Shape ไปแล้วด้วยฝีมือ
คุณหมอฝ้ายคนสวยที่เอยาคลินิก ยูเนี่ยนมอล ชั้น F2

ลิ้งค์ >> //www.jeban.com/viewtopic.php?t=182694
ใครสนใจ เข้าไปอ่านรีวิวเต็มๆได้ตามลิ้งค์นี้เลยนะค่ะ :)



ส่วนวันนี้เมย์นั้น เมย์จะมาพูดถึง ขั้นตอนการทำเมโสบริ้ง Meso Blink
ที่หลายๆคนกำลังให้ความสนใจอย่างมากในช่วงนี้กันค่ะ



          MesoBlink เป็นโปรแกรมเพื่อผิวขาวใส  ที่จะช่วยลดจุดด่างดำ
และรอยแผลเป็นบนใบหน้า ให้ผิวหน้าขาวใสและได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันใจและชัดเจน


MesoBlink Program

-ผลักวิตามินเข้าสู่ผิวหน้าโดยตรง
-สูตรเฉพาะด้วย Blink Whitening complex
 เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหน้า

-ลดเลือนจุดด่างดำ รอยแผลเป็น ฝ้า กระ รอยหมองคล้ำ

-กระชับรูขุมขน
-ขั้นตอนเพียง 30 นาที ทุก 2-4 สัปดาห์

-สามารถทำควบคู่กับเลเซอร์เพื่อผลการรักษาที่รวดเร็วขึ้น




ขั้นตอนแรก :
ขั้นตอนแรกเลย ในการทำเมโสบริ้ง คือ เราต้องทำความสะอาดผิวหน้าและ
มาร์กยาชาทิ้งไว้ก่อน ประมาณ 20-30 นาทีค่ะ







จากนั้น พี่พนักงานก็จะมาเช็ดยาชาออก และทำความสะอาดผิวหน้าของเรา
เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำเมโสบริ้งในขั้นตอนต่อไป










ขั้นตอนการทำ : คุณหมอจะใช้เข็มฉีดยา จิ้มๆ สกิดลงบนผิวหน้าของเรา
ทั่วบริเวณใบหน้า เพื่อให้ยาซึมลงสู่ชั้นผิวหน้าโดยตรง ขั้นตอนนี้ไม่เจ็บอย่างที่คิดนะค่ะ
จะรู้สึกยิบๆเหมือนมดกัดนิดนึง แต่เพื่อความสวย ศรีทนได้อยู่แล้วค้า 5555
แต่เชื่อมือคุณหมอฝ้ายคนสวยนะค่ะ เพราะมือเบามาก กกก ไม่ต้องห่วงคะ

















หลังทำ หน้าอาจแดงเล็กน้อยนะค่ะ แต่วันรุ่งขึ้นก็จะหายเป็นปกติค่ะไม่ต้องห่วง :D
ให้หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด ในช่วง 1-2 วันแรกหลังทำนะค่ะ
โปรแกรมนี้เมย์บอกเลยว่าติดใจมาก  ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว
เพราะครั้งแรกหลังทำได้ 1 อาทิตย์ หน้าเรียบเนียน และใสขึ้นชัดเจนเลย
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ส่วนตัวแล้ว เมย์เป็นคนผิวคล้ำแต่กำเนิดค่ะ
พอโตมาตอนนี้ ผิวก็เริ่มดีขึ้น แต่ไม่ถึงกับขาวเหมือนคนขาว
ช่วงที่ผ่านมาดูแลตัวเอง ฉีดวิตตามินผิวที่เอยาคลินิกอย่างต่อเนื่อง
ผิวก็ดูใสขึ้น เนียนขึ้น จนหลายๆคนทักเลย สาวผิวแทนอย่างเรา ก็มีผิวที่สวยได้
ถ้าเราหมั่นดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งผิวหน้าและผิวกายควบคู่กันไปนะค่ะ ^^








 หลังทำ 2 ครั้ง อันนี้หน้าสด ทาครีมกันแดดและแป้งฝุ่นธรรมดาเลยค่ะ
ใช้กล้องหน้าไอโฟนหกถ่ายนะค่ะ ตอนนี้ ผิวเรียบเนียน หน้าใสขึ้นชัดเจนเลยค่ะ :)


ใครสนใจลองเข้าไปศึกษาข้อมูลหรือโทรไปสอบถามรายละเอียดได้เลยนะค่ะ
เดี๋ยวเมย์ทิ้งข้อมูลไว้ให้ค้า

เอยาคลินิก ยูเนี่ยนมอล ชั้น F2
IG : Ayaclinic
โทร : 02-939-3995





Create Date : 09 เมษายน 2558
Last Update : 9 เมษายน 2558 20:28:04 น.
Counter : 9968 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  

maybedong
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



All Blog