-- ขาเดี้ยง --
ชีวิตนี้ มีปัญหากับขามากมายจริงๆไม่เย็บ ก็ถลอก ... ไม่ปวดเข่า ก็ปวดขาครานี้ ... ถึงทีของข้อเท้าด้วยความซุ่มซ่ามของเราเอง เดินถอยหลังไม่ทันระวัง เลยตกฟุตบาท(ซึ่งเป็นฟุตบาทที่สูงกว่าปกติซะงั้น )เลยต้องนั่งโอดครวญอยู่ริมถนนณ เวลานั้น ไม่มีคำว่าอายอยู่ในสมอง แม้ว่ารถราจะผ่านไปมากมายแค่ไหนก็ตาม"โอ้ย เจ็บๆๆๆๆๆๆๆ" ... โวยวายใส่คนข้างๆ ร่วม 10 นาทีที่นั่งจุมปุ้กอยู่ตรงนั้นพอลุกขึ้นมา ... ก็เดินไม่ได้อีกลงน้ำหนักปุ๊บ ก็ปวดปั๊บจากประสบการณ์เกี่ยวกับขาที่ผ่านมาอย่างโชกโชน สั่งว่าต้องเอาน้ำแข็งประคบก่อน และพันผ้าไว้ถึงพอจะเดินได้แต่อารามรีบ ... จะไปดูบอล (ไม่เคยจะสำนึกในสภาพร่างกายของตัวเอง )ได้แค่พันผ้าแล้วก็กะเผกขึ้นรถไปสนามฟุตบอล กะเผกจากรถไปอัฒจรรย์ ... กะเผกขึ้นอัฒจรรย์อีก (spirit สุดๆ)บอลจบ ... ก็ทำสเต๊ปเดิมแต่ย้อนกลับกลับถึงบ้าน ... นอนปวดข้อเท้าตุ๊บๆๆๆปวดมากๆๆๆๆๆๆๆ จนต้องตื่นมาถึง 3 รอบ ... ตื่นมาร้องไห้ เพราะเจ็บ เช้าวันรุ่งขึ้น ... ตรงดิ่งไม่ยังโรงพยาบาลทันทีหมอจับๆๆๆๆๆ เราก็ร้องโอ๊ยๆๆๆๆๆ"เอ็นฉีกหลายเส้น เข้าเฝือกเลยละกัน" หมอบอก"หา ... ต้องถึงขั้นเข้าเฝือกเลยเหรอค่ะ" เริ่มมีต่อรอง"ไม่ใส่จะหายช้า" หมอตอบกลับมา"...."เลยต้องยอมรับแต่โดยดี ... กลายเป็นคนขาเดี้ยงเช่นนี้แลสงสารก็แต่หัวเข่าขวา ที่ต้องรองรับน้ำหนักตัวอันหนักหน่วงไว้แต่เพียงผู้เดียว
โยคะกับอาการปวดเข่า
ตั้งแต่เริ่มปวดหัวเข่าขวาเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ไอ่อาการนี้มันก็แวะมาทักทายอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยได้ขาด ยิ่งย้ายมาอยู่ที่เชียงราย ตอนตุลาที่ผ่านมา เข้าหน้าหนาวพอดี โอ๊ย ... ทรมานเกินจะบรรยาย ปวดเข้าไปถึงในกระดูก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไปหาหมอมาแล้ว 3 ครั้ง ฉีดยาทรมานเข่าไปอีก 1 เข็ม ครั้งล่าสุดที่ไปมา ก็ได้ถึงบางอ้อว่า ทำไมอยู่ดีๆ คนอายุน้อยอย่างเรา (อิอิ ... ) ถึงปวดหัวเข่าขึ้นมาได้ สาเหตุ ผิวข้อเข่าไม่แข็งแรงเหมือนคนทั่วไป + อ้วนขึ้นตอนที่ยังไม่อ้วนขึ้นนั้น ถึงแม้ผิวข้อเข่ามันจะไม่แข็งแรง แต่มันยังพอทนรับน้ำหนักเราได้ ทำให้ไม่เจ็บ ... ไม่ปวด ... วิ่งเล่น ~ ลั่นล้า ~ ได้ปกติ แต่พอน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่า 'อ้วน' นั่นเอง ทำให้ข้อเข่าเริ่มแบกรับน้ำหนักไม่ไหว จึงเกิดอาการประท้วง บอกให้เจ้าของมันรู้ว่า "ตูไม่ไหวแล้วนะ หนักเกินไปหรือเปล่าเนี้ยย" ... นั่นเองคือที่มาของอาการปวดหัวเข่า ... ไปคราวนี้หมอให้ยาบำรุงน้ำในข้อมาเดือนนึง กินมันวันละ 4 เม็ด เช้า-เย็นแถมต้องมาเจอหมอทุกเดือน เพื่อเอายาไปกินต่อที่จริงยานี้มีเป็นแบบซอง กินวันละซอง เคยได้ตอนไปหาหมอที่กรุงเทพ แต่ที่นี้ไม่มีแบบซอง เลยต้องกินกระหน่ำขนาดนี้ หลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ ไปอ่านเจอบทความเกี่ยวกับโยคะ เค้าบอกว่าเมื่อก่อนเค้าปวดหัวเข่า แต่พอหลังจากได้ฝึกโยคะแล้ว ก็หาย ไม่ปวดอีกเลย ... เหมือนเห็นแสงสว่าง เพราะอยากหาย ไม่อยากทรมาน และไม่อยากกินยาเยอะขนาดนี้ เลยเริ่มหาที่เรียนโยคะ ไม่กล้าฝึกเอง เพราะคราวก่อนที่ฝึกเอง คือตอนก่อนเริ่มอาการปวดหัวเข่าไม่กี่วัน ไม่เสี่ยงดีกว่า ที่จริง เคยเรียนโยคะมาก่อน ตอนที่ยังไม่ปวดหัวเข่า รู้สึกชอบมากๆ นี่แหละการออกกำลังกายที่เหมาะกับเรามากที่สุด ช้าๆ ไม่รีบ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหนื่อยมากมาย แต่ถ้าจะให้ดีต้องฝึกกับครู เพราะฝึกเองไม่เคยทำได้นานเกิน 1 อาทิตย์เลย หรือว่าถ้าไม่ได้เสียตัง มันก็เลยขี้เกียจก็ไม่รู้ ตอนนี้ไปเรียนมาได้ 2 อาทิตย์แล้ว ... จากที่เคยนั่งขัดสมาธิได้ไม่เต็ม ต้องนั่งเหยียดขา (ซึ่งถ้านั่งกับผู้ใหญ่ มันจะดูไม่สุภาพมากๆ) ตอนนี้ก็นั่งขัดสมาธิได้แล้ว ... จากที่เคยคุกเข่าไม่ได้เลย ก็ทำได้นานขึ้น... จากที่เคยนั่งท่าเทพธิดาไม่ได้เลย ก็นั่งได้ผลพลอยได้อีก 2 อย่าง ก็คือ ... น้ำหนักลดลงไป 1 กิโล (ทั้งๆ ที่ยังสวาปามเท่าเดิม ) ... ต้นขาเล็กลงไปครึ่งนิ้วยิ่งปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว คุ้มจริงๆ ... หุหุ ~ แต่ก็กินยาที่หมอให้มาคู่กันไปด้วยน๊า ยังไม่กล้าหยุดอ่ะ ~
โรคกระดูกอ่อนลูกสะบ้าอักเสบ ... ชื่อมันยาวได้ใจจริงๆ
ใครจะไปคิดว่าตัวเองจะมีปัญหาเรื่องกระดูกตั้งแต่อายุยังน้อย (เหอๆๆ) ... ไอ่พวกปวดเมื่อยต่างๆ อ่ะไม่นับ เพราะถือว่ามันเกิดจากกล้ามเนื้อ มิใช่กระดูกอาการเริ่มแรก ปวดจี๊ดๆตรงหัวเข่าเป็นระยะตอนขับรถ จากนั้นอีก 6-7 วันเริ่มปวดนานขึ้น ยิ่งเจออากาศเย็นยิ่งปวดหนัก ถึงได้รู้ว่าไม่น่าจะเป็นปวดเพราะกล้ามเนื้อละ เพราะเคยได้ยินมาว่าถ้าอากาศเย็นๆ คนเป็นโรคกระดูกจะทรมานต่อมาเริ่มเดินไม่ค่อยถนัด ปวดเข่า แสบเข่าทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแผลอะไร งอเข่าไม่ค่อยได้ ไปหาหมอของที่ทำงาน หมอให้ยาคลายกล้ามเนื้อมา ... ทั้งที่ในใจเราคิดว่าไม่ใช่ปวดกล้ามเนื้อ แต่ก็เชื่อหมอ ลองกินยาดูสัก 3-4 วัน ปรากฏว่าไม่หายจริงๆ แถมปวดหนักกว่าเดิมอีก ถึงขนาดตอนนอนต้องเอาหมอนข้างมารองไว้ ทนไม่ไหว ยอมลางานไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกอ่อนลูกสะบ้าอักเสบ โรคไรอ่า ไม่เคยได้ยิน ส่วนไอ่ที่เจ็บจี๊ดๆ และแสบๆ น่ะเป็นเพราะเส้นประสาท เลยได้ยาแก้อักเสบ ยาบำรุงปลายประสาท และยาบำรุงน้ำในข้อ มากิน 1 อาทิตย์ + ยานวดอีก 1 หลอด และนัดไปเจอหมออีกที แถมบอกให้ห้ามนั่งคุกเข้า นั่งยองๆ ขัดสมาธิ พับเพียบ เฮ้อ นั่งพื้นเฉยๆ ไม่ได้เลยอ่ะดิ หลังจากกินยาไป 1 อาทิตย์ เริ่มดีขึ้น ไม่ค่อยปวด แต่ยังแสบ เดินยังไม่ค่อยถนัด หมอเลยให้ยามาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ให้มากิน 2 อาทิตย์ ถึงค่อยกลับมาหาหมอเป็นเพราะกินยา ถึงทำให้อาการดีขึ้น แต่ดันซ่าเห็นว่าเริ่มเดินได้ เดินซะจนปวดข้างๆ หัวเข่า พอกลับไปหาหมอ หมอบอกว่าเอ็นอักเสบต้องฉีดยา ขอบอกว่าทรมานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่หมอใส่ยาชาลงไปให้ด้วยนะเนี้ย ปวดจนปากสั่น จะเป็นลมเดินไม่ไหว มันหวิวๆ ต้องนั่งพักเกือบ 10 นาที ถึงจะไปได้ เจ็บคราวนี้จำสุดๆ อย่าได้ซ่าอีกเป็นอันขาด หมอให้ยามากินอีก 1 อาทิตย์ และบอกให้ออกกำลังกายโดยการปั่นจักรยาน ได้ผลแฮ่ะ ดีขึ้นมากๆ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว วันนี้เพิ่งไปหาหมอมา หมอให้ยามาอีกชุด และบอกว่าไม่นัดอีกแล้ว แต่ถ้าเป็นอีกให้มาหาเอาล่ะ ลองมาวิเคราะห์หาสาเหตุกันดูว่าไอ่โรคนี้มันเป็นเพราะอะไร ???ก. เพื่อนบอกว่าแก่ตัวแล้วถึงเป็น --- เออ ไม่ใช่กระดูกเสื่อมนะค่ะ แก่แล้วถึงจะเป็นน่ะ ล่ะยังไม่ได้แก่ด้วย ข.เพื่อนอีกคนบอกว่าเป็นเพราะอ้วน --- น่าคิดๆ เพราะอ้วนขึ้นมาหลายโลเลย ปีนี้ แต่เอ๊ะ ไหงมานเป็นแค่ข้างเดียวหว่าค.แม่บอกอ้วน --- นานๆ ทีแม่จะบอกว่าเราอ้วน ทุกทีบอกว่าดูสุขภาพดี สงสัยอ้วนจริงๆ ง.เจ้านายบอกเด็กพวกนี้ไม่ยอมออกกำลังกาย เลยเป็นโรคง่าย --- ยอมรับแต่โดยดี จ.พี่ที่ทำงานบอกน้ำในข้อมันน้อยกระดูกข้อต่อมันก็เลยเสียดสีกัน --- อาจใช่ เพราะหมอให้ยาบำรุงน้ำในข้อมา แถมเวลานวดได้ยินเสียงดังคลึกๆ อีกข้างไม่เห็นได้ยินฉ.ส่วนตัวเองบอกหมอไปว่า นั่งรถกลับบ้านนานเกินไป (12 ชั่วโมง ไป-กลับรวม 24 ชั่วโมง) เพราะเห็นมันเริ่มปวดตอนนั้นนิช.อ้ะ ลืมไปอีกอย่าง จำได้ว่าหลังจากกลับมาจากบ้านแล้ว ก้อเล่นโยคะที่ต้องนั่งขัดสมาธิแบบเอาขาขัดกันอ่ะ เล่นไปได้ 2-3 วันเริ่มปวดข้อเท้า เลยเลิกเล่น ล่ะสักพักก็เริ่มปวดหัวเข่าตกลงล่ะมันเป็นเพราะอะไรกันเนี้ย . ถูกทุกข้อยกเว้นข้อแรกแหงมๆ ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องออกกำลังกายอย่างจริงจังเพื่อลดความอ้วนให้ลงมาเท่าเดิม ว้า แต่ขี่จักรยานได้อย่างเดียวเท่านั้นอ่ะ หมอห้ามทำอย่างอื่น
ว่าด้วยเรื่อง "ความเครียด"
เพิ่งได้อ่านคอลัมน์ของ ดีเจอ้อย นภาพร ใน Health&Cusine ฉบับเดือนนี้มา ... บวกกับช่วงนี้ป่วย เปื่อย เลยขอเอามาเล่าสู่กันฟัง"ความเครียดทำให้สิ่งมีชีวิตหนีรอดจากอันตรายไปได้ แต่มันจะทิ้งผลบางอย่างไว้อีกหลายปี ตอนเจอเรื่องหนักๆ เราจะคิดกังวล ดิ้นรนต่อสู้ และเครียดพอเรื่องนั้นผ่านไป นึกว่าหายเครียดแล้ว แต่จริงๆ มันทิ้งอะไรบางอย่างเอาไว้ที่ตัวเรา รอวันที่จะแสดงอาการ"พออ่านแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเวลาเราไม่ได้รู้สึกเครียดอะไรสักหน่อย แต่ทำไมมันจึงปวดหัวตุบๆ จี๊ดๆ อยู่บ่อยๆ ... ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง ...แถมหมอที่ดีเจอ้อยไปหายังบอกว่า เจ้าตัว "เครียด" เนี้ย มันเกิดได้ไม่เฉพาะแค่กังวลหรือทำงานหนักอย่างเดียว แต่ถ้าเพ่งคอมนานๆ ... ตั้งใจทำอะไรบางอย่างมากๆ ... นอนน้อย หรือนอนไม่เป็นเวลา ก็เครียดได้ น่ากัวไม๊ หึหึ ... ที่ร่ายมาข้างบน ขอบอก ... เข้าข่ายทุกข้อ ยังงี้จะไม่ให้เป็นโรคเครียดได้ไงเนี้ยแถมเรายังชอบทำอะไรไฟลนตูดอีก ... เฮ้อ ต้องระวังให้มากๆวิธีที่ในหนังสือแนะนำเพื่อรับมือกับความเครียดคือ สมาธิไม่ว่าจะนั่งสมาธิ รำไทชิ หรือเล่นโยคะ ช่วยให้ลดความเครียดได้นักแล เรื่องนี้เค้าทำวิจัยกันมาแล้วด้วยนะ เชื่อถือได้ 100%ถ้าว่างๆ บวกกระเป๋าตุงๆ ก็ว่าจะไปเรียนโยคะอยู่เหมือนกันแต่ช่วงนี้ก็คงต้องลองนั่งสมาธิเองไปพลางๆ ก่อน ต้องนึกเอาไว้ ... เพื่อสุขภาพๆๆๆๆ